fbpx

เที่ยวโอซากะกับไดโนสองแบบไม่ส่องของโหล เพราะจะไปส่องของแปลกตาที่การันตีว่าห้ามพลาด

เรามาพบกันต่อกับการเที่ยวโอซากะ แบบสไตล์เรานะครับ โดยในวันที่ 2 ของทริปเที่ยวคันไซของไดโนสอง วันนี้เราก็ยังอยู่โอซากะเหมือนเดิม แต่วันนี้เราจะไม่เที่ยวของโหลแล้ว (หรือเปล่า ?)​

เอาเป็นว่า หลายๆ คนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีสถานที่เหล่านี้อยู่ดีกว่า 

อย่างที่เราบอกไปในตอนที่แล้วว่า เราพักในย่านนัมบะ ใกล้ๆ ตลาด Kuromon ดังนั้นในตอนเช้าเรามาเติมพลังกันที่ตลาด Kuromon หรือ Kuromon Fish Market จะให้บรรยากาศเหมือนที่โตเกียวแถวย่านตลาดปลาเก่าซึกิจิ ที่ตอนนี้ย้ายไปอยู่โตโยสุแล้ว หรือไม่ก็ย่าน อะเมะโยโกะ ที่อยู่ใกล้ๆ อุเอโนะ 

ตลาด Kuromon นั้นจะเต็มไปด้วยร้านขายอาหารทะเลแบบสดๆ เรียงรายเป็นสิบๆ ร้าน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เราสามารถดูได้เลยว่าเราอยากกินร้านไหน จะมีราคาแปะไว้อยู่ข้างหน้าเลย และบางร้านจะมีภาษาอังกฤษอยู่ด้วย แต่ละร้านก็จะให้บริการที่แตกต่างกัน บางร้านจะมีแบบยืนกินที่หน้าร้านหรือมีโต๊ะนั่งให้บริการ ส่วนอาหารก็เลือกได้ว่าจะกินแบบดิบหรือปรุงสุก สำหรับร้านที่มีโต๊ะนั่งก็มีบริการพิเศษอีก บางร้านหากเราทานในร้านก็จะได้ข้าวสวยในราคาพิเศษอีก! คุ้มสุดๆ  (ที่บอกว่าพิเศษนี่คือราคาถูกลงนะ ไม่ใช่พิเศษราคาเลยแพงขึ้น 5555) เอาเป็นว่าก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร้านไหนลองเดินดูให้รอบๆ ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังพอมีเวลา แต่รับรองความสดของอาหาร ผมนี่ยกนิ้ว “โป้ง”​ ให้เลย 

เลือกไม่ถูกเลยว่าจะกินอะไรดี ละลานตาไปหมด

ตลาด Kuromon นั้นจะอยู่ใกล้ๆ แถวย่าน Namba – Shinsaibashi ถ้าหากใครพักแถวนั้นเดินทางมาได้ไม่ยากเลย หรือจะมาลงที่สถานี Nippombashi ทางออกที่ 8,9,10 ได้หมดเลย หรือถ้ายังไม่เจออีก Google Maps ไปเลยจ้า 

สำหรับผมมื้อเช้าขอเบาๆ เป็นหมึกย่างและปูร้อนๆ กินกับข้าวสวยอุ่นฟินๆ และหอยย่างสักตัวสองตัว ถ้ากินเอาอิ่มจริงๆ คงหมดตัว ล้มละลายจนไม่สามารถกินอย่างอื่นได้อีกต่อไป หากไม่อิ่มแถวนั้นก็ยังมีของกินอื่นๆ ทั้งซอฟต์ครีม ของหวานต่างๆ รวมถึงซุปเปอร์มาร์เก็ต และที่สำคัญขายทุเรียนจากไทยด้วยนะ (ลูกละประมาณ 5,000 – 7,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทย ประมาณ 1,450 บาท)

เมื่อกินอิ่มแล้ว ในเวลาประมาณ 10 โมงสะพายเป้แล้วออกเดินทางกันต่อโดย Osaka Metro โดยลงที่ Tenjimbashisuji 6-chome และออกทางออก 3 เพื่อไปที่ Osaka Museum of Housing and Living โดยตัวตึกจะเชื่อมกับสถานีอยู่แล้ว สามารถขึ้นลิฟต์มาได้เลยโดยชื่อ Osaka Museum of Housing and Living สถานที่นี้หลายๆ คนอาจจะไม่รู้จัก หรือมองข้ามไปเลย ก่อนที่จะเข้าไปในพิพิธภัณฑ์จะมีบริการล็อคเกอร์ให้สามารถเอาของมาเก็บไว้ก่อนที่จะเดินเล่นภายในพิพิธภัณฑ์ แค่นี้เราก็จะเดินเล่นพิพิธภัณฑ์ได้สบายๆ แบบตัวปลิวได้เลย 

ตัวพิพิธภัณฑ์นั้นจะเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นและโอซากะได้ดีมาก จะเล่าถึงความเป็นอยู่ในสมัยก่อน เช่นการเข้าห้องน้ำ การหุงข้าว การใช้เครื่องใช้ต่างๆ ในบ้าน การนอน การรับแขก รวมไปถึงร้านค้า ศาลเจ้าต่างๆ  ทั้งหมดนี้จะจำลองเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ขึ้นมาบนตึกชั้น 5 เราสามารถเข้าไปในเมืองนั้นและถ่ายรูป หรือศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ได้เลย 

และมีกิมมิคอีกอย่างนึงคือ การเช่าชุดยูกาตะ (ราคา 500 เยน/ชั่วโมง) แล้วใส่เดินถ่ายรูปรอบๆ เสมือนเราเป็นคนญี่ปุ่นในสมัยก่อนได้เลย แต่มีข้อจำกัดที่ว่าชุดไม่ได้มีเพียงพอสำหรับทุกคน และต้องคืนเป็นรอบๆ อีกด้วย แต่ถ้าจองชุดได้แนะนำให้จองเลย มันเก๋ 55555 

มีน้องหมาด้วยนะ

และอีกหนึ่งอย่างที่เก๋ไม่แพ้กันคือหมู่บ้านแห่งนี้จะมีเวลากลางวัน-กลางคืนด้วย โดยเวลาจะหมุนๆ ไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเราก็จะได้สัมผัสบรรยากาศตั้งแต่ตอนเช้าพระอาทิตย์เริ่มขึ้นยันกลางคืนอันมืดมิด ตอนกลางคืนก็จะถ่ายรูปยากสักนิด แต่เราก็จะได้สัมผัสบรรยากาศว่ากลางคืนที่ญี่ปุ่นเมื่อก่อนมันมืดจริงๆ นะ

แฟลชมันแยงตา !!!

พอตกบ่ายประมาณ 3-4 โมงเย็นเราก็กลับเข้ามาในเมืองโดยเราจะไปที่สถานี Dobutsuen-Mae (สถานีหน้าสวนสัตว์) หรือ Ebisucho (ย่านขายของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ไปยังย่าน Shinsekai ซึ่งแปลว่า “โลกใหม่” หรือหากมีเวลาเราสามารถหาทำเดินจากย่าน Namba มาก็ได้เช่นกัน (เราเคยหาทำมาแล้ว 5555)

และไปที่ตึก Tsutenkaku ในย่าน Shinsekai

Shinsekai นี้เป็นย่านที่รวมของกินไว้เยอะพอสมควรเลยทั้ง โอโคโนะมิยากิ, ทาโกะยากิ, คุชิคะสึ (เป็นของกินเสียบไม้ เราสามารถคลุกเกล็ดขนมปังและทอดได้ด้วยตนเอง เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงอีกอย่างหนึ่งของโอซากะ) และมีลูกโป่งรูปปลาปักเป้าสีแดงเป็นที่โดดเด่นอยู่ตรงกลางย่าน 

และตึก Tsutenkaku เป็นตึกที่สามารถชมวิวเมืองโอซากะได้โดยรอบ 360 องศา เป็นสถานที่ฮิตอีกที่นึงเลยทีเดียว ดังนั้นเราควรที่จะเผื่อเวลาไว้สัก 1-2 ชั่วโมงในการต่อแถวรอขึ้นตึก แต่ในระหว่างที่รอคุณจะไม่รู้สึกเบื่อเท่าไหร่เลย คุณจะพบกับกาซาปอง, ที่คีบตุ๊กตา หรือของกินเล่นตลอดทาง เช่นไอศกรีม หรือน้ำลามูเนะ คือเป็นน้ำโซดา สีฟ้าในขวดแก้ว แต่ถ้าจะกินแนะนำว่าอย่าเขย่าก่อนกินนะครับ ไม่งั้นน้ำมันจะพุ่งแล้วเราจะอดกิน

กว่าจะถึงจุดชมวิว รู้ตัวอีกทีก็คือหมดตัวไปแล้ว โดนของตกตลอดทาง

พอขึ้นมาบนตึกแล้วอย่างที่บอกไปเราก็จะเจอวิวโอซากะได้โดยรอบทั้งย่าน Ebitsucho, Tennoji และมองทะลุไปได้ถึงย่าน Namba หรือมองได้ไกลไปยังชานเมืองได้เลยด้วยซ้ำ หากใครจะอยากมองแบบชัดๆ บนหอคอยก็มีกล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญให้บริการอยู่ด้วย

หลังจากที่เต็มอิ่มจากการชมวิวแล้ว ลงมาก็เจอร้านทาโกะยากิ เลยขอแวะเติมพลังสักหน่อยก่อนที่จะลุยกันต่อ ระหว่างเราจะเดินไปที่สถานที่ต่อไป เราก็เดินผ่านย่าน Shinsekai อีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปสถานี Ebitsucho เราพบย่านการค้า (Shinsekai Market) ซึ่งแถว Shinsekai ก็มีร้านอาหารเรียงรายละลานตามาก และยังเป็นอีกย่านที่วัยรุ่นมานัดพบกินข้าวกัน แต่ย่านนี้ยังไม่ได้เป็นที่นิยมเท่ากับย่าน Shinsaibashi หรือ Otonbori ที่มีรูปกูลิโกะตั้งอยู่

เมื่อชาร์จพลังงานกันเสร็จ เราก็จะไม่หยุด เราก็นั่งรถไฟ Osakako ของสาย Osaka Metro Chuo Line ออกทางออก 3 และเดินอีกนิดนึง เพื่อไปเที่ยวต่อกันที่ริมอ่าวโอซากะ และแม่น้ำ Aji เพื่อที่จะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ Tempozan Giant Ferris Wheel เป็นชิงช้าสวรรค์ที่อยู่ริมน้ำ ส่วนด้านข้างของชิงช้าสวรรค์จะเป็นห้างสรรพสินค้าและ Kaiyukan Aquarium เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่จะมีการแสดงโชว์ตลอดทั้งวัน แต่เสียดายที่เราไม่มีเวลา เลยอดเข้าไปดู 

ดังนั้นเราเลยได้แค่ขึ้นชิงช้าสวรรค์ซึ่งต้องใช้เวลาต่อแถวขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงซึ่งเราเลือกเป็นชิงช้าสวรรค์แบบคริสตัลคือพื้นด้านล่างจะเป็นแบบใส สามารถมองทะลุได้เลย ซึ่งในบรรดาชิงช้าสวรรค์ทั้ง 50 อันจะมีแบบคริสตัลแค่ 8 อันนับเป็นของแรร์ไอเทม และต่อแถวนานมากกกกกกกก = =! 

เมื่อเราขึ้นไปแล้วเราจะใช้เวลาประมาณ 5-7 นาทีโดยประมาณ คุณจะเห็นวิวอ่าวโอซากะ วิวสะพาน Tembosan ohashi เป็นสะพานทางด่วนข้ามปากแม่น้ำ Aji และยังรายล้อมไปด้วยแสงสีส้มยามค่ำคืน ซึ่งจะแตกต่างกับวิวของ HEP FIVE โดยสิ้นเชิง ถ้าหากคุณมากับแฟนกันสองคน รับรองว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ที่คุณควรมาเดท เพราะบรรยากาศโรแมนติกมาก แต่จะเสียบรรยากาศเพราะมีพวกเราไปนี่แหละ 55555

หลังจากนั้นเราก็กลับไปที่ย่าน Shinsaibashi เพื่อกลับไปช็อปปิ้งและหาของกินมื้อเย็น ระหว่างเดิน เราพบร้าน GU เป็นร้านขายเสื้อผ้าบริษัทลูกของ UNIQLO ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ร้าน GU แต่อยู่ที่ร้านตรงข้าม หัวมุมจะมีร้าน Owndays อยู่ เราจะได้กลิ่นขนมอบใหม่ๆ อบอวลมาแต่ไกลแม้เราจะยังไม่ถึงร้าน GU ในระยะ 100 เมตรก็ตามเราก็ยังได้กลิ่น ซึ่งร้านที่ได้กลิ่นนั้นคือร้านครัวซองก์ชื่อร้านว่า Le Croissant อยู่ใต้ร้าน Lilo Coffee Kissa 

เป็นร้านครัวซองต์ที่ทำสดๆ รวมถึงเมนูเบเกอรี่และขนมปังอื่นๆ คนต่อแถวไม่มากนัก และที่สำคัญขายชิ้นละ 40 เยน !! (ปัจจุบันขึ้นราคาเป็น 50 เยนแล้ว) สั่งเป็น 10 ชิ้นก็ยังไม่รู้สึกผิด 55555

เอาจริงๆ นะมาย่านนี้ทีไรก็ต้องแวะกินสักชิ้นสองชิ้นอ่ะ มันเกินต้านใครจะไปทนไหว

ว่าแต่เรายังไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการเข้าแต่ละที่เลยใช่ไหม?

เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงค่าเข้าอีกต่อไป เพราะว่าทุกที่เข้าฟรี! จากการที่เราซื้อบัตร Osaka Amazing Pass ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ที่สำคัญบัตร Osaka Amazing Pass ยังมีอีกหลายสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากที่เรายังไม่ได้ไปค้นหาและยังครอบคลุมถึง 50 แหล่งท่องเที่ยวในโอซากะเลย! 

และนี่ก็เป็นการเที่ยวคันไซ และเมืองโอซากะเป็นวันที่ 2 ของผมนะครับ เราก็จะได้เห็นมุมมองแปลกๆ ที่ไม่ค่อยเป็นของโหลสักเท่าไหร่ (เมื่อเทียบกับตอนที่แล้ว) ในโอซากะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเยอะมากที่รอให้ทุกคนไปท่องเที่ยว ไปค้นหาอยู่นะครับ ญี่ปุ่นใกล้เปิดประเทศแล้วเตรียมตัวไว้เลย 

สำหรับทริปเที่ยวคันไซเรายังไม่จบแค่นี้แน่นอน เรายังมีอีกหลายตอน หลายเมือง หลายมุมมองที่จะเอามาให้ทุกคนค้นหาหรือให้ไปตามกันอยู่นะครับ

สุดท้ายนี้ฝากช่องไดโนสอง ทาง YouTube ฝากกดแชร์ กดไลก์ กด Subscribe กันด้วยนะครับ

แล้วพบกันตอนหน้าครับ
ไดโนสอง 🙂

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า