fbpx

Thanos ลากไป Avenger ลากมา ดีดนิ้วหายไป 5 ปี อาจไม่ใช่เรื่องตลก

หนังซุปเปอร์ฮีโร่ เป็นกระแสที่แรงแซงสถานการณ์โควิดขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง ภาพยนตร์ที่ต้องนับเป็นจักรวาลดูกันแบบพลาดไม่ได้ ประสบความสำเร็จแบบไม่สนอุปสรรคของการจัดฉายภาพยนตร์ในโรงท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาด หรือการรบกวนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เดิมด้วยระบบ Streaming เลยแม้แต่น้อย จนตอนนี้ตัวอักษร “MCU” ที่ย่อมาจาก Marvel Cinematic Universe กลายเป็นคำที่คอภาพยนตร์ต่างเข้าใจตรงกัน และกลายเป็น Pop Culture ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

ในยุคที่เมื่อคุณดูหนัง Marvel แล้วมีการพูดคำว่า “The Blip” หรือบทพากย์ไทยว่า “ถูกดีดนิ้ว” เราต่างเข้าใจตรงกันว่าหนังทุกเรื่อง ต้องพูดถึงผลกระทบที่จะต้องเข้าใจตรงกัน ในวันที่เกิดศึกยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนทั้งโลกหายไปครึ่งนึงเป็นเวลา 5 ปี แม้ว่าคนดูอย่างเราๆจะไม่ได้หายไปด้วย แต่เมื่อพิจารณาเหตุการณ์แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแค่ในกระแสที่จะมองกันตื้นๆ ได้เลย

ธานอสดีดนิ้ว เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

แม้จะเป็นที่ถกเถียงกันว่าหลักการ “ลดประชากรลงครึ่งหนึ่ง” เพื่อรักษาจักรวาลไว้ เป็นหลักคิดที่ถูกต้องหรือได้ผลจริงหรือเปล่า แต่การกระทำของธานอสก็ส่งผลทั้งตอนที่เขาดีดนิ้วให้ทุกคนหายไป ลากยาวมาถึงตอนที่บรูซ แบนเนอร์ ดีดนิ้วเรียกทุกคนกลับมา 5 ปีให้หลัง ซึ่งทาง MCU ได้เรียกเหตุการณ์นี้ว่า The Blip แต่ด้วยอิทธิพลของแฟนๆ ที่เรียกเหตุการณ์นี้ว่า The Snap มาก่อนในช่วงภาพยนต์ Avengers : Infinty War ทำให้ทาง Marvel Studio ต้องยอมแบ่งออกเป็นสองคำคือ The Snap ที่ไว้เรียกการดีดนิ้วให้ทุกอย่างหายไปครึ่งนึงของมวลสรรพสัตว์ ส่วน The Blip คือการดีดนิ้วเพื่อเรียกทุกคนกลับมานั่นเอง

แม้ในหนัง Avengers : Endgame จะไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมาก แค่ตัดความไปเพียงหนึ่งซีนบนหน้าจอว่า “Five Years Later” หรือ “5 ปีผ่านไปแล้ว” ก่อนจะเริ่มเหตุการณ์ที่ทีม Avengers จะเกิดแนวคิดแก้เกมส์ธานอสเพื่อเรียกทุกคนกลับมาด้วย Time Heist หรือการปล้นเวลาจนนำไปสู่ชัยชนะตามลำดับ แต่โดยรายละเอียดแล้ว การที่คนหายไปครึ่งนึงทั้งโลก ทำให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงอยู่เหมือนกัน และมันส่งผลต่อเส้นเรื่องชีวิต สังคม และการเมืองอย่างน่าสนใจ

“รัฐบาลโลกล่มสลาย ส่วนที่เหลือที่พอทำงานได้ พยายามสรุปรายชื่อคนที่หายไป” นาตาชากล่าวไว้ในช่วงต้นของภาพยนตร์ Endgame ทำให้เห็นว่า การบริหารงานมีปัญหาและขัดข้องมาก แค่งานอย่างการเช็คจำนวนประชากร ก็ยังเต็มไปด้วยความขัดข้อง ซึ่งหากถ้ารัฐบาลยังมีปัญหา ในรายละเอียดปลีกย่อยก็ต้องยิ่งมีปัญหามากกว่าเดิมไม่น้อยเลยทีเดียว

Move On เป็นแนวคิดคนอเมริกัน

คำพูดที่น่าสนใจจากภาพยนตร์ Shang Chi : The Legend of Ten Rings ดูเหมือนจะอธิบายอะไรหลายอย่างหลังจากเหตุการณ์ The Snap ซึ่ง สตีฟ โรเจอร์ หรือ กัปตันอเมริกา ได้เป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มบำบัดความเศร้า ซึ่งในภาพยนตร์เขาพยายามทำให้กลุ่มคนที่เหลืออยู่เรียนรู้ว่า เมื่อเราต้องสูญเสีย เราก็ต้องเรียนรู้จากมันและก้าวไปข้างหน้าให้ได้ ซึ่งเขาพูดให้ทุกคนก้าวต่อไป แม้ว่าจะมีบางคนทำไม่ได้ก็ตาม รวมถึงตัวเขาเอง ซึ่งทางฝั่งชาวเอเชียก็หยิบยืมประเด็นนี้มาสานต่อ ว่าคนตะวันออกนั้นเป็นชาว Move On เป็นวงกลมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องจะให้ปล่อยวาง ลืมบรรพชนที่สูญเสียไป มันเป็นเรื่องที่ไกลตัวเข้าไปอีก

ระยะเวลา 5 ปีนั้นไม่ใช่น้อยๆเลย แต่เมื่อคนหายไปโดยไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาไหม ระยะเวลา 5 ปีจะดีจะร้ายเราก็ต้องเดินต่อ รัฐบาลโลกต้องทำงานต่อ ที่ California ทำอนุสรณ์คนที่หายไป เป็นสาหินสลักชื่อกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ส่วนตำแหน่งหน้าที่ในระดับต่างๆขององค์กรต่างๆทั่วโลกก็ต้องดำเนินงานไปต่อ อย่างหน่วย S.W.O.R.D ในเรื่อง WandaVision หัวหน้า และผังองค์กรเองก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน กฎการบินก็ต้องถูกเปลี่ยน ซึ่งตัวซีรีส์ก็อธิบายเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดี และองค์กรต่างๆทั่วโลกทั้งใบก็ต้องเดินต่อไปในสภาพไม่ต่างกัน จะผุพังอย่างไรก็ต้องไปต่อให้ได้

แม้จะมีคำที่กัปตันอเมริกาเองดันบอกว่า “น้ำในแม่น้ำฮัตสันสะอาดขึ้นและเห็นปลาโลมาที่ปากอ่าวด้วย” ซึ่งทำเอานาตาชาอยากจะตบกระโหลกให้ ถ้ายังไม่หยุดมองโลกในแง่ดีแบบนี้อีก

The Blip เอาคนกลับมา แล้วก็เอาปัญหากลับมาด้วย

เมื่อทุกอย่างไปต่อจนเริ่มจะนิ่งแล้วตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่อยู่ดีดีคนครึ่งโลกก็ถูก Blip กลับมาเฉยๆ แม้ในสมรภูมิการต่อสู้จะยิ่งใหญ่อลังการ Avengers Assemble รวมศึกระหว่างธรรมะกับอธรรมได้ขนาดนั้น การเสียสละของโทนี่ สตาร์ค ที่ดีดนิ้วทำให้ธานอสและกองทัพหายไปจนได้ ทั่วทั้งโลกต่างจุดพลุเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะ และการกลับมาเจอหน้ากันของครอบครัวที่พลัดพรากเป็นสิ่งที่น่ายินดี

แต่การถูกดีดนิ้วกลับมา มันย่อมมีปัญหาตามมาอย่างซับซ้อน เมื่อโลกทิ้งคนครึ่งหนึ่งไว้ข้างหลัง 5 ปี เปิดโอกาสให้คนอีกครึ่งนึงเดินล่วงหน้าไปก่อน และกระทำเหมือนพวกเขาไม่มีอยู่อีกแล้วด้วยความจำเป็น ซึ่งนั่นทำให้การกลับมาของพวกเขามันคือปัญหาใหม่ที่กลายเป็นเรื่องยากที่จะแก้ เป็นปัญหาที่ไม่เคยมีใครในโลกเจอมาก่อน และไม่มีแนวทางให้ยึดตามอย่างชัดเจน

ในระดับครอบครัว พี่น้องอายุจะอยู่ดีดีต่างกันออกไปและสลับตำแหน่ง น้องบางคนกลายเป็นพี่ พี่บางคนกลายเป็นน้อง ประเทศที่เคร่งครัดเรื่องระบบอาวุโสในครอบครัวและสังคม อาจถึงขั้นต้องทบทวนลำดับชั้นทางสังคมกันใหม่ทั้งหมด พ่อและแม่บางคนอาจเลือกแต่งงานใหม่หรือย้ายบ้านเพื่อเริ่มต้นใหม่ เพื่อนร่วมชั้นล่วงหน้าเข้ามหาวิทยาลัยไปก่อนแล้วขณะที่อีกครึ่งยังตกค้างอยู่ที่ระดับมัธยม คนที่อยู่ดีดีกลับมาแล้วพบว่าแฟนตัวเองมีคนใหม่ไปแล้ว ตัวเองกลายเป็นแฟนเก่าโดยที่ตัวเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

ซึ่งปัญหาแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาระดับปัจเจก เพราะหากมองไปยังเสกลที่ใหญ่กว่า เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะช่วงเวลาที่คนครึ่งนึงหายไป จะมีบ้าน สวัสดิการพื้นฐาน การรักษาพยาบาล และทรัพย์สินที่ไม่ได้หายไปด้วย มันว่างอยู่ และระยะเวลา 5 ปีก็เป็นเวลาที่ยาวนานพอที่จะขายทอดสิ่งเหล่านี้ให้เป็นของเจ้าของคนใหม่ เปิดโอกาสให้คนที่ยังเหลืออยู่ปรับตัว คนที่ไม่เคยมีบ้าน จะได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในบ้านของคนที่หายไปแล้ว ได้มาทำงานในตำแหน่งที่ว่างกระทันหัน ได้แบ่งปันทรัพยากรที่เหลืออยู่ หรือได้นอนบนเตียงรักษาพยาบาลที่ว่างเปล่า

แต่อยู่ดีดีพวกเขาก็กลับมา บีบให้คนครึ่งนึงกลายเป็นคนไม่มีตัวตน ทั้งๆที่เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ฉันเข้าไปในนั้น 5 นาที แต่ชีวิตฉันหายไป 5 ปี

คำพูดของติดตลกของ เยเลน่า น้องสาวของนาตาชาที่กล่าวไว้ในซีรีส์ Hawkeye นั้นทำให้เห็นว่าในมุมของคนถูกดีดนิ้วหายไปนั้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เธอแค่ไปเข้าห้องน้ำล้างมือ และเพียงแค่กระพริบตาเดียว เมื่อเธอกลับออกมาจากห้องน้ำ ทุกอย่างรอบตัวเธอเปลี่ยนไปหมด ชีวิตเธอหายไป 5 ปี แถมเธอยังต้องมารับความจริงว่า พี่สาวของเธอตายไปแล้ว

ขนาดเยเลน่าที่ว่าเป็น Black Widow คนต่อไป ยังสติแตก และตามล่าบาร์ตั้นข้ามทวีปเพราะคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุให้พี่สาวของเธอตาย เธอที่เป็นฮีโร่ยังต้องรับมือกับเรื่องนี้ขนาดนี้ แล้วคนที่ไม่ใช่ฮีโร่ มันจะขนาดไหนกันนะ

“คนเรารับมือการถูกดีดนิ้วต่างกันออกไป” เป็นคำพูดที่บาร์ตั้นกล่าวกับเคท ลูกศิษย์ Hawkeye ของเขา ในช่วงที่เขาสูญเสีย เขายอมกลายเป็นปีศาจเพื่อกลบความเจ็บปวด แต่เมื่อภรรยาและลูกของเขากลับมา เขาต้องวิ่งกลบสิ่งที่เขาเคยทำผิดพลาดเอาไว้เพื่อเริ่มต้นใหม่ ตัวอย่างการรับมือของเขา เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องวุ่นวายของคนถูกดีดนิ้วกลับมาต้องเผชิญ ซึ่งปัญหาของการถูกขายทอดทรัพย์สิน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นใหญ่หลวงมาก เมื่อคนที่กลับมา กลับพบว่าของที่เป็นของเขา มันเปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว

ป้าเมย์ และปีเตอร์ พาร์คเกอร์เอง ก็เปิด Salvation Army ซึ่งเป็นองค์กรรับบริจาค และดูแลช่วยเหลือผู้ไร้บ้านจากการถูกดีดนิ้วกลับมาในภาพยนตร์ Spider-Man : Far From Home เพราะตัวเธอและปีเตอร์เอง ก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกดีดนิ้วหายไป การกลับมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในบ้านตัวเองซึ่งกลายเป็นบ้านคนอื่นไปแล้วมันไม่ใช่เรื่องตลก และต้องใช้ทุนมหาศาลในการแก้ปัญหา ซึ่งทาง Stark Industry ในความดูแลของแฮปปี้ ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยตรงนี้อย่างแข็งขัน แต่ทว่าองค์กรของป้าเมย์ ครอบคลุมแค่เฉพาะในนิวยอร์ค มันอาจจะไม่ได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก

ฮีโร่ที่เหลือไปในระดับจักรวาล แต่โลกยังเหลือปัญหาใหญ่จากการดีดนิ้วอยู่

เหตุการณ์ที่ Westville ซึ่งเป็นผลจากห้วงความรู้สึกสูญเสียของวานด้าใน WandaVision นั้น ทำให้เห็นว่า เธอในฐานะฮีโร่ที่มีพลังสูงคนหนึ่งนั้น ก็ยังได้รับผลกระทบจากการถูกดีดนิ้วกลับมากระทันหันเหมือนกัน เมื่อเธอกลับมา เธอไม่พบศพของวิชั่นคนรักของเธอ และเขาถูกนำไปต่อประกอบใหม่ ราวกับเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งเท่านั้น การสูญเสียของเธอสร้างเหตุการณ์ประหลาดขึ้นใน Westville ซึ่งเหตุการณ์ของเธอก็อาจจะเกี่ยวพันในระดับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า กับ Doctor Strange ด้วยเหมือนกัน หลังจากเหตุการณ์จากภาพยนตร์รถไฟเหาะที่สร้างปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ของการข้าม Multiverse กันอย่างสนุกสนานของ Spider-Man : No Way Home ที่ว่ากันว่า เป็นการเปิดประตูบานใหม่ของ MCU ไปสู่ตัวร้ายที่อยู่ในห้วงอวกาศ แน่นอนว่ามีทีม Eternals ตามไปติดๆ

แต่ปัญหาบนโลกที่เกิดจากเรื่องดีดนิ้ว ดูเหมือนจะไม่จบง่ายๆ เพราะปัญหานี้ มันดันไปเหยียบแผลเก่าที่มีอยู่ก่อนแล้วของมนุษย์โลกตาดำๆอย่างเราๆซ้ำเติมมากขึ้นไปอีก เพราะปัญหาการไร้บ้านจากการดีดนิ้ว หรือแม้แต่ปัญหาในระดับบุคคลที่จะปั่นป่วนโกลาหลและเจ็บปวดไม่ต่างจากที่วานด้าเผชิญ ถ้าหากว่าลองเป็นบุคคลชายขอบล่ะ ถ้าเป็นผู้ลี้ภัย คนผิวสี หรือแม้แต่ชนชั้นกลางปกติ แล้วอยู่ดีดีกลายเป็นคนหมดตัว เพราะทรัพย์สินตัวเองถูกขายทอดตลาดไปหมดแล้ว หรือแม้แต่สุญเสียคนรักไปเฉยๆ คุณจะกอบกู้เรื่องนี้กลับขึ้นมาอย่างไร ในขณะที่รัฐบาลอยู่ในช่วงที่ต้องปรับองค์กรกันใหม่ ส่วนฮีโร่เกือบหมดทีม มุ่งหน้าไปอวกาศกันหมดแล้ว

ซึ่งตัวแทนของปัญหานี้ ก็หนีไม่พ้น แซม กัปตันอเมริกาคนใหม่ ที่เป็นคนผิวดำ กับ บัคกี้ อดีต Super Soldier ที่กลายเป็นไร้สังกัดและไม่มีโซเวียตหรือ Avengers หนุนหลังอีกต่อไปแล้ว ทั้งคู่ต่างต้องเจอปัญหาที่ไม่เหมือนคนอื่น แซม ที่ไม่อาจจะทำเรื่องกู้ให้กับพี่สาวได้ เพราะเขาเป็นคนดำ ในขณะที่บัคกี้ ต้องเข้ารับการบำบัดกับจิตแพทย์ เพื่อให้กลับสู่สังคมได้อีกครั้ง

เมื่อปัญหาไม่ถูกแก้ คนอีกครึ่งหนึ่งพร้อมที่จะปะทุเสมอ

คาร์ลี่ ผู้นำกลุ่มหัวรุนแรง The Flag-Smasher มีอุดมการณ์ในการเอาคืนทุกคนที่มีส่วนในการร่างนโยบายช่วยเหลือที่ไม่เป็นธรรม หลังจากที่ ส.ว. ผู้ทรงคุณวถฒิ จะมีการลงเสียงร่างมติคุ้มเค้มพรมแดน ตรึงกองกำลังรักษาดินแดนให้มากขึ้น และขับไล่ผู้ที่มายึดครองทรัพย์สินที่ไม่ควรเป็นของเขาแต่แรกออกไป แน่นอนว่าไม่ว่าคนที่ถูกดีดนิ้วหายไป หรือคนที่ได้โอกาสเข้ามาอยู่ใหม่ ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครผิด แต่ทันทีที่มีการแปะป้ายว่าใครเป็นผู้ลี้ภัย เป็นกลุ่มหัวรุนแรง เป็นผู้ไม่อยากเสียผลประโยชน์ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้คนอีกกลุ่ม The Flag-Smasher ในซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier เป็นกลุ่มตัวร้ายที่เกิดจากปัญหาเหล่านี้

คาร์ลี่ แม้จะเป็นเพียงเด็กสาว แต่เธอมีพลังการต่อต้านที่ร้ายแรง แถมมีเสียงสนับสนุนจากผู้ได้รับผลกระทบทั่วโลก ส่งผลให้เธอไม่ลังเลก่อความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อบีบให้เหล่า ส.ว. คว่ำมติสร้างกำแพงพรมแดนซึ่งเป็นการปิดกั้นคนชายขอบที่ได้รับผลกระทบมากขึ้นไปอีก และด้วยการตอบโต้จากรัฐบาล คนเหล่านี้ถูกบีบให้ซ่อนตัว และทำงานกันอย่างลับๆ และเหตุการณ์ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งกลุ่มนี้ได้รับความช่วยเหลือ ชารอน คาร์เตอร์ อดีตสายลับที่ทำงานให้ S.H.I.E.L.D และถูกปลดหลังจากเหตุการณ์ใน Civil War เธอต้องไปลี้ภัยอยู่ใน Madipoor และกลายเป็น Power Broker ตัวร้ายสำคัญที่เป็นนายหน้าค้าพลังงานฮีโร่ให้กับกลุ่มก่อการร้ายนี้ ทำให้เห็นว่าเมื่อถูกทอดทิ้งจากระบบ พวกเขาก็ต้องหันหน้ามาพึ่งกันเอง

“บางทีธานอสอาจคิดถูก” ตัวหนังสือเรียบง่ายที่ถูกเขียนไว้บนโถปัสสาวะที่บาร์ตั้นเข้าไปเห็น เป็นหนึ่งในคำต้นตอของปัญหาเหล่านี้ ที่ไม่ใช่แค่ The Flag-Smasher แต่ยังรวมถึงกลุ่มตัวร้ายที่ได้ประโยชน์จากการที่คนหายไปแล้วหาประโยชน์จากของที่ขายทอดตลาดมาอย่างกลุ่ม Suite Tracker ด้วยเหมือนกัน และหากมีคนเชื่อแบบนี้ต่อไป ปัญหาเรื่องการแปะป้าย และอุปสรรคอื่นๆรวมถึงอาชญากรรม ก็จะเริ่มเต็มท้องถนนอีกครั้ง

เราไม่อาจแก้ปัญหานี้ส่งๆ ได้ ท่านต้องรอบคอบกว่านี้

แซม ในฐานะกัปตันอเมริกาคนใหม่ แม้จะช่วยโค่น The Flag-Smasher ลงได้ แต่เขาไม่เห็นด้วยกับ ส.ว. เขาเชื่อว่าเราทำได้ดีกว่านี้ในการรับมือกับปัญหานี้ แม้จะต้องมองเป็นภาระที่รัฐต้องแบกมันก็ต้องทำ เพราะตอนที่มนุษย์ถูกดีดหายไปครึ่งโลกเราก็แก้ปัญหากันได้บนความสิ้นหวัง วันนี้พวกเขากลับมาเราก็ต้องเชื่อว่าเราทำได้ดีกว่านี้ คนมีอำนาจสามารถโทรกริ๊งเดียวก็ทำให้คนเป็นล้านอิ่มได้ ขยายพรมแดนก็ได้ คนพวกนี้เขาไม่มีแม้แต่สิทธิที่จะต่อรอง แค่เดินมาพูดคุยหรือคบกันครึ่งทางยังยาก แต่คนระดับสูงทำได้ง่ายมาก แต่ไม่ทำ

เขายังเปรียบเทียบอีกว่า เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรจากการที่เขาต้องรับตำแหน่ง กัปตันอเมริกา คนใหม่ทั้งๆที่เป็นคนดำ มันเต็มไปด้วยการเหยียด และข้อครหาหลายอย่าง เขาเข้าใจ คาร์ลี่ และรู้ว่าหากปัญหานี้ไม่ถูกแก้ จะมีเด็กสาวแบบเธอคนต่อไปและจะรุนแรงกว่า รวมถึงอาชญากรรมตามท้องถนนที่ไม่ใช่แค่เขาที่ต้องรับมือ แต่ฮีโร่ที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลก ก็จะต้องวิ่งวุ่นต่อไปเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นตัวเขา, บัคกี้, หรือแกงค์ Young Avengers ที่กำลังรวบรวมทีมกันมาทีละคนแล้ว

ซึ่งคำพูดของ แซม หนึ่งในฮีโร่ที่ยังเหลืออยู่บนโลก กระเพื่อมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอีกหนึ่งก้าว มติของรัฐบาลมีการทบทวนใหม่ ประวัติศาสตร์คนดำ Super Soldier คนดำอย่าง ไอซีอา ถูกนำมาชำระถึงความโหดร้ายที่เขาได้รับ และ ชารอน ได้ตำแหน่ง Agent Carter ของเธอคืนพร้อมได้รับการนิรโทษกรรมทั้งหมด แม้ว่าเธอจะยังคงเป็น Power Broker เหมือนเดิมก็ตาม

ในขณะที่ฮีโร่ในระดับ Cosmic พยายามนำเจตจำนงค์เสรี ไปต่อรองกับเผด็จการโดยธรรมชาติ เรื่องราวบนโลก ก็เต็มไปด้วยปัญหาไม่แพ้กัน จากตรงนี้ทำให้เห็นว่า การถูกดีดนิ้วเพื่อลบคนไปครึ่งโลกเพื่อแก้ปัญหาทรัพยากร มันอาจจะไม่ใช่คำตอบอะไร และอาจจะสร้างปัญหาใหม่ที่ทำให้เราต้องมานั่งแก้กันเพิ่มเติม

แต่สิ่งหนึ่งที่เราอาจจะต้องเชื่อมั่นกันต่อไปก็คือ มนุษย์ของดาวนี้ นำคนกลับมาได้ครึ่งจักรวาล ด้วยการดีดนิ้วมือเล็กๆของเราเอง หากเรารับมือกับพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ ทั้งโลกรวมเป็นหนึ่งเพื่อพาครอบครัวเรากลับมาได้

ปัญหาอื่นๆมันก็ไม่น่าจะใหญ่เกินไป หรือยากเกินไป ที่มนุษยชาติจะหาทางออกร่วมกันไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็มนุษยชาติในจักรวาล Marvel นั้นล่ะ

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า