fbpx

VELS วงอินดี้จากเชียงใหม่ผู้ล้มอัลบั้มที่ทำเสร็จแล้วเพื่อกลับไปเป็นตัวเอง

ทุกคนมีปีศาจอยู่ในตัว และไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่าปีศาจตัวนั้นจะผงาดขึ้นมาเมื่อไหร่

แต่คำถามที่น่าขบคิดว่าคือ เมื่อปีศาจถูกปลุกให้ตื่นแล้ว มันจะทำอะไรต่อจากนั้น ซึ่งกับคนอื่นเราไม่อาจรู้ได้ แต่กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันในวันฝนตก ปีศาจที่ถูกปลุกขึ้นมาจากข้างใจของพวกเขาไม่ได้ทำร้ายใคร 

แต่ถูกปลุกขึ้นมาเพื่อเล่นดนตรีที่เป็นตัวของตัวเอง

VELS หรือชื่อเต็ม VILE EVIL LIVES คือวงดนตรีขนาด 5 คนจากเมืองเชียงใหม่ ซึ่งตอนนี้เขากลายเป็นศิลปินอิสระอย่างเต็มตัว มีสมาชิกประกอบด้วยเติร์ก-ธิติพงศ์ สุวรรณมณี (ร้องนำ) ปูน-ศิรวิชญ์ โสภาจวรีย์ (กีต้าร์) ป่าน-ปวีณวัฒน์ ชัยศิลปบุญ (เบส) ป้อง-วณัฐ หุตะสังกาศ (กลอง) และซีเกมส์-ชาติวุฒิ สุประดิษฐ์ (คีย์บอร์ด) ทั้งห้าเป็นกลุ่มเพื่อจากคณะดุริยศิลป์ มหาวิทยาลัยพายัพที่ต่างชอบในงานดนตรีแนวทดลอง จนรวมตัวกันเป็นกลุ่มคนดนตรีที่ทำงานแบบที่เขาเชื่อจนได้ EP Album ออกมาหนึ่งชิ้น

จากซ้ายไปขวา: ป่าน, ปุณ, ป้อง, ซีเกมส์, เติร์ก

และนั่นก็นับเป็นการเริ่มต้นงานบนเส้นทางดนตรี ซึ่งถึงพวกเขาจะยังไม่มีตัวตนในโลกดนตรีในกระแส ไม่ได้มีเพลงฮิต ไม่ได้มี “ด้อม” แฟนคลับอะไร แต่ทุกครั้งเมื่อมีคนโยกตัวหรือร้องเพลงตามได้ในเวทีคอนเสิร์ต หรือมีแฟนๆ มาสนทนาแลกเปลี่ยนกันหลังคอนเสิร์ตจบ

ทุกคนต่างประสานเสียงตรงกันว่า นั่นคือสิ่งที่เขาพอใจในความเป็น VELS.

และปลายทางของปีศาจที่กำลังผงาดในเส้นทางดนตรี จะไม่มีทางจบแค่นี้

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

ความสัมพันธ์ของคุณทั้ง 5 คน คืออะไร แล้วอะไรทำให้คุณมาเจอกัน

เติร์ก: ก็เป็นเพื่อนที่มหาลัยด้วยกันครับ ก็เรียนด้วยกัน จริงๆ เราเป็นสองวงมารวมกัน คือตอนแรก ปูน ป้องกับป่านมีวงชื่อว่า PC 0832/676 เป็นวงดนตรีแนวทดลองอยู่แล้วครับ เติร์กกับเกมก็ทำวง FAHARMAZY ก็เป็นแนวทดลองเหมือนกัน แนวดนตรีใกล้เคียงกัน เลยชวนมาทำโปรเจคด้วยกันเพราะมีงานดนตรีที่จะเล่นที่กรุงเทพ ก็ไปเล่นกัน พอไปเล่นปุ๊บก็เข้าท่านะ ก็เลยยาว

ใช้เวลานานขนาดไหนกว่าที่พวกคุณจะรู้สึกว่า การรวมตัวครั้งนี้มันลงตัวแล้ว

ปูน: มันไม่ได้มีคำว่าขนาดไหน มันทำไปเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึก… ช่วงเราเริ่มทำคือเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว คือมันมีงานที่กรุงเทพของพี่คอน คือมีคอนเนคชั่นของเพื่อนๆ ฝั่ง PC 0832/676 เราทำเพลงใหม่กัน แล้วก็มีไปโชว์ เหมือนรู้สึกว่าไม่ต้องไปรอกันตรงไหนว่าเข้ากัน มีแต่เอาเลย มัดรวมกันเลย คิดด้วยกันแล้วก็ลุยเลย จนถึงทุกวันนี้เราก็ค่อยๆ ปรับมาเรื่อยๆ ครับ

อะไรเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า เราเล่นด้วยกันก็ใช้ได้ ทำวงดนตรีด้วยกันได้

ปูน: ถ้าเป็นภาพรวมก็เพลงที่เวลาอยู่ด้วยกันแล้วเท่ครับ (หัวเราะ) 

ป้อง: เพลงมันเป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดของแต่ละคน ก็เลยรู้สึกว่ามันเท่ดีว่ะ เพราะฉะนั้นก็ดีกว่าอยู่แล้ว

เติร์ก: คิดว่าน่าจะเป็นความสนิทสนม มันไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะครับ เขาต้องการตึง-ตึง-โป๊ะ (จังหวะกลอง) เราก็รู้ว่าตึง-ตึง-โป๊ะ ของเขามันคือแบบไหน เป็นเพราะว่าเราฟังเพลงแนวเดียวกัน ไทป์คล้ายกัน มันเลยทำให้เราคุยกันง่ายขึ้นด้วยครับ

เล่าถึงช่วงการพัฒนาแนวทางดนตรีของพวกคุณให้ฟังหน่อย

ป้อง: เราทำเพลงไปเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกว่ามันโอเค 

ซีเกมส์: เพราะช่วงแรกที่เราเริ่มทำคือเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว คือมันมีงานที่กรุงเทพฯ จากฝั่งคอนเนคชั่นของวงฝั่ง PC0832/676 เราเลยทำเพลงใหม่กัน แล้วก็มีไปโชว์กัน เหมือนรู้สึกว่าไม่ต้องไปรอกันตรงไหนว่าเข้ากัน มีแต่เอาเลย มัดรวมกันเลย คิดด้วยกันแล้วก็ลุยเลย จนถึงทุกวันนี้เราก็ค่อยๆ ปรับมาเรื่อยๆ ครับ

กลัวคนฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณเล่นออกมามั้ย

ป้อง: ไม่กลัวครับ ดั้งเดิมมันยากกว่านี้

ซีเกมส์: คือมันเข้าใจยากกว่านี้อยู่แล้ว แต่มันมีซีนที่กรุงเทพที่มันจะมีคนฟังด้วยอยู่แล้ว ก็เลยหาทางเล่นที่กรุงเทพ แต่เชียงใหม่ก็เริ่มมีขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

แล้วเมื่อตอนที่พวกคุณโชว์จริงๆ บนเวที มีคนเข้าใจงานของพวกคุณมากน้อยขนาดไหน

เติร์ก: ที่เชียงใหม่ตอนแรกๆ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็ยังไม่ค่อยมีคนซัพพอร์ตซักเท่าไหร่ แต่ก็พอมีจำนวนหนึ่งที่เป็นทุนเดิมที่เชียงใหม่ พอในช่วง 3-4 ปีให้หลัง ก็มีคนเชียร์มากขึ้น คนจากดนตรีกระแสหลักก็หันมามองเรามากขึ้น ทุกวันนี้ก็สบายมากขึ้นนิดหนึ่ง

ในทางกลับกัน สิ่งที่พวกคุณเจอในการเล่นเวทีแรกคืออะไร

เติร์ก: คิดว่าน่าจะเป็นประสบการณ์คนดู ตอนแรกเราคิดว่าแนวเพลงที่เราเล่นมันยังไม่ถูกเปิดขนาดนั้น แต่พอไปเล่นจริง ๆ กลับเป็นว่ามีคนฟังอยู่นะ มีคนติดตามอยู่ เปิดใจฟังแนวแปลกใหม่เหมือนกัน ก็รู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ก็เป็นกำลังใจเล็ก ๆ ในการทำต่อไป

ส่วนตัวแล้วพวกคุณฝันอยากเป็นศิลปินที่อยู่ในค่ายบ้างมั้ย หรือมีเป้าหมายอะไรในใจบ้าง

ป้อง: เราไม่ค่อยเริ่มมองจากในประเทศก่อน ตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปในระดับโลก แต่ก็ต้องผ่านทุกอย่างไปอยู่แล้ว แต่สุดท้ายธงก็น่าจะเป็นระดับ Worldwide ที่ตั้งใจไว้มากกว่า

ความทะเยอทะยานนั้นเกิดจากอะไร

ปูน: จริงๆ มันเกิดจากว่าเราถนัดดนตรีแนวนี้ เราก็มาทำเพลง แล้วก็เราอยากไปต่างประเทศด้วย แต่เพียงแค่ว่าเราทำเพลงที่เราถนัดในไทยอาจจะยังไม่เป็นที่รู้จัก คนอาจจะยังไม่นิยมเท่าไหร่ เราก็เลยมองข้ามไปว่า เราก็อยู่กับแนวนี้แล้วก็ไปขายให้กับกลุ่มดนตรีที่อยู่ต่างประเทศ

แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้พวกคุณถูกเลือกจากค่ายเพลง

ป้อง: ที่ผมเคยคุยกับคุณเมธ (สุเมธ ยอดแก้ว-เจ้าของค่ายเพลง Minimal Records) เขาก็บอกว่าอยากทำงานร่วมกัน แต่ตอนนั้นยังเป็น PC0832/676 อยู่ แล้วพอเรามาทำ VELS เลยถามพี่เมธว่าเป็นแบบนี้พี่สนใจมั้ย ก็เลยเข้าไปทำกับเขา

การทำ EP.Album ของคุณร่วมกับค่าย พวกคุณเจออุปสรรคมากน้อยขนาดไหน

ปูน: ก็ในตอนที่มีค่ายไม่ได้รู้สึกว่าต่างจากตอนไม่มีค่ายเลย ตอนที่มีค่ายเขาก็ไม่ได้บรีฟอะไรเราขนาดนั้น อาจจะต่างที่ว่าเขาจะคอยซัพพอร์ตเรา โปรโมตเราในบางจุด ส่วนเรื่องการทำงานทุกอย่างยังเหมือนเดิมเลย 

ซีเกมส์: เขาจะอิสระให้เราคิดออกมาเลย เหมือนค่ายจะเป็นเพลงอินดี้อยู่แล้วครับ ถ้าเลือกวงนี้มาก็ปล่อยให้เป็นตัวเองที่สุด แต่ก็จะมีเดตไลน์วางไว้ว่าต้องจบงานเมื่อไหร่ แต่ EP. แรกก็มีอุปสรรคเยอะอยู่ครับ 

เติร์ก: ก็อย่างที่บอกว่าเป็นบันไดขั้นหนึ่งว่าได้ลองทำอะไรแบบนี้ แต่มันมีเวลาทำน้อยมากครับ ก็คือเหลือเวลาประมาณอาทิตย์หนึ่ง ในอัลบั้มจะมีเพลงทั้งหมด 5 เพลง เราเหลือประมาณ 3 เพลง ผมจำได้ว่าตอนนั้นอัดไป 3 เพลง ในอาทิตย์เดียว มันอาจจะดิบๆ ไม่ได้ดีเท่าไหร่มาก แต่พอฟังแล้วเราก็พิสูจน์ตัวเองในระดับหนึ่ง ต่อไปก็จะเป็นมาตรฐานกว่านี้

พิสูจน์ตัวเองว่าอะไร

เติร์ก: พิสูจน์ว่าผลงานที่ผมเขียนลงไป มันยังมีคนเห็นด้วยกับผม ที่ผมเขียนลงไปในเพลง ยังมีคนเปิดใจฟัง ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่แค่นั้นก็พอสำหรับคนเขียนเพลง

ปูน: EP แรกก็เหมือนทุกคนใส่ความเป็นตัวเองลงไปในเพลง ไม่ได้มีการเพิ่มหรือลดความเป็นตัวเองให้เข้ากับความเป็นวง 

ป้อง: คือเราไม่บอกว่าอันนี้มันเยอะไป คือใครชอบอะไรก็เต็มที่ไปเลย คือยำรวมของแท้ (หัวเราะ)

พวกคุณทำ 3 เพลงใน 1 สัปดาห์ มันเป็นไปได้ยังไง

ปูน: แน่นอนว่าเราไม่ได้มีทีมครบ เราจะมิกซ์อะไรอยู่ที่ทีมอีกคนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเราก็มีเวลา ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เนี้ยบขนาดนั้นเพราะเรามีเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ ไหนจะอัดร้อง ไหนจะนั่นนี่ ถามว่าเป็นไปได้ยังไงก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน (หัวเราะ) วันหนึ่ง 2 เพลง อีกวันก็อีกเพลง ซึ่งโคตรเหนื่อย แต่ตอนนั้นเหมือนทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองอยากจะเล่นอยู่แล้ว เพราะตอนนั้นเราพักการทำเพลงมานานแล้ว พอได้ทำก็เหมือนได้ใส่ชุดใหญ่ คือมันไม่ต้องมานั่งแก้ตรงนั้นตรงนี้ มันเลยเร็ว

การขึ้นเล่นสดหลังจากมี EP.Album เป็นของตัวเอง มันตอกย้ำความเชื่อในการทำดนตรีของคุณมากน้อยแค่ไหน

เติร์ก: ก็ตอกย้ำนะครับ ตอนที่ผมเขียนเพลงใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยกล้าฟังเพลงตัวเอง ก็รู้สึกเขินว่าพูดไปได้ยังไง (หัวเราะ) แต่พอไปเล่นสดตามร้านเยอะขึ้น ประสบการณ์มันสั่งสมเยอะขึ้น ก็ตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมเขียนไปถูกแล้ว แค่ทำให้มันชัดเจนมากขึ้น ทำให้เขาสัมผัสมันมากขึ้น

ซีเกมส์: อย่างช่วงที่ไปเล่นที่กรุงเทพ ที่ RCA ก็รู้สึกว่าเขาฟังแนวนี้ 

ป้อง: เขามาอยู่รวมกัน พื้นที่มันเล็กมากแต่คนเอาจริง คือคนได้เติมพลังจากตรงนั้น คนมันอินจริงๆ 

ซีเกมส์: อยู่เชียงใหม่มานานคนไม่ค่อยมีอะไรฟัง พอเล่นเสร็จก็เจอคนที่เราสนใจคล้ายกันเยอะ มันก็มีกำลังใจตอกย้ำตัวเองให้ทำต่อไป

ปูน: พอมาทำเพลงแล้วเราไม่รู้ว่าเราจะไปอยู่จุดไหนในวงการดนตรี พออยู่ในกระแสเพลงป๊อป ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ วงเรามันไม่ได้ป๊อปขนาดนั้น เราเป็นวงดนตรีนอกกระแส เราก็ยังยัดเยียดความป๊อปให้ตัวเอง เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวทางของเรา ก็มาทำใหม่ให้เป็นตัวเองมากขึ้น คือต่อให้เพลงเราเป็นแบบทดลอง ถ้าสุดท้ายเพลงมันดีแล้ว มันก็ไปอยู่ในกระแสเอง

แต่กับสตูดิโออัลบั้มใหม่ที่ทำอยู่ตอนนี้ คุณเปลี่ยนแนวทางด้วยการทำเพลงป๊อปที่ฟังง่าย แต่ก็ล้มเพลงที่อัดทั้งหมดจนเสร็จทิ้งไปในเวลาต่อมา แล้วกลับไปทำเพลงในแบบที่พวกคุณเชื่อ 

เติร์ก: แค่รู้สึกว่าหลังๆ เป็นการทำงานแบบเก่ามั้งครับ คือเราทิ้งเวลามานานเกินไป ความรู้สึกของเราในวันนั้นกับวันนี้มันไม่ได้เหมือนกันแล้ว พอฟังก็รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ อีกอย่างก็คือก็อาจจะรู้สึกว่า เราป๊อปเกินไปจนขาดหายความเป็นตัวเองไป เลยหันมาลองทำกันใหม่จนได้ 5 เพลงที่ทำเสร็จ คิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่กลมกล่อมขึ้น ฟังง่ายขึ้น แต่ยังคงความเป็น VELS อยู่ดีครับ ยังคงความคุ้นเคยของทุกคนอยู่ครับ

อะไรทำให้พวกคุณอยากทำเพลงป๊อป

ป้อง: ด้วยความนิยม อยากเข้าไปอยู่ในเมนสตรีมมากขึ้น อยากทำซักเพลงสองเพลง แล้วค่อยกลับไปทำแนวที่เราชอบ

เชื่อเรื่อง One Hit Miracle มากขนาดไหน

ป้อง: ก็รออยู่ทุกวันนี้ (หัวเราะ) ก็บอกเพลงนี้ปังๆ ต้องเลิกพูดซักเพลงอาจจะปัง

จากที่พวกคุณละทิ้งตัวตนไปทำเพลงแบบแมส ความรู้สึกมันต่างกันมั้ย

เติร์ก: ต่างครับ เราหันมาคุยกันมากขึ้น เราฟังกันมากขึ้น เราคุยกันมากขึ้น เราเล่นกันมากขึ้นด้วย

ป้อง: เหมือนเราจูนกันง่ายกว่าเดิมในเรื่องของการทำเพลง ก็เข้าใจแล้วครับว่าเติร์กขึ้นโครงมาแบบนี้ เดี๋ยวพี่เกมก็จะขึ้นมาแบบนี้ มันเห็นภาพรวมนิดหนึ่งแล้ว ถึงยังไม่ชัดแต่ก็พอสื่อสารได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย

สตูดิโออัลบั้มที่ทำกันอยู่มีความหมายกับพวกคุณยังไงบ้าง

ซีเกมส์: เพลงที่ทำอยู่เสร็จไปแล้ว 4 เหลืออีก 5 ส่วนตัวผมเองคือแฮปปี้ ได้ทำที่ชอบจริงๆ ออกมา อนาคตอาจจะเปลี่ยน แต่ตอนนี้มันออกมาอย่างที่ชอบจริงๆ แล้ว

เติร์ก: ด้วยความที่ผมเป็นคนแต่งเพลงก็ไม่ใช่ว่าไม่อิงคนฟังนะครับ แต่รู้สึกว่าการแต่งเพลงใหม่ๆ จะลงรายละเอียดกับเนื้อหาเป็นพิเศษ ก็คิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่มีความหมายสำหรับผู้ฟัง แล้วก็อัลบั้มเต็มอาจจะเป็นการขยายความของคำว่า VILE EVIL LIVES ซึ่งเป็นชื่อเต็มวง เป็นความรู้สึกแบบนั้น ซึ่งแปลว่าปีศาจร้ายยังคงอยู่นะครับ สิ่งที่เราจะพูดก็คือด้านมืดด้านขาวอยู่ในทุกคน ซึ่งหมายความว่าทุกคนจะมีสิทธิ์จะมีปีศาจร้ายในตัวเอง ก็คือไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มันอยู่ที่คนคนนั้นจะนิยามมากกว่า

ป้อง: ด้วยความที่เราชอบเพลงที่ไม่ได้เหมือนกับคนอื่น การที่เราได้ทำขึ้นมาเองก็รู้สึกว่ามันมีคุณค่ากับเราเอง สมมุติว่าเราชอบเพลงแนวนี้แต่ไม่มีคนทำ ก็รู้สึกแค่ชอบนิดหนึ่ง แต่พอเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบให้เป็นชิ้นเป็นอัน เราก็รู้สึกว่ามันจับต้องได้ด้วย มันมีผลงาน มันก็รู้สึกว่าเราเคยตั้งใจทำตรงนี้นะ ในอนาคตมันดีไม่ดียังไงเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้ก็ถือว่ามันโอเคมาก ๆ แล้วครับ

ปูน: สำหรับอัลบั้มนี้ความหมายก็คือ ผมมองว่ามันจะเป็นตัวตนของวง ไม่ได้หวังว่าจะต้องดังหรืออะไรขนาดนั้น หลังจากนี้พอคนได้ยินดนตรีที่จะเป็นแนวนี้ เนื้อหาแบบนี้ คนจะต้องนึกถึงวง VILE EVIL LIVES ครับ

ป่าน: จริงๆ ผมต้องทำงานอยู่ที่บ้านเวลานี้ แต่ว่ายอมมาอยู่เชียงใหม่เพื่อจะทำอัลบั้มนี้ให้เสร็จ คือพยายามทุ่มให้อัลบั้มนี้ให้เสร็จครับ เพราะว่าพักงานที่บ้านเพื่อมาทำอัลบั้ม ถ้ามันเสร็จก็คงจะดีใจ

ปลายทางของพวกคุณในวงการดนตรีคืออะไร

เติร์ก: อยากให้วง VELS เป็นไอคอนของวงนอกกระแส ในแนวฉบับเพลงเร็ว วงรุ่นหลังๆ เห็นว่า มันฉีกประมาณนี้

ซีเกมส์: คำว่าวงอินดี้มันหลากหลายมากครับ แต่มันจะมีซีนของมันว่าถ้าต้องไปเล่นคอนเสิร์ตแบบนี้ VELS ก็อยากจะมี Category ของตัวเองในกลุ่มวงที่มีซาวด์ในการแปลงเพลงให้เยอะขึ้น

ปรับปรุงเนื้อหา: 25 ธันวาคม 2564
VELS. หมดสัญญากับค่ายเก่า และเป็นศิลปินอิสระเต็มตัว


Modernist The Five
ทำความรู้จัก VELS. ให้มากขึ้นอีกนิด
จาก 5 เพลงที่พวกเขาอยากให้เราฟัง

HUMANE

เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นแรกหลังจากการรวมกันของสองวงอย่าง PC 0832/676 และ FAHARMAZY ซึ่งทั้งสองวงได้หยิบเอาประเด็นความสงสัยเรื่อง “ความเป็นมนุษย์” มาสื่อสารผ่านเอกลักษณ์ของวง โดยหลังจากที่ได้ฟังแล้วทำให้รู้สึกว่า HUMANE เป็นเพลงที่ถูกถ่ายทอดออกมาคล้ายกับรูปแบบของภาพยนต์นั่นหมายถึงว่าเพลงจะถูกเล่าเรื่องไปข้างหน้าโดยแทบจะไม่มีการใช้ช่วงไหนที่ซ้ำกันเลยและยังมีการใช้ Rhythm กับ Chords ที่มีความซับซ้อน และทำให้เราได้รู้จักกับ VILE EVIL LIVES

พร่าง

อีกเพลงหนึ่งที่ติดหูจาก VELS ที่ถูกเปิดตัวในช่วงต่อมาหลังจาก HUMANE หากใครที่ติดตามผลงานจาก VELS คงจะสังเกตุได้ว่าเพลงนี้มีความเป็น PC 0832/676 x FAHARMAZY ที่เบาบางลงไปและมีสไตล์ดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของ VELS มากยิ่งขึ้น ถูกดำเนินเรื่องด้วยดนตรีที่เผินๆเรียบง่ายแต่มีรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ข้างใน การเรียบเรียงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นรวมถึงเสียงร้องให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังส่งเสริมซึ่งกันและกันอยู่ จากช่วงต้นของเพลงไปจนถึงช่วงท้ายมีการ Progress ของเพลงที่กลมกลืนกันจนพาเราเคลิ้มไปกับเพลงคล้ายกับกำลังอยู่ในฝันจนถึงช่วงพีคของเพลงที่โผล่มาปลุกเราให้ตื่นขึ้น

หนี

หนีคือเพลงหนึ่งที่แสดงเอกลักษณ์ของวงอย่าง VELS ได้อย่างเห็นภาพ จากชื่อเพลงหนี แต่มีการเปิดด้วยดนตรีที่ฟังดูแล้วเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าติดอยู่ในวังวนและไม่สามารถ “หนี” ออกไปได้ซึ่งช่วยเสริมกับเนื้อหาของเพลงที่ รวมถึงยังมีการเล่นกับคำว่า “หนี” “นี้” และ  “นี่” ที่ทำให้เกิดความสับสนคิดวนไปมาจนไม่สามารถ “หนี” จากความคิดของตัวเองได้

Refraction

การหักเหของแสงเป็นคอนเซปต์ที่น่าสนใจและทำให้เห็นแนวทางของข้อความที่ VELS อยากจะถ่ายทอดออกมา จากหลายๆ เพลงของ VELS เราก็คงสังเกตุกันได้ว่ามักจะมีการอิงเรื่องของการติดอยู่กับความคิด การอยู่ในวังวน การที่ไม่สามรถหลุดพ้นแต่จำเป็นต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน Refraction ใช้แนวคิดจากการหักเหของแสงที่เมื่อเกิดขึ้นมาจะทำให้การเดินทางของแสงมีทิศทางที่เปลี่ยนออกไปเมื่อผ่านตัวกลางที่ต่างกัน คล้ายกับจิตใจของเราที่สามารถหลุดออกนอกเส้นทางของความเป็นจริง

ปีศาจ

หลังจากที่ได้พูดถึงมุมของ “ความเป็นมนุษย์” ผลงานล่าสุดของ VELS ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ “ปีศาจที่ยังคงอยู่” ในจิตใจของทุกๆคน ไม่ว่าคุณจะไม่มีตัวตนในสังคมหรือเป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์ วันหนึ่ง “ปีศาจ” ที่คุณซ่อนไว้มันจะถูกเปิดเผยออกมา คล้ายกับว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่สรุปเรื่องราวของ HUMANE หรือความเป็นมนุษย์ที่ถูกใช้เป็นชื่อของ EP ทั้งการติดอยู่ในวังวน การไม่หลุดพ้น การหนีที่ไม่ได้ทำให้เราไกลออกจากตัวเอง ความเห็นแก่ตัวที่มีในสัญชาตญาณล้วนแล้วถูกนำเสนอด้วยคำว่า “ปีศาจ” ซึ่งแน่นอนว่ามันคือส่วนหนึ่งของ  ”ความเป็นมนุษย์” เช่นเคยที่ VELS ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเนื้อหาและการวางดนตรีที่ไปด้วยกัน ที่เห็นได้ชัดคือการใช้ความ Contrast ของดนตรีช่วงแรกและช่วงพีคของเพลงเพื่อช่วยดำเนินเรื่อง

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า