fbpx

“มา” เสี้ยวใหม่จาก “The Darkest Romance” เมื่อมนุษย์สามัญลุกขึ้นมาจ้องตากับอำนาจเบื้องบน 

แม้ทุกวันนี้ ดนตรีเมทัลจะไม่ใช่ดนตรีกระแสหลักในสังคมไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีศิลปินเมทัลไทยมากฝีมืออยู่เป็นจำนวนไม่น้อย และยังคงผลิตผลงานเดือดๆ ออกมาให้แฟนเพลงได้เสพกันอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ The Darkest Romance วงเมทัลสังกัดค่าย Gene Lab ที่ไม่ได้มีจุดเด่นแค่เพลงขนาดยาวเป็นสิบนาทีเท่านั้น แต่เนื้อเพลงและดนตรียังอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวและอารมณ์อันหลากหลาย พร้อมพูดแทนใจคนฟังในแทบทุกสถานการณ์ 

นับตั้งแต่ปีที่แล้ว The Darkest Romance ได้ทยอยปล่อย “เสี้ยว” ต่างๆ ของโปรเจ็กต์อัลบั้มใหม่ ออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกัน ไม่ว่าจะเป็น “เคย” เพลงอกหักอลังการที่ได้แพท Klear มาร่วมร้อง ตามด้วย “ไม่” และ “เท่านี้” ที่ปล่อยออกมาพร้อมกัน พร้อมมิวสิกวิดีโอที่บอกเล่าเรื่องราวต่อเนื่องกัน จากนั้น ทางวงก็ได้ปล่อย “ก่อน” เพลงถามไถ่ความรู้สึกของคนข้างๆ ที่ทำเอาแฟนเพลงเสียน้ำตา และ “มาก” เพลงเมทัลผสมสามช่า เนื้อหาแซะคนรู้มาก ที่สนุกสนานบันเทิงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

และขณะที่ด้อมของวงกำลังปะติดปะต่อ วิเคราะห์เสี้ยวต่างๆ เพื่อคาดเดาถึงภาพที่จะได้เห็นเมื่อเปิดตัวอัลบั้มเต็ม The Darkest Romance ก็ได้ปล่อยเสี้ยวล่าสุดออกมาให้แฟนคลับได้คึกคักกันอีกระลอก ในชื่อเพลง “มา”

“มา” เพลงของคนสู้ชีวิตที่ไม่ยอมให้ชีวิตสู้กลับ

‘มา’ เป็นเพลงที่เล่าถึงความรู้สึกของคนที่หลังชนฝาแล้ว และยังต้องสู้ต่อ มันเป็นเพลงที่อยากจะเล่าให้เห็นว่า ในช่วงเวลาที่น่าจะยากลำบากหรือโหดร้ายที่สุดสำหรับใครบางคน ช่วงเวลาที่รู้สึกว่าหลังชนฝา ไม่มีที่พึ่ง ทุกอย่างไม่เป็นใจไปหมด แต่เราแค่รู้สึกว่า แล้วมันยังไงล่ะ ความรู้สึกหลังชนฝาตรงนั้น ความรู้สึกที่ว่ามันยากลำบาก มันจะสักแค่ไหนกันเชียว ถ้าใจยังสู้อยู่” แม็ก – ธิติวัฒน์ รองทอง มือเบสและนักแต่งเพลงของ The Darkest Romance กล่าวกับ The Modernist

ด้วยจุดเด่นของ The Darkest Romance ที่มักจะเขียนเพลงเพื่อพูดแทนความรู้สึกของคนฟัง สำหรับเพลง “มา” นี้ แม็กเล่าว่า มันพูดแทนตัวเขาในวันที่รู้สึกย่ำแย่ที่สุดวันหนึ่ง รวมทั้งพูดแทนทุกคนที่กำลังสู้กับอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม

“เราเขียนถึงทุกคนที่กำลังสู้อยู่ หรือแม้กระทั่งคนที่กำลังรู้สึกว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา เราเชื่อว่ามันเป็นเพลงที่น่าจะเป็นตัวช่วยระบายออกมาได้ว่า วันนี้ไม่ใช่วันของเราจริงๆ วันนี้ยังไม่ใช่ หรือต่อให้พรุ่งนี้ มะรืนนี้ วันต่อไปจะยังไม่ใช่อยู่ แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่สู้ เราก็มีแค่ตาย ถ้าเรารู้สึกโกรธ เราก็ได้แค่โกรธ แต่ถ้าเราพยายามที่จะเอาชนะมันให้ได้ สักวันหนึ่ง ต่อให้มันเป็นนรกอยู่ตรงหน้า มันจะสักแค่ไหนกัน” แม็กกล่าว

ในภาคดนตรี ชื่อ The Darkest Romance ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ด้วยมาตรฐานที่สูง ฝีมือที่จัดจ้านและความทะเยอทะยานอันไร้ขีดจำกัด ที่เผยออกมาให้เห็นในผลงานทุกชิ้น โดยในเพลงนี้ สไตล์ Old school metalcore ถูกนำมาใช้ได้อย่างน่าสนใจ ที่สำคัญคือ ซีนต่างๆ ในเพลงก็ให้อารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งความสับสนวุ่นวาย กระวนกระวาย พลุ่งพล่าน และกระตุ้นพลังใจ ส่งผลให้การเล่าเรื่องผ่านเสียงดนตรีมีประสิทธิภาพ ทำให้เราดำดิ่งถึงอารมณ์ของเพลงได้ไม่ยาก และอารมณ์เหล่านั้น เสียงเพลงทั้งหมดนั้น ก็ยังคงติดค้างอยู่ในหูของเราเป็นเวลานานทีเดียว

มากกว่ากำลังใจ คือการลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจ

นอกจากเนื้อหาและดนตรีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือมิวสิกวิดีโอ ที่เผยให้เห็นภาพโลกดิสโทเปียอันแข็งกร้าว มืดทึม ไร้ชีวิตชีวา พร้อมบอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครชายผู้มีรอยสักรูปฝูงนก ซึ่งถูกนำตัวเข้าไปทำงานในสถานที่แห่งหนึ่ง โดยมีชายวัยกลางคนใส่ชุดสูท นั่งที่โต๊ะ และควบคุมการทำงานของพนักงานในห้อง พร้อมผู้คุมชุดดำ

ในห้องทำงานแห่งนั้น ดูเหมือนกฎเหล็กเดียวที่ทุกคนมี คือการทำงานให้ทันเวลาที่กำหนด หากทำไม่ทันก็ต้องตาย ดังนั้น พนักงานทุกคนในห้องจึงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อต่อชีวิตของตัวเองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชายในชุดสูทปิดระบบ ทุกคนจึงเลิกงานได้ ส่วนคนที่ตายในหน้าที่ก็จะถูกนำร่างไปกองไว้นอกห้องราวกับขยะชิ้นหนึ่ง ภาพเหล่านี้ทำให้ชายผู้มีรอยสักรูปนกตัดสินใจทำลายระบบ เพื่อตัดการเชื่อมต่อให้ทุกคนเป็นอิสระในที่สุด

แม้ว่าเนื้อเพลงจะกล่าวถึงการต่อสู้กับอุปสรรคที่ไม่มีวันจบสิ้น แต่เมื่อพิจารณาจากมิวสิกวิดีโอแล้ว เราเชื่อว่าเพลงนี้สามารถตีความไปได้ไกลกว่านั้น นั่นคือการต่อสู้ของมนุษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง กับอำนาจเบื้องบนที่ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะเอาชนะได้

ภาพชายในชุดสูทที่นั่งบนเก้าอี้เหนือทุกคน ทำให้เรามองเห็นภาพการเป็นเจ้าชีวิต สามารถชี้เป็นชี้ตาย การทำงานหรือหยุดทำงาน ขึ้นอยู่กับแท็บเล็ตในมือของชายผู้นี้ ขณะที่พนักงานที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ที่ต่ำกว่า คอยก้มหน้าทำงานโดยไม่แม้แต่จะสบตาใคร สะท้อนให้เห็นความเป็นทาสของระบบที่ชักจูงชีวิตคน จนกลายเป็นเพียงเครื่องจักรชิ้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อพังเสียหาย ก็แค่ถูกถอดออกแล้วโยนทิ้ง ไม่ใช่มนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ

และการที่ชายเจ้าของรอยสักรูปฝูงนกตัดสินใจทำลายระบบ ก็หมายถึงการไม่สยบยอมต่อระบบที่กัดกินความเป็นมนุษย์ และลุกขึ้นสู้เพื่อปลดปล่อยทุกคนให้กลับมาเป็นมนุษย์ที่แท้จริง

ฉากหนึ่งที่เราประทับใจไม่น้อย คือฉากจบที่ตัวละครหลักของเรื่องเดินขึ้นสู่โต๊ะทำงานด้านบน และโน้มตัวลงมาจ้องตากับเจ้าชีวิตในชุดสูท ซึ่งสะท้อนให้เห็น “อำนาจของมนุษย์ธรรมดา” ที่บัดนี้ได้เอาชนะอำนาจเบื้องบนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“มา” ทำให้เรานึกถึงข้อความหนึ่งจากนวนิยาย To Kill a Mockingbird ของฮาร์เปอร์ ลี ที่ว่า

“แทนที่จะเข้าใจว่าความกล้าหาญคือผู้ชายที่มีปืนอยู่ในมือ แท้จริงแล้วความกล้าหาญคือ เมื่อเรารู้ว่าเราจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่เรายังทำมันต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ค่อยชนะ แต่บางครั้งก็ชนะ”

ดังนั้น เพลง “มา” จึงอาจไม่ใช่เพลงให้กำลังใจในการก้าวผ่านอุปสรรคในชีวิตเท่านั้น แต่ยังปลุกใจให้มนุษย์ทั้งหลายกัดฟัน รวบรวมความกล้า แล้วลุกขึ้นมาทลายเพดานที่กดทับพวกเขาอยู่ ไม่ว่าจะต้องชนมันสักกี่ครั้ง ก็ต้องมีสักวันที่มนุษย์สามัญจะได้จ้องตากับผู้มีอำนาจในที่สุด

เมื่อทุกเสี้ยวรวมกันเป็นภาพใหญ่

แม้จะยังไม่สามารถรู้ได้ว่าภาพของอัลบั้มเต็มจะออกมาเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่แม็กยืนยันอย่างหนักแน่น คือการทะลุขีดจำกัดของทั้งวง ไม่ว่าจะเป็นปริมาณเพลงที่เพิ่มขึ้นจากอัลบั้มก่อน และการทดลองนำพรมแดนใหม่ๆ ของดนตรีมาใส่ในเพลงของพวกเขามากขึ้น

“อย่างเพลง  ‘มาก’ จะมีสามช่า มีการทลายกำแพงที่มองไม่เห็น หรือเพลง ‘ก่อน’ ที่จากเดิมเขียนเครื่องสายแล้วก็ทำสตริง ก็ทะลุขีดจำกัดโดยการเขียนเป็นวงออร์เคสตราวงใหญ่ อัดเสียงจริงด้วย แล้วก็เพลง ‘เคย’ ก็เป็นสตริงจำนวนที่ใหญ่ขึ้น” 

“เราเปลี่ยนการเล่าเรื่องจากแบบ Concept – Super Concept แล้วก็มาพูดเรื่องที่สั้นลง แต่ต้องยังได้ใจความครบ ก็จะเป็นการคิดหาวิธีเล่าเรื่องที่ตัวเองชอบที่สุดอีกท่าหนึ่ง”

“ส่วนการเล่นกีตาร์หรือการเล่นกลองของสมาชิกแต่ละคนก็เหมือนมีเรื่องที่เขาจะท้าทายตัวเอง เช่น พี่เต้ ที่ปกติมักจะเล่นกีตาร์สาดๆ มากกว่า แต่พอมาเจอเทคนิคมากขึ้นในเพลงของ The Darkest Romance เขาก็ด่าผมอยู่เหมือนกัน ก็เลยเหมือนกับว่าทุกคนทะลุขีดจำกัดของตัวเอง ที่เคยคิดว่าไม่น่าทำได้ ไม่เคยทำ หรือไม่คิดจะทำ ก็ได้ทำ”

สิ่งที่อยากจะเล่าและยังไม่ได้เล่า

ผลงานของ The Darkest Romance บอกเล่าเรื่องราวในแง่มุมต่างๆ ของความเป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา แล้วยังมีเรื่องราวอะไรที่ The Darkest Romance อยากจะเล่าและยังไม่ได้เล่า แม็กตอบว่า

“ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเขียนก็คงจะเป็นเรื่องที่เป็นเชิงแฟนตาซี ผมสังเกตว่าเดี๋ยวนี้หลายๆ ศิลปินของต่างประเทศเขาจะเล่าเรื่องเป็นเชิงนิยายบ้าง อาจจะเป็นเล่าไปในทางไซไฟ หรือจำลองเรื่องขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น Dream Theater อัลบั้ม Scene from Memory เหมือนเขาสร้างละครขึ้นมา เหมือนหนังเรื่องหนึ่งเลย ก็เลยรู้สึกว่าเราอาจจะลองทำอะไรอย่างนี้สักครั้งหนึ่งดูเหมือนกัน” 

“เพราะว่าเราเขียนเรื่องคน เราเขียนเรื่องใกล้ตัว เราเขียนเรื่องการสังเกตความรู้สึก เราแค่พลิกแพลงวิธีการเล่าความรู้สึกนั้นในแบบต่างๆ แล้วถ้าเราเล่าเรื่องโดยเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาใหม่ อาจจะเหมือนเขียนหนังสือขึ้นมาใหม่เล่มหนึ่ง เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มในอีกสไตล์หนึ่ง ก็เคยคิดว่าน่าจะลองทำแบบนี้ดูเหมือนกันครับ มันอาจจะคล้ายๆ กับละครเพลง แต่ว่าเล่าในรูปแบบของ The Darkest Romance ก็ได้ครับ คิดว่าน่าจะลองทำแบบนี้ดู” แม็กทิ้งท้าย

ชมบทสัมภาษณ์ The Darkest Romance กับการทะลุขีดจำกัดอีกครั้ง ในเพลง “มา”

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า