fbpx

ต๊ะ ตระการ และการกลับมาสู่ The Voice All Stars แบบเป็นตัวเองเพื่อเอาชนะใจตัวเอง

การกลับมาเจอใครที่เราคิดถึงอีกครั้งในรอบ 10 ปี คงเป็นความรู้สึกที่วิเศษมากๆ แน่

และเราก็เป็นเหมือนกันที่ได้เจอต๊ะ-ตระการ ศรีแสงจันทร์ อีกครั้ง

เราก็คงเหมือนทุกๆ คนที่เจอเธอบนหน้าจอทีวีจากรายการประกวดร้องเพลงที่ใช้คุณภาพในการตัดสินอย่าง The Voice Thailand เมื่อปี 2012 เด็กน้อยอายุ 15 ที่ใช้เพลงลูกทุ่งมัดใจโค้ชจนได้ 4 Chairs หรือการถูกกดหันครบทั้ง 4 คน จนกลายเป็น 4 คนสุดท้ายของซีซั่นแรกที่ทุกคนจดจำในฐานะ “ลูกทุ่งแท้” คนเดียวในการแข่งขันครั้งนั้น พร้อมกับได้ออกซิงเกิลแรกอย่างหยาดเหงื่อเพื่อแม่

จากนั้นเธอก็กลับไปใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาภาพยนตร์ จนเพิ่งเรียนจบและใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวเองที่จัดจ้านมาก ๆ อย่างที่เราเห็นในโลกออนไลน์ ซึ่งนับแต่การประกวดจบลง เธอแทบไม่ได้ร้องเพลงอีกเลย เพราะจากวัยที่เติบโตซึ่งทำให้เสียงของหนุ่มน้อยค่อยๆ เปลี่ยนไป 

เรื่องนี้ทำให้เธอตั้งคำถามกับตัวเองว่าเธอจะกลับมาร้องเพลงได้เหมือนเดิมมั้ย

จนกระทั่งเธอได้รับการติดต่อจาก The Voice Thailand ให้เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันสำหรับซีซันพิเศษที่รวมเอาผู้แข่งขันจาก 8 ฤดูกาลของ The Voice มาประชันเสียงร้องกันอีกครั้งในชื่อ The Voice All Stars

แน่นอน เธอตอบรับทันที

การกลับมาครั้งนี้คือการที่ต๊ะอยากบอกกับทุกคนว่าเธอ “กลับมาแล้ว” และต๊ะไม่ได้แข่งกับใคร เพราะคราวนี้คือการเอาชนะตัวเองทั้งความรู้สึกที่เธอตั้งคำถามขึ้นมา รวมถึงการท้าทายตัวเองด้วยการเปลี่ยนแนวการร้องไปในทางอาร์แอนด์บีที่พิสูจน์ความสามารถของตัวเองมากกว่าเดิม 

ต๊ะในวันนี้จัดจ้านแบบที่เธออยากเป็น มีชีวิตชีวาอย่างที่เราเห็นในทีวี และเป็นตัวของตัวเองอย่างถึงที่สุด 

มาทำความรู้จักเธอกัน

เด็กวงดนตรีลูกทุ่งที่ฝึกลูกคอด้วยตัวเอง

จริงๆ แล้วต๊ะในวัยเด็กเป็นคนเงียบๆ ไม่กล้าแสดงออกอะไร และไม่ได้คิดว่าจะต้องร้องเพลงอะไรด้วยซ้ำ แต่เพราะความเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา จึงถูกจับให้ร้องเพลงในงานวัดของโรงเรียน

ยิ่งเป็นเพลงลูกทุ่งก็ยิ่งแล้วใหญ่ ต๊ะเลยเริ่มฝึกร้องเพลงด้วยตัวเองซึ่งมีเคล็ดลับสำคัญคือ การฟัง

“ต๊ะไม่เคยเรียนร้องเพลง ไม่เคยลงคอร์สอะไรเลย ที่ร้องได้ก็เพราะรู้สึกว่าการฟังมันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราฟังแล้วเราพยายามก๊อปปี้ตาม ร้องให้มันเหมือนต้นฉบับก่อนแล้วจากนั้นเราก็มาร้องในแบบของเรา เราฟังเอกราช สุวรรณภูมิ มนต์แคน แก่นคูน ไผ่ พงศธร ฟัง เพราะที่บ้านเป็นคนอีสาน ก็จะเอนเอียงไปทางอีสานมากกว่า” ต๊ะเล่า

หลังจากนั้นต๊ะก็เข้าวงดนตรีลูกทุ่งในช่วง ป.6 มีตำแหน่งเป็นนักร้อง “ตัวลูก” ประจำวงที่มีจุดขายเป็นเสียงหวานๆ เสมือนเสียงนักร้องผู้หญิงคนหนึ่งในวง ซึ่งผู้ชมมักให้ความเอ็นดู ให้ทิปพิเศษกับเธอเสมอๆ

ชีวิตวัยเด็กในวงดนตรีลูกทุ่งของต๊ะเต็มไปด้วยคำว่ากิจกรรม หลังจากเลิกเรียนช่วงบ่ายสามครึ่งของแต่ละวัน ต๊ะก็ปลีกตัวมาซ้อมร้องเพลงต่อจนถึงหกโมงเย็นทุกวัน บางเสาร์-อาทิตย์ก็เข้าโรงเรียนไปซ้อมเพิ่มบ้าง

เพราะเธอเชื่อว่าการแบ่งเวลาเพื่อมาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเป็นสิ่งสำคัญ

เด็กช่วยขายบะหมี่ที่จับพลัดจับผลูขึ้นมาประกวดบนเวทีใหญ่

เวลาผ่านมาเกือบ 4 ปี เข้าสู่วัยมัธยมของต๊ะ วันหนึ่งขณะที่ต๊ะกำลังขายบะหมี่ช่วยญาติอยู่ ก็มีลูกค้าคนหนึ่งทราบว่าต๊ะร้องเพลงได้ และมาชวนให้ไปประกวดบนเวที The Voice ซึ่งหลังจากเธอลองค้นข้อมูลใน Google ดู ก็พบว่ารายการนี้ดูยิ่งใหญ่ มีที่เมืองนอกมาก่อน เข้ามาในไทยครั้งแรก และเมื่อต๊ะสำรวจชีวิตตัวเองช่วงนั้นก็พบว่าค่อนข้างลำบาก เลยอยากลองเข้ามาประกวดดู เพราะเวทีนี้อาจจะเป็นโอกาสที่ใช่สำหรับเธอก็ได้

ต๊ะมา Audition ผ่านการร้องเพลงให้ใครก็ไม่รู้ได้ฟังผ่านห้องดำ ที่ได้ยินเพียงเสียงตามสายลอดผ่านลำโพงมาเท่านั้น “ร้องเพลงสากลได้ไหม เพลงสตริงได้ไหม” จากผู้คนที่แห่แหนกันมาสมัครหลักพันคน รอคิวกว่า 10 ชั่วโมง ต๊ะให้คำจำกัดอารมณ์ของเสียงที่ปล่อยออกมาในการ Audition ครั้งนั้นว่า “เริ่มแกงอ่อมแล้ว” และคิดว่าจะไม่ได้ไปต่อ

แต่สุดท้ายเธอผ่านมันมาได้

ตามกติกาของ The Voice การคัดเลือกจากทั่วประเทศจะถูกคัดเลือกกันอีกครั้งบนเวที ต่อหน้าโค้ชทั้ง 4 คน ที่ก็ไม่ได้การันตีเหมือนกันว่าจะได้อยู่บนเวทีนี้ต่อ ต๊ะตื่นเต้นมากบนเวทีนั้น และเหตุการณ์บนเวที Blind Audition นั้นก็ผ่านไปรวดเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ทัน

“ใจไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะมีโค้ชหันมา คิดแค่ว่าถ้ามีคนกดหันมาจะเลือกอยู่กับพี่คิ้ม จากเสียงเราที่น่าจะไปสาย Diva แต่เอาเข้าจริงโค้ชหันมาครบ 4 คนเลย เราแบบ โห เราเก่งขนาดนั้นเลยหรือ ไม่มีมงนะ ไม่เคยมีถ้วยนะ พอมองไปตอนนั้นก็เชื่อว่าเราอยู่ถูกที่ถูกเวลา เราเป็นลูกทุ่งแท้ๆ หนึ่งเดียวบนเวทีตอนนั้น ถ้าต๊ะมาซีซัน สอง สาม สี่ อาจจะไม่ว้าวแล้วก็ได้”

ซึ่งจากเวที Blind Audition ครั้งนั้น ต๊ะก็ได้อยู่กับโค้ชคิ้มสมใจอยากทุกประการ

ต๊ะ-ตระการ ลูกทีมลูกทุ่งแท้ของแม่คิ้ม

หลังจากเจอกับโค้ชคิ้มกลางเวทีในรายการ ต๊ะก็ได้นัดคุยเพลง กินข้าวร่วมกัน ทำความรู้จักกันกับลูกทีมคนอื่นๆ ว่าแต่ละคนร้องเพลงกันแบบไหน และได้เจอตัวจริง เสียงจริง แบบถึงเนื้อถึงตัวของโค้ชคิ้ม ผู้กดเลือกเธอในวันนั้น

“พี่คิ้มบอกว่าต๊ะเป็นเหมือนดอกบัวที่มันสวยอยู่แล้ว อย่าไปพับอย่าไปอะไรเขาเยอะ สิ่งที่เป็นตัวเขาเองถ้าเราไปพับเยอะ มันอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่มองอีกอย่างนึงมันก็ได้เหมือนกัน เสียงแบบนี้มันก็ดัดไปได้เหมือนกัน”

บนเวที The Voice Thailand ในซีซันนั้น ในทุกรอบการแข่งขัน ต๊ะตั้งใจทำโชว์ออกมาให้ดีที่สุด จากต้นทางชีวิตที่ผลักดันความสามารถ และทักษะการร้องเพลงให้ดียิ่งขึ้นในทุกๆ รอบ ทำให้ต๊ะผ่านมาถึงรอบสุดท้ายของการแข่งขันเพื่อชิงชนะเลิศ โดยในปีนั้นมีจุดสำคัญคือผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจากโค้ชแต่ละคน จะมี Single พิเศษเป็นของตัวเองด้วย ต๊ะเลยได้มีเพลงจริงๆ เป็นของตัวเองเพลงแรกในชีวิตอย่างเพลง นักร้องคนเก่า

จังหวะที่ต๊ะรู้ว่าจะมีเพลงเป็นของตัวเอง เธอเซอร์ไพรส์มาก ตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงแข่งขันพอดี ทีมงานนัดเธอมาเจอตอนเช้า ตอนบ่ายก็อัดเสียงเลย ต๊ะเล่าว่ามันเป็นเพลงที่ยาก จากเมโลดี้ของเพลงที่นักร้องการันตีว่ายาก และเชื่อว่าต๊ะทำได้แน่นอน ซึ่งสุดท้ายแล้วเพลงแรกเพลงนั้นก็เป็นเพลงที่ออกมาดี ต๊ะภูมิใจกับเพลงนั้นมากจากการเป็นประสบการณ์การอัดเพลงครั้งแรกในชีวิตของเธอ

เราถามขมวดความรู้สึกทั้งหมดของต๊ะบนเวที The Voice Thailand ในปีนั้นว่ารู้สึกอย่างไรกับตัวเองตอนนั้นบ้าง ต๊ะก็มองถอยหลังกลับไปแล้วก็ภูมิใจกับตัวเอง ขอบคุณตัวเองที่ตั้งใจทำทุกวันในช่วงนั้นให้เต็มที่ ในขณะเดียวกันบางครั้งต๊ะมองย้อนกลับไปก็เผลอชมเสียงร้องของตัวเองเมื่อวัยเด็ก ที่เมื่อผ่านวัยแตกหนุ่มแล้ว เสียงของเธอในปัจจุบันก็ไม่ได้กลับไปเป็นดังเดิมอีกแล้ว

“มันก็เป็นตามธรรมชาติที่เด็กหนุ่มมันจะต้องเสียงแตก ซึ่งต๊ะเสียงแตกช้าไง บางคนเขาเริ่มตั้งแต่ ป.5 ป.6 แต่ต๊ะมาตอนแบบช่วงขึ้นมหาวิทยาลัย แล้วเสียงก็เหมือนเป็ด มันคอนโทรลยาก เราเลยนอยด์ เหมือนเรามีมงแล้ว ขึ้นชื่อว่าเราเป็น The Voice แบบ Top Four เลย แต่ทำไมเราร้องไม่ได้วะ มันไม่มั่นใจ”

จากผู้เข้าแข่งขันสู่ศิลปิน และกลับสู่ชีวิตธรรมดาอีกครั้ง

หลังจากจบซีซัน ชีวิตของต๊ะดีขึ้นอย่างทันควัน เงินที่ได้จากทั้งการแข่งขัน และงานร้องเพลงที่เข้ามาแบ่งเบาภาระหนี้สินที่มีไปได้หลายเปลาะ ในระยะเวลา 2 ปีที่มีงานร้องเพลงเข้ามาทำให้ต๊ะต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่พอสมควร ดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น แต่งตัวให้ดีขึ้น ทำให้ตัวเองดูพร้อมที่สุดกับการพบเจอผู้คนในแต่ละวัน

หลังจากกระแสเริ่มน้อยลงตามกาลเวลา บวกกับเสียงร้องของต๊ะที่เปลี่ยนไปจากวัยที่โตขึ้น ต๊ะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง เรียนต่อระดับอุดมศึกษาในสายภาพยนตร์ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากการชอบดูหนังเป็นทุนเดิม รวมถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองในหลายๆ ด้าน ที่ทำให้การหวนกลับมาขึ้นเวที The Voice All Stars อีกครั้งใน 10 ปีให้หลังเป็นเรื่องฮือฮาพอสมควรกับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของเธอ

เริ่มจากการเปลี่ยนมาดูแลตัวเอง ออกกำลังกายมากขึ้น จากการส่องกระจกแล้วมองว่าตัวเองขี้เหร่ การออกกำลังกายจึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้ ต๊ะเริ่มเห็นพัฒนาการร่างกายของตัวเองตั้งแต่ช่วง 4 เดือนแรก และมีคนเข้าหามากขึ้น เธอจึงตั้งใจพัฒนาร่างกายตัวเองอย่างแข็งขัน จากที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ กลายเป็นคนเสพติดการออกกำลังกาย และสร้างกล้ามเนื้อให้ตัวเอง เพราะปกติเป็นคนค่อนข้างผอม ก่อนจะฟิตหุ่นให้ดีได้ก็ต้องสร้างกล้ามเนื้อก่อน จุดที่ต้องกินจึงยากในช่วงแรก แต่สุดท้ายจนถึงตอนนี้ ใครๆ ก็เห็นว่าต๊ะเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองจากเมื่อ 10 ปีก่อนได้มากขนาดไหน

อีกเรื่องคือการแสดงอัตลักษณ์ทางเพศใหม่ ที่แตกต่างจากต๊ะบนเวทีครั้งนั้น ต๊ะบอกว่าตัวเองโชคดีที่ครอบครัวรัก และ Support เธอ พร้อมจะรับในทุกสิ่งที่เป็น เธอเลยกล้าแสดงอัตลักษณ์ทางเพศที่กำลังเป็นอยู่ให้หลายๆ คนได้รับรู้มากขึ้น

“มันดีมาก ๆ นะเพราะว่ามันไม่ต้องมาคิดว่าเราจะแสดงออกไม่ได้ ขอแค่คุณเป็นตัวเองอะ มันก็มีความสุข มันก็แฮปปี้ ต๊ะเชื่อว่าเรื่องของเพศอะ มันไม่ได้มีแค่ชายกับหญิง ถ้าให้เปรียบเทียบมันก็อาจจะเหมือนกับอาชีพ มีอาชีพหลัก มีอาชีพเสริม มันมีหลายอย่างได้”

Second Chance ของผู้เข้าแข่งขันที่น่าจดจำบนเวที The Voice

ช่วงหลังๆ มาต๊ะใช้ชีวิตในช่วงว่างในการทำหลายสิ่งอย่าง เล่นเกม ไปฟิตเนส ทำสปา อยู่บ้านก็นอน หาของกิน ใช้ชีวิตปกติทั่วไปเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ได้มีงานร้องเพลงเหมือนเช่นเดิม หากใช้เวลาร้องเพลงเป็นชิ้นเป็นอันก็น่าจะเป็นการร้องเพลงลง Social Media อย่าง TikTok ซึ่งจริงๆ แล้วการร้องเพลงของต๊ะถือเป็นความสุขของเธอเสมอมา ที่นอกเหนือจากการได้ออกกำลังกาย โมเมนต์ที่ได้ร้องเพลง ต๊ะรู้สึกเหมือนได้เล่นน้ำ ไหลไปเรื่อยๆ ตามที่ท่วงทำนอง และเสียงร้องจะพาพัดไป

จนพัดมาหยุดที่เวที The Voice All Stars เวทีแจ้งเกิดของเธออีกครั้งหนึ่ง

วินาทีที่รายการติดต่อให้กลับมาแข่งขันบนเวทีรวมรุ่นอีกครั้ง ต๊ะบอกว่าดีใจมาก ที่รายการยังไม่ลืมเธอ และคิดว่านี่คงจะเป็นเวลาที่เราจะต้องกลับไปทำอะไรสักอย่างอีกครั้งเพื่อตัวเอง

จากเสียงร้องที่เปลี่ยนไป ต๊ะเลือกกลยุทธ์ใหม่ที่จะใช้มัดใจโค้ชให้กดหันมา จากภาพลักษณ์ของตัวเองที่เปลี่ยนไป จากลิสต์เพลงที่ฟังในช่วงนี้ ที่ฟังทั้งเพลงสากล ลูกทุ่งอินดี้ บางทีก็สตริง ต๊ะเอาทุกอย่างที่ฟังมาขยำรวมกันให้กลายเป็นต๊ะคนใหม่ ในการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของเวทีนี้

ต๊ะเลือกเพลง ฮัก ของ หนุ่ม มีซอ มาใช้ในการแข่งขันรอบ Blind Audition ครั้งนี้ จากความชอบตัวเมโลดี้ในเพลง และภาษาที่สละสลวยเป็นอย่างมาก ต๊ะนำเพลงนี้ไปเสนอกับทีมงานว่าไม่อยากร้องให้เหมือนต้นฉบับ แต่อยากร้องให้มีความเป็นตัวเอง เพิ่มความเป็น R&B เข้าไปในเพลงแนวลูกทุ่งอีสาน ผ่านเสียงร้องของต๊ะในปัจจุบันนี้

“บนเวทีครั้งนี้เรายังตื่นเต้นเหมือนเดิมเลย และมันอบอุ่นเหมือนเดิมนะ เรามายืนแล้วเรารู้สึกว่าแบบ เนี่ยมันคือที่ของเรา เราควรจะกลับมาตรงนี้ตั้งนานแล้ว The Voice เป็นเหมือนครอบครัว เราได้มาเจอ มาพบทีมงาน ผู้เข้าแข่งขันด้วยกันอย่างนี้ เราไม่รู้สึกว่าเรามาแข่งเลย เราเหมือนมาเล่น เราเหมือนมาจอย อย่างตอนนั่งรอคิวเพื่อที่จะเข้าไปในห้อง ทุกคนเม้าท์มอยกัน เล่นนั่นนี่โน่น มันไม่มีการขิงกัน หรือกั๊กกันเรื่องการร้องเพลงเลย ทุกคนช่วยกันคิด มันไม่ใช่รายการแข่งขันอะ มันคือบ้านหลังหนึ่ง”

และการที่โค้ชกดหันกลับมาถึง 3 คนในครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้ต๊ะรู้สึกมั่นใจในตัวเองบนเวทีนี้มากขึ้นหลายเท่าตัว จากความไม่มั่นใจบางอย่างที่อยู่ก่อนขึ้นเวทีครั้งนี้ ทุกอย่างในตัวต๊ะเปลี่ยนไป เว้นเพียงแต่ความชอบในการร้องเพลง การได้อยู่กับโค้ชคนใดสักคนบนเวทีนี้ของเธอช่วยปลดล็อกความไม่มั่นใจ ให้ต๊ะเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองที่มีอยู่มากขึ้นเป็นไหนๆ

ซึ่งในการกลับมารอบนี้ ต๊ะบอกบนเวทีว่ารอบที่แล้วมีแม่แล้ว (โค้ชคิ้ม) ปีนี้เลยอยากมีพ่อบ้าง เธอจึงเลือกเข้าไปเป็นลูกทีมของโค้ชโจอี้ในปีนี้ จากลีลาของต๊ะที่เปลี่ยนไป ไม่ได้มีเสียงร้องไปในสายหวาน หรือ Diva แบบเดิมแล้ว เธออยากมาเพื่อ Enjoy กับชีวิต และโค้ชโจอี้ดูจะสรรสร้างความสนุกแบบนั้นให้กับเธอได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ต๊ะเลือกอยู่กับโค้ชโจอี้ในซีซันนี้

และจากเพลงแรกในการกลับมาอีกครั้งของต๊ะถูกอัพโหลดผ่านช่องทาง Youtube ภายในเวลา 24 ชั่วโมง ยอดวิวก็พุ่งถึง 1 ล้านวิวเป็นที่เรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนที่เข้ามาคอมเมนต์ใต้คลิปก็ล้วนคิดถึงเธอกันทั้งนั้น ต๊ะปลื้มปิติกับทุกคอมเมนต์ที่เข้ามาให้กำลังใจ และคิดถึงเธอกันเหมือนเช่นเดิมที่เคยเป็นมา

นับตั้งแต่บรรทัดแรกของบทสัมภาษณ์จนมาถึงตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชีวิตของต๊ะถูกเติมเต็มไปด้วยการร้องเพลง ทั้งเธอและสิ่งนี้แยกขาดจากกันแทบไม่ออก เวลาผู้คนนึกถึงเธอ ก็ต้องนึกถึงการร้องเพลงของเธอเป็นอันดับแรก และอาจจะนึกถึงการออกกำลังกายเป็นอันดับสองก็ได้

ช่วงท้ายของการสนทนาเราถามเธอว่า ถ้าคนอย่างต๊ะไม่ได้ร้องเพลงเลยจะเป็นอย่างไร เธอบอกกับเราว่า เธอน่าจะไม่มีความสุขไปเลย การไม่ได้ร้องเพลงก็คือการห้ามให้เธอทำสิ่งที่รัก และมันทำให้เธอไม่ได้รู้สึกว่าเป็นตัวเอง เพราะการเป็นตัวเองของต๊ะ คือการได้ทำให้สิ่งที่เธอรัก และไม่ได้เดือดร้อนใคร

ซึ่งนั่นหมายถึงการร้องเพลงของเธอ ที่เป็นทั้งสิ่งที่เธอรัก และสิ่งที่ทำให้ผู้คนรักเธอมากมายตั้งแต่เมื่อก่อน จนถึงปัจจุบันในการกลับมาอีกครั้งของเธอ ผู้คนชุดเดิมก็ยังคงรักเธอ และจำเธอได้เสมอ ไม่มีเสื่อมคลาย

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า