fbpx

ธรรมชาติ ครอบครัว และการต่อสู้ระบบศักดินาผ่านบทเพลงของ ตูน t_047

จากนักสื่อสารคนหนึ่งที่อยากจะเล่าเรื่องราวผ่านการถ่ายรูปบ้านที่อยู่ข้างๆ ของตน ยามที่ท้องฟ้าแต่ละวันมีสวยงามและความแตกต่าง จนเกิดเป็นเพจบ้านข้างๆ และเติบโตนำไปสู่วงดนตรี t_047 ผู้เรียบเรียงเรื่องราวธรรมดาในชีวิตให้กลายเป็นเพลงโฟล์คติดหู จากความสวยงามของท้องฟ้าและความสัมพันธ์ของเสียงเพลง สู่บทเพลงที่สื่อสารข้อความบางอย่างสู่หัวใจคนฟัง

เขาคนนั้นคือตูน-ณัฐธีร์ อัครพลธนรักษ์ หัวใจหลักของ t_047  ผู้ซึ่งเป็นทั้งศิลปินถ่ายภาพและการสื่อสารผ่านตัวอักษร เขียนหนังสือ และผลิตสื่อเพลง

ณ วันนี้ ตูนยังใช้ชีวิตในประเทศไทย จนมีครอบครัวและน้องฤดูใหม่-ลูกที่เติมเต็มหัวจิดหัวใจของตน เขายังคงพร้อมส่งข้อความบางอย่างผ่านบทเพลงที่เปลี่ยนผ่านไปตามชีวิต ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติก็ดี ครอบครัวก็ดี หรือระบบศักดินาก็ดี

จึงเป็นเหตุที่ Modernist อยากเข้าไปสำหรับห้วงความคิดของของเขาถึงราคาที่ต้องจ่ายในการลุกขึ้นมาต่อสู้ระบบศักดินาผ่านท่วงทำนองของบทเพลง มันคุ้มค่ามากพอที่จะต้องแลกมั้ย กับพลังการสื่อสารผ่านบทเพลงของวงดนตรีอิสระวงนี้

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

1
ธรรมชาติของตูน-ณัฐธีร์ และ t_047

จุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเข้ามาสู่วงการศิลปินและการทำวง t_047

ตอนแรกจริงๆ วางตัวเองไว้ไกลจากคำว่าศิลปินมาก เรียกว่าอยากจะเป็นนักสื่อสารมากกว่า คือเราเรียนนิเทศศาสตร์ด้วย แล้วแค่รู้สึกว่ามันมีเรื่องบางอย่างที่มันอยากจะเขียน มันอยากจะเล่า เลยเล่าผ่านทางการถ่ายรูปบ้านที่อยู่ข้างๆ กับท้องฟ้าที่เปลี่ยนไป พอเห็นท้องฟ้าที่เปลี่ยนไปปุ๊บ มันเหมือนเห็นแง่มุมอะไรบางอย่างในชีวิต เห็นความเปลี่ยนแปลง เราเลยพยายามจดบันทึกมาเรื่อยๆ แล้วพอมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้น เรารู้สึกว่ามันมีเรื่องที่ต้องพูดมากขึ้น มีอะไรที่ต้องอาศัยองค์ประกอบอย่างอื่นนอกจากแค่ภาพถ่ายกับข้อความ มันเลยนำมาสู่เรื่องของการทำเพลง หรือว่าเขียนหนังสือที่เป็นการเล่าเรื่องราวที่มันยาวมากยิ่งขึ้น แต่คำว่าวงการศิลปิน มันเหมือนเป็นสิ่งที่กระแสน้ำมันพัดเราไปเอง ทำให้ต้องไปดนตรี ทำให้ต้องไปเจอคน ทำให้ต้องปล่อยเอง ฯลฯ มันก็ไหลไปเอง

ทำไมถึงสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับท้องฟ้า ธรรมชาติต่างๆ จนหยิบยกมาแต่งเพลง

เพราะว่าอย่างเรื่องความรัก ความเศร้า มันมีคนที่พูดไปแล้ว มันเป็นหลักการของนิเทศศาสตร์ปกติ ไม่ได้คิดถึงการตลาดด้วยตอนแรก แค่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งคนยังไม่ได้มีคนพูด มันมีเพลงที่พูดอยู่แล้วว่าความรักทำให้เราเสียใจ-เศร้า ความรักทำให้เราสดใสร่าเริง แล้วเราแค่เห็นอีกมุมนึง ซึ่งเพลงของเรามันเป็นเพลงรักเหมือนกัน แต่มันเป็นมุมของความรักที่มันยังไม่มีใครพูดถึง เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของฤดู เราเห็นหน้าหนาวเข้ามา เรารู้สึกดี แล้วความหนาวก็หายไป เราเลยเอาความรักไปเปรียบกับฤดู-ฤดูนึง มันก็เป็นเพลงอีกแบบนึง คือชีวิตเราเจอคนน้อย เห็นธรรมชาติมากกว่าเห็นมนุษย์ เราเลยไม่ได้อินกับเรื่องที่มันเศร้า เราจะเห็นธรรมชาติที่มันโยงกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตมนุษย์มากกว่า

แล้วธรรมชาติของคุณเป็นแบบไหน 

เป็นผู้ชายที่เป็นผู้ชายมากเลยอะ (หัวเราะเต็มเสียง) คือเป็นผู้ชายเหี้ย (หัวเราะ) เป็นผู้ชายที่เอาธรรมชาติผู้ชายมาอยู่ในตัวเอง โอเค ในสิ่งที่ทำ (บ้านข้างๆ) หลายคนมองว่าโรแมนติก แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นแค่มุมเล็กๆ ในตัวเราอะ มันจะมีส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตที่มันเสเพลกับเพื่อน แต่ว่าในบทบาทที่เราเป็นสื่อสาร หรือว่าทำเพจอะ เราแค่ไม่ได้นำเสนอเรื่องความเสเพลของเรา เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของตัวเรา มันก็เป็นคนปกตินั่นแหละ แค่เราอยู่ในบทบาทที่เราอยากจะสื่อสารอะไร เราก็ทำให้ตัวตนมันเป็นแบบนั้น แต่มันไม่ได้ฝืน มันไม่ใช่ตัวตนที่มันสร้างหรือฝืนตัวเอง มันคือแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ที่เรารู้สึกว่าเราเห็นความสวยงามของท้องฟ้า ของความสัมพันธ์ของเสียงเพลง ซึ่งธรรมชาติอีกมุมจริงๆ คือคนเหี้ยคนนึง (หัวเราะ)

ถ้าสมมติหยิบเพลงใดก็ได้ที่อธิบายตัวตนคุณ ณ วันนี้ คิดว่าเป็นเพลงอะไร

ชื่อเพลง Take Me Away ของ สนิมหยก และเพลง ฤดูฝัน ของ Abandoned House ซึ่งศิลปินเป็นเพื่อนกันหมดนะ คนรู้จักกัน 

Take Me Away เล่าในเรื่องของโลกที่เจอตอนนี้ มันวุ่นวาย มันโหดร้าย แล้วคำว่า Take Me Away ในตัวของผู้เขียนเอง มันพูดถึงการใช้ยาเสพติดชนิดนึง เพื่อเปลี่ยน Mindset ตัวเอง ให้เข้าไปอยู่ในโลกที่เห็นทุกอย่างสวยงาม คือเขาเอาเรื่องยาเสพติดมาพูดในแง่ของการหลุดไปอีกโลกหนึ่ง และอยากเห็นโลกที่ดีกว่า ซึ่งวันนี้เราเป็นแบบนั้น คือทุกอย่างเลยมันทำให้มันมองแล้วมันรู้สึกมีความน่าหงุดหงิด ต่อให้จะปล่อยวางยังไงมันก็เห็น เช่น การเห็นน้ำมันรั่วที่ระยอง ในขณะที่คนให้ความสนใจกับพระไม่ดี ที่แม่งไม่รู้ว่าจะมีผลอะไรกับชีวิตคนเลย ตอนนี้มันเป็นมันเป็นความรู้สึกที่ว่า กูอยากจะ Take Me Away (หัวเราะ) กูอยากจะออกไปจากที่นี่ 

อีกเพลงนึง ฤดูฝัน มันเล่าในเรื่องของการที่เราผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว เหมือนกับว่าต่อไปนี้ มันเป็นฤดูที่เราไม่ได้รู้สึกว่ามันจะต้องมีอะไรมากระทบกับตัวเราแล้วอะ ไม่ได้ต้องไปเหนื่อยมากแล้ว ไม่ได้ต้องไปฟันฝ่าอะไร ฉันเดินทางผ่านมาแล้วทุกฤดู ต่อไปนี้มันเป็นฤดูที่เราจะฝัน ฝันไปถึงอะไรที่มันไกลมากกว่านั้น

แต่ละเพลง มันจะออกแนวอยากจะออกจากชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

คิดว่าอะไรที่ทำให้เรารักในเสียงดนตรี

มันเป็นการสื่อสารที่เข้าถึงคนง่ายที่สุดแล้ว เราโตกับเสียงเพลงมาตั้งแต่เด็ก เด็กถูกหล่อหลอมด้วยเสียงเพลง หรือแม้กระทั่งเราทุกคนที่เคยมีความหลงไปในอีกเส้นทางนึง เพราะเราถูกโฆษณาชวนเชื่อจากบทเพลงในทุกเช้า ให้เราร้องเพลงบอกรักชาติ บอกรักเจ้าทุกวัน จนเราก็กลายเป็นคนนึงที่ครั้งนึงเคยเชื่อในระบอบนี้ เราเลยเชื่อในพลังของเสียงเพลง

เพลงบางเพลงแม่งสามารถเปลี่ยน Mindset คนได้ เปลี่ยนชีวิตคนได้ เพราะว่ามันถูกเล่าผ่านความสุนทรีที่เป็นสิ่งง่ายๆ ของคน เพราะฉะนั้นเพลงที่เราทำ มันเป็น Product ที่ไม่ใช่มอบแค่คุณภาพของเสียงเพลง หรือแค่ความสุนทรี แต่ว่ามันเป็น Product ที่สามารถบำบัดคนได้ สามารถเยียวยาจิตใจ ความรู้สึกคนได้ อันนี้คือสิ่งที่ยึดไว้

เพลงในมุมของคุณจึงมีสถานะของสื่อ มีการสื่อสารออกไป

ใช่ๆ มองว่าเป็นสื่อสื่อนึงเลยที่คนสามารถเข้าถึงง่าย แล้วต่อให้จะพูดเรื่องยากๆ มันก็อยู่บนรูปแบบที่สามารถเข้าใจได้

สารตั้งต้นเวลาทำเพลงสักเพลงนึง คืออะไร

ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่เกิดกับชีวิตเรา มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวที่มันจะมีผลต่อจิตใจของเรา สมมติ มันเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่มันกระทบใจเรา แล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วเพลงมันสามารถทำหน้าที่ในการพูดเรื่องนี้ มันก็จะไปตกตะกอนว่าเราจะเล่าเรื่องนี้ว่ายังไงดี สารตั้งต้นมันจะมาจากสิ่งเหล่านี้แล้วแต่ตามช่วงวัย ช่วงวัยที่เราโตแล้ว เราได้เห็นกระแสทางด้านการเมือง เราได้เห็นความขัดแย้งอะไรบางอย่าง มันก็จะส่งผลให้เราทำเพลงออกมาเกี่ยวกับการเมือง อย่างตอนอัลบั้มแรกๆ มันจะเป็นเพลงที่พูดถึงแง่คิดเกี่ยวกับเรื่องของการใช้ชีวิต-ความรัก-ความสัมพันธ์ เรื่องของทะเล-ท้องฟ้า-ดวงดาว ที่มันอยู่แค่ตรงนั้น อยู่แค่ช่วงขอบเขตของวัยรุ่น พอมาช่วงที่อยู่ในแวดล้อมของการเมือง เพลงมันก็จะออกไปในลักษณะแง่นั้น พอเรามีลูกปุ๊บ ใจทั้งหมดมันไปอยู่ที่ลูก เกิดเป็นเพลงที่เขียนมาให้ลูกครับ

2
ณ วันที่เป็นพ่อคน และมีครอบครัวที่ต้องดูแล

เพลง “ฤดูใหม่” ที่ถือเป็นฤดูใหม่ของคุณ มันบอกอะไรเกี่ยวกับตัวคุณและคนฟัง

ฤดูใหม่ มันมาจากชื่อลูกของเรา เขาชื่อเล่นว่าฤดู คือ ฤดูใหม่ จะพูดว่าในฐานะของเรา ผ่านมาถึงอายุเท่านี้ มันเจอมาหลายเรื่องราวมาก มันผ่านร้อนฝนหนาวมาในรูปแบบของเราแล้ว แต่เราจะไม่ได้กำหนดชีวิตของลูกไปตามสิ่งที่เราเจอมา ไม่ได้จะบอกว่าเฮ้ยลูก ลูกห้ามเป็นแบบนี้นะ คืออยากให้สิ่งที่เขาจะเจอหลังจากนี้มันจะเป็นสิ่งใหม่หมดเลย บางทีเรา รุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาจะเจอแล้ว แต่สิ่งที่จะบอกได้คือไม่ว่าจะเจออะไร เราก็รักคุณ ยกตัวอย่างยุคนี้ เพศก็มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น หรือมีความหลากหลายทางอารมณ์ที่เขาต้องเจอ หรือการเข้ามาของเทคโนโลยี การเมืองที่เปลี่ยนไป อันนี้คือสิ่งใหม่ๆ ที่ต้องเจอกัน แต่เราจะอยู่แค่บอกว่า เฮ้ย เราว่าแบบนี้ดี-ไม่ดี แต่ไม่ไปกำหนดให้เขาเป็นไปตามฤดูในแบบที่เราเจอ

เคยคิดว่าตนเองจะมาเป็นพ่อคนมาก่อนมั้ย

คิดมาตั้งแต่เด็กแล้ว ความอยากเป็นพ่อแม่งมีมาตั้งแต่มัธยม แต่ตอนนั้นรู้ว่ามีไม่เฟี้ยวแน่ๆ มีตอนมัธยมแม่งไม่น่าโอเค เราก็กลับมาคิดว่าอะไรแม่งทำให้ก่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา มันเกิดจากเราไม่ได้เป็นเด็กที่โตมาในสภาพครอบครัวที่อบอุ่นเลยพ่อแม่แยกกัน เรารู้สึกน้อยใจมาตลอดว่าทำไมตอนเด็กกูไม่น่ารักหรอวะ ทำไมพ่อแม่ไม่เลี้ยงเราวะ มันเลยเป็นความรู้สึกว่า กูอยากมีครอบครัวของตัวเองแล้ว อยากจะทำให้ครอบครัวออกมาดูดี ออกมาโอเคที่สุด ให้เขาได้รับความอบอุ่นมากที่สุด ก็เก็บความรู้สึกนั้นมาเรื่อยๆ จนเจอแฟนที่รู้สึกว่า เฮ้ย คนนี้คือคนที่เหมาะสมกับการจะเป็นแม่คนแล้ว ก็เลยมีตั้งแต่ตอนนั้น ช่วง 25-26 รู้สึกว่ามันเป็นช่วงที่โอเคนะก็คือมีงานทำแล้ว คือไม่อยากจะรอให้มันเลย 30 เพราะว่ามันคงเป็นเรื่องสุขภาพด้วย ที่คิดว่าช่วง 20 กว่าลูกน่าจะแข็งแรง ซึ่งแข็งแรงจริงนะ ตอนนี้ 6 เดือน ไม่ป่วยเลย ไม่ป่วยสักครั้งเลย

ในยุคที่สถิติประชากรคนไทยที่เกิดมาลดลง การที่คุณมีลูก คุณตัดสินใจนานมั้ย

ไม่นานเลยครับ คืออย่างของเราแค่เอาตัวเองตั้งเป็นหลักก่อนว่า เฮ้ย มึงมีลูกอะ เขาจะสะดวกสบายใช่มั้ย เขาจะโอเคใช่มั้ย แค่นี้ครับ คือเราไม่สามารถเปลี่ยนอะไรในแง่ของระบอบที่มันกว้างใหญ่ได้ คือเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะดีอะ คนบอกว่า เฮ้ย ช่วงนี้กูไม่อยากมีลูกหรอก เพราะว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ แต่เราเห็นมันเป็นแบบนี้มา 7-8 ปีแล้ว มันอาจจะเป็นอีก 10 ปีก็ได้ มันอาจจะหนักกว่าเดิมก็ได้ แต่ว่าการเกิดมาของเด็กคนนึง มันก็เกิดในสภาพแวดล้อมครอบครัวที่พร้อมจะดูแลเขา และพร้อมด้วยสภาพการเงิน พร้อมด้วยความรักของพ่อแม่ อย่างเรากับแฟนรักกัน บางคนบอกว่า เฮ้ย อย่าเพิ่งมีลูก ถ้าเกิดว่าคุณต้องเหนื่อยมากยิ่งขึ้น แต่เราว่ามันไม่มีใครทำได้หรอก โดยธรรมชาติของคน พอคุณมีลูกแล้วมันจะอัตโนมัติในตัวเองว่าคุณจะอยากทำบางอย่างเพิ่มมากยิ่งขึ้นให้ลูก ให้มันเป็นหลักทรัพย์ให้ลูกสบายขึ้น ตอนนี้คือทำทุกอย่างเพื่อหาเงินเก็บให้ลูก สะสมไว้ให้ได้เยอะที่สุด จากที่ไม่เคยคิดว่าจะมีบ้าน จู่ๆ มันคิดอัตโนมัติขึ้นเอง

การให้กำเนิดชีวิตคนๆ หนึ่งขึ้นมา ทำให้มองโลกเปลี่ยนแปลงอย่างไร 

(คิดนาน) จริงๆ มันเปลี่ยนแปลงกับตัวเองมากกว่า กลายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น จากที่เมื่อก่อนเราจะทำทุกอย่างด้วยความสนุกของตัวเอง กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้เรามีตัวเองน้อยลง แล้วทุกอย่างที่ทำก็เพื่อเขา แล้วโลกมันจะเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ เพราะว่าการกระทำที่มันเปลี่ยนแปลงของเรา จากที่เมื่อก่อนเวลานี้จะไปนั่งกินเบียร์ ไปนั่งทำอะไรสักอย่างเมาๆ อยู่ กลายเป็นว่ามานั่งร้านกาแฟเขียนงาน แล้วการมองทุกอย่างมันจะเปลี่ยนไปทั้งหมดเอง จากเมื่อก่อนที่มองผู้หญิงแล้วอาจจะคิดเรื่องที่ผู้ชายคิด ตอนนี้เรามองเขาในลักษณะการให้เกียรติมากยิ่งขึ้น เพราะว่าเขาก็เป็นลูกของใครคนนึงที่พ่อแม่เขาก็เป็นห่วงเขา เหมือนที่เราเป็นห่วงคนนี้เหมือนกัน เราควรให้เกียรติคนที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งเมื่อก่อนมันไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา ก็รู้สึกว่าเป็นคนดีมากยิ่งขึ้นนะ แต่ก็ไม่ทิ้งความเสเพลไป แค่รับผิดชอบตัวเองมากยิ่งขึ้น

3
ศิลปินไทย ผู้ซึ่งขาดพื้นที่ในการแสดงออก

ตอนนี้คุณมองภาพรวมการเมืองไทย รวมทั้งในแง่ของวงการศิลปินเป็นอย่างไร

วุ่นวายครับ (หัวเราะ) เห็นถึงความวุ่นวาย เข้าใในอุดมการณ์ของแต่ละคนเลย มันไม่ได้ตีกันในแง่ของการหาทางออกเพื่อจะชนะไปสู่หนทางแห่งประชาธิปไตยร่วมกัน มันเป็นการตีกันด้วยสงครามประสาทในโลกออนไลน์ เรารู้สึกมันไม่ได้มีการถกเถียง คือการเมืองมันเป็นเรื่องของการพูดคุยกันอยู่แล้ว แต่ว่าด้วยโซเชียลมีเดีย มันเกิดการกัดกัน แซะกัน เพราะฉะนั้น เรารู้สึกว่าไม่ได้เห็นประโยชน์ ถ้ามองภาพรวมก็รู้สึกว่าเหมือนตอนนี้ทุกคนกำลังแวะไปทำอะไรที่มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาส่วนใหญ่ แต่คงมีคนที่เขากำลังทำบางส่วนที่มันกำลังจะขับเคลื่อนอยู่

ในแง่ของวงการศิลปิน อย่างช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำไมไม่มีมาตรการอะไรช่วยเหลือศิลปินเลย ศิลปินถูกงด ถูกจำกัดการทำงานไปก่อน ปิดคนแรกแล้วเปิดคนสุดท้าย ทุกคนก็ตั้งคำถามว่าเงินจากกระทรวงวัฒนธรรมไม่มีอะไรมาช่วยศิลปินได้บ้างหรอ ทำไมคุณเอางบไปจัดเดินแบบ-เดินแฟชั่นโชว์ให้ใครคนนึงได้ แต่ว่าไม่มีอะไรมาช่วยเหลือปากท้องของศิลปิน ซึ่งศิลปินบ้านเราเก่งเยอะมาก แต่ไม่ได้มีงบในการสนับสนุนให้เติบโตระดับนานาชาติได้ ภาพรวมตอนนี้คิดว่าวุ่นวายและหลงทาง (หัวเราะ) 

ในฐานะศิลปินคิดว่าเราจะช่วยอะไรตรงนี้ได้บ้าง จะทำให้มันดีขึ้นได้ยังไง

เราเชื่อใน Power ของศิลปะใช่มั้ย เชื่อ แต่ตอนนี้คนที่เขาทำศิลปะ เขาจะไม่อยู่รอดกันอยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าอยากให้คนทำเพลงที่พูดถึงปัญหาพวกนี้ มันก็ต้องมีองค์กรมีอะไรบางอย่างที่จะช่วยเหลือเขาด้วยในตอนที่เขาเลือกพูดออกไป บางคนไม่กล้าพูดเพราะว่าเดี๋ยวกูไม่มีงาน เดี๋ยวกูถูกดักลอบทำร้าย มันเลยไม่มีการส่งสาร สื่อเพลงอะไรที่จะออกไปแล้วก็พัฒนาความคิดหรือพัฒนาสังคมได้ เพราะศิลปินยังไม่กล้าพูด เลยคิดว่าถ้าต้องเริ่ม คงเริ่มจากทำให้เกิด Community ที่จะป้องกันศิลปินด้วยกันเองได้ ตอนนี้เอาแค่ให้เขาสามารถมีงานเล่นได้ก่อน ตอนนี้ทุกคนเหมือนตายหมดเลย แค่เพลงรักปกติ เขายังไม่มีตังค์กันเลย ไม่ต้องไปคิดถึงเพลงเกี่ยวกับการเมือง ถ้าเกิดว่าวันนึงศิลปินทุกคนมีปากท้องอยู่รอดได้ เราว่ามันคงจะเกิดสื่อบางอย่างที่เขาจะร่วมกันเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมพวกนี้ 

ณ วันนี้ คุณมองว่าวงการเพลงไทยเป็นอย่างไร 

มีความหลากหลายแต่ว่าไม่มีช่องทาง หลักๆ ปัญหาเลยคือไม่มีช่องทางให้เขาได้แสดงออก เราจะรู้จักแต่ตอนนี้มันมีพื้นที่ ไทยอีสานอินดี้ ลูกทุ่งอินดี้ พื้นที่เยอะมีสื่อคอยช่วย คืออะไรที่มันเป็นกระแสขึ้นมา มันจะมีสื่อมารองรับตลอดเลย คือมันไม่ใช่ว่ามีสื่อแล้วค่อยเป็นกระแส มันเป็นกระแสก่อนแล้วค่อยมีสื่อ Hiphop อยู่ใต้ดินกันมานานฉิบหาย จนเขาสร้างเขาสร้าง Community สร้างการแข่งขันต่างๆ จนมันมีพื้นที่ มันเริ่มโด่งดังขึ้น แล้วหลังจากนั้นทุกสื่อก็จะโหม Hiphop แต่ว่ามาคิด ทำไมจริงๆ มันไม่มีสื่อที่ไปช่วยเขาก่อนบ้างวะ ในวงการบ้านเราดนตรีมันมี Shoegaze (แนวดนตรีที่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวอินดี้ และ Alternative Rock) มีอะไรอีกเยอะมากเลย แค่พื้นที่จะเล่น มันยังไม่มีที่จะขายงานเลย ซึ่งตอนนี้เขากำลังพัฒนา Platform เพื่อทำให้ NFT สามารถช่วยเหลือศิลปินในเรื่องของการทำเพลงได้อยู่ 

เพราะรัฐบาลไม่เคยเห็นคุณค่าศิลปะหรือไม่

แน่นอนอยู่แล้ว เอาง่ายๆ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านเราไม่ได้มีแค่ Pop หรือ Rock เขาคงมองเห็นเท่าที่เขาเห็น แต่ถ้าเมีฝ่ายที่ลงมาศึกษาจริงๆ ถึงจะรู้ว่ามีอะไรอีกเยอะมากที่เขายังไม่ได้เห็น คนต่างชาติพร้อมจะสนับสนุน แต่ว่าเขาไม่มีพื้นที่ที่จะแสดง อย่างบาร์หรือผับของเมืองนอกมันเล่นดนตรีได้หลากหลายมาก 

อย่างไรก็ตาม มันจะไปทับซ้อนกับอีกเรื่องนึง คือวัฒนธรรมการฟังเพลงของไทยด้วย ซึ่งจะแตกย่อยไปในเรื่องของการศึกษา เรื่องของการเข้าถึงสื่อ เข้าถึงศิลปะ ต้นตอมันก็มาจากการศึกษาอีก มันทับซ้อนกันไปหมด ซึ่งมันต้องค่อยๆ พัฒนาไปด้วยกัน

แล้วถ้าคุณมีอำนาจเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเพลงไทย คุณจะทำอะไร

มีเรื่องนึงที่ไปอ่านมาแล้วรู้สึกว่าดีมากเลย บอกว่าตอนนี้ประเทศเราสร้างศิลปินที่เก่ง แต่ไม่ได้สร้างคนฟังมาด้วย เรารู้สึกว่านักดนตรีที่เก่งมีเยอะแล้ว แต่ว่าคนฟังที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้มันยังมีน้อย เอาง่ายๆ ว่าหอศิลป์ตอนนี้ในประเทศไทยมีแค่กี่ที่เอง การจัดงานดนตรีมีมากเท่าไหร่ ซึ่งเราว่ามันต้องเริ่มจากเรื่องปากท้องก่อน พอคนกินอิ่มนอนหลับ เขาถึงจะเริ่มสนใจศิลปะ เขาค่อยมีเรี่ยวแรงที่จะไปสื่อสารหาความรู้ หาอะไรที่เพิ่มความสุนทรีของตัวเองได้ เราว่าอันนี้น่าจะเติบโตไปด้วยกันมากกว่า ไม่ใช่ว่าทุกวงจะต้องเกิดมาเพื่อทำ Pop เพื่อที่จะได้ขายได้ หรือต้องทำรถแห่หมอลำเพื่อจะได้ขายได้ ดังนั้นถ้าเป็นเรา เราจะเอนเอียงไปที่คนก่อน ทำยังไงให้เขารู้สึกว่าเขาเริ่มสุนทรีกับศิลปะ ไม่ได้บอกว่าเราต้องไปทำลายรถแห่ เพราะมันเป็นการสื่อสารที่ตอบโจทย์วามบันเทิงของคนกลุ่มนึง แต่แค่อยากเพิ่มความหลากหลายเข้าไปหน่อย

5
การเมืองการปกครองที่เป็นปัญหา และความหวังที่อยากให้คนทุกคนเท่ากัน

ทำไมคุณถึงเลือกหยิบประเด็นการเมืองมาใส่ในเพลง

เราขอยกตัวอย่างวงที่พูดเรื่องวิถีชีวิตก่อน เช่น TaitosmitH จะพูดในเรื่องของแวดวงการเมืองหรือพวกชีวิตประจำวันของคน, Bomb at Track จะเจาะลึกหน่อยในระบบอำนาจ ความอยุติธรรมในกลุ่มผู้ใช้กฎหมาย 

ส่วนของเรา พอมันเริ่มจากว่าไม่มีใครพูดเรื่องนี้ เราเลยรู้สึกว่ามันควรเป็นเรา จริงๆ มันสามารถพูดได้ แล้วความสามารถ ณ ตอนนั้น มันเพียงพอจะทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นมาได้ แต่เราเชื่อว่ามันคงมีเงื่อนไขหลากหลายในแต่ละคนที่มันไม่สามารถทำออกมาได้ เรื่องของสัญญาเกี่ยวกับค่าย โดยที่มันเป็นสัญญาที่ขอไม่ให้พูดเรื่องนี้ เพราะค่ายเขาลงทุนให้คุณ คุณก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะพูดได้ ซึ่งเหล่านี้เราเข้าใจ แล้วก็ไม่ได้ไปโทษเขา แต่ว่าเราในฐานะศิลปินอิสระที่ไม่ได้ผูกกับอะไร เลยรู้สึกว่ามันสามารถพูดได้ แค่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ 

ของเราเหมือนมันเลยการเมืองไปอีกขั้นหนึ่ง ไม่ได้หยิบปัญหาเรื่องการเมืองมาพูด แต่ว่าพอมานั่งคุยกันแล้ว มานั่งวิเคราะห์จริงๆ ว่าปัญหาของสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจากระบบศักดินาก่อน เพราะฉะนั้น เรารู้สึกว่าการที่เราจะทำเพลงด่านายก มันไม่ไกเประสิทธิภาพอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเกิดว่าเราเปลี่ยนแปลงความคิดของเด็กให้ไม่สยบยอมกับระบอบที่กดเขาได้ มันน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า เลยเป็นที่มาของเพลงไม่มีคนบนฟ้า, ความฝันยามรุ่งสาง ที่อยากทำให้คนเข้าใจว่ามนุษย์มันแค่นี้ มนุษย์มันเท่ากันมากๆ เลยในเรื่องของศักดิ์ศรี ในเรื่องของสิทธิ์ที่เขาควรจะได้

ถ้าเกิดในอนาคต เด็กที่โตมากับพ่อแม่ที่มีความคิดอีกแบบนึง เขาถูกยัดว่าต้องรักคนๆ นึง แล้วเด็กรักไปเองโดยที่ไม่มีการตั้งคำถามใดๆ แต่วันนึงที่เขาอายุ 14-15 ปี แล้ววันนึงฟัง t_047 ร้องเพลงไม่มีคนบนฟ้า เด็กก็จะเกิดการตั้งคำถามแล้วว่าทำไมต้องไม่มีคนบนฟ้า ไปศึกษาหาข้อมูลต่อว่ามันมีเรื่องอะไร ความศรัทธาจะค่อยถูกทำลายๆ ไป พอแกนหลักตรงนั้นมันถูกทำลายไปได้แล้ว ถึงจะส่งผลต่อระบอบเรื่องของการเมือง แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่อะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงทันทีนะ แต่รู้สึกว่ามันเป็นจุดเล็กๆ ที่ถ้าทำ มันต้องเกิดอะไรบางอย่าง อย่างน้อยมันอาจจะเป็นแนวทางที่ทำให้หลังจากนี้วงรุ่นใหม่กล้าพูดถึงสิ่งเหล่านี้มากยิ่งขึ้น 

แล้วการที่คุณหยิบประเด็นศักดินามาพูด มันมีความเสี่ยง-ความกลัวอะไรมั้ย

ในแง่ของความปลอดภัยก็มีมาก่อกวนบ้าง มีตำรวจมาตามบ้าง หรือว่ามีคลิป MV เราไปอยู่ในที่ประชุมตำรวจ ซึ่งมีสายส่งมาให้ ถามว่ามันมีความกลัวมั้ย เมื่อก่อนมันไม่มี แต่ว่าพอมันมีลูก เราเริ่มรู้สึกว่าความปลอดภัยของลูกกับแฟนเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุด แต่เรายังถามตัวเองอยู่ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ได้ผิดอะไร คุณลองเอาเนื้อเพลงมากาง ถ้าคุณจะเอาผิด สมมติคุณจะใช้มาตรา 112 กับเรา คุณมากางเนื้อเพลงดูว่ามันมีท่อนไหนที่มันเป็นการลบหลู่หรือว่าดูหมิ่นสิ่งที่คุณเชื่อ มันไม่มีอะไรตรงนั้นเลย เราเชื่อว่ามันถูกต้อง ถ้าเกิดว่าเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ มันจะส่งผลต่อศิลปินรุ่นต่อไปอยู่ดี เกิดการตั้งคำถามถึงสิ่งที่เราทำต่อไปอยู่ดี เลยไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยมาก จะทำก็ทำ แต่พยายามจะป้องกันลูกกับแฟนให้ปลอดภัยที่สุด

คุณคิดว่ามันมีอะไรที่ต้องจ่ายมั้ย ในฐานะประชาชน-ศิลปินคนหนึ่ง ที่ลุกขึ้นต่อสู้ในประเทศของเรา

มันมีเรื่องที่ต้องจ่าย อย่างงานบางงานที่เราเคยขึ้นมันพูดหรือว่าไปแสดงออกทางการเมืองก็จะไม่จ้างเลย เรียกว่าถูกแบน แม้จะถูกแบน แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องจ่ายก็ต้องจ่าย เพราะว่าแล้วแต่คนว่าคุณจะภูมิใจในฐานะความเป็นศิลปินในรูปแบบไหน ซึ่งไม่ได้บอกว่าทุกคนจะต้องมาจ่ายแบบเรา หรือว่าทุกคนคนจะต้องไม่จ่ายเลย คือแล้วแต่ ไปชั่งน้ำหนักกันเอง มันเป็นเรื่องของปัจเจก บางคนอาจจะเอาตัวเองไปเสี่ยงเลยไม่ได้ เข้าใจว่าเขาอาจจะมีเงื่อนไขของที่ทำงานหรือครอบครัว แต่ว่าทุกการเคลื่อนไหวยังไงมันก็ต้องจ่ายอยู่แล้ว ถ้าสมมติว่าวันนี้เราออกมาพูด ปืนทุกกระบอกมันเล็งมาที่เราในฐานะ t_047 เพราะมันมีแค่วงเราพูด แต่ถ้าเกิดว่าวันนึง ทุกคนร่วมกันพูด เขาจะยิงใครอะ เพราะทุกคนพูดกันหมด คุณจะไปแบนใคร ถ้าแบนหมด มันก็ไม่มีงานจัด อันนี้ก็เป็นสิ่งที่แอบหวังไว้เล็กๆ ว่าอาจจะเป็นได้ อาจจะเกิดขึ้นได้คิดว่าถ้ามันมีคนหนึ่งโผล่หัวแล้ว มันต้องมีคนตาม

คุณจะยังใช้บทเพลงในการต่อสู้กับระบบศักดินาต่อไปหรือไม่

คิดว่ายังไงก็มีครับ อยู่ที่ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่มันมากระทบใจ อาจจะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่จะต้องพูด คือไม่ใช่เอาสะใจ แต่ว่ามันต้องมีประเด็นบางอย่างที่มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในความรู้สึกของคนได้

6
แม้การเปลี่ยนแปลงจะช้า แต่มันยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

คุณคิดว่าประเทศไทยเรายังมีหวังได้อีกมั้ย

(หัวเราะ) ถ้าพูดจากใจเราคิดบางทีก่อนนอนก็อยากจะตัดทุกอย่างทิ้ง ตัวเรามันมีความสิ้นหวังอยู่แล้ว แต่ว่ามันยังเห็นเพื่อนที่เขายังสู้อยู่ แล้วถ้าเกิดเราในฐานะศิลปินคนนึง แล้วเราสิ้นหวัง มันเหมือนกับว่าพละกำลังมันก็จะถูกตัดออกไปเรื่อยๆ คือยังไงมีหวังมันก็คงดีกว่าสิ้นหวังอยู่แล้ว ต่อให้แม่งจะดูสิ้นหวังยังไง คือพอมาคิดอีกมุม สิ่งที่พวกเขาทำอยู่ สิ่งที่รัฐบาลทำ ก็คือทำให้กลุ่มผู้คนที่อยากจะสู้รู้สึกสิ้นหวัง แต่ถ้าเราไหลไปตามเกมความสิ้นหวังเขาก็เท่ากับว่าแม่งก็ชนะแล้วก็เลยพยายามจะคิดหามุมมองอะไรบางอย่าง โอเคเว้ย มันมีการเปลี่ยนแปลงที่ช้า แต่ว่ามันยังเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ความฝันของคุณ ณ ตอนนี้ คืออะไร

ร่ำรวย อยากรวย (หัวเราะ) มีวันนึงเจอสเตตัสของจอมขวัญ (หลาวเพ็ชร์) ทำให้เข้าใจเหมือนกัน ว่าเราไม่ผิดเลยนะ ถ้าเกิดทุกคนคิดจะรวยในประเทศที่สวัสดิการโคตรแย่ คือรู้สึกว่าจะมีชีวิตอยู่รอดได้มันก็ต้องมีเงิน แต่ต้องไม่กระเสือกกระสนในการอยากมีเงินจนเกินไป จนไปทำร้ายคนอื่นหรือว่าไปทำลายสิ่งที่ตัวเองสร้างมา

ความฝันเลยแค่อยากทำในสิ่งที่มีความสุข ต่อไปให้ได้นานๆ หรือถ้าไม่มีความสุขแล้ว ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับธุรกิจสีเทา ไม่อยากไปยุ่งกับอะไรที่มันไม่ดี แล้วอยากให้ลูกเติบโตมาเป็นคนที่เขาภูมิใจในตัวเราแล้วเราก็ภูมิใจในตัวเองได้ มันอาจจะไม่ได้รวยอู้ฟู่ มีบ้านคฤหาสน์ใหญ่ แต่ว่าพอมีตังค์ที่จะส่งลูกเข้าเรียนได้ รักษาตัวเองรักษาคนรอบตัวได้ อยากมีชีวิตแค่แบบนี้เลย ให้มันธรรมดา ไม่ต้องเบียดเบียนใคร แล้วก็มีความสุขไปเท่าที่จะทำได้มี มีเรี่ยวแรงก็ไป ช่วยเหลือคนอื่นต่อ

นอกจากความฝัน แล้วในอนาคตมองตัวเองไว้แบบไหน

จริงๆ เราจะไม่ได้วางอนาคตไว้ไกลมาก คือรู้สึกว่ามันมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เอาแค่คิดว่าวันนี้ตื่นมาแล้วตัวเราอยากจะทำอะไร ตัวเราอยากจะพูดเรื่องอะไร ซึ่งตอนนี้ในวงกำลังโฟกัสกับการทำอัลบั้มที่ 3 อยู่ คุยกันว่าทำให้มันเป็นเหมือนคัมภีร์ไบเบิลเลย ที่ฟังจบ 14 เพลงแล้วคุณจะสามารถเข้าใจมิติอะไรหลายๆ อย่างในโลกได้ คุณจะไม่ต้องเศร้ากับการอกหัก-การเปลี่ยนแปลง-การจากลากันอีกต่อไป อยากจะทำแค่นั้น พออัลบั้มนี้เสร็จปุ๊บ ค่อยมาดูอีกทีว่าตื่นมาแล้วรู้สึกยังไง หรือว่าอัลบั้มนี้มันอาจพาเราไปที่ไหนก็ไม่รู้ เอาแค่ตอนนี้ยังตื่นมาแล้วมีความสุขกับการมารวมกันแล้วอัดเพลง ฟังเพลงที่อัดเสร็จ รอวันปล่อย คือจะอยู่กับปัจจุบันมากๆ เพราะคิดว่าความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเอง หนึ่งมาจากสิ่งที่คิดในอดีตหรือว่าไปทำอะไรพลาดมาแล้วยังอยู่กับมัน อยู่กับตรงนั้นเกิดทุกข์แล้ว หรือว่าไปคิดกับสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องของอนาคต เลยคิดว่าอยู่กับปัจจุบันนี่เศร้าน้อยสุด

ในแง่ของวง t_047 เราว่าเราไม่ได้กำลังจะทำเพลงให้มันดังนะ แต่ว่าเราอยากทำเพลงให้คุณรู้สึกดีขึ้นจริงๆ เพราะว่าคุณต้องเสียเงินให้เราเป็นค่า Streaming อยู่แล้ว คุณต้องเสียเงินให้เราค่า Product เราไม่ได้อยากให้คุณได้แค่ของสะสมในเรื่องของรสนิยมไป แต่เราอยากให้คุณจ่ายเงินให้เราเพื่อคุณจะได้รับสิ่งที่มันดีกับความรู้สึกคุณไป มันก็เป็นการแลกเปลี่ยนกันที่เรารู้สึกว่ามัน Fair คือถ้ามันดัง มันก็ดังมาจากที่คุณอยากจะส่งต่อสิ่งเหล่านี้ไปให้คนรอบตัวของคุณเอง ในวงคิดกันแค่นี้ เช่น ทำเพลงนี้แล้วมันช่วยคนซึมเศร้าได้ ช่วยคนที่กำลังอกหักได้ ส่วนเรื่องรายได้เดี๋ยวหาวิธีกันเอาเอง เราไม่ได้ต้องพยายามอะไรมาก คือไม่ต้องดังมากๆ เพื่อจะได้มีรายได้ แต่เรารู้สึกว่าเราค่อยๆ สร้าง Loyalty ค่อยๆ ให้คนเข้าใจในสิ่งที่เราจะทำไปดีกว่า แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงมาเป็นรายได้ที่หล่อเลี้ยงพวกเราได้เรื่อยๆ

อยากฝากอะไรกับโลกใบนี้ไว้มั้ยในฐานะศิลปิน

(คิด) เราแค่อยากให้คนไม่มองแค่ตัวเอง ง่ายๆ มันคือคำว่าไม่เห็นแก่ตัว และเราว่าการที่เราใช้ชีวิตอยู่โดยเห็นคุณค่าของชีวิตคนอื่น เราว่าเริ่มจากให้ความเมตตากรุณาต่อกัน แล้วก็ให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะมนุษย์ เรารู้สึกว่าความเห็นแก่ตัวของคนนี่แหละ ที่มันทำลายอะไรหลายๆ อย่างได้เยอะมาก คืออยากให้คนเห็นความเป็นมนุษย์ด้วยกันมากขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ต้องเห็นแค่ของมนุษย์ก็ได้ เห็นสิ่งมีชีวิตทุกอย่างรอบตัว ธรรมชาติที่คุณทำลายไปแม่งอาจจะเป็นทรัพยากรบางอย่างในอนาคตให้ลูกหลานก็ได้

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า