fbpx

“Slasher Films” หนังไล่เชือดเลือดสาด สยองคลาสสิกตัวตึงยุค 90s

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพยนตร์และซีรีส์แนวสยองขวัญนั้น เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชมมาช้านาน เพราะเป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกสนุก ตื่นเต้น ที่แตกต่างออกไปจากแนวอื่น ๆ ในตลาด ซึ่งก็เป็นที่น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ที่ดูเหมือนว่ามนุษย์เราจะชื่นชอบความหฤหรรษ์ที่เล่นกับความกลัวค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่จะมีใครรู้บ้างว่า ภายใต้ร่มใหญ่ของความสยองขวัญ ยังมีการแตกแขนงออกเป็นประเภทย่อยไปอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแนวปีศาจครอบงำจิตใจคน, อาถรรพ์จากสิ่งของหรือจากสถานที่, สัตว์ประหลาด, ซอมบี้, แวมไพร์, การใช้เวทมนต์คาถาของแม่มด  หรือแม้กระทั่งแนวคอมเมดี้ ที่สามารถผสมโรงกับความน่ากลัวได้อย่างลงตัว 

นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 ประเภทที่ค่อนข้างโดดเด่น เป็นที่จดจำ มากกว่าประเภทอื่นๆ นั่นก็คือ Slasher Films หรือ Slasher Movies นั่นเอง

Slasher Films คืออะไร 

ถ้าหากนำคำว่า Slasher ไปค้นหาคำแปลในแพลตฟอร์มแปลภาษาต่าง ๆ ก็จะพบว่า ความหมายของเจ้าคำนี้ คือ “เฉือน” และเมื่อรวมกันกับคำว่า Films ก็แปลตรงๆ ได้เลยว่า ภาพยนตร์เฉือน แต่ความจริงแล้ว นิยามของ Slasher Films  คือภาพยนตร์ที่มีฆาตกรถืออาวุธที่แหลมคม อย่างเช่น มีด หรือขวาน ไล่กำจัดเหยื่อทีละคน ด้วยความเลือดเย็น ไร้ความปรานีใดๆ 

ที่มาที่ไปของรสชาติของความสยองแบบ Slasher Films นี้ มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ประมาณยุค 50s แต่กว่าที่ Slasher Films จะมีชื่ออยู่แถวหน้าของวงการภาพยนตร์ มีชื่อเสียงโด่งดังและฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น ก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงประมาณยุค 80s จนถึง 90s แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ในยุคนั้น เป็นช่วงที่มีคดีฆาตกรรมต่อเนื่องผุดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด ก่อกำเนิดเป็นเรื่องราวของเหล่าฆาตกรต่อเนื่องต่างๆ ซึ่ง Slasher Fims เองก็มีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เหล่าฆาตกรต่อเนื่องเป็นอยู่มากเลยทีเดียว และบางเรื่องก็สร้างมาจากเรื่องจริงด้วยบางส่วน ฉะนั้นแล้ว การที่มีสื่อบันเทิงที่นำเสนอเรื่องราวเช่นนี้ออกมา จึงเหมือนเป็นเรื่องราวที่เหล่าผู้ชมรู้สึกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว อาจจะเกิดขึ้นกับเราในวันใดวันหนึ่งก็ได้ และยังเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนสภาพสังคมยุคนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่แปลกที่จะได้ใจเหล่าผู้ชมไปเต็มๆ

เบื้องหลังก่อน Slasher Films จะ Famous!

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าในช่วงประมาณยุค 80s ไปจนถึงประมาณยุค 90s นั้น มีการสร้าง Slasher Films ออกมามากกว่า 330 เรื่อง ซึ่งถือเป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูงมาก และแถมเป็นช่วงที่ Slasher Films มีความร่อแร่ จะรอดไม่รอดแหล่อยู่แล้ว เพราะผ่านช่วงที่เริ่มเป็นที่รู้จักมาแล้ว และมีภาพยนตร์ที่สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญมาแล้ว อย่าง The Texas Chainsaw Massacre (1974)  แต่ก็กลับไปซบเซาอีกครั้ง ด้วยภาพลักษณ์การเป็นภาพยนตร์เกรดบี ทุนต่ำ ที่ไม่ได้มีคุณค่าเท่ากับภาพยนตร์ประเภทอื่นๆ การเล่าเรื่องที่ฉาบฉวย มีแต่การฆ่าฟันกันอย่างไม่มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน แต่ว่าท่ามกลางเสียงต่อว่าต่างๆ มากมายนั้น มีภาพยนตร์หนึ่งเรื่องที่เหมือนเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมากอบกู้ชื่อเสียง เรียกความมั่นใจของ Slasher Films กลับมาอีกครั้ง อย่าง Scream (1996)

Scream (1996) เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งเพิ่งสูญเสียแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ก็ต้องพบกับเรื่องราวร้ายๆ อีกครั้ง เมื่อเพื่อนและคนรอบตัวของเธอถูกฆาตกรรมทีละคนๆ โดยฝีมือของฆาตกรในหน้ากากผีสีขาว และในวันหนึ่ง เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากฆาตกรคนนั้น ทำให้เธอเกิดความคลางแคลงในใจว่า หรือมันจะเป็นคนใกล้ตัวของเธอ  นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้หญิงสาว เริ่มอยากตามหาตัวฆาตกรตัวจริงให้ได้

ถ้าพิจารณาจากเนื้อเรื่องเพียงอย่างเดียว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวการฆาตกรรมของฆาตกรต่อเนื่องทั่วๆ ไป แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ Scream (1996) ได้ชื่อว่าเป็นหนังสยองขวัญแห่งยุค 90 นั้น เกิดจากการเล่าเรื่องแบบฉีกขนบที่ยังคงเคารพเหล่าภาพยนตร์รุ่นพี่ในฌองเดียวกัน ด้วยการใส่ความตลกร้ายที่หยิบนำเอาเสน่ห์ของหลายๆ เรื่องมาผสมผสานกัน จนได้ออกมาเป็นผลงานที่ดันเพดาน Slasher หลุดจากภาพยนตร์เกรดบี สู่การเป็นภาพยนตร์พรีเมียมเกรดเอแห่งยุคนั้นไปเลย

มอง Slasher Films ในปัจจุบัน

ปัจจุบันนี้ Slasher Films ยังคงโลดเล่นอยู่ในวงการสื่อบันเทิงอยู่เช่นเดิม มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาผสมผสานเรื่อวราวแนวอื่นๆ เข้าไปมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปแล้ว รวมถึงในเรื่องของรูปแบบ ที่ในอดีต มีเพียงภาพยนตร์เท่าน้ั้น แต่ปัจจุบันนี้ ที่เป็นยุคแห่งการสตรีมมิ่งออนไลน์ ผู้คนสามารถเข้าถึงความบันเทิงได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ซีรีส์จึงป็นอีกหนึ่งช่องทางใหม่ในการนำพา Slasher Films ออกสู่สายตาของเหล่าผู้ชม

เรากำลังจะพูดถึง American Horror Story Season 9 : 1984 ที่ออกอากาศในปี 2019 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในค่ายฤดูร้อนแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า เรดวู้ด โดยทางค่ายจำเป็นที่จะต้องมีพี่เลี้ยงไว้คอยดูแลเด็กๆ ที่จะมาอยู่ค่าย ทำให้กลุ่มวัยรุ่น 5 คน ตัดสินใจที่จะสมัครเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงของค่ายเรดวู้ด และก่อนที่เด็กๆ จะเดินทางมาถึง พวกเขาทั้งหมดต้องไปตระเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อม เพื่อต้อนรับด็กๆ ที่กำลังจะเดินทางไปถึงในวันถัดไป แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนก็คือ ในอดีต ค่ายแห่งนี้เคยเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ โดยฝีมือของ Mr. Jingles ฆาตกรที่ชอบสะสมหูคน และเรื่องราวเหล่านั้นกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับพวกเขา

โดยภาพรวมแล้ว American Horror Story อาจจะมีเนื้อเรื่องธรรมดา ไม่ได้ผิดแปลกไปจากการเป็น Slasher Films อื่นๆ แต่ทว่านี่เป็นเรื่องราวแนวทีวีซีรีส์เรื่องแรกๆ ที่ออกมาแบบ Slasher Films พร้อมทั้งใส่ความเป็น Slasher Films มาให้อย่างจุใจ ทั้งด้านลักษณะของตัวละครที่รับบทเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ลักษณะของตัวละครที่เป็นฆาตกร สถานที่ภายในเรื่อง สภาพแวดล้อม ทั้งหมดนั้นแทบจะรวมความเป็น Slasher Films ทั้งหมดไว้ที่นี่ที่เดียว  และด้วยธรรมชาติของทีวีซีรีส์ที่จะไม่ได้เป็นการดูเรื่องราวในครั้งเดียวจบ แต่เนื้อหาจะถูกซอยแบ่งออกเป็นตอนๆ ทำให้มีการค่อยๆ ไต่ระดับเข้าสู่ความน่ากลัวที่เป็นแก่นของเรื่อง ทำให้อรรถรสในการรับชมเพิ่มขึ้นอีกเป็นกองเลยทีเดียว เป็นซีรีส์อีกหนึ่งเรื่องที่คุ้มค่าแก่การรับชมอย่างแน่นอน

กฎคลาสสิกของ Slasher Films

เมื่อพิจารณาดีๆ แล้ว ก็พบว่า หลายเรื่องราวๆ ของ Slasher Films จะมีจุดร่วมที่คล้ายกับเป็นสูตรสำเร็จ เป็นคู่มือ ในการทำ Slasher Films ซึ่งเราได้รวบรวมเป็นหัวข้อใหญ่ๆ 6 ข้อ ดังนี้

1. ลักษณะของคนร้าย

คนร้ายใน Slasher Films มักจะทำการฆาตกรรมเหยื่อด้วยอาวุธคู่ใจเพียงอย่างเดียวตลอดทั้งเรื่อง และจะทำไปเพื่อความสนุกสนานเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีแรงจูงใจอะไรเป็นพิเศษในการลงมือสังหารเหยื่อ จะมีบางเรื่องราวที่เป็นการกระทำเพื่อแก้แค้น แต่ก็เป็นส่วนน้อยและเบาบาง ซึ่งตัวคนร้ายนั้น อาจจะมีเรื่องราวในอดีตบางอย่างที่เป็นตัวจุดชนวนและทำให้พวกเขากลายเป็นฆาตกรได้ในภายหลัง  และอีกหนึ่งลักษณะสำคัญที่คนร้ายจะต้องมี นั่นก็คือความแข็งแกร่งเกินคนทั่วไป ต่อกรได้ยาก ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในแง่ของการดำเนินเรื่องราว แต่ว่าก็แอบขัดแย้งในความเป็นจริงเช่นเดียวกัน เพราะถึงอย่างไรแล้ว ฆาตกรเหล่านี้ก็ยังเป็นมนุษย์

2. ลักษณะของเหยื่อ

สัญลักษณ์ของ Slasher Films อีก 1 อย่างคือ ตัวละครที่จะมาเป็นเหยื่อให้กับมือเชือด มักจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ สาเหตุที่ต้องเป็นกลุ่มวัยรุ่นนั้น เพราะว่าพวกเขาเป็นกลุ่มที่มีทั้งความเป็นกลุ่มเป็นก้อน ชอบใช้เวลาสนุกสนานร่วมกัน และในขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นกลุ่มที่ถูกโจมตีได้ง่ายด้วยเช่นกัน เนื่องจากขาดความรอบคอบ มัวแต่เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนไม่มีการระแวดระวังใดๆ  ซึ่งคนร้ายจะได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในการลงมืออยู่เสมอ

3. จำนวนเหยื่อ

สืบเนื่องจากที่เหยื่อมักจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ไป Hang Out กัน ส่งผลให้จำนวนของเหยื่อจะต้องมีมากกว่า 3 คนขึ้นไป หรือมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะว่าในกลุ่มของเหยื่อนั้น จะมีตัวเอกของเรื่องถูกวางใส่เข้าไปอยู่เสมอ และฆาตกรก็จะกำจัดเหยื่อทีละคนๆ จนเข้าใกล้ตัวเอกมากขึ้นเรื่อยๆ  และให้ผู้ชมมาลุ้นกันอีกทีว่า ตัวเอกจะหนีรอดจากเงื้อมมือฆาตกรได้หรือไม่

นอกจากกนี้ ยังมีเหตุผลในเรื่องของการออกแบบฉากตายอีกด้วย ซึ่งการมีเหยื่อจำนวนมาก ทำให้ผู้สร้างสามารถออกแบบการตายได้หลากหลายแตกต่างกันออกไปตามเหยื่อแต่ละคน ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ มีภาพจำที่ชัดเจนในสายตาของผู้ชม

4. ลักษณะของสถานที่

ส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกน่ากลัวและขนลุกอย่างประหลาด ด้วยตัวสถานที่นั้นๆ เอง ซึ่งอาจจะเป็นพื้นที่ห่างไกลผู้คน อย่างกระท่อมกลางป่า หรือเป็นพื้นที่โล่งแจ้งสุดลูกหูลูกตาอย่างทะเลทราย หรืออาจจะเป็นสถานที่ที่เคยมีคนพลุกพล่านแต่กลับเงียบเหงาไปช่วงหนึ่ง เช่น ค่ายฤดูร้อนในป่าใหญ่ที่เด็กๆ เลิกค่ายกลับบ้านกันหมดแล้ว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้น สามารถเป็นสถานที่หลักของ Slasher Films ได้ทั้งหมด เพราะทั้งสามลักษณะของสถานที่นั้น ส่งผลให้การขอความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอกเป็นไปได้ยาก หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลย และฆาตกรก็จะลงมือได้สบายๆ 

5. Jump Scare

ไม่ใช่ผีเท่านั้นที่ Jump Scare ได้ แต่ฆาตกรก็ทำได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสูตรสำเร็จที่ใช้กันประจำนั้นก็คือ สร้างฉากตกใจหลอกขึ้นมาก่อนจากการแกล้งกันเองในกลุ่มเพื่อน และเฉลยว่าเป็นการแกล้ง แต่ในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา ฆาตกรตัวจริงก็จะโผล่มาจู่โจมทันที 

ถึงจะเป็นมุกในภาพยนตร์ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็ยังคงถูกใช้กันมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน เป็นอีกอย่างที่ต้องมีให้รู้ว่านี่คือ Slasher Films ตัวจริง!

6. การตัดสินใจของตัวละคร

เหล่าผู้ชมที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับ Slasher Films มาหลายเรื่องนั้น คงจะมีหลายคนก่นด่าการตัดสินใจของตัวละครในเรื่องไม่มากก็น้อย เพราะส่วนมากสิ่งที่ตัวละครเลือกจะทำมักจะไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แต่การกระทำในลักษณะนี้ก็สมเหตุสมผลในมุมมองของตัวละครเอง เพราะว่าหากเราไปตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเอง การตัดสินใจต่างๆ ก็จะเต็มไปด้วยความตึงเครียดแถมยังตัดสินใจได้ช้าอีกด้วย

จากเรื่องราวทั้งหมดที่นำเสนอไปข้างต้นนั้น สะท้อนภาพรวมของ Slasher Films ได้ออกมา 3 คำสั้นๆว่า มีแล้ว มีอยู่ มีต่อ

มีแล้ว คือ Slasher Films มีการเกิดขึ้นและสร้างสรค์ความสนุกให้กับผู้ชมมาเนิ่นนานมากกว่า 70 ปี

มีอยู่ คือการที่ปัจจุบันนี้  Slasher Films ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้หนีหายไปไหน

มีต่อ  Slasher Films จะยังอยู่คู่กับวงการสื่อบันเทิงแนวสยองขวัญต่อไปตราบนานเท่านานอย่างแน่นอน

อ้างอิง

University of Kentucky Research Gudies / Industrial Scripts / The Ringer / Indie Wire / Thairath Online

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า