fbpx

การเติบโต ความพยายาม และความทุ่มเทในการเป็นไอดอลของภูมิ-พงศ์รชตะ

“จากกาฬสินธุ์มาตามความฝันที่เมืองบางกอก
จากบ้านนอกมุ่งสู่เมืองกรุง
เก็บความคาดหวังไว้ในกระเป๋ากางเกงที่นุ่ง
จะหอบดาวใส่ถุงไปฝากมารดา”

นี่คือเนื้อร้องเริ่มต้นของเพลง “หอบดาว” เพลงแรกของภูมิ-พงศ์รชตะ ไชยศิวามงคล 1 ใน 8 ผู้เข้าแข่งขันรายการเดอะสตาร์ ไอดอล ผู้ที่เดินทางตามสายดนตรีมาตั้งแต่อายุ 11 ปี และแน่วแน่ในการเป็นศิลปิน จนวันนี้เขาได้รับการยอมรับจากคนไทยทั้งประเทศในฐานะไอดอลประจำรายการเดอะสตาร์ ไอดอล ซึ่งการคว้ารางวัลรองชนะเลิศของเขานั้น ถือว่าสมศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก และเขาเองก็ภูมิใจที่อย่างน้อยสามารถก้าวขึ้นเป็นศิลปินได้สำเร็จ

ผมและทีมงาน Modernist นัดภูมิที่อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลสเพื่อมาพูดคุยและสัมภาษณ์ความรู้สึกของเขาหลังจากที่ได้ทำงานเพลงของตนเองจนได้ปล่อยเพลงในวันนี้ไปแล้ว ด้วยยอดการรับชมมิวสิควีดิโอ ณ วันที่ 12 เมษายน 2565 อยู่ที่ 4.2 แสนครั้ง วันนี้พวกเราจะมาไขความรู้สึก พร้อมทั้งเรื่องราวที่น่าสนใจของภูมิ จากเด็กตัวน้อยๆ ในเวที The Voice Kids Season 3 สู่การเป็นศิลปินภายใต้ช่องวัน 31 ว่าเส้นทางของเขาต้องพบเจอกับอะไรบ้าง?

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองชอบร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่

รู้ตัวตั้งแต่ประมาณ ป. 5 ตอนนั้นเพิ่งเริ่มแข่งร้องเพลงในงานโรงเรียนโดยเริ่มร้องเพลงลูกกรุงมาก่อนครับ แล้วพอขึ้น ม. 1 ภูมิก็ได้เข้าไปวงของโรงเรียน ตอนนั้นพี่มาตัง (ระดับดาว ศรีระวงศ์) เขาอยู่วงนั้น แล้วพี่เขาย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ พวกพี่ๆ ในวงก็เลยชวนภูมิเข้าไปเป็นนักร้อง ก็เริ่มจริงจังมาตั้งแต่ตอนนั้นครับ ตอนนั้นก็เริ่มเล่นดนตรีจากเพลงแนว Rock เลยครับ อย่างเพลงของ BODYSLAM, BIG ASS, POTATO ช่วงนั้นมีเพลงไหนดังๆ ผมก็เล่นหมดเลยครับ

ไอดอลของคุณคือใคร

ส่วนตัวเลยมีพี่บอย LOMOSONIC (อริย์ธัช พลตาล), พี่เฟิด SLOT MACHINE (คาริญญ์ยวัฒ ดุรงค์จิรกานต์) แล้วก็ชอบพี่จ๋าย TaitosmitH (อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี) คือภูมิเพิ่งมารู้จักพี่จ๋ายตอนเพลง Hello Mama ช่วงนั้นเพื่อนๆ ฟังกัน ก็สนใจครับว่าเพลงอะไร ทำไมมีอะไรแปลกๆ มีเนื้อภาษาอังกฤษ ก็เลยลองไปฟัง TaitosmitH ดู ก็ชอบเลยติดตามพี่จ๋ายมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย

จุดไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่าต้องประกวดร้องเพลง

ผมเริ่มประกวดเพราะอยากวัดศักยภาพตัวเองว่าเราเองไม่เคยประกวดที่ไหนมาก่อน แล้วความสามารถของเราจะไปได้ถึงไหน ก็เริ่มจากไป The Voice Kids Season 3 เข้าไปรอบ Blind Audition แล้วก็ไม่ได้ถูกเลือก ก็เลยลองไปอีกปีนึง ก็เข้าไปถึงรอบ Battle หลังจากนั้นก็มีไปประกวด Bao Young Blood ไปประกวดกับวงครับ แล้วหลังจากนั้นก็มีไปรายการดันดารา 2 เทปครับ คือมันแข่งจบในเทปเลย ก็ได้แชมป์มา 2 เทปเลย แล้วก็ไปรายการ Dream Song ของช่อง 8 ก็ชนะในเทปนั้นเหมือนกัน ส่วนของ The Star ภูมิไม่ได้คิดว่าจะมาตอนแรก เพราะตอนนั้นเตรียมตัวเข้ามหาลัย มันต้องเตรียมสอบ เตรียมซ้อม เข้ามหาวิทยาลัยมันก็หนักหน่อย แล้วก็กะจะไป The Voice ทีนี้ก่อนจะมา The Star ภูมิเคยไปคัดเลือกเป็นนักแสดงละครเวทีที่รัชดาลัย ก็เข้าไปถึง Final Audition ก็ได้เจอพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ได้ร้องเพลงให้พี่บอยฟัง เขาก็บอกว่าจองตัวมา The Star นะ อย่าลืมนะ ก็เลยมา

ตอนนั้นคิดมั้ยว่าเราจะติด 8 คนสุดท้าย

วัน Audition ไม่ได้คิดเลย แค่อย่างน้อยให้คนได้เห็นเราในจอ ได้ฟังเพลงที่เรามาร้องในสไตล์ของเรา ตอนนั้นเอาเพลงยาพิษมาร้อง ก็อยากให้ทุกคนได้ลองฟังในแบบที่เป็นเราดู แค่นั้นเลยครับ ตอนเจอคณะกรรมการก็ตื่นเต้นครับ แต่ไม่ได้ตื่นเต้นจนเกร็งขนาดนั้น ก็เป็นความตื่นเต้นเพราะว่าทุกที่ที่ไปก็ตื่นเต้นตลอด เมื่อเช้าไปอัดรายการมาก็ตื่นเต้น

เห็น The Star เป็นยังไงจากมุมของเด็กที่ประกวดมาตลอด

สำหรับผมตอนนั้นเลยคิดว่าเขาเอาหน้าตา (หัวเราะ) เพราะแต่ละคนที่เขามา 1 ใน 8 นี่หน้าตาดีเนาะ ร้องเพลงได้ด้วย ก็เลยคิดว่า The Star น่าจะไกลเกินเราหรือเปล่า ก็เลยไม่ได้คิดว่าจะมา The Star ในตอนแรก แต่ก็ได้เห็นแล้วจากพี่ๆ ที่เขามากันว่าก็มีโอกาสอยู่ ภูมิก็เลยลองมาดู

ตอนที่พี่บอยชวน เราปฏิเสธได้นะว่าไม่อยากมา แต่อะไรทำให้เรามาประกวด

ก่อนที่จะไป Audition ที่โรงละครรัชดาลัย เธียเตอร์ คืนก่อนหน้านั้นผมได้อธิษฐานขอให้ผมได้งานตามความเชื่อแบบคริสเตียนนะครับ ช่วงนั้นก็มีโควิด-19 ด้วย ผมไม่ได้ร้องเพลงเลย ปกติจะได้ร้องกลางคืนบ้าง หลังจากนั้นพี่บอยบอกให้มาผมก็ไม่ได้ส่ง Online Audition ด้วย แล้วมันมีวันหนึ่งผมก็วิ่งออกกำลังกายอยู่ ตอนกลางคืนก็กลับมาอธิษฐานอยากร้องเพลงอีกแล้ว วันต่อมาก็มีพี่ทีมงานติดต่อมา ผมมาด้วยความเชื่อด้วยส่วนหนึ่ง แล้วก็เห็นเป็นโอกาส คือเราเห็นแม่เราลำบากมาตั้งแต่เด็กแล้ว เราอยากให้ครอบครัวเราสบายขึ้น ผมก็เลยตั้งใจลองทำดู

แล้วชีวิตการเป็นนักร้องกลางคืนกับเป็น The Star Idol มันต่างกันยังไงบ้าง

ถามว่าต่างกันมากมั้ย ผมว่าก็ไม่มาก เพราะผมก็เตรียมตัวเองให้พร้อมตลอด เพราะคิดว่าโอกาสมันเยอะ แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้ เราก็ต้องทำตัวเองให้พร้อมก่อน แล้วถ้ามีโอกาสเข้ามาเราก็ไปได้เลย ซึ่งนักดนตรีกลางคืนผมก็เล่นแค่กลางคืน ตอนกลางวันก็ไปเรียน วันที่ไม่มีเรียนก็เก็บสต็อกเพลง พอมาเป็นศิลปินมันก็ต่างกันตรงเวลาทำงานด้วย แล้วก็เราต้องเข้าใจว่าเราร้องเพลงให้หลายๆ คนฟัง คือร้องเพลงกลางคืนผมจะร้องเป็นสไตล์ผมเลย ที่มันยากคือผมต้องมาปรับสไตล์ การใช้เสียง เหมือนว่าพอเป็นศิลปินต้องปรับให้ฟังง่ายขึ้น แต่ผมเคยได้มากที่สุดคิวเดียวครับ เพราะผมไป Audition มาเยอะมาก หลายร้านหลายที่เลยแต่โดนปฏิเสธหมด ตอนที่เขาปฏิเสธผมไม่เจ็บครับ ผมแค่แบบชั่งเขา ในเมื่อเขาไม่เอาเรา เราไปหาที่อื่นเล่นก็ได้ ผมแค่เล่นดนตรีก็มีความสุขแล้ว ผมไม่ได้คิดว่าทำไมเขาไม่เอาเรา เพราะการแข่งขันในตลาดนี้มันก็สูงอยู่แล้ว ผมก็เข้าใจ ไม่เป็นไร เราไปหาร้านใหม่แล้วกัน แล้วจริงๆ ผมมองเรื่องเงินเป็นเรื่องรองครับ บอกให้ผมไปเล่นฟรีผมก็ไป

บอกความรู้สึกตอนที่ได้เล่นดนตรีหน่อยว่ามันเป็นยังไง

ผมชอบตัวเองตอนที่ได้อยู่บนเวที ผมรู้สึกว่าผมมีโลกของตัวเองอยู่บนนั้น ผมมั่นใจที่ผมจะทำอะไร ผมจะเดิน จะกระทืบเท้า จะกระโดด ผมมีความมั่นใจที่จะทำตรงนั้นมากๆ แล้วก็อยากที่จะส่งความรู้สึกของเราออกไปว่าผมชอบที่จะได้อยู่ท่ามกลางผู้คน อยู่ข้างบนเวทีแบบนี้น่ะครับ

ตอนที่เห็นตัวเองออกทีวีตอนที่ประกวด The Star Idol ครั้งแรก รู้สึกยังไง

ตอนนั้นผมแบบพยายามทำตัวให้เป็นกลางมากที่สุด ผมคิดซะว่าผมไม่รู้จักคนนั้นน่ะ ผมชอบคนนั้นที่อยู่ในทีวี ผมชอบไอ้แว่นเนี่ย (หัวเราะ) พอกลับมาดูตัวเองแล้วก็คิดว่า เราก็ใช้ได้นะ ก็ภูมิใจในตัวเองครับ

สิ่งรอบข้างเปลี่ยนไปยังไงบ้างเมื่อมีคนเห็นเราในทีวี

มันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหมดเลยครับ อย่างเพื่อนที่ไม่ได้คุยกันมานานเขาก็กลับมาให้กำลังใจเรา บางคนเราลืมเขาไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าเขายังจำเราได้ เขายังมาให้กำลังใจเรา ญาติๆ คนในครอบครัวก็สนับสนุนผมเต็มที่เลย ถ้าพูดถึงร้านที่ปฏิเสธก็มีอยู่ที่นึงที่ผมจะไปเล่นกับเขา เขาจะจ้างผมไป สรุปว่ายกเลิกไปในตอนั้น เขาก็ติดต่อมา

พอแข่งลึกเข้าเรื่อย ๆ รู้สึกยังไง

ตอนนั้นผมสบายใจ เพราะได้ร้องเพลงที่อยากร้องแล้ว ได้ทำเต็มที่แล้ว มันสบายใจไปแล้ว แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะเสียใจถ้าไม่ได้เข้ารอบ ถ้าไม่ได้ไปต่อ วันนั้นผมทำเต็มที่แล้ว ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรเลย ถ้าถามว่าคาดหวังกับการเป็นแชมป์ไหม มันก็มีบ้างครับที่คิดว่าถ้าได้ก็ดีนะ เพราะเป็นแชมป์คนก็รู้จักเยอะ แต่พอเราได้แข่งมาเรื่อย ๆ แล้ว รู้สึกว่าเป็นแชมป์ก็ไม่สำคัญ เป็นอะไรก็ไม่สำคัญ แค่เป็นตัวเองแล้วทำให้คนอื่นรู้สึกตามไปกับเราก็พอแล้ว

แล้วพอเข้าไปเป็น 8 คนสุดท้ายแล้วรู้สึกยังไง

8 คนครั้งแรก มันรู้สึกจบละ ไม่ต้องแข่งกับใครแล้ว แข่งกับตัวเองเนี่ยแหละ คือผมก็แข่งกับตัวเองมาตั้งแต่แรกอยู่ละ แต่หลังจากนี้มันแข่งกับตัวเองจริงๆ เลยทำให้เราต้องเต็มที่กับมันครับ

ใน 7 โชว์ที่ได้แสดง ชอบโชว์ไหนที่สุด

ชอบโชว์สุดใจครับ ด้วยเพลงที่ผมเคยร้องในงานศพยายของผม ที่ผมชอบเพราะเนื้อหาเพลงด้วย ผมชอบเพลงแบบนี้ ผมชอบการเล่าเรื่องแบบนี้ ลึกๆ หม่นๆ

เล่าถึงภาพรวมของการเวิร์คชอปจนไปถึงการทำโชว์หน่อย

ส่วนมากจะดีหมดเลย แต่ว่าจะมีสัปดาห์นึงที่ผมแย่ คือตอนนั้นเป็นแผลในคอครับ ตอนนั้นคือกดดันจริง เพราะเหมือนว่าผมผ่านเข้ามาแล้ว รู้แล้วว่ากติกาเป็นยังไง ต้องมีการจัดอันดับ มันก็กดดันตัวเองเพราะผมอยากให้มันออกมาดี แล้วพอเราป่วยมันก็เครียดไปหมดเลย ไม่รู้จะทำยังไงดี แต่พอเป็นช่วงทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ แล้ว ผมรู้สึกไม่เหงาครับ ผมชอบอยู่กับเพื่อนๆ อยู่แล้ว แล้วเรามีเพื่อนกลุ่มใหม่กลุ่มนี้ ผมยินดีมากเลยที่ได้เจอพวกเขา ได้คุยกัน ได้ปรึกษากัน ขอคำแนะนำกัน เราก็ช่วยๆ กัน มันดีมากๆ ที่ได้มาเจอกันเพราะเราได้แลกเปลี่ยนความคิดความรู้กัน

แต่ตอนที่ผมได้โจทย์ร้องคู่กับศิลปิน ครั้งแรกที่รู้ว่าเป็นพี่แก้ม (วิชญาณี เปียกลิ่น) ก็ตกใจ แบบ ผมเนี่ยนะร้องกับพี่แก้ม เขาจะแกล้งผมรึเปล่า (หัวเราะ) เหมือนเอาเราไปฆ่า แต่ก็อยากร้องมาก เพราะพี่แก้มคือนักร้องเบอร์ต้นๆ ของไทยเลย ใครๆ ก็ชอบ ใครๆ ก็ฟัง เอาล่ะ มันก็ต้องลองแล้วล่ะ แล้วพอได้ซ้อมกันมันก็สนุกมาก เหมือนซ้อมกับรุ่นพี่ครับ คือเขาเก่งมาก แต่เขาไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะทำได้ไม่เท่าเขา หรือเขาจะทำให้เรากลัว มันก็ค่อนข้างสบายใจ แล้วในวันโชว์ เราก็ตกลงกันว่าจะทำอะไรยังไง แค่คุยกันแล้วก็ขึ้นเวที คือผมชอบนะ ผมรู้สึกว่าผมก็แบบพยายามดันไปให้สุด เพราะพี่แก้มใส่มาเต็ม จังหวะนั้นถ้าผมไม่ใส่ก็ดร็อป ผมก็เลยต้องใส่เต็มที่ครับ

คอมเมนต์กรรมการ มีอันไหนที่ Impact กับเราที่สุดมั้ย

คอมเมนต์ของพี่บอยตอนรอบชิงชนะเลิศเลยครับ วันนั้นพี่บอยพูดว่า “ผมเป็นคนเก่ง แล้วผมก็รู้ตัวว่าผมเก่ง แล้วผมก็แสดงออกมาว่าผมเก่ง เราไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ตลอดก็ได้ว่าเราเก่ง” มันเหมือนมีแรงปะทะเขามาที่ตัวผม ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ผมต้องทำยังไง ผมคิดอยู่ตลอดเลย ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งขนาดนั้น แต่เราก็ไม่ถึงกับสู้ใครไม่ได้ ผมยังมีอะไรต้องฝึกอีกเยอะ จังหวะนั้นก็ทำตัวไม่ถูก มันทำให้ผมจัดการบางอย่างกับตัวเองได้เยอะเลย

เคยกังวลมั้ยว่าถ้าเราต้องออกไประหว่างทางจะเป็นยังไง

พอผมเข้าไปถึงรอบเพลง Hello Mama แล้ว ผมจะคิดกับตัวเองว่า ถ้าได้ร้องอีกสัก 4 – 5 เพลงนะ มันคงจะดีนะ มันต้องเข้ารอบลึกมาก แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ก็อยากร้องนะ แต่ก็ไม่ได้กลัวที่จะตกรอบครับ แต่พอถึงรอบชิงชนะเลิศก็รู้สึกสำเร็จ รู้สึกพอใจในตัวเองในระดับนึงเลยว่าเรามาไกลมากๆ แล้ว จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่เสียใจเลย เพราะการที่ผมมาถึงตรงนี้ ผมเหมือนได้สานความฝันของเพื่อนๆ ที่เขาไม่ได้มากับเรา เหมือนเราเป็นตัวแทนของพวกเขา เพราะก็มีหลายคนที่บอกว่า ฝากด้วยนะ เราก็ใส่ให้สุดเลย ทุกรอบผมก็เต็มที่

รู้สึกยังไงบ้างที่ผลออกมาแล้วเราได้ตำแหน่งรองชนะเลิศ

ไม่ผิดหวังเลยครับ แล้วก็สมหวังกับตัวเอง สมหวังกับบูม (สหรัฐ เทียมปาน) ในห้องตอนก่อนแข่งผมก็คุยกับบูม แล้วผมก็กอดเขา บอกกับเขาว่าวันนี้จะเป็นยังไง แพ้ชนะไม่สำคัญ เรามาถึงจุดนี้แล้ว ไม่ว่าใครจะได้หรือไม่ได้ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้วในระดับนึง แล้วตอนที่ได้เห็นโชว์ของบูมผมก็รู้แล้วว่าใครจะได้แชมป์ แต่ไม่ได้ถอดใจนะครับ คือผมอย่างชอบเลย โชว์ของคนอื่นๆ ผมก็ชอบนะที่ผ่านๆ มา แต่ตอนนั้นมันรู้สึกได้เลย ผมบอกทุกคนเลยว่า นี่แหละแชมป์ ด้วยเพลงของรอบนั้นไม่ได้เน้นโชว์อลัง รอบนั้นผมปล่อย เอาสนุกเอาสะใจเลย เพราะมันเป็นแนวที่ผมอยากทำมากๆ แล้วตอนนั้นโปรดิวเซอร์ก็บอกให้ผมเลือก 1 เพลง อยากทำอะไรก็ลองมาคุยกัน ภูมิเลือกเพลงก้อนหินละเมอ แล้วมันเป็นเพลงนอกค่าย โปรดิวเซอร์ชอบเพลงนี้มาก เขาก็บอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ ผมก็วาง Concept ไปคุยกับเขา ผมอยากใส่ Reggae อยากใส่ Scars เอาแบบโยกๆ เพราะรอบสุดท้ายผมไม่ได้อยากให้ทุกคนมาซาบซึ้ง ปรบมือ ผมแค่อยากให้ทุกคนสนุก ผมชอบแบบ Entertain ก็เอาแบบนี้เลยแล้วกัน ไม่ได้หวังอะไรเลย ผมแค่หวังให้ทุกคนสนุก

ชีวิตหลังประกวดเสร็จที่เราคิดไว้กับความเป็นจริงมันต่างกันยังไงบ้าง

ผมยังไม่ค่อยได้คิดภาพต่อหลังจากจบรายการเลย มันตกใจ แต่ไม่ใช่เรื่องการทำงานนะครับ ตกใจที่มีแฟนคลับมารอข้างล่าง คือชีวิตผมถึงจะมีคนติดตามแต่ก็ไม่เคยมีคนมารอเจอเราเป็นกลุ่มคนเยอะขนาดนี้ เมื่อก่อนเราเข้ามาแกรมมี่ ถือกีต้าร์เข้ามาไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครมองเราเลย แต่วันนึงเรามาซ้อม ลงจากตึกไปจะกลับบ้านแล้วมีคนมารอเรา แล้วเขาก็เรียกผม ผมก็แบบ เรียกผมเหรอ เรียกทำไม (หัวเราะ) ก็เพิ่งรู้ว่าเราเริ่มมีแฟนคลับมากขึ้นแล้วตั้งแต่ตอนนั้น

พอมีกลุ่มแฟนคลับขึ้นมาแล้ว รู้สึกยังไง

มันมีความหมายมากๆ เลยนะครับ วันไหนที่ผมเหนื่อยๆ หรือรู้สึกแย่ ผมจะเข้าไปดูคอมเมนต์ของแฟนคลับที่เขามาให้กำลังใจ เหมือนมันทำให้เราได้ย้อนกลับไปดูตัวเองด้วยว่าตอนนั้นเราได้ทำอะไรไปบ้าง ก็มีคุยกับแฟนคลับบ้างครับ ก็จะมีแฟนคลับอยู่กลุ่มนึงที่ผมจะได้คุยกับเขาเยอะ เขาก็ตามเราไปทุกที่ แล้วเขาก็สนับสนุนเราตลอด ผมก็ดีใจมากๆ ที่มีทุกคน ดีใจที่วันนึงเรามีแฟนคลับจริงๆ ที่คอยตามให้กำลังใจผมเยอะขนาดนี้ ผมรักพวกเขา

อยากรู้จักนิยามคำว่าไอดอลของภูมิว่าคืออะไร

สำหรับผมคือเป็นตัวอย่างที่ดีครับ หรืออาจจะไม่ดีก็ได้ เพราะทุกคนมีดีกันคนละแบบ อาจจะดีในบางเรื่องละกัน คือสำหรับผมอาจจะเป็นไอดอลเรื่องร้อง เวลาพูดถึงไอดอลในมุมของผม ผมก็จะนึกถึงนักร้องที่ผมชอบ นึกถึงแม่

ตอนที่ทำเพลงกับรายการ รู้สึกยังไงบ้าง ทั้งตอนอัดเพลงและทำ MV

ตอนเข้าห้องอัดก็รู้แบบว่ามันต้องเอาแล้ว เรารอมาทั้งชีวิตแล้วที่จะมีเพลงเป็นของตัวเอง มีค่ายเพลง คือตอนเข้าห้องอัดเราอัดกันคืนเดียวครับ เริ่มอัดกันตอน 2 ทุ่มครับ เสร็จตี 2 เอาจริงๆ แล้วอัดน่าจะประมาณ 2 ชั่วโมง ที่เหลือนั่งคุยอย่างเดียวเลย (หัวเราะ) แล้วตอนที่ถ่าย MV ผมไปถึงกอง เห็นรถตู้จอดอยู่ 3 – 4 คัน ที่แรกคือหัวลำโพง เห็นพี่ๆ ทีมงานเริ่มมาละ พอเราไปดูหน้าเซ็ตจริงๆ มันใหญ่เลยครับ มันรู้สึกตื้นตัน รู้สึกดีมากๆ เลย แล้วพี่ๆ ทุกคนเขาก็ทุ่มเทกับเรา ทุ่มเทกับงานของเรา เขาเต็มที่กันมากๆ ผมก็เลยมีแรงที่จะทำ เพราะทุกคนก็อยากจะให้งานเราออกมาดี เราก็ต้องทำให้มันออกมาดี เพื่อไม่ให้พี่เขาเหนื่อยเปล่าๆ แล้วความยากที่สุดสำหรับผมคือความง่วง [555] มันถ่ายบ่ายโมงเสร็จเกือบตี 4 ถ่ายกลางแจ้งด้วย แต่พอมันยิ่งใกล้จะเสร็จแล้ว ผมยิ่งใส่พลังเข้าไปอีก เพราะมันยิ่งอินมากขึ้นๆ แล้วพอถ่ายเสร็จแล้วเรารู้สึกว่าเราทำสำเร็จแล้ว

มีงานอื่นๆ ที่อยากทำในวงการบันเทิงมั้ย

พิธีกรผมก็อยากทำครับ งานแสดงผมก็อยากทำครับ คือก่อนมาอยู่ตรงนี้ ผมอยากแสดงเป็นหมอผี ผมชอบมากเลย บ้าๆ หลุดๆ ผมอยากทำ แล้วก็งานพากย์เสียง พากย์การ์ตูนก็อยากทำครับ โฆษณาก็อยากทำ พอดีผมเคยพากย์โฆษณาของคอนโดที่นึง ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้ร้องเพลง เราก็ใช้เสียงทำอย่างอื่นได้เหมือนกัน

แล้วตอนนี้เราจัดการกับการเรียนยังไงบ้าง

ตอนนี้ดร็อปอยู่ครับ คือก่อนหน้านี้ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากรครับ เรียนร้องเพลง Jazz คือผมเรียนมาครึ่งเทอม เข้า The Star ปุ๊บก็เรียนไม่ทันแล้ว ก็คิดแล้วว่าจะเอายังไงดี แต่ตอนนั้นยังไม่ได้ทำเรื่องดร็อป ปล่อยไปเลยตามเลย ผมก็เลยดร็อปดีกว่า แล้วมันมีสาขาเปิดใหม่คือวิชาเอกการจัดการและพัฒนาไอดอลและอินฟลูเอนเซอร์ ก็เลยคิดว่าจะลองสาขานี้ดู ก็รอเปิดเทอมตอนกรกฎาคมครับ

เรียนรู้อะไรจากการประกวด The Star Idol

เรียนรู้การทำงานในวงการบันเทิง มันทำให้เราได้เจอหลายๆ คน ได้เจอผู้ใหญ่ ได้เจอพี่ๆ นักดนตรีที่เราเห็นเขาในทีวีแล้ววันนึงเราได้เข้ามาทำงานกับเขา เรียนรู้ที่จะเข้าหาคนด้วย เราจะเข้าหาผู้ใหญ่ยังไง คุยกับคนอื่นยังไง มันทำให้เราปรับตัวได้ดีมากขึ้น แล้วก็มันทำให้ผมมีวินัยและจัดการตัวเองได้มากขึ้น การนอนนี่ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ แต่เรื่องซ้อม การรับผิดชอบต่องานที่ผมต้องทำ ผมต้องทำให้มันมีคุณภาพ เพราะถ้าผมไม่ใส่ใจงานตัวเองก็เหมือนผมไม่ใส่ใจคนที่เขาติดตามผม ไม่เห็นค่าว่าเขาต้องการที่จะเห็นผลงานของเรา ภาพลักษณ์ของเราที่มันออกมาดี เราก็ต้องทำตัวเองให้ออกมาดีเหมือนกัน โดยที่เราไม่ต้องฝืนตัวเอง ทำให้มันเป็นธรรมชาติมากที่สุด และช่วงนี้ก็รู้สึกว่าพูดเยอะขึ้นแล้ว เมื่อก่อนผมพูดน้อย จะพูดเท่าที่จำเป็น

แล้วเติบโตอะไรบ้างจากวันนั้นจนถึงวันนี้

ผมคิดว่าโตมาด้วยแรงปรารถนาของตัวเอง พอมันมาถึงตรงนี้แล้ว เรารู้สึกว่าเราทำสำเร็จไปขั้นนึงแล้ว มันก็จะมีก้าวต่อๆ ไป เพราะผมไม่เคยหยุดที่จะปรารถนาเลย ผมเป็นคนทะเยอทะยานมากๆ สิ่งที่ผมปรารถนา ผมจะทำให้ได้ จะเป็นให้ได้ และผมตั้งใจว่าอยากเป็นศิลปิน ตอนนี้จะเรียกว่าเป็นศิลปินเต็มตัวหรือยังผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมจะทำให้รู้สึกว่าเป็นศิลปินเต็มตัวได้มากกว่านี้ และมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า