fbpx

แนท-อนิพรณ์ ผู้เดินทางคว้าโอกาสผ่านความจริงใจ และความจริงจังกับทุกงาน

“..เพียงการเดินทาง เพียงหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน หนึ่งปี มันมีความหมาย ทำให้เติบโตเรียนรู้ เข้าใจได้มากกว่า..”

ข้อความท่อนหนึ่งจากเพลงการเดินทาง ของ ชาติ -สุชาติ ทำให้เราเห็นภาพกว้างของประสบการณ์หลากหลาย จากทุกการเดินทางของใครสักคนในชีวิต ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทุกการเดินทางล้วนประกอบสร้างให้คนเติบโตได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ชีวิตของ แนท – อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ ก็เป็นเช่นคำกล่าวนี้เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

จากเด็กหญิงธรรมดาคนหนึ่งที่จังหวัดลำปาง ประกอบอาชีพหลายหลาก จนถูกชักชวนให้เข้าสู่วงการนางแบบ กระโดดเข้าสู่การประกวดนางงาม และถูกทาบทามเข้าสู่การเป็นนักแสดงที่ได้รับบทบาทหลากมิติในสังกัดช่อง ONE31

ตลอดการเดินทางของเธอในระยะเวลากว่า 10 ปี มันมีความหมายกับชีวิตของแนทเป็นอย่างมาก ทำให้เธอเติบโตขึ้น ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น และเข้าใจโลก รวมถึงตัวตนของตัวเองได้มากกว่าเดิม

วันนี้ Modernist เดินทางมาพบเธอที่ชั้น 14 ตึก GMM Grammy Place เพื่อขอให้เธอเดินถอยหลังกลับไปยังจุดเริ่มต้น และร่วมเดินทางผ่านเรื่องราวของเธอมาจนถึงตอนนี้กัน

ออกเดินทางใช้ชีวิตวัยเด็ก

แรกเริ่มเดิมทีชีวิตของแนท เป็นเด็กปกติคนหนึ่งในจังหวัดลำปาง ที่มีนิสัยใจร้อน เป็นคนห้าวๆ ตรงๆ มีเรื่องอะไรมาปะทะก็พร้อมสู้ไม่ถอย เห็นอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรเป็นไม่ได้ เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ โลดโผนโจนทะยานอย่างสุดโต่ง ต่อให้พุ่งชนจนหัวร้างข้างแตกก็ไม่หวั่น ไปต่อได้เสมอ

“แนทเป็นเด็กที่ค่อนข้างที่จะอันตรายในความรู้สึกเรา เป็นเด็กที่พุ่งชนทุกเรื่องไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น”

ครั้งหนึ่งเธอโกหกที่บ้านว่าไปเรียนหนังสือ แต่จริงๆ ปั่นจักรยานเล่นกว่า 20 กิโลเมตร ชมนก ชมไม้ ชมธรรมชาติ และไม่ได้เข้าโรงเรียน กลับบ้านหน้าดำหน้าแดง แต่ที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร

“เป็นคนอยากทำอะไรทำ อยากไปทุ่งนาก็ไป อยากไปปั่นจักรยานกับเพื่อนก็ไป อยากกินอะไรก็ไป”

อย่างความชอบในด้านการร้องเพลงของแนทเอง เธอไม่ได้มีเงินมากพอจะไปเรียนร้องเพลง ทางออกง่ายๆ ของเธอคือการตามเพื่อนที่นับถือศาสนาคริสต์ไปเรียนร้องเพลงภาษาอังกฤษในโบสถ์ ถึงแม้ว่าเธอจะนับถือศาสนาพุทธ และพูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องก็ตามในขณะนั้น

รวมถึงครอบครัวของเธอ ทั้งตา ยาย และพี่สาวก็ไม่ได้ห้ามอะไรเธอมากมายนัก พวกเขาขอเพียงแค่ให้เธอตั้งใจเรียน เป็นคนดี รู้ผิดชอบชั่วดี และอย่าเอาเปรียบคนอื่น เพียงเท่านั้น อะไรที่อยู่นอกเหนือจากสิ่งที่ครอบครัวว่าไว้ เธอพุ่งเข้าใส่มันทั้งหมด เรียกได้ว่าในวัยเด็กเธอเป็นคนหนึ่งซึ่งเต็มที่กับชีวิตมาก

ออกเดินทางไล่จับ “ความฝัน”

“ความฝันของเราคือการเป็นนางแบบ เราอยากเป็นนางแบบระดับโลก อยากเดินบนเวที Victoria Secret เราชอบนางฟ้า Victoria Secret มาก อยากเป็นนางแบบมาก ความฝันของเราคือการเป็นนางแบบอย่างเดียวเท่านั้น”

แค่สองสามประโยคด้านบน เธอเล่าถึงความฝันตัวเองผ่านการใช้คำว่านางแบบ 4 ครั้ง Victoria Secret 2 ครั้ง ในทุกประโยคต้องมีคำเหล่านี้อยู่

ก็ทำให้เราพอจะอนุมานได้ว่า เธอมุ่งมั่นอยากจะเป็นนางแบบมากๆ อย่างที่เธอว่าจริงๆ

เธอเล่าเสริมว่าเวลาเธอมีเป้าหมายชีวิต เธอจะเป็นคนที่หาทางไป แล้วพุ่งชนอย่างเดียวเลย ไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์หรือความคิดเห็นจากสังคมใดๆ ที่กีดขวางความมุ่งมั่นของเธอมากเท่าไหร่นัก แต่เธอจะชะลอตัว มองดูสิ่งกีดขวางเหล่านั้น ถ้ามันอาจทำให้สิ่งที่ทำมาชะลอตัว เธอก็พร้อมเก็บมันมาปรับปรุงตัวเอง เพิ่มเติมโอกาสที่จะไปสู่ฝันนั้นให้ได้

แต่จริงๆ แล้วเป้าหมายชีวิตของเธอก็ไม่ได้เริ่มต้นปักหมุดได้ง่ายนัก

ช่วงที่เธอยังอยู่ลำปาง ตาบอกว่าเธอมีแม่อยู่ที่ต่างจังหวัด พอโตขึ้นเธอก็เดินทางไปหาแม่ของเธอที่เชียงใหม่ เธอไปช่วยแม่ขายเสื้อผ้าแถวย่านนิมมานเหมินทร์ แล้วก็มีคนจากโมเดลลิ่งที่เชียงใหม่เข้ามาถามเธอว่า “น้องอยากไปเป็นนางแบบไหม”

“แก๊งหลอกเด็กเหมือนในข่าวแน่ๆ” เธอบอกกับเราแบบนั้น ในวินาทีแรกที่มีคนชักชวนเธอให้ไปเป็นนางแบบ เธอไม่เชื่อสิ่งที่พี่คนนั้นบอกกับเธอเลยแม้แต่น้อย

แต่หลังจากฟังรายละเอียดต่อ โมเดลลิ่งก็นัดแนะว่าให้ไปแคสต์ที่ห้าง เธอมองว่าห้างคนเยอะ น่าจะปลอดภัย ไม่ใช่ที่ส่วนตัว ไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด เธอจึงตกปากรับคำชวน

จนถึงวันแคสต์ เธอพบกับประะสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตมากมาย ทั้งการแคสต์งานต่อสู้ความสามารถกับคนกว่าร้อยคน เพื่อเข้าสู่เส้นชัยเพียง 3 คน กับเงินตอบแทน 5,000 บาท เธอช็อคกับจำนวนเงิน และคิดว่า “ยังไงก็ต้องได้” และสุดท้ายผลลัพธ์คือเธอแคสต์ผ่าน เธอได้รับคอมเมนต์จากป้าตือ (ตือ – สมบัษร ถิระสาโรช เจ้าของโปรดักชั่นดีไซน์ บริษัท ตือ จำกัด) ว่าเธอดูดีมาก เหมือนกับ จี๊ด – แสงทอง มาก (จี๊ด – แสงทอง เกตุอู่ทอง)

“เราเป็นเด็กต่างจังหวัดก็คิดในใจว่าผู้ใดหว่า จี๊ด – แสงทอง” ความไร้เดียงสาของเธอยังคงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เพราะเธอไม่รู้อะไรเลย ในมุมมองของเธอ การเดินแบบบนส้นสูงของเธอในวันนั้นจากมุมมองคนอื่นบอกว่าเธอเดินสวยมาก ไปฝึกเดินที่ไหนมา ไหนบอกเป็นเด็กต่างจังหวัด แตเธอก็แค่รู้สึกว่าปกติในชีวิตเธอก็เดินแบบนี้แหละ ไม่ได้ต้องประดิษฐ์การเดินให้สวยงามมากเท่าไหร่เลย

หรือนี่จะไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นพรสวรรค์ของเธอกันแน่นะ

ออกเดินทางบน Runway ผ่านการเรียนรู้อันหลากหลาย

“ร้องไห้สิ จะเหลืออะไรล่ะ” คำตอบที่แสนจริงใจเชิงระบายผ่านคำถามที่ว่า “จากเด็กแก่นแก้วคนหนึ่ง พอมีกรอบความเป็น “นางแบบ” มาคลุมไว้ ทำให้เราเป็นอย่างไรบ้าง” ถูกตอบออกมาอย่างรวดเร็ว เราสัมผัสได้ถึงความเครียดในช่วงนั้นจากความทรงจำปัจจุบันของเธออย่างเข้าอกเข้าใจ

“ตอนมาเป็นนางแบบแรกๆ ต้องขอบคุณป้าตือที่ให้โอกาส แล้วก็ต้องขอบคุณทีมงานที่เขาดุเรา เราเรียนต่างจังหวัดเนอะ เล็บมือดำ เสื้อผ้าปอนๆ เขาพูดมาประโยคนึงว่าแกสวย หุ่นดี วินัยก็ดี แกออกกำลังกาย ฉันเห็น แต่แกไม่ปรับลุคแก ใครจะจ้างแกใส่เสื้อผ้า เสื้อผ้าเขาตัวละเท่าไหร่”

“เราก็แบบ เออว่ะ จริงด้วยว่ะ เราก็ไปทำเล็บ ขัดผิว ดูแลตัวเอง แต่งตัวคือเราไม่ได้ใส่ของ brandname แต่เราทำตัวให้สะอาด เสื้อผ้าสะอาด ของทุกอย่างสะอาด สระผม ทำทุกอย่างให้เราดูสะอาดตามากขึ้น หลังจากที่เราเริ่มพัฒนาปรับปรุงตัวเองก็เริ่มดีขึ้น”

โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงของเด็กหญิงวัยมัธยมคนหนึ่ง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นแน่ เพราะนอกจากบุคลิกภายนอกที่ต้องปรับปรุงครั้งใหญ่ เธอยังต้องเรียนรู้ทักษะอีกมากมายที่จำเป็นต้องรู้ในวงการนางแบบ ทั้งเรื่องวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป การมีสติ จดจำ Blocking ต่างๆ บนเวที ที่เธอถูกสอนอย่างจริงจัง ไม่มีอ่อนน้อม หากตรงไหนผิดพลาด เธอก็จะโดนตำหนิ กระแทกความรู้สึกบางอย่างให้เธอเติบโตขึ้นมากในเรื่องของการดูแลตัวเอง และอยู่กับตัวเองในวงการนางแบบ

จนในช่วงหนึ่งเธอเดินทางไกลขึ้น ผ่านการมาตามหาความฝันในกรุงเทพฯ

ในช่วง 1 ปีแรก เธอไม่ได้งานเลย เธอท้อ แต่ตัวตนของคนไม่ยอมแพ้ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่เป็นไร ใช้เวลา 1 ปีนั้นในการพัฒนาตัวเอง ปรับปรุงสิ่งที่ผิดพลาด จนถึงปีที่ 2 ของการก้าวมาเป็นนางแบบ เธอได้พบกับคนที่มองเห็นเธอตั้งแต่วันแรกอย่าง “ป้าตือ” อีกครั้ง ป้าตือถามไถ่ความเป็นมาเป็นไปของเธอ และรับเธอเป็นลูกรักในหลายๆ งานเดินแบบของเธอนับแต่นั้นมา

ป้าตือเป็นคนหนึ่งที่มีผลต่อชีวิตของเธอมาก เธอได้เรียนรู้คำสอนมากมายจากป้าตือ เรื่องหนึ่งที่เธอจำได้ไม่ลืมคือเรื่องของการเก็บเงิน ป้าตือเคยบอกกับเธอว่า “ป้าเข้าใจนะว่าแนทภาระเยอะ ป้าเข้าใจนะว่าแนทเป็นคนจิตใจดีซึ่งมันดีแล้วลูก แต่ว่าสิ่งที่แนทต้องทำคือแนทต้องหัดเก็บเงินนะ มันไม่ใช่เพื่อใครเลยลูก แต่เป็นเพื่อตัวแนทเอง แนทคิดดูนะว่าถ้าแนทลำบากมันไม่มีใครช่วยแนทเลยมีแต่คนมาขอความช่วยเหลือจากเรา ลูกต้องหัดเก็บเงินทำเพื่อตัวเองบ้างนะ เราทำเพื่อคนอื่นมากพอแล้วอย่าลืมรักตัวเองนะลูก รักตัวเองให้มากๆ”

เธอฉุกคิดได้ทันทีเลยว่าชีวิตของเธอในช่วงนั้นไม่ได้หาความสุขให้ตัวเองมากเท่าไหร่ ชอบทำงานเป็นหลัก ตั้งแต่นั้นมาคำสอนของป้าตือทำให้เธอเริ่มหาความสุขให้ตัวเอง กินของที่อยากกิน เที่ยวในที่ที่อยากเที่ยว ทำอไรที่อยากทำมากขึ้น เหมือนกับในวัยเด็กของเธอที่เธอได้ใช้ชีวิตอยากที่ควรจะเป็น ซึ่งส่งผลกับชีวิตปัจจุบันของเธอที่มักจะให้ความสุขกับเรื่องง่ายๆ อย่างแค่เ็นลมพัดใบไม้ เห็นนกร้อง เห็นทุ่งนากว้างๆ ในกองละคร ก็ทำให้เธอก็มีความสุขได้

“ถ้าเรายิ้ม คือเราก็มีความสุขกับสิ่งที่เราพูด หรือสิ่งที่เราทำจริงๆ แต่ถ้าเรารู้สึกแย่ เราเป็นคนที่ปิดไม่มิด ทุกอย่างจะออกมาหมดเลย” เธอบอกกับเราแบบนั้น

ออกเดินทางบนเวทีประกวดใหญ่ Miss Universe Thailand

ในความเป็นจริงแล้ว ผู้เข้าประกวดในเวทีนั้น ตอนแรกไม่ใช่แนทแต่อย่างใด แต่กลับเป็นพี่นิต้า (นิต้า – อนิพรรณ เฉลิมบูรณะวงศ์ พี่สาวของแนท) ที่ถูกชักชวนจากรุ่นน้องที่รู้จักกับแม่มาอีกต่อหนึ่ง ให้มาประกวดในเวที Miss Universe Thailand ในปี 2015 แต่ปีนั้นพี่นิต้ายังเรียนอยู่ที่จุฬาฯ บวกกับความไม่พร้อมหลายๆ ด้านในช่วงนั้น ทำให้สิทธิ์การถูกชักชวนตกมาเป็นของเธอ

“คือในใจเราเรารู้สึกว่าเราสวย แต่ไม่มีใครมองว่าเราสวย นึกออกไหม บางคนบอกว่าเราผิวสีแทนแล้วดูไม่สวย พอมีคนบอกเราว่างั้นลงไหมล่ะ เราก็แบบ จริงป่ะเนี่ย..ได้ คือฉันก็เห็นความสวยของฉันมานานแล้วนะ ฉันรอวันที่คนจะมาเห็น หลังจากนั้นมาก็เลยตัดสินใจลงประกวด”

สิทธิการถูกชักชวนอย่างตกกระไดพลอยโจนมาอยู่ตรงหน้าเธอ เธอคว้าไว้อย่างหนักแน่น และตั้งหน้าตั้งตาเตรียมความพร้อมก่อนลงประกวด ชนิดที่เธอเรียกว่าการทุ่มลงไปแบบมิดหัว สุดตัวกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ตั้งแต่การบอกป้าตือล่วงหน้าว่าขอรับงานเยอะหน่อย จะได้เก็บเงินให้พอสำหรับ 3 เดือนที่ต้องลงประกวด และรับงานนอกไม่ได้ นั่งรถเมล์จากธรรมศาสตร์ไปเซียร์รังสิตเพื่อเทรนออกกำลังกาย โดยให้เพื่อนสนิทของเธอที่เป็นเทรนเนอร์ช่วยเทรนให้ในขณะที่ไม่มีเงิน ซ้อมเดินบนรองเท้าส้นสูงในคอนโดแถวลุมพินีผ่านกระจกวันละ 2-3 ชั่วโมง ต่อหน้าเด็กๆ ในคอนโดเดียวกัน แม่ของเธอก็ช่วยเตรียมเสื้อผ้าให้ลูกจากประสบการณ์ขายเสื้อผ้าในอดีต ทุกอย่างผสมผสานเป็นการเตรียมความพร้อมอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลา 4-6 เดือนก่อนลงประกวดเวทีนี้ของเธอ

และทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจนเมื่อเราถามเธอถึงความตื่นเต้นในช่วงเวลานั้น “ไม่ตื่นเต้น เพราะว่าเราเตรียมความพร้อมมาดีมาก และมั่นใจด้วย เพราะว่าทุกคนเห็นแนทตอนสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ว่าไม่ได้ถ่ายทำสารคดีเบื้องหลังก่อนที่จะมาถึงจุดนั้น”

เวทีการประกวด Miss Universe Thailand ในปีนั้น มอบชีวิตใหม่ให้กับเธอ หลังจากได้รับตำแหน่ง และมีโอกาสได้ไปประกวดต่อในเวทีนางงามจักรวาลแล้วได้รางวัลกลับมา เธอรู้สึกว่าความพยายามที่ทุ่มเทไปไม่เสียเปล่าเลย จากความพยายาม 1 ปี ที่ไม่ได้รับงานในวงการนางแบบที่กรุงเทพฯ มาถึงจุดที่เธอได้รับโอกาสมากมายในการทำงานเส้นทางอื่นๆ ผ่านการมีชื่อเสียงครั้งนี้เพิ่มเติม ทั้งการเป็นนักแสดง นักร้อง รวมถึงตำแหน่งพิธีกรที่เธอกำลังจะได้รับอีกด้วย

ออกเดินทางแล่นโลดไปในวงการบันเทิง

“แนทมีโอกาสทำตามความฝันตัวเอง จากการไปยื่นวุฒิที่ต่างประเทศ เขาก็ถามแนทว่าแนทโอเคหรือเปล่าถ้าจะมาอยู่ 6 เดือน แต่ 6 เดือนไม่ได้การันตีรายได้ แล้วก็ไม่ได้การันตีว่าคุณจะได้งาน ซึ่งใจเราหวิว เพราะว่าเราก็เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย มันจะไม่มีรายรับเข้าบ้าน เครียดมาก”

“เราเครียดถึงขั้นวาดรูปเด็กคนหนึ่ง แล้วก็เขียนว่า “ความฝัน” กับ “ความเป็นจริง” ความฝัน โอเคเราสามารถไปต่อด้วยตัวเราเอง ลำบากแค่ไหนเราก็จะไป แต่สุดท้ายคนข้างหลังจะลำบากด้วย เลยทำให้เราไม่ได้ก้าวไปทางนั้น แล้วทีนี้ความเป็นจริง เรากลับประเทศไทยมาดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง โชคดีที่แนทไปงานวันเกิดพี่ดิว – อริสรา แล้วก็ไปเจอผู้กำกับที่ช่อง ONE31 เขาก็ชวนแนทมาแคสต์ละครเป็นตัวละครชื่อ “บทกลอน”ในเรื่อง “สงครามนักปั้น””

แนทเล่าถึงเส้นทางชีวิตของเธอในช่วงแรกหลังจากการได้รับตำแหน่ง ที่เธอเดินไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง เมื่อความฝันของเธอต้องถูกเก็บเข้ากระเป๋า เธอพบกับทางแยกทางหนึ่งที่น่าสนใจ บนป้ายนั้นเขียนไว้ว่า “เส้นทางการเป็นนักแสดง”

เอาจริงๆ ก่อนเธอจะเดินตัดมาทางแยกนี้ เธอเคยเลียบๆ เคียงๆ เส้นทางนี้มาบ้างประปราย จากซีรีส์ Club Friday The Series 8 รักแท้…มีหรือไม่มีจริง และละครเรื่อง ละครคน โดยเฉพาะเรื่องหลัง เธอโดนด่าจากผู้ชมเป็นจำนวนมาก โดยที่เธอก็ไม่รู้สาเหตุว่ามาจากสิ่งใด เพราะเส้นทางนี้คือเส้นทางใหม่ที่เธอไม่รู้ว่าต้องเลือกใช้วิธีการเดินทางอย่างไรให้เหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็น เธอจึงบอกกับตัวเองว่าหากได้รับโอกาสอีกครั้ง เธอจะไม่ทำมันพลาดซ้ำสอง

เธอร่ำเรียนการแสดง และฝึกฝนตัวเอง พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ เพื่อให้เส้นทางที่เธอกำลังมุ่งหน้าไปนี้มั่นคงที่สุด ไม่หักโค้งเข้าข้างทาง แต่ก็มีบ้างที่ผู้คนระหว่างทางทำให้เธอเป๋ไปเลย

ช่วงหนึ่งที่เธอเรียนการแสดง และได้แสดงละครเรื่อง สงครามนักปั้น เธอเจอกับคุณบอย – ถกลเกียรติ วีรวรรณ มีประโยคหนึ่งที่คุณบอยพูดกับเธอแล้วมันทำให้เธอเสียหลักเข้าข้างทาง “สมัยนั้นจะมีการสอบทุกเดือน เราก็พยายามเรียนนู่นนั่นนี่ แต่ด้วยความที่เด็กมันไม่เข้าใจ เขาก็บอกว่าคุณพยายามนะ แต่คุณพยายามไม่มากพอ” เธอยอมรับว่าคำตำหนิเพียงประโยคเดียวมันทำให้เธอร้องไห้ และคิดในใจว่าจะไม่เป็นนักแสดงแล้ว แต่หลังจากมีคนมาปลอบประโลมเธอ ถอดรหัสคำพูดของคุณบอยใหม่ให้เธอได้เข้าใจบริบทของความหมายที่คุณบอยต้องการสื่อ เธอก็วิเคราะห์ได้ว่าจริงๆ แล้วเธอพยายามมากพอ แค่ไม่เหมาะกับงานชิ้นนี้

“นี่ก็เกือบจะไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว” แนทย้ำกับเราว่าจากประโยคนั้นมันทำให้เธอเติบโตขึ้นอีกระดับหนึ่งในมุมของการคิดวิเคราะห์

ในมุมมองของเธอ การเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง ONE31 มันทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นมาก เธอเรียนทั้งด้านของอารมณ์ภายในตัวเอง การรู้จักตัวเอง การถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในตัวเราไปสู่ผู้อื่น เรียนรู้วิธีการแสดงออกผ่านการตีความจากอิริยาบทต่างๆ ของผู้แสดง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องยาก แต่นักแสดงของช่อง ONE31 ต้องทำให้ได้

“มาสอบเข้าได้ช่อง ONE คือยากมาก ผู้บริหารทางช่องค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับนักแสดงมากๆ แบบไม่ปล่อยผ่าน แล้วท่านก็จะมองเห็นอะไรสักอย่างที่เรามองไม่เห็น เพื่อที่จะทำให้เราพัฒนาในรูปแบบที่เขาคิดว่าเราควรจะเป็นไปได้ เหมือนเวลามีลูก เขาก็อยากให้ลูกของเขามีความสามารถ และพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้ ถ้าเราเป็นลูกที่งอแงอย่างเดียว เราอาจจะโดนด่าอย่างเดียวเลย แต่ถ้าเราเติบโตขึ้นจะมองเห็นว่าสิ่งที่เขาพยายามกะเทาะเรา มันทำให้เรามองเห็นตัวเองได้เร็วขึ้น ทุกคนชอบคำชม คำด่าทุกคนอาจจะไม่ได้ชอบ แต่ถ้าคำด่านั้นมันมาจากความจริงใจ ความใส่ใจ และมันทำให้เราวิ่งไปต่อได้มันก็ควรที่จะฟัง”

นี่คือสิ่งที่เธอตกผลึกในฐานะนักแสดงของช่อง ONE31 ที่ผ่านการอบรม การเรียน การพัฒนาตัวเองมามากมายกว่าจะมายืนอยู่ได้อย่างในทุกวันนี้

ออกเดินทางสำรวจความเป็นละคร

“แนทชอบเล่นละครตอนเย็นเพราะว่าชอบอะไรที่มันสบาย สบายในที่นี้คือแนทชอบบรรยากาศ แนทชอบทุ่งนา ชอบต้นไม้ ภูเขา น้ำตก แนทชอบฟังคนบ้านๆ คุยกัน แนทชอบกินง่ายอยู่ง่าย แบบเอาเสื่อไปนอนเอาหมอนไปโยนหลับสบาย แนทชอบฟีลนี้มากกว่า”

ด้วยพื้นเพเป็นคนสบายๆ ของเธอ ทำให้ละครในช่วงหลังๆ 2-3 ปีมานี้ มักจะเป็นละครที่เน้นการนำเสนอเรื่องราวใกล้ตัวผู้คนในประเทศไทย พูดให้ง่ายกว่านั้นคือเรื่องราวของผู้คนในภาคต่างๆ ที่มีวิถีชีวิตแตกต่างอย่างน่าสนใจไล่ๆ กัน อย่างเรื่อง รัก 10 ล้อ รอ 10 โมง, โนราห์สะออน และเรื่องที่กำลังออนแอร์อยู่อย่าง บอดี้การ์ดหมอลำ ที่เธอยอมรับว่าการไปกองทุกครั้งของเธอคือความสนุกในชีวิต

แต่เอาจริงๆ เบื้องหลังก็ไม่ได้สนุกขนาดนั้น

เพราะเราเองก็อยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว ละครเรื่องไหนของเธอที่เป็นโจทย์ยากที่สุด

เธอบอกว่าเป็นละครเรื่อง รัก 10 ล้อ รอ 10 โมง

มาว่ากันด้วยเรื่องของละครของเธอกันก่อนนิดนึงว่า ก่อนที่เธอจะมาเล่นละครเรื่องที่ว่านี้ เธอผ่านละครหลังข่าวที่มีบรรยากาศของเรื่องราวที่จริงจัง และละครเรื่องที่ยากที่สุดของเธอเรื่องนี้เป็นละครก่อนข่าวเรื่องแรกของเธอในชีวิต ที่มีเนื้อหาไม่จริงจังเท่ากับละครในรูปแบบที่เธอเคยแสดงมา

“เราประมาท เราไม่เข้าใจบริบท ตอนเราเล่นเรื่องหน้ากากแก้ว มันยากประมาณนึง มันเป็นตัวละครที่มีการลำดับเรื่องราวซึ่งเราเข้าใจ พอมาเล่นรักสิบล้อฯ เรางง ไปต่อไม่ถูก เล่นไม่ได้ แค่ซีนที่ด่าลูกน้องเราก็เล่นไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เหมือนเราไม่เข้าใจบริบทของละครว่ากำลังสื่ออะไร ตอนแรกไม่ได้เตรียมอะไรมากเพราะคิดว่าเป็นละครเฮฮา พอไปเล่นวันแรกร้องไห้ฟังภาษาอีสานไม่รู้เรื่อง หรืออย่างธรรมชาติที่เขาอยู่ด้วยกันเขาจะมีความเป็นก้อนเดียวแล้วเหมือนเราเป็นเศษอ่ะ ทีนี้จะทำยังไงให้เราไปอยู่ในก้อนนั้น ร้องไห้จับมือน้าเลย พรุ่งนี้เราไปถอนตัวกันเถอะเล่นไม่ได้จริงๆ”

เอาจริงๆ แค่นี้เราก็พอเห็นภาพแล้วว่า พอบริบทของเนื้อหาละครมันเปลี่ยนไป จากละครหลังข่าวที่อิงพฤติกรรมผู้ชมประเภทหนึ่ง ต่างจากละครก่อนข่าวที่อิงกับพฤติกรรมผู้ชมอีกประเภทหนึ่ง ทำให้บริบทของเรื่องราวมันคือการเดินทางเข้าสู่โลกใบใหม่ที่เธอไม่เคยรู้จักมันมาก่อน

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น คนที่ช่วยดึงมือขึ้นมาให้เดินทางต่อไปบนเส้นทางนี้คือ ตูมตาม – ยุทธนา เปื้องกลาง พระเอกของเรื่อง รวมถึงเป็นเพื่อนที่ช่วยให้แนทเข้าใจบริิบทของเรื่องราวภายในวัฒนธรรมภาคอีสานมากขึ้น

“พี่ตูมตามเห็นสภาพก็เดินเข้ามาบอกเป็นยังไงน้อง หนูก็ยาวเลย พี่ตูมตามก็สอนว่าแนทต้องเข้าใจว่าคนต่างจังหวัด อย่างแกก็เป็นคนต่างจังหวัดลองกลับไปคิดซิว่าเขาคิดยังไง แกคิดแบบนี้ๆ คิดชั้นเดียวแต่มันจริงใจหรือเปล่า แกอย่าไปคิดซับซ้อน คนๆ นึงอาจจะมีความซับซ้อนในมุมนั้นแต่ตัวละครนั้น แกจะมีความซับซ้อนแค่ไหนล่ะ พี่ตูมตามช่วยบิดมุมมองให้เห็นอีกมุมนึง ลองเปลี่ยนอีกมุมแค่นั้น อย่างแนทเวลาจะด่าใครสักคนเหตุผลจะต้องยิ่งใหญ่มาก แต่ในเรื่องนั้นเหมือนแค่แก๊งสิบล้อเขาเอารถออกไปข้างนอกแล้วมาถึงเราต้องด่า เราก็คิดว่ามันใช่เรื่องที่น่าด่าเหรอ มันจะตีกันเองอยู่ในหัว พี่ตูมตามบอกว่าเราเป็นใคร? เราเป็นมอลลี่ มอลลี่เป็นใคร? มอลลี่เป็นลูกเจ้าของนวลพรเดินรถ ค่าน้ำมันใครเป็นคนจ่าย? บริษัทจ่ายไง เงินบริษัทคือเงินใคร? ก็เงินพ่อแม่หนู แล้วยังไงเขาเอารถออกไปอย่างนี้งานไม่ทำแล้วบริษัทเสียไหม? เสียสิ แล้วคนแบบนี้เป็นยังไง? ก็น่าด่าไงพี่ (หัวเราะ)”

ตลอดสัปดาห์แรกของการถ่ายทำละคร รัก 10 ล้อ รอ 10 โมง เธอเล่นไม่ได้เลย จนตูมตามมาช่วยปลดล็อกวิธีคิดบางอย่างของความเป็นคนบ้านๆ จริงๆ ที่คิดอย่างจริงใจ ทำให้หลังจากนั้นเธอถูกชมว่าเล่นละครได้ดีมากๆ แทน

“เรารู้สึกว่าคนในแต่ละพื้นที่ก็มีเสน่ห์แตกต่างกัน แนทเรียนโนราห์ 3 ชั่วโมง แนทต้องหักหลังให้ได้ ซึ่งครูบอกว่ายากมาถ้าไม่ได้ฝึกแต่เด็ก แต่นี่คิดว่าฉันต้องทำให้ได้เพราะฉันเป็นเด็กใต้ พอเรากระโจนลงไปเสร็จเรากลายเป็นเด็กใต้ ทำอะไรโผงผาง จะเป็นแนทในอีก version ที่มัน up step ขึ้นไปอีก”

“แนทเชื่อว่าถ้าเราเชื่อ เราฝึกฝน เราทำได้ การทำงานตรงนี้ทำให้แนทได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมความสวยงามของแต่ละภาค อย่างภาคอีสานเราจะได้เรียนรู้อาหาร อย่างหม่ำก็เป็นเหมือนไส้กรอกเพราะในเรื่องต้องขายหม่ำ ได้เรียนรู้ถึงความคิด ความเป็นมาของคนอีสาน อย่างในเรื่องบอดี้การ์ดหมอลำ พี่อี๊ดโปงลางฯ (อี๊ด – สมพงษ์ คุนาประถม) แกจะพูดถึงนั่นนี่ เรื่องหมอลำแกจะพูดถึงหมอลำทุกอย่าง ได้ขึ้นเวทีหมอลำกันด้วย ซึ่งแนทรู้สึกว่ามันเป็นตัวเองมาก มีความสุขมาก มัน Flow มากค่ะ”

ซึ่งในละครเรื่องล่าสุดของเธออย่าง บอดี้การ์ดหมอลำ เธอก็ได้แสดงละครที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม “หมอลำ” ทางภาคอีสาน โดยเธอรับบทเป็น หมอณิชา คุณหมอผ่าตัดสาวสวยพูดน้อยที่ต้องหนีภัยจากคู่ขัดแย้งทางธุรกิจที่ปองร้ายไปยังภาคอีสาน ทำให้ในละครเรื่องนี้นอกจากเธอจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมหมอลำแล้ว เธอต้องทำการบ้านเรื่องเครื่องมือแพทย์ การใช้กระเป๋าพยาบาลเบื้องต้น ที่ต้องอาศัยความเคยชินเพื่อให้การแสดงเป็นธรรมชาติมากที่สุด เหมือนออกมาจากตัวตนความเป็นเธอเองที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง

มาถึงตรงนี้วงการละครนำพาประสบการณ์หลายหลากมาให้กับเธอ เธอบอกกับเราว่าเธอโตขึึ้น 99 เปอร์เซ็นต์จากการเดินทางบนเส้นทางนักแสดง ที่นอกจากประสบการณ์การแสดงจะทำให้เธอเติบโตขึ้น ประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนการแสดงก็สำคัญกับเธอไม่แพ้กัน

การเรียนการแสดงของเธอไม่ต่างอะไรกับการเรียนรู้จิตวิญญาณของธรรมชาติมนุษย์ มันทำให้เธอเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกข้างใน ที่ทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น

“บางวันถ้าเราทำการบ้านเราทำเป็นโจร คนอาจจะมองว่าโจรมันแย่มาก แต่พอเรามีโอกาสกระโจนไปในบทบาทนั้น เราได้เห็นอีกมุมมองที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ในบางมุมของความเข้าใจเรามันอาจจะให้อภัยเขาไม่ได้ก็ได้ แต่เหมือนเราได้มองเห็นอะไรกว้างมากขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตัดสิน”

“สังคมปัจจุบันบางทีเราอาจจะตัดสินจากสิ่งที่เราเห็น เขาบอกแบบนี้เราก็เชื่อแบบนี้ ทุกคนบอกแบบนี้ก็ชัดเลยว่าคนนี้ต้องเป็นแบบนี้แน่ แล้วบางคนถูกตัดสินโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แนทรู้สึกว่าเราเป็นคนนึงที่จะไม่ตัดสินใครที่เราไม่รู้จัก แนทจะบอกรุ่นน้องและตัวเองเสมอว่าการที่มีคนมาตัดสินเราว่าเราเป็นแบบนี้ เขาศึกษาเรายังไม่ถึงหนึ่งวันเลยเขายังตัดสินว่าเราเป็นแบบนี้ คนบางคนมันไม่มีเวลามาดูเราทั้งชีวิต ทำไมเราต้องไปให้ค่า ใส่ใจ แล้วก็ทำให้สิ่งที่เขาตัดสินมาทำให้เรารู้สึกแย่ หรือทำให้ชีวิตเราไปต่อไม่ได้ อย่าให้ไฟในตัวเรามันมอดลงจากน้ำของคนอื่น ถ้ามันจะมอดลงให้มันเป็นเราที่มันมอดเอง”

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า