fbpx

Moving : ฮีโร่ที่แท้จริงคือมนุษย์ที่ปกป้องความเป็นมนุษย์ของทุกคน

เมื่อไม่นานนี้ เกาหลีใต้ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับแวดวงภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ ด้วย “Moving” ภาพยนตร์ซีรีส์แนวดราม่าซูเปอร์ฮีโร่ ที่ว่ากันว่าแปลกใหม่และน่าประทับใจ เพราะเป็นภาพยนตร์ยอดมนุษย์ที่ “มีความเป็นมนุษย์สูง” จนถูกพูดถึงและเป็นกระแสในชั่วข้ามคืน และยังกลายเป็นซีรีส์ที่ติดอันดับ 1 ของแพลตฟอร์ม Disney+ ใน 5 ประเทศภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน

มากกว่าเสน่ห์ของนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็ก บวกกับเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม และฉากแอคชั่นสุดระทึก “Moving” ได้ใช้ตัวละครเหนือมนุษย์ตั้งคำถามถึงพลังอำนาจ และสื่อสารประเด็นความเป็นมนุษย์ได้อย่างเฉียบคม นับเป็นมุมมองใหม่ที่ฉีกภาพลักษณ์ยอดมนุษย์สุดเท่ที่เก่งกาจรอบด้าน และเป็นวีรบุรุษที่อยู่เหนือทุกคน อย่างที่ถูกนำเสนอในวัฒนธรรมป็อปในช่วงที่ผ่านมา

อำนาจแห่งการควบคุม

อาจกล่าวได้ว่า ฉากเปิดของ “Moving” นั้นออกจะแตกต่างจากภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นๆ ด้วยภาพชีวิตของนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ที่ดูเหมือนพยายามปกปิดความสามารถพิเศษของตัวเอง และภาพการไล่ล่ากำจัดอดีตสายลับที่เป็นยอดมนุษย์ ซึ่งแฝงตัวอยู่ในรูปลักษณ์ของเจ้าของร้านหนังสือมือสอง เจ้าของร้านเสริมสวย เจ้าของร้านอาหาร หรือแรงงานในเหมืองถ่านหิน

ตลอดเรื่อง เราค้นพบว่าแท้จริงแล้ว มนุษย์ที่มีพลังพิเศษเหล่านี้ แท้จริงแล้วถูกกำหนดชะตาชีวิตจากอำนาจรัฐเบื้องบน ผ่าน “สำนักข่าวกรอง” ของฝ่ายใต้ ที่คอยจับตาดูพวกเขา ดึงเข้ามาทำงานสายลับ และหาทางกำจัดในวันที่หมดประโยชน์ 

เบื้องหลังคติพจน์ “ทำงานอย่างเงียบๆ เพื่อความมั่นคงของชาติ” ที่เน้นย้ำอยู่ตลอดเวลาผ่านป้ายหน้าสำนักข่าวกรองของฝ่ายใต้ ยอดมนุษย์และครอบครัวถูกครอบงำราวกับหุ่นเชิดโดยรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม พลังพิเศษอย่างการเยียวยาตัวเองจากการบาดเจ็บ การลอยในอากาศ พละกำลังอันมหาศาล ถูกใช้ประโยชน์ในฐานะอาวุธสงคราม ที่จะพกพาไปสมรภูมิไหนก็ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยแทบไม่ต้องซ่อมบำรุง อีกทั้งสถานะข้าราชการ ที่เต็มไปด้วยสวัสดิการต่างๆ ก็ช่วยยึดยอดมนุษย์เหล่านี้ให้อยู่กับองค์กร โดยไม่คิดลาออกหรือหนีไปใช้ชีวิตแบบอื่น

ข้ออ้างเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ” ยังถูกใช้ในกองทัพของฝ่ายเหนือด้วย ผู้บังคับบัญชาของฝ่ายเหนือบังคับให้คนของตนก้าวข้ามข้อจำกัดด้านร่างกายและศีลธรรม เพื่อจะละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตัวเอง และเป็นยอดมนุษย์ เป็นวีรบุรุษที่พร้อมเสียสละทุกสิ่งเพื่อชาติ 

อย่างไรก็ตาม อำนาจควบคุมของรัฐไม่ได้ถูกใช้กับยอดมนุษย์ที่เป็นสายลับเท่านั้น แต่บางช่วง ซีรีส์เรื่องนี้ได้เสนอประเด็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐที่ละเมิดสิทธิชุมชน ขาดการรับฟังเสียงของประชาชน และไม่ให้สิทธิของประชาชนในการกำหนดชีวิตของตัวเอง โดยอ้างเรื่องการพัฒนาและความเจริญ และพร้อมปราบปรามประชาชนหรือใครก็ตามที่เข้ามาขัดขวางนโยบายด้วยความรุนแรง ส่งผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย และถูกจับกุมเป็นจำนวนมาก

การที่รัฐปฏิบัติต่อยอดมนุษย์ราวกับเป็นสัตว์ประหลาด การมอบหมายหน้าที่ในสนามรบในฐานะอาวุธสงคราม การฝึกทหารให้ละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตัวเองเพื่อความมั่นคงของชาติ การใช้อำนาจรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อมในการกำหนดชะตาชีวิตของเหล่ายอดมนุษย์และประชาชน รวมไปถึงการ “ไม่อนุญาตให้มีชีวิตอยู่” ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจรัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน หนึ่งในนั้นคือสิทธิในการมีชีวิต เสรีภาพ และความมั่นคงแห่งบุคคล ขณะที่การดิ้นรนต่อสู้จนถึงลมหายใจสุดท้ายของมนุษย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย นอกจากเพื่อการมีชีวิตอยู่ของตัวเองและครอบครัว

นอกจากนี้ Moving ยังนำเสนอประเด็นเรื่องอำนาจควบคุมในระดับรองลงมา คืออำนาจควบคุมที่มีเป้าหมายเพื่อความอยู่รอด ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างอีมีฮยอน กับลูกชาย คิมบงซอก ซึ่งมีพลังพิเศษคือลอยตัวในอากาศได้ ทว่าอีมีฮยอน ผู้เป็นแม่ กลับพยายามทำทุกอย่างเพื่อจำกัดพลังนี้ เพื่อให้ลูกเป็นคนปกติ และรอดพ้นจากเงื้อมมือของรัฐ อย่างไรก็ตาม ผลจากการควบคุมเช่นนี้ กลับทำให้บงซอกไม่พอใจอย่างมาก เพราะมันทำให้เขาไม่สามารถใช้ศักยภาพที่มีช่วยเหลือเพื่อนที่ตัวเองแอบชอบอยู่ได้

จะเห็นได้ว่า อำนาจควบคุมนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ที่ถูกควบคุมเท่านั้น แต่อาจจะส่งผลทางอ้อมต่อสังคมในวงกว้างได้ด้วย

อำนาจแห่งการปกป้อง

นอกเหนือจากอำนาจรัฐที่ควบคุมชีวิตของทุกคน อำนาจอีกอย่างหนึ่งที่ปรากฏในเรื่องนี้คืออำนาจความเป็นพ่อแม่ ซึ่งสะท้อนผ่านเรื่องราวของครอบครัวยอดมนุษย์ ทว่าอำนาจเหล่านี้กลับแตกต่างจากอำนาจควบคุมของรัฐ เพราะอำนาจของพ่อแม่คือ “อำนาจปกป้อง” ที่เราเห็นได้ตลอดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นคิมดูชิก ผู้สามารถลอยในอากาศได้ และเป็นพ่อของคิมบงซอก ที่ปกป้องลูกและภรรยาให้รอดพ้นจากอำนาจของรัฐ, จางจูวอน มนุษย์ผู้เยียวยาร่างกายตัวเองได้ ที่คอยปกป้องทหารในกองทัพ ลูกน้องในแก๊งมาเฟีย รวมทั้งปกป้องลูกสาว จางฮีซู และอีแจมัน มนุษย์จอมพลัง ที่ลุยทุกสถานการณ์เพื่ออยู่เคียงข้างลูกชาย

ขณะที่รัฐลดทอนความเป็นมนุษย์โดยอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคง การปกป้องของพ่อทั้งสามคนกลับแตกต่างจากรัฐโดยสิ้นเชิง เพราะพ่อเหล่านี้ได้ใช้พลังอำนาจของตัวเองในการ “สนับสนุน” ให้ครอบครัวได้ใช้ชีวิตตามที่มนุษย์ควรจะเป็น ซึ่งนอกจากจะทำให้ลูกๆ ได้เติบโตและมีชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปแล้ว พวกเขายังได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการปกป้องให้กับลูกๆ ด้วย เห็นได้จากฮีซูและบงซอก ที่ใช้พลังของตัวเองปกป้องกันและกัน การที่ฮีซูใช้พลังวิเศษและความรักในความยุติธรรม ที่ได้ถ่ายทอดจากพ่อแม่ ในการปกป้องเพื่อนที่ถูกกลั่นแกล้ง รวมถึงลูกชายของอีแจมัน ที่ใช้พลังที่ได้จากพ่อ ในการปกป้องพ่อแม่ของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม อำนาจการปกป้องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในหมู่พ่อแม่ยอดมนุษย์ฝ่ายใต้ ที่ถูกวางคาแรกเตอร์เป็น “ฝ่ายธรรมะ” เท่านั้น แม้แต่กองกำลังของฝ่ายเหนือที่ถูกปูเรื่องให้เป็น “ฝ่ายอธรรม” ก็ยังปรากฏอำนาจปกป้องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นนายทหารฝ่ายเหนือที่ออกคำสั่งทั้งน้ำตาให้คนของตัวเองออกไปตาย และตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเพื่อหยุดวงจรการทำลายความเป็นมนุษย์ และเพื่อปลดปล่อยลูกน้องของตัวเองให้เป็นอิสระ เช่นเดียวกับยอดมนุษย์ฝ่ายเหนือ ที่ถูกมองว่าเป็นเพียงสัตว์ประหลาด ก็ได้สละชีวิตของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมคำสั่งเสียถึงเพื่อนร่วมรบว่า “จงไปใช้ชีวิต” ฉากนี้กลายเป็นฉากสำคัญที่ยืนยันชัดเจนว่า เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็นมนุษย์

ดังนั้น ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งระหว่าง “คนดี” และ “คนเลว” หรือธรรมะต้องชนะอธรรม แต่นำเสนอภาพความเป็นมนุษย์ ที่ไม่ได้ขาวสะอาดร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ดำมืดเสมอไป เพียงแค่คนสีเทาที่มีความต้องการเรียบง่ายที่สุดคือการใช้ชีวิตอย่างอิสระเท่านั้น

ขณะที่อำนาจการควบคุมไหลจากผู้มีอำนาจเบื้องบน สู่ผู้ไร้อำนาจในเบื้องล่าง อำนาจการปกป้องกลับซึมซาบและแผ่ขยายในแนวราบไปสู่คนอื่นในวงกว้าง มนุษย์ไฟฟ้าจอนกเยโดผู้โดดเดี่ยว ทุ่มสุดตัวเพื่อปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ แม้ไม่มีใครสังเกตเห็น และการเป็นอดีตนักแสดงผู้รับบทซูเปอร์ฮีโร่ “พอนเกแมน” ของจอนกเยโด ก็ถ่ายทอดแรงบันดาลใจไปยังบงซอก และทำให้เด็กหนุ่มใสซื่อผู้นี้ตัดสินใจสวมชุดกันฝนสีเหลือง ออกไปช่วยเหลือผู้คนที่กำลังเดือดร้อน จนได้ฉายาว่า “เยลโลว์แมน”

แม้บุคลิกของคิมบงซอกจะห่างไกลจากคำว่าซูเปอร์ฮีโร่อย่างมาก อีกทั้งเสื้อกันฝนก็ดูไม่สมกับคอสตูมวีรบุรุษที่ช่วยเหลือผู้คน แต่เจ้าคอสตูมนี้กลับเป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องที่เรียบง่ายและชัดเจนที่สุด โดยไม่ต้องการคำอธิบายกล่าวอ้างใดๆ

ในยุคที่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เกิดขึ้นมากมาย ซีรีส์ “Moving” ได้สร้างความหมายใหม่ของฮีโร่ ที่ไม่ใช่แค่คนดีที่ใช้พลังปราบคนเลว แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีทั้งด้านเข้มแข็งและอ่อนแอ และใช้ความสามารถพิเศษที่ตัวเองมีในการปกป้องความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เพื่อให้ตัวเองและผู้อื่นได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระในฐานะมนุษย์เช่นเดียวกับทุกคน

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า