fbpx

“Loser” ไม่ใช่ “คนขี้แพ้” แต่บางทีก็ผ่านอะไรมาเยอะจนไม่อยากสู้แล้ว

ด้วยประสบการณ์ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ทำให้หลายคนจึงแสดงออกหรือมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ไม่เว้นแม้แต่ loser บางคนที่ผ่านอะไรมาเยอะจนรู้สึกไม่อยากทำหรือไม่อยากสู้อีกต่อไป นิสัยของ Loser ไม่ได้มาจากความขี้เกียจอย่างเดียว แต่อาจจะมาจากประสบการณ์ในอดีตด้วยเช่นกัน นิสัย Loser สามารถเปลี่ยนได้ด้วยตนเอง หรือการให้กำลังใจจากคนรอบข้างก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน

ด้วยสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่มีการขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ประชากรในแต่ละ Generation ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันโลกและพร้อมรับมือกับปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษนี้ เช่น การ Disruption ในธุรกิจหรือเทคโนโลยี โรคระบาดชนิดใหม่เช่น Covid-19 ปัญหาเงินเฟ้อ การเมือง มลพิษ ฯลฯ

บทความจากสื่อหลาย ๆ เจ้าในประเทศไทยได้อธิบายไปในทิศทางเดียวกันว่า Gen Y กับ Gen Z มีปัญหาเดียวกันที่ต้องเผชิญคือ ปัญหาด้านการเงิน บทความในเว็บไซต์ agenda ได้กล่าวว่า Gen Y มีภาระผูกพันจากครอบครัวที่เริ่มเข้าสู่วัยชรา ความเครียดสะสม การใช้จ่ายเงินเพื่อความสุขของตนเองจนกลายเป็นหนี้ และเว็บไซต์ลงทุนศาสตร์ได้อธิบายว่า Gen Z สะสมความมั่งคั่งได้ลำบากกว่าคนแทบจะทุก Gen เพราะปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย – ยูเครนและการระบาดของโควิด-19

ด้วยปัญหาสุดหินจากโลกยุคปัจจุบันที่ต้องเผชิญ บวกกับปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัวรวมถึงเรื่องส่วนตัวที่แตกต่างออกไปในแต่ละคนทำให้หลาย ๆ คนเกิดความรู้สึกไม่อยากทำอะไร ไม่อยากสู้ต่อ อยากยอมแพ้ ซึ่งพฤติกรรมนี้มักถูกเรียกว่า “Loser” หรือพวกขี้แพ้นั่นเอง

Thai PBS ได้นำเสนอปัญหาสุขภาพจิตของกลุ่ม Gen Y ที่ด้อยค่าตัวเองจากการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น รวมถึงถูกตัดสินจากคนรอบข้าง ทำให้รู้สึกว่าตัวเองคือ Loser โดยเป็นการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง 2 คนที่ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทและ Freelance ซึ่งปัญหาเดียวกันจนสร้างผลกระทบต่อนิสัยหรือ Mindset ให้กลายเป็นคนเงียบ ๆ หรือกลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองไปเลย

หรือบางทีการเจอเหตุการณ์แย่ ๆ ทำให้เราเสียความรู้สึกหรือความมั่นใจก็ส่งผลให้มีนิสัย Loser ได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น การถูกกลั่นแกล้งหรือถูกคุกคามจากผู้มีอำนาจ การโดนเพื่อนแกล้งตั้งแต่วัยเด็ก หรือแม้กระทั่งเปิดธุรกิจเป็นของตัวเองแต่ดำเนินการมาได้สักพักก็ล้มละลายหมดตัว เป็นต้น ดังนั้นคนที่เป็น Loser ไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจแต่อย่างใด แต่เกิดจากเหตุการณ์ที่มากระทบจิตใจรวมถึงโลก Social Media ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนพวกเขาตามไม่ทัน

แม้การเป็น Loser จะไม่ทำร้ายใครก็ตาม แต่หลัก ๆ แล้วคนที่เสียหายมากที่สุดก็คือตัวเราเอง ข้อเสียของการเป็น Loser มีโอกาสได้รับความเจ็บปวดทางอารมณ์จากภาวะซึมเศร้ามากกว่าคนกลุ่มอื่นถึง 25 เท่า ส่วนงานวิจัยชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พบว่าคนขี้แพ้มีโอกาสที่จะได้รับความเจ็บปวดจากภาพพจน์ทางเพศเชิงลบ (เช่น ไม่หล่อ อ้วน ฯลฯ ) มากกว่าคนกลุ่มอื่นถึง 5 เท่า

นอกจากนี้ ความรู้สึกเชิงลบ ได้แก่ ความหมดอาลัยตายอยาก ความสิ้นหวัง และความเกลียดชังตัวเอง ยังเป็นสิ่งที่พบเจอในกลุ่ม Loser ได้บ่อยกว่าในคนปกติถึง 3 เท่า และการเป็น Loser ยังทำให้เสียโอกาสต่าง ๆ จากทั้งในงานประจำ ชีวิตส่วนตัว รวมไปถึงโอกาสทางธุรกิจจากความไม่มั่นใจหรือไม่เชื่อมั่นในตัวเองอีกด้วย

ดังนั้นการแก้นิสัย Loser ที่ง่ายที่สุดคือการเริ่มต้นจากตัวเรา เว็บไซต์ Unlockmen ได้ให้วิธีการเปลี่ยนตัวเองจาก Loser เอาไว้ดังนี้

1.หาเป้าหมายในการทำสิ่งต่างๆ

ปัญหาหนึ่งของการเป็น Loser คือ พวกเขามักขาดเป้าหมายในการใช้ชีวิต พอขาดเป้าหมาย ก็ขาดแรงจูงใจในการทำงาน ส่งผลให้พวกเขาไม่มีกระจิตกระใจและไม่ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด ดังนั้น การทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตหรือการทำงานต้องมีการระบุเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะทำไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อเงิน เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ เพื่อเพื่อสร้างความประทับใจจากคนอื่น เป็นต้น พอมีเป้าหมายหรือความคาดหวังที่ชัดเจนแล้วแรงจูงในการทำสิ่งต่างๆ ก็จะตามมาเอง

2.เลิกบ่น แล้วลงมือทำ

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า Loser มักไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย จึงไม่ทำให้ได้อะไรเพิ่มขึ้นมา ดังสำนวนฝรั่งที่ว่า ‘no pain no gain’ ดังนั้น ถ้าไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ยังไงก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมันแต่อย่าใช้เวลาคิดนานนะ เพราะการเปลี่ยนแปลงยิ่งเริ่มต้นได้เร็ว ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงและเข้าใกล้การประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นเหมือนกัน

3.ตั้งสติ และควบคุมตัวเองให้ได้

บางทีคนที่มี Loser อาจปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไปจนถูกอารมณ์ด้านลบครอบงำได้ ดังนั้นหากเราต้องการก้าวข้าม Loser ในตัวเอง เราต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ เริ่มจากการ “ไม่ตอบสนองต่อเรื่องแย่ ๆ ด้วยพฤติกรรมแย่ ๆ” แต่ใช้วิธีอื่นแทน เช่น ใช้การปลง (เช่น ปลงกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต) หรือ ใช้ความเห็นอกเห็นใจ (เช่น คิดว่าคนที่ขับปาดหน้าเราอาจมีธุระเร่งด่วนมาก ๆ) เป็นต้น พอเราฝึกฝนจนกระทั่งเรื่องแย่ ๆ ไม่สามารถทำอะไรเราได้แล้ว เราก็จะแข็งแกร่งขึ้นและเลิกเป็น Loser ไปได้เองโดยอัตโนมัติ

4.อย่าใช้เวลาอยู่กับปัญหานานเกินไป

เหมือนที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า Loser มักมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้วย เพราะเมื่อLoser มักพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ด้านลบ เช่น ความโกรธ หรือ ความเครียด พวกเขาเลยเสียเวลาและเสียพลังงานไปกับการบ่นจมปลักอยู่กับปัญหาจนการแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นได้ช้า ดังนั้น ขี้แพ้จึงต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ เลิกโฟกัสแต่ผลด้านลบของปัญหาเพียงอย่างเดียวพร้อมกับฝึกฝนการบริหารเวลาเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดี ซึ่งการบริหารเวลาอาจลองนำหลัก 80/20 มาใช้ดูก็ได้ (ใช้เวลา 20% ในการจมอยู่กับปัญหา และใช้เวลา 80% ในการลงมือทำ)

5.แต่งกายให้เหมือนเป็นผู้ชนะ

หากจำกันได้ เราเคยเขียนบทความอธิบายถึงผลของเสื้อผ้าการแต่งกายที่มีต่อจิตวิทยาในตัวเรา การแต่งกายจึงมีส่วนช่วยให้เราสามารถเอาชนะอาการขี้แพ้ได้ด้วย (เช่นสร้างความมั่นใจ) อีกทั้งการแต่งกายที่ดียังมีประโยชน์ต่อการเข้าสังคม เพราะทำให้คนอื่นมองเราในแง่ดีด้วย

นอกจากนี้กำลังใจจากคนภายนอกก็สำคัญไม่แพ้กัน การให้พลังบวกหรือการชื่นชมคนที่กำลังเป็น Loser เพื่อให้พวกเขาตระหนักคุณค่าในตัวตนของเขาก็ช่วยให้เขาด้อยค่าตัวเองน้อยลง เห็นสิ่งที่ตัวเองทำมันได้ดีหรือเห็นข้อดีของตัวเองมากขึ้น ช่วยให้เขาหลุดจากวังวนของการเป็นผู้ขี้แพ้และให้ความสำคัญของตัวเขาเองให้มากขึ้นนั่นเอง

แหล่งอ้างอิง Unlock-men / Agenda / Investerest / YouTube

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า