fbpx

ขวัญ นัฏฐนันท์ กับการเข้าสู่หน้าจอทีวี ในโครงการไทยรัฐตามล่าหาคอเล่า

THE MODERNIST x THAIRATH TV

หากจะพูดถึงความฝันของแต่ละบุคคลแล้ว หลายคนก็อาจจะมีความฝันที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุคนและแต่ละสถานการณ์ การมีอาชีพที่ดีและตามความฝันในที่ทำงานที่ตนเองอยากทำก็เป็นอีกหนึ่งความฝันที่ใครหลายคนอยากจะได้มันมาครอบครองเช่นกัน

ขวัญ-นัฏฐนันท์ เต็มโชติโกศล ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ตามล่าหาเส้นทางการเป็นผู้ประกาศข่าวในสถานีโทรทัศน์ที่ตนเองใฝ่ฝันมาอย่างยาวนาน โดยในระหว่างทางนั้นเธอก็แวะหาเส้นทางของตนเอง จนค้นหาตนเองได้ว่าเส้นทางที่เธอฝันนั้น คือการเป็นผู้ประกาศข่าวที่ไทยรัฐทีวีนั่นเอง จนกระทั่งวันนี้เธอได้ประสบความสำเร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยเธอใช้เวลามาอย่างยาวนานกว่าที่จะได้ทำตามความฝันสำเร็จ

แต่กว่าจะมาถึงวันที่เธอได้ขึ้นจอเล่าข่าวบนหน้าจอไทยรัฐทีวีได้นั้น เธอต้องผ่านด่านต่างๆ ที่ทั้งพิสูจน์ความฝันและการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าบนหน้าจอทีวี ภายใต้โครงการ “ไทยรัฐตามล่าหาคอเล่า” จนถึงวันที่เธอต้องเล่าข่าวในรายการจริง สดจริง ซึ่งปัจจุบันเธอเล่าข่าวให้กับรายการ “ไทยรัฐเจาะประเด็น” ในวันศุกร์ ,“ข่าวเที่ยงไทยรัฐ เสาร์-อาทิตย์” และ “ไทยรัฐทันข่าว”

วันนี้เราจะมาคุยถึงเส้นทางในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่ไทยรัฐทีวี ซึ่งเธอพูดว่าการที่ได้เข้ามาที่นี่เปรียบเสมือนเป็นของขวัญให้เธอในการทำงานได้ดีเลยทีเดียว

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

ก่อนหน้านี้คุณทำอะไรมาก่อน

จริงๆ ขวัญก็มีประสบการณ์ในเรื่องของการทำทีวีมาพอสมควร อาจจะไม่ได้ตรงสายมากกับการมาเป็นผู้ประกาศข่าวหลักของไทยรัฐ ก็เคยทำกีฬามาก่อน เราก็ทำมาหลายปีพอสมควร เพราะว่าเป็นคนรู้เรื่องกีฬา แล้วหลังจากนั้นก็มีไปแตะๆ เรื่องของข่าวหลักมาบ้างนะคะ แล้วก็จนสุดท้ายก็มาสู่ไทยรัฐทีวี ส่วนตัวเราก็มีความพยายามมาตลอดที่อยากจะเข้าไทยรัฐทีวี แต่อาจจะยังไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือก ณ เวลานั้น ก็อาจจะยังไม่ถึงเวลาของเรา เราก็ไปพยายามฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมีโครงการนี้ค่ะ

ทำไมคุณถึงเป็นผู้ประกาศข่าว

จริงๆ มีความอยากเป็นผู้ประกาศข่าวมานานมากแล้ว ตั้งแต่เด็กๆ สมัยตอนมัธยมศึกษาตอนปลายก็ได้ คือเราเคยมองเห็นคนในทีวี เราไม่ได้ว่าเราอยากเป็นดารานะ เพราะเราก็ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้น แล้วเราเป็นคนชอบดูข่าวตั้งแต่เด็กๆ  แล้วเรารู้สึกว่าการที่คนคนนึงไปนั่งอยู่ตรงนั้นและเล่าข่าวให้ให้คนที่บ้านสามารถเปิดทีวีมาดูแล้วรู้เรื่องในทุก ๆ วัน มีเรื่องมาเล่าให้เราฟังเยอะแยะมากมายเป็นชั่วโมงๆ มันดีมาก แล้วเราก็ได้รู้ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในโลกเยอะแยะมากมาย เราก็เดินตามเป้าหมายของตัวเอง ตัวเองเป็นคนวางแผนมาตลอดว่าจะต้องเรียนสายนิเทศศาสตร์ เพื่อที่จะเข้าวงการสื่อ แล้วก็คิดว่าถ้าวันนึงมันมีสักครั้งในชีวิตเรา เราก็อยากจะไปนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วไปเล่าข่าวแบบฉบับของเราให้คนอื่นเขาฟังบ้าง 

แล้วตอนเรียนอยู่ชั้นม. 6 เราก็เป็นคนที่กล้าแสดงออก แล้วก็อาจจะถูกผลักดันไปพูดหน้าชั้นบ่อยๆ แล้วมันก็เลยเริ่มต้นมาด้วยความที่พอไปเริ่มทำพิธีกร มันต้องใช้ทักษะการพูด เราก็เลยทำได้ง่าย ไม่ได้ยาก เราก็เลยมีความรู้สึกว่าถ้าอย่างนี้เราทำได้ มันก็สามารถที่จะต่อยอดไปทำงานด้านข่าวได้รึเปล่า มันก็เหมือนใช้ Skill ในการพูดเหมือนกัน

เป็นผู้ประกาศข่าวกีฬา แต่ทำไมถึงตัดสินใจอยากอ่านข่าวหลักขึ้นมา

เพราะเป็นคนชอบเสพข่าว ด้วยเราพื้นฐานเป็นคนชอบดูข่าวเป็นประจำ แล้วก็ชอบดูเรื่องนู้น เรื่องนี้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าสมมติไม่ได้ดู เราก็จะต้องไปเปิดเน็ตดู  เห็นฟีดมันขึ้นมา เราก็จะอยากรู้ว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้น เป็นคนที่ชอบอยากรู้อยากเห็น  มันเหมือนมันเป็นนิสัยของคนข่าว ก็เลยคิดว่ายังไงก็ต้องมาอยู่จุดนี้ให้ได้ 

แล้วการเป็นผู้ประกาศข่าวในแบบฉบับของคุณมันเป็นแบบไหน

ก็คือการเล่า ไม่ใช่การอ่าน ก็ตรงตาม Concept ของไทยรัฐตามล่าหาคอเล่า เพราะเรามองว่าถ้าใครอ่านภาษาไทยออกก็อ่านข่าวได้หมดแหละ แต่มันมีเอกลักษณ์ยังไง ที่จะทำให้มันไม่เหมือนคนอื่น ฉะนั้นการที่จะไม่เหมือนคนอื่น ก็คือคุณจะรวบรวมทุกอย่างให้คุณรู้สึกว่าเหมือนคุณนั่งเล่าให้พ่อ ให้แม่ ให้พี่ ให้น้องฟังแล้วเขาเข้าใจแบบง่ายๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราอยากเป็น 

ทำไมถึงสมัครโครงการ “ไทยรัฐตามล่าหาคอเล่า” 

เพราะความพยายามที่ตั้งใจและตั้งเป้าอยู่แล้วว่าอยากจะเข้าไทยรัฐทีวี อยากจะเป็นหนึ่งในคนข่าวของที่นี่ เพราะว่าไทยรัฐทีวีก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นช่องทางอันดับหนึ่งจริงๆ ฉะนั้นถ้าเกิดคนที่มี Passion ในการทำข่าว คุณจะไปที่ไหนได้นอกจากไทยรัฐทีวี ก็มีความคิดที่อยากจะเข้าไทยรัฐทีวีอยู่แล้ว เคยสมัครมาในก่อนหน้านี้ที่เขามีการเปิดหาผู้ประกาศข่าว แต่ว่าเราไม่ได้ จนกระทั่งพอมันมีโครงการนี้ ก็คิดแล้วว่ายังไงฉันก็จะต้องลอง คือทุกครั้งที่ไทยรัฐทีวีจะมีเปิดอะไร คือลองอยู่เสมอ แล้วคือแค่คำว่าไทยรัฐ ทุกคนต้องรู้จักหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จากหนังสือพิมพ์มันมาสู่ไทยรัฐทีวี ใครที่ได้อยู่ในช่องที่เรียกว่าไทยรัฐทีวี คุณต้องรู้แล้ว ว่าคุณเป็นคนข่าวตัวจริง 

เตรียมตัวอย่างไรในการเข้าสู่โครงการ “ไทยรัฐตามล่าหาคอเล่า”

อย่างที่ขวัญบอกว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบเสพข่าวและดูข่าว แล้วอยากเล่าข่าว เราก็เลยทำ TikTok Channel ของเรา ซึ่งก็เห็นว่าจะมีคนทำแบบนี้เยอะแยะ เราก็เลยมองว่า ถ้าเราอัดคลิปสั้นๆ วันละ 1 นาที เล่าข่าวให้คนนู้นคนนี้ดู คนนู้นคนนี้ฟัง เหมือนกับเราเองก็อยากรู้ด้วย เพราะว่าในระหว่างก่อนที่คุณจะเล่าได้อะ คุณต้องมีข้อมูลถูกมั้ย ฉะนั้นถ้าคุณอ่านแล้ว คุณมีข้อมูล ทำไมคุณไม่ถ่ายทอดออกมา แล้วพอเราทำ TikTok Channel ปุ๊บ เราก็เลยเล่าข่าว แล้วคลิปนั้นที่ส่งมาโครงการเป็นคลิปเดียวเท่านั้นจริงๆ นะ ส่งแค่คลิปเดียว คือขวัญมีแอบไปดูๆ ว่าเขา Hashtag อะไรกันยังไง เอาตรงๆ #ไทยรัฐตามล่าหาคอเล่า ขึ้นเป็นล้าน คนวิวดูแบบเป็นล้านๆ คือคนส่งเยอะมาก เราก็ไม่ได้คาดหวังแล้วว่าจะได้ เพราะคนส่งเยอะ 

แต่ว่าเราก็ยังคิดว่าก็วันนี้ฉันจะอัดข่าวอยู่แล้ว แล้วมันจะเป็นอะไรถ้าฉันจะติด Hashtag ไปหน่อย เพราะว่าเราตั้งใจอยู่แล้วว่าเราอยากจะส่ง ก็คิดว่าต่อให้ส่ง 10 คลิป ถ้ามันจะไม่ได้ แล้วคณะกรรมการเห็นว่าเราไม่เหมาะ มันก็คงไม่ได้ ก็ตัดสินใจนั่นแหละ ส่งแค่คลิปนั้นคลิปเดียว แล้วพอหลังจากนั้นก็มีคนโทรมา แล้วบอกว่า มาจากไทยรัฐ คำแรกที่เราได้ยินว่าเขามาจากไทยรัฐนะ แค่นั้นเราก็ตกใจแล้ว พอเราก็ตกใจ เสร็จแล้วเขาก็เลยบอกว่า เราเป็น 1 ใน 10 คนที่เข้ารอบนะ ก็ช็อคมากๆ เพราะตกใจว่าจริงเหรอ แล้วก็ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้หรอ แล้วเขาก็เลยบอกว่า เดี๋ยวจะมีส่งรายละเอียดใดๆ มา 

คือตอนแรกส่งแบบไม่ได้คาดหวัง เพราะว่าคนมันส่งเยอะ ไปคาดหวังแล้วมัวแต่นั่งรอ เดี๋ยวมันผิดหวังแล้วก็เสียใจ เพราะว่าเราเคยอยากจะสมัครมาที่นี่ แต่พอเขาบอกว่าเราติด 1 ใน 10 คนสุดท้าย แล้วเราจะต้องไปทำการ Workshop ต่อ ก็เลยตื่นเต้น และตื่นแต่เช้าเลย เพื่อที่จะต้องมาวันนั้น

คุณใส่บาตรก่อนออกจากบ้านมั้ย?

ไม่ถึงขั้นนั้น สวดมนต์ที่บ้านก็พอ (หัวเราะ) เอาไปถึงกระบวนการ 10 คนก่อน (คิด) พูดแล้วเดี๋ยวน้ำตาไหล วันนั้นเอาแค่ว่าวันที่เสร็จจาก Workshop กลับบ้านแล้วโทรบอกกับที่บ้าน พูดว่าไทยรัฐทีวีมันสุดยอดเลย แล้วเขาก็งงว่าสุดยอดอะไร คือทำยังไม่ได้ไปทำ Demo เลย ก็บอกว่าเขามีความตั้งใจมากในการทำ คือเราคิดว่าเขาก็คงแค่ประกาศรับ แล้วก็คัดกันไปก็ได้ มันไม่จำเป็นต้อง Workshop คัดกันมาเสร็จ พอได้ 5 คนสุดท้ายก็ไปทดสอบหน้ากล้อง แล้วก็คัดคนสุดท้ายมาก็ได้ แต่ทำไมเขาต้องเสียเวลามาทำ Workshop 1 วัน เสียงบประมาณ เสียกำลังคน เสียเวลาผู้ประกาศหลักที่มีชื่อเสียง ต้องมาอธิบายและบรรยายให้คุณฟัง ความประทับใจเราเกิดมาก คือเดินออกไปเสร็จ โทรบอกที่บ้านแล้วบอกว่าไทยรัฐทีวีเขาเป็นมืออาชีพมากเลย แล้วเราก็เลยบอกว่าถ้าไม่ได้ ไม่เสียใจนะ เพราะรู้สึกว่าวันนี้ได้ประสบการณ์ไปเต็มๆ เลย แล้วพร้อมจะเอาไปใช้ในอนาคตด้วย เพราะว่าไม่ได้คาดหวังเลย คนอื่นอาจจะมารอบ 10 คน และคิดว่าฉันกลับไป ฉันจะต้องทำให้ได้ แต่ขวัญแปลก เพราะว่าวันนี้ประทับใจมาก คือสิ่งที่ได้คือพี่ๆ ทีมงาน พี่ๆ ผู้ประกาศแต่ละคน คือเขาเสียเวลาในการอ่านข่าวเสร็จแล้วก็มาอธิบาย มาพูดให้เราฟัง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไม่ต้องทำ 

แล้วเราได้เจออาจารย์สุภาพ คลี่ขจาย ด้วย แล้วเราเป็นคนดูอาจารย์สุภาพ แล้วเราเป็นคนชอบดูข่าวไง ก็หลังจากวันนั้นเสร็จก็ไม่คิดอะไร ทีนี้เราก็ต้องรอ เพราะเขาบอกว่าหลังจากวันนั้นก็จะให้ซองข่าว แล้วเดี๋ยวก็นัดในวันถัดมาว่าคุณจะต้องมาทำ Demo นะ แล้วเรามาลองหน้ากล้อง ก็นั่นแหละ คือสิ่งที่เราพูดกับที่บ้าน ก็เปิดเอกสารอ่าน เสร็จแล้วก็กลับไปที่บ้านก็หยิบข่าวมาดู แต่อย่างที่บอกว่าเราก็เป็นคนดูข่าวอยู่แล้ว ในข่าวพวกนั้นเราพอรู้อยู่แล้ว เพราะเราเสพข่าวทุกวัน

พูดถึงวัน Workshop ชอบอะไรมากที่สุด

พี่ผู้ประกาศแต่ละคนที่มาให้ประสบการณ์ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทุกคน อย่างที่บอกว่าอาจารย์สุภาพก็มาพูดเกี่ยวกับเรื่องของทีวีก็มีประโยชน์มากๆ แต่ถ้าสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราปิ๊ง ก็คือตอนที่พี่มิลค์ (เขมสรณ์ หนูขาว) ขึ้นไปเล่าเรื่องประวัติของเขาบนเวที ว่ากว่าที่เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ เขาต้องผ่านอะไรมาในวันที่เขาเป็นดารา แล้วความน่าเชื่อถือในทางการข่าวมันไม่มี ฉะนั้นพอเขาจะไปทำงานข่าวเนี่ย มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขานะ แม้ว่าเขาจะเป็นดารามาก่อน แล้วก็มีช่วงที่เขาไม่มีงาน ตกงานอยู่สักพักนึงเลยกว่าเขาจะได้ทำช่องนั้น แล้วก็มาสู่ไทยรัฐทีวี คือพอเราฟังเขาอะ มันเหมือนคล้ายๆ กับตัวเรา เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราพยายาม มีความพยายามมาตลอด คืออยากเข้ามาสู่ช่องข่าวที่มันเป็นช่องข่าวจริงๆ แล้วเราก็รู้สึกว่า ตลอดช่วงเวลาที่เราไม่สมหวังตรงนั้น เราไม่ได้เคยหยุดความพยายาม เช่น ก่อนจะมาไทยรัฐ เรายังคงอ่านข่าว อัปเดตข่าว ดูข่าวไม่เคยหยุด 

จนกระทั่งอย่างที่บอก ว่าไปเล่าข่าวใน TikTok เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่เคยหยุดพยายาม แล้วพอพี่เขาพูดมาในลักษณะนี้ ก็เลยทำให้เราคิดว่า เฮ้ย ขนาดพี่มิลค์เขาก็ไม่ใช่ง่ายนะ มันก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เหมือนกับมันเป็นแรงบันดาลใจมาให้เราว่า ถ้าถึงวันที่เราจะไปแคสต์  ฉันแค่ทำให้ดีที่สุดในแบบของฉันพอ นั่นแหละคือสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ ตั้งแต่วันที่ออกจาก Workshop เลย ซึ่งเขาไม่ต้องเสียเวลามาทำก็ได้ เพราะว่าคนที่ได้ประโยชน์มันเป็นพวกเรา 10 คน แล้วเขาจะเก็บเงินเราก็ได้ด้วยนะ ซึ่งแล้วมันก็คุ้มค่าด้วย แถมเราก็ยินดีที่จะจ่าย เพราะกลายเป็นว่า ประโยชน์ที่มันเกิด มันเกิดกับคน 10 คนที่อยู่ใน Workshop มันแทบจะไม่ได้เกิดกับคนที่มาบรรยายนะ ก็เลยไม่เข้าใจว่า เอ๊ะ แล้วเขาทำขึ้นมาเพื่ออะไร ก็เป็นคำถามที่ขวัญได้พูดประโยคนี้ออกไปในวันที่ถูกสัมภาษณ์ด้วย โชคดีที่เราเป็น 1 ใน 10 ก็คิดว่าไม่เป็นไร ก็คงโม้ได้อีกนานและ อย่างน้อยฉันก็เป็น 1 ใน 10 ถ้าฉันตกรอบตรงนี้ จนกระทั่งไป 5 คน ตอนแรก มาไปวันที่ไป Demo ก่อน โอ๊ย! ตื่นเต้นมาก เข้าห้องน้ำไม่รู้กี่รอบ อ่านข่าวจนหมดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในปึกนั้นทั้งคืน ตี 4 ตื่นมาอ่านข่าวอีก ซ้ำ เพราะมันมีข่าวอยู่บางข่าวที่เราไม่เข้าใจ เราเข้าใจในข่าว แต่เราถ่ายทอดไม่ได้

ข่าวนั้นคือข่าวอะไร

ข่าวสายพันธุ์โอมิครอน 10 ข้อสงสัย ยากมาก เป็นภาษาแพทย์ แล้วเราก็ดูข่าวนั้น วันนั้นตี 4 ก็นั่งดูแต่ข่าวนี้เพราะข่าวอื่นมันง่าย เรารู้สึกว่าเราสามารถถ่ายทอดได้ แต่ข่าวนั้นทำไม่ได้ ก็ยังไม่ได้ เช้าวันนั้นก็ยังคิดว่าไม่รู้จะเล่ายังไง จนที่คิดว่าจะเล่าให้ได้ในแบบฉบับของตัวเองจริงๆ ก็คือวันที่อยู่หน้าห้อง (บันทึกเทป) แล้วรอคิวกำลังจะเข้า ตรงนั้นเลย คืออ่านอีกรอบ อ่านอีก ซ้ำอีก ไม่อ่านข่าวอื่นๆ แล้ว ก็อ่านซ้ำอีก แต่ในใจ (คิด) เอาตรงๆ นะ คืออยู่ที่บ้านน่ะ ก่อนออกมาเราต้องไหว้พระ เชื่อว่าทุกคนไหว้พระขอพร ก็ไหว้พระขอพรออกมาว่า ขอให้วันนี้ทำให้ได้ดีที่สุด แล้วก็แอบบอกพระว่า อย่าให้ขวัญเจอข่าวนี้เล๊ย (เสียงสูง) จริงๆ พูดจริงๆ สรุป เจอข่าวแรกค่ะ (หัวเราะ)

พระเจ้า! ตอนเอาข่าวเข้ามาให้ หา ข่าวแรกหรอ (เสียงสูงมาก) ก็คิดในใจ เอาไงดีวะ ก็แบบว่า เออ เอาไงก็เอา (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่า เอาที่เราเข้าใจ อย่าไปคิดเยอะ ไม่ต้องไปคิดว่าหมอเขาจะพูดอย่างนี้ ก็เลยตามนั้น พอเราเทสต์เสร็จปุ๊บ  เราก็เชื่อว่าเราปล่อยหมดแล้วเต็มที่ ไม่เหลืออะไรแล้ว กรรมการเขาก็จะมีคอมเมนต์ ก็ยืนตัวสั่นเลยแหละ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะคอมเมนต์อะไรบ้างเนาะ มือเย็นเฉียบเลย แล้วคือพี่เขาก็ชม ว่าเหมือนกับเราเตรียมตัวมาดี ตั้งใจ ตอนแรกพี่เขาชมอย่างนี้ก่อน คือชมแล้วเราก็เขิน น้องเป็นคนขึ้นกล้องมาก ออกกกล้องแล้วสวย แล้วก็พี่ๆ คนอื่นก็พูด ก็ไม่ได้เป็นไปทางลบ พอกรรมการหลายคนเริ่มชมเรา เราก็เริ่มกดดัน แล้วมันเหมือนกับว่ามันเป็นความตั้งใจและความตื่นเต้น ที่บวกอยู่ในตัวเต็มไปหมด พอเขาพูดออกมา เราก็เลยเหมือนเราปล่อยอะ เลยร้องไห้ออกมา

โอ๊ย คือแบบ คำนั้นเลยอ่ะ เราร้องไห้ พูดแล้วยังจะร้องไห้ (เสียงสูง) พอเราได้ยินคำนั้นคนเดียว เราฟังแล้วเรายังจะร้องไห้ พอได้ยินคำนั้นคนเดียว เราก็คิดในใจว่า (เสียงสั่น) มีคนเห็นในสิ่งที่เรากำลังทำอะ คือความหมายคือ ในความตั้งใจที่ผ่านมาตลอดของเราที่เราพยายามอะ คือมันไม่รู้หรอกว่าจะได้ (รับเลือก) มั้ย แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องร้องไห้ออกมาคือ มีคนเห็นแล้ว ถ้าพี่ที่เป็นกรรมการระดับผู้ประกาศขนาดนี้ที่เราตามดูเขาอยู่ แล้วเขาพูดอย่างนี้ คือเราอาจจะไม่ได้ (รับเลือก) ก็ได้ แต่เรารู้ว่ามีคนเห็นแล้ว ก็หมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว เสร็จแล้วพี่เขาก็ร้องตามเราไปด้วย อะไรอย่างเงี้ย 

แล้วอย่างน้องมิ้น (อรชพร ชลาดล) เขาก็บอกว่า “รู้เลยว่าแบบเตรียมตัวมาดีมากจริงๆ” เราก็เลยบอกว่า “ใช่ๆ” คือตั้งใจมาก แล้วก็กดดันตัวเอง กดดันกับความรู้สึกของตัวเอง พอเวลาที่การแคสต์มันจบลง วินาทีที่เขาบอกว่าหมดแล้ว จบแล้ว ประโยคสุดท้ายที่เราพูดออกไปที่เราเล่าข่าว เรารู้สึกว่าเหมือนยกภูเขาออกจากอกแล้ว จบสักที ได้-ไม่ได้ไม่รู้ แต่พอกรรมการชมเราแค่ดีใจว่า ความตั้งใจของเรามีคนเห็นแล้วจริงๆ ฉะนั้นก็ไม่เป็นไร ก็เดินกลับบ้านได้แบบโอเคแล้ว ก็ควรภูมิใจในตัวเอง 

รู้สึกมั้ยว่าความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร

จริงค่ะ คำนี้ใช้ได้กับขวัญเลย เพราะขวัญไม่เคยหยุดพยายามแม้แต่วันเดียว ใช้คำนี้จริงๆ อุ้ยตายแล้ว มาดราม่าเลยเนี่ย แต่ขวัญมองว่า ทุกคนมันมีเส้นทางในการตามความฝันของตัวเอง ฉะนั้น ขวัญก็เลยมองว่า บางคนเขาก็มีท้อระหว่างทาง ก็หยุดใหม่ไป ก่อนขวัญจะเข้ามาที่ไทยรัฐ ขวัญออกจาก TNN มานานเลยค่ะ เกิน 6 เดือน ก็ทิ้งระยะเวลาช่วงนั้นที่ไม่ได้ทำข่าวเลย แต่อย่างที่บอกว่าไม่เคยหยุดพยายาม เพราะมันคือสิ่งที่รัก ถึงไปนั่งข่าวลง TikTok ทำช่อง YouTube เพราะว่า เราคิดว่าเมื่อไหร่ที่เราหยุดมี Passion เราจะหมดลง ถ้ามันหมดลง เราก็ไม่ควรต้องทำข่าวแล้ว ก็เลยไม่หยุด ความไม่หยุดนั้น มันก็เลยส่งผลมาให้เรารู้สึกว่านี่แหละ ทั้งหมดของความพยายาม มันมาจุดนี้

Passion สำคัญกับการทำงานข่าวยังไง

มากนะคะ ขวัญว่าทุกๆ วัน ถ้าคุณตื่นมาแล้วคุณยังรู้สึกว่า เฮ้ย วันนี้มีเรื่องอะไรวะ เมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นตอนที่เรานอนวะ ถ้ายังมีความรู้สึกนี้ ขวัญมองว่านี่แหละ คือวิญญาณของคนข่าว แต่ถ้าเรานอนหลับไป แล้วทุกวันที่เราตื่นออกมา โฮ้ย (เชิงถอนหายใจ) ขี้เกียจ วันนี้ต้องออกไปอ่านข่าวอีกแล้วเหรอ อย่าทำงานเลย เพราะมันไม่ใช่คนข่าว คนข่าวต้องไม่หยุดเสพข่าว เพราะถ้าเราหยุด เราไม่มีอะไรเล่าให้คนอื่นฟัง นี่คงเป็น Passion ของขวัญ

ตอนแรกคิดว่ารอบ 10 คน คือจะจบแล้ว 10 แล้วคงไปเลย (ในรอบ) 2 คน หรือ 3 คน หรือ 4 คน เราไม่รู้หรอกว่าเขาเอากี่คน แต่เราคิดว่าไฟนอลจบไปแล้ว รอบนี้ (10 คน) คือสุดท้ายแล้ว แล้วคือมีทีมงานโทรมา แล้วก็มาบอกว่า 5 คนคำถามแรกคือ (หัวเราะ) ถามเขาว่า “เอ่อ ยังไม่จบอีกเหรอคะ” ถามคำนี้จริงๆ เขาก็หัวเราะ HR เขาก็หัวเราะเรา เราบอก “เอ่อ ยังไม่จบอีกหรอคะ” เพราะเรารู้สึกว่า เฮ้ย มันกดดันมาก (เสียงสูง) มันควรจบได้แล้ว ถ้าเราพูดแบบชาวบ้านอะ เขาหัวเราะแล้วเขาก็พูดว่า “เอ่อ ยังค่ะ อันนี้อีกรอบ 5 คน อีกทีนึงค่ะ” คิดในใจแล้วว่า มันจะมีรอบ 3 คนรึเปล่าเนี่ย (หัวเราะ) แต่ก็คิดแล้วแหละว่าฉันผ่านวันนั้นมาแล้ว พอแล้ว ก็คงไม่ต้องกดตัวเองแล้ว แล้วขวัญก็ถามเขาว่า “แล้วต้องทำไงต่อคะ” เขาก็บอกว่า เดี๋ยวเหลือขั้นตอนสุดท้ายก็คือ สัมภาษณ์กับผู้บริหาร เราก็เลยคิดว่า อ๋อ โอเค สัมภาษณ์กับผู้บริหาร ก็เดาไว้แล้วแหละว่าเขาอาจจะดูมุมมองเรา ดูความคิด ดู Passion รึเปล่า ก็คงคิดอย่างนั้น ก็เลยคิดว่าเป็นตัวของตัวเองแหละ อย่างที่เราเป็น เหมือนวันที่เราไป Test หน้ากล้องก็พอแล้ว 

ตอนเข้าสัมภาษณ์กับผู้บริหาร 

นั่งรอมือสั่น เซ็ตผม เช็คหน้า คิ้วเท่ากันรึยัง สวยมั้ย โอ้โห ทุกอย่าง แล้วพอเข้าไปเจอคุณนิค (จิตสุภา วัชรพล – เจ้าหน้าที่บริหารสายงานคอนเทนต์) และคุณปราง (โปรดปราน หมื่นสุกแสง​ – เจ้าหน้าที่บริหารสายงานกลยุทธ์และการตลาด) คิดดูสิ จะไม่เกร็งได้ไง แล้วพี่บุ๊ค (สืบสกุล พันธ์ดี) เนี่ย โอ้โห แต่ว่า สิ่งที่คิดเลยว่า พี่บุ๊คต้องถามฉันเยอะแน่ๆ ฉันจะต้องโดนแน่ๆ แล้วจะทำยังไงดี เพราะพี่บุ๊คเป็นคนข่าว เป็นผู้ประกาศ พี่บุ๊คจะต้องถามเราเยอะแน่ๆ แต่สรุปเป็นคุณนิค แล้วแค่เราเห็นหน้า ผู้บริหารขึ้นมาเราก็สั่นแล้วอะ เราก็แบบ หูย ทำไงดี จะทำยังไง ตอบยังไง เขาจะถูกใจ-ไม่ถูกใจ ก่อนจะตอบอะค่ะ ก็คิดก่อนที่จะเห็นหน้าเขาผ่านหน้าจอ VDO Call น่ะค่ะ ก็คิด แต่สุดท้ายแล้วพอเขาเข้ามาปุ๊บเราก็คิดแล้วล่ะ เฮ้ย เป็นตัวของเรานี่แหละ เราเป็นยังไง เราก็บอกเขาไปแบบนั้นเลย 

พอ 10 คน 5 คน จนประกาศรายชื่อจริง เขาโทรมั้ย แล้วเรากรี๊ดใส่มั้ย

โทรมา ตกใจมาก ช็อก อึ้ง รอบนี้ไม่ได้กรี๊ด คือรอบนี้เงียบแล้วฟัง จนเขาคิดว่าเราคงหายไปมั้ง พี่เขาก็เลยพูดว่า “เอ่อ ขวัญคะ” “อ๋อ หนูตกใจค่ะ ว้าย จริงหรอคะเนี่ย” เราก็ถามเขาว่า จริงหรอคะเนี่ย เขาบอก “ใช่ๆ ดีใจด้วยนะครับ” อะไรอย่างเงี้ย พี่หัวหน้าฝ่าย เราก็พูด “พี่ ขอบคุณมากเลยค่ะ” อะไรอย่างเนี้ย “ดีใจมากๆ” อะไรอย่างเงี่ย ก็น้ำตาคลอ วางโทรศัพท์ก็น้ำตาคลอ ก็ร้องไห้ อะไรอย่างเนี่ย ก็แบบ จริงหรอ ทุกวันนี้ก็ยังถามตัวเองว่า จริงหรอวะ (หัวเราะเสียงดัง) ตอนนี้ก็ยังคิด จริงหรอวะ ทุกๆ วันที่เราขับรถมาทำงานที่ไทยรัฐ เราก็จะคิดแบบว่า เฮ้ย ฉันขับรถมาทำงานไทยรัฐจริงหรอวะ อะไรอย่างเนี้ย จริงๆ พูดจริงๆ เพราะว่า อย่างที่บอกว่า ถ้าเราได้อย่างที่เราฝันนะเนาะ ทุกคนมันก็คงจะคิดว่า ฉันฝันรึเปล่า โห มันเกิดขึ้นได้หรอ จริงรึเปล่า อะไรเงี้ย 

อะไรที่คิดว่าไทยรัฐเลือกเราเข้ามา

(คิด) ขวัญว่าความพยายามอะ ขวัญว่าถ้ากรรมการวันนั้น ที่เห็นเราตอน Test หน้ากล้อง เขาเห็นความพยายามของเรา วันที่ผู้บริหารสัมภาษณ์เรา ขวัญว่าท่านก็เห็นเหมือนกัน แล้วก็เชื่อว่าท่านเห็น Passion ของขวัญว่าขวัญจะเป็นคนข่าวของไทยรัฐได้ 

ความยากลำบากในการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นยังไงบ้างหลังจากที่เล่ามาทั้งหมดก่อนหน้านี้

ยากสิ คือหลายคนอาจจะมองว่าวันที่มี 10 คน ที่เป็นการแคสต์เนาะ ขวัญว่ากับวันที่เป็นสัมภาษณ์กับผู้บริหาร ขวัญว่าความรู้สึกไม่ได้หนีกันมาก การสัมภาษณ์กับผู้บริหารมีเพื่อเขาจะดูมุมมองเรา ไม่ได้ต่างกับการแคสต์หรือ Test หน้ากล้องนะ ความยากไม่ต่างกัน เพราะว่าเราไม่รู้หรอกเขาไม่ได้มาบอกเราหนิ ว่าทำไมเขาตัดเราจาก 10 มาเหลือ 5 ถูกมั้ย เราไม่ได้รู้เหตุผลใดๆ เลยว่าเขาเห็นอะไรในตัวเรา  ฉะนั้นวันที่เราอยู่ต่อหน้าผู้บริหาร เราก็ไม่มีทางรู้อีกว่าเขาเห็นอะไรเรามาแล้ว แล้วเขาเห็นอะไรในตัวเรา เราถึงมาอยู่ตรงนี้ แล้วเขาจะให้เราไปต่อรึเปล่า ฉะนั้น มันคือความยากทั้งหมด

หลังจากที่ได้มาเป็นผู้ประกาศข่าวคนใหม่ของไทยรัฐ

ในที่สุดวันนี้ฉันก็มีนามสกุล TR News เป็นความภูมิใจมาก (เสียงดังขึ้นมา) ก็บอกไม่ถูกอะ ดีใจ ดีใจอาจจะไม่พอด้วย มันก็เหมือนกับคนจีบสาวติดแล้วมันเป็นยังไง มันรู้สึกสมหวังเนาะ แต่อันนี้ คือมันยิ่งกว่าความพยายาม เพราะอย่างที่บอกว่า เราไม่เคยหยุดพยายาม มันก็เลยยังคงเป็นความรู้สึกอิ่มอยู่ในใจตลอดว่า โอ้โห วันนี้ฉันอยู่ตรงนี้แล้วในที่สุด มันคือคำว่าในที่สุดอะ

อยากบอกอะไรว่าความพยายามมันสำคัญขนาดไหน อยากบอกอะไรให้กับคนอื่น หรือว่าคนที่อยากเป็นผู้ประกาศข่าว หรือว่าอาจจะไม่ต้องเป็นผู้ประกาศข่าวก็ได้

ขวัญว่าอย่าหยุดตามหาความฝัน คือถ้าคุณมีฝัน แล้วคุณตั้งเป้าไว้แล้ว ไม่ว่าคุณจะอยากทำอะไรนะ มันไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นดารา เป็นสื่อมวลชน หรือทำสื่อ ทุกสิ่งทุกอย่าง บางคนอาจจะมีเป้าหมายเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ ว่า เดี๋ยวอีก 2 ปี ฉันจะต้องซื้อรถให้ได้ มันก็คือความฝันเหมือนกันถูกมั้ย ความฝันและความพยายาม แล้วคุณต้องดูสิว่าระหว่างทางที่คุณจะไปถึงตรงนั้นให้ได้ เราจะต้องไม่ปล่อยตัวเองระหว่างทาง ความหมายคือ ถ้าคุณอยากจะได้รถ คุณต้องทำงานเก็บเงิน ถูกมั้ย ถ้าคุณอยากจะมาเป็นผู้ประกาศข่าว คุณจะทำอะไรบ้างระหว่างทางกว่าจะไปถึงจุดที่คุณตั้งเป้าไว้ นั่นก็คือเป็นคนดูข่าวรึเปล่า เป็นคนเข้าใจในข่าวมั้ย อะไรทำให้คุณอยากเป็นคนข่าว หรือคุณแค่อยากแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ ไปนั่งอยู่ตรงนั้น หรืออยากเป็นคนข่าวจริงๆ ก็คือต้องไม่หยุดพยายาม แล้วขวัญเชื่อว่าวันนึงอะ มันจะเป็นวันของเรา มันอาจจะไม่ได้ตอบแทนในความพยายามตรงจุดที่เราต้องการก็ได้ อาจจะไปทำข่าวออนไลน์ก็ได้ เราก็ไม่รู้ มันมีแขนงมากมายให้เราได้ไปในความฝันนั้น ฉะนั้น ในระหว่างทางให้ถือซะว่ามันเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น ที่ให้เราได้ไปจุดนั้น 

คาดหวังอะไรจากการอยู่ที่ไทยรัฐบ้าง 

ก็ต้องการประสบการณ์มากๆ เลยค่ะ แล้วก็อย่างที่บอกว่าก็อยากเป็นคนข่าวตัวจริง สมกับสิ่งที่เราต้องการ แล้วก็คิดว่าวันนี้ก็ได้แล้วนะคะ เพราะว่าในทุกๆ วันที่มาทำงาน เราเห็นทีมงานของไทยรัฐทำงานเป็นมืออาชีพมากในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ เรื่องจริงๆ ก็แตกต่างจากที่เราเคยเจอ 

มองอนาคตตัวเองมั้ย ว่าอีก 5 ปีข้างหน้า มองไว้ว่าจะเป็นยังไง 

ก็จะยังเป็นผู้ประกาศข่าวที่ไทยรัฐ แล้ววันนั้นก็จะมีคนเรียกชื่อขวัญ-นัฏฐนันท์ ได้เต็มปาก แล้วก็จำเราได้

ในฐานะคนทำสื่อ อยากให้สังคมดีขึ้นด้วยสื่อหรือเปล่า 

ขวัญว่าสื่อเป็นตัวขับเคลื่อนว่า สังคมจะไปในทิศทางไหน เพราะสื่อเป็นคำพูดของผู้ประกาศ นักข่าว หรือทุกตัวอักษรของสื่อที่สื่อลงไป ล้วนแล้วแต่มีผลกับสังคม ฉะนั้นมันมีผลแน่ๆ ว่าสื่อจะขับเคลื่อนสังคมให้ดีหรือไม่ดีได้อย่างไร มันก็ต้องอยู่ที่ตัวเราอีกนั่นแหละว่า เราอยากจะพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นได้ในแบบไหน ฉะนั้นในการนำเสนอข่าวก็เหมือนกัน ขวัญก็มองว่าอยากดูข่าวดีๆ อยากดูข่าวที่แบบ ทุกเรื่องและคุณได้รู้ทุกเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ คุณก็ต้องดูไทยรัฐ

อยากอ่านรายการอะไรมากที่สุดในไทยรัฐ ถ้าให้เลือกได้ 

บ้า ไม่พูดดิ พี่บุ๊คนั่งอยู่นั่น (หัวเราะเต็มเสียง) ยังไม่กล้าไปขั้นนั้น ข่าวเที่ยงนี่ก็ยากแล้วนะคะ เอาตรงๆ เพราะทุกวันนี้รับได้อ่านข่าวเที่ยง เสาร์ อาทิตย์นี่ ทุกวันนี้ยังรู้สึกว่ายากเลยนะคะ ก็รู้สึกว่าไม่เคยมีอะไรง่ายสำหรับเรา เพราะยิ่งรู้สึกว่ามันยาก เราก็จะพยายามเนาะ ก็ทำให้มันท้าทายในทุกวัน 

อยากอ่านคู่กับคุณบุ๊คมั้ย?

ได้อ่านแล้ว ก็ได้อะไรเยอะมาก (ลากเสียง) พี่บุ๊คก็มีดุ ตำหนิมั่ง แต่ว่าทุกครั้ง ถ้าเกิดมีอะไรจะชอบถามพี่บุ๊คว่า “พี่บุ๊ค วันนี้มีอะไรจะบอกหนู ให้หนูปรับปรุงมั้ย” ทุกอย่างที่พี่เขาบอกมา เราจำได้หมดเลย แล้วเราก็จะเอาไปใช้ในตอนอ่านข่าวครั้งต่อไป แล้วเราก็เป็นคนชอบครูพักลักจำ พอเวลาพี่บุ๊คพูดอะไรอย่างนี้ปุ๊บๆๆ อ๋อ มันต้องใช้คำพูดอย่างนี้เนาะ อ๋อ มันต้องสื่อสารแบบนี้เนาะ อ๋อ มันต้อง ฯลฯ เราก็เก็บ เก็บเอามา 


มุมมองจากคณะกรรมการ

บุ๊ค – สืบสกุล พันธ์ดี หัวหน้าผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ในฐานะคณะกรรมการกล่าวถึงการคัดเลือกขวัญเข้ามาเป็นผู้ประกาศข่าว ในโครงการ “ไทยรัฐตามล่าหาคอเล่า” ว่า “สำหรับขวัญ คือเขาเป็นคนที่แค่ดูก็รู้ว่ามีความมุ่งมั่น ยิ่งในวันที่มา Workshop คือ โอ้โห ทำไมผู้หญิงคนนี้เขามุ่งมั่นจริง เก่งมาก ทำได้ทุกอย่าง มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ เปิดใจที่จะเรียนรู้แม้จะมีประสบการณ์มาแล้ว แต่เราเห็นในความตั้งใจจริงๆ ของขวัญคือตอนที่เป็นคนที่พูดขอบคุณหลัง Workshop เสร็จ ขวัญขอเป็นตัวแทนในการขอบคุณ และเป็นคำถามว่าเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไทยรัฐถึงทำให้ผู้สมัครขนาดนี้ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ภูมิใจของไทยรัฐว่า ผู้สมัครที่เข้ามา Workshop เขาเห็นคุณค่าของโครงการนี้”

“แล้วเขาทำให้เราได้เห็นความสามารถจริงๆ ว่าเขาสามารถอ่านข่าวได้ เล่าข่าวได้ อย่างที่ขวัญได้เล่าไป ข่าวโอมิครอน 10 ข้อของหมอยง เป็นข่าวที่ผู้ประกาศข่าวหลักจริงๆ ที่ได้รับข่าวนี้มาอ่านก็แทบตายอยู่หน้าจอนะ พี่จำได้เลย วันนั้นพี่อ่านข่าว และนักข่าวก็เอา Fact Sheet ที่หมอยงเขาโพสต์ไว้ถึง 10 ข้อเกี่ยวกับโอมิครอนคืออะไร และเอา Fact sheet นั้น มาให้ผู้ประกาศข่าวอ่านหน้าจอเลย การจะย่อ 10 ข้อของภาษาวิชาการทางการแพทย์ และโอมิครอนเป็นความรู้ใหม่ ยากมากเลยเอาจริงๆ ถ้าเราจะต้องอ่านทั้ง 10 ข้อมันยาวมาก อย่างน้อยข่าวนี้ต้องเป็น 10 นาทีแน่ แล้วคนก็จะเบื่อ ทีนี้เราให้ข่าวนี้เขาไป ข่าวนี้เป็นไม้ตายของพี่เลยนะ เป็นตัวตัดสินเลยว่าเขาเล่าข่าวได้ไหม สรุปข่าวได้ไหม และเขาทำได้ เขาอาจจะไปทำการบ้านมาเมื่อไหร่ก็ตาม เราฟังเขาแล้วเราเข้าใจอะ”

ในขณะที่ ปังปอนด์ – กฤตนัน ดิษฐบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส่องสื่อ มีเดีย แลป จำกัด ในฐานะคณะกรรมการตัดสินอีกคนกล่าวเสริมถึงการคัดเลือกขวัญว่า “ตอนที่นั่งในห้องคณะกรรมการ คุณขวัญเป็นหนึ่งคนที่เราค่อนข้างดูแล้วสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นผู้ประกาศข่าวได้ โดยเฉพาะการเล่าข่าวที่เราฟังแล้วเข้าใจง่าย ประกอบกับลีลาในการเล่าข่าวที่เข้าถึงคนได้จริงๆ ทำให้เราตัดสินใจเลือกคนนี้ แล้วยิ่งพอมานั่งฟังในรายการ “ไทยรัฐทันข่าว” แล้ว เราก็ยิ่งรู้สึกคิดถูกที่ได้คนนี้มาเป็นคนเล่าข่าวตัวจริง เพราะเขาเล่ามันออกมาได้ดีและตั้งใจเป็นอย่างมาก”

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า