fbpx

รู้จักตัวตน “แก้ม กุลกรณ์พัชร์” จากคนรักการร้องเพลง สู่การเป็นนักแสดงละครเวทีมืออาชีพ

วันก่อนผมมีโอกาสไปดู “พิษสวาท เดอะมิวสิคัล” ซึ่งเป็นการนำบทประพันธ์ละครโทรทัศน์มาดัดแปลงเป็นละครเวที ซึ่งแน่นอนว่าความน่าทึ่งของละครเวทีเรื่องนี้คือการใส่โทนการเล่าเรื่องแบบใหม่ รวมถึงการได้นักแสดงชั้นนำมาร่วมแสดง ซึ่งชุดนักแสดงแตกต่างจากละครโทรทัศน์อย่างสิ้นเชิง เลยทำให้การตีความบทดูแตกต่างมากขึ้น ซึ่งด้วยข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาของละครเวที กลับไม่ได้ทำให้การเล่าเรื่องดูขาดตกบกพร่องไปเลย และยังทำให้คนที่ไม่เคยดูในเวอร์ชั่นละครโทรทัศน์สามารถเข้าใจตั้งแต่ต้นจนจบได้อีกด้วย

ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทุกคนคาดหวังและทำให้ไม่ผิดหวังเลยก็คือ “นางเอก” ในเรื่องนี้ อย่าง “แก้ม กุลกรณ์พัชร์” ที่ได้รับบทบาทสำคัญ และต้องทั้งร้องและแสดงทั้งเรื่องไปด้วย ซึ่งเธอคุมโทนได้ดีกว่าวันงานแถลงข่าวเสียอีก และแน่นอนว่าการแสดงของเธอทำให้คนข้างๆ ต่างร้องไห้ไปตามๆ กัน ผมเลยมีโอกาสดึงตัวของเขามาคุยกันที่ The Modernist ในครั้งนี้ครับ

ปัจจุบันแก้ม กุลกรณ์พัชร์ทำงานทั้งเป็นนักแสดงละครเวที โดยได้เข้ามารับบทนำในเรื่องล่าสุดอย่าง “พิษสวาท เดอะมิวสิคัล” ซึ่งเธอยอมรับว่าเป็นบทที่ท้าทายมากๆ รวมถึงการเปิดโรงเรียนสอนร้องเพลงซึ่งมีทั้งสอนแบบออนไลน์และแบบตัวต่อตัวอีกด้วย ซึ่งเปิดมากว่า 3 ปี มีนักเรียนเข้ามาเรียนเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าการกลับมารับแสดงละครเวทีเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอต้องการกลับมาทำตามความฝันนั่นเอง

จุดเริ่มต้นที่ทำให้รักการร้องเพลง

น่าจะมาจากการที่คุณแม่ของตัวเองเนี่ยก็เป็นนักร้องลูกกรุงนะคะ ซึ่งก็คือคุณทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล ตั้งแต่จำความได้ก็ได้ยินคุณแม่ร้องเพลงมาตลอด แล้วเราก็ตามไปออกคอนเสิร์ต ไปเข้าห้องอัดเสียง แล้วก็อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่ามันทำให้เราซึมซับมากขึ้นไปอีกก็คงจะเป็นเรื่องของการได้ฟังเพลงการ์ตูนหรือเพลงจากละครเวทีต่างๆ ที่คุณแม่เปิดให้เราดูตั้งแต่เราเด็กๆ แล้วสิ่งนี้มันกลายเป็นสิ่งที่เราชอบ เนื้อหามันสนุกด้วยและเพลงก็เพราะมาก มันทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากร้องแล้วก็อยากได้เป็นคนที่ให้เสียงพากย์ด้วย

มีโอกาสในการพัฒนาตนเองอย่างไรบ้าง

ก็ไม่เคยเรียนร้องเพลงจริงๆ จังๆ เลยนะคะ จนกระทั่งตัวเองอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย เพราะว่าเรากำลังต้องเลือกสายเรียน แล้วตอนจะเข้ามหาวิทยาลัยก็ตั้งใจว่าจะเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย โดยตั้งใจจะเข้าทางด้านสาขาดุริยางคศิลป์ แล้วก็ได้เข้าจริงๆ ก็คือกลายเป็นว่ากว่าจะได้มาเริ่มเรียนจริงจังก็เป็นประมาณมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว

แล้วทำไมเราถึงก้าวเข้าสู่วงการละครเวทีได้

คือเราติดตามคุณแม่ไปที่นู่นที่นี่ แล้วคุณแม่เราก็รู้จักคนเยอะ ก็เคยมีผู้กำกับท่านหนึ่งเคยให้เราได้ลองเล่นละครเวทีอยู่ แล้วตอนนั้นเราอายุประมาณ 13 ปี ต้องเล่นละครเวทีเป็นสาวตาบอด ตอนนั้นเป็นเรื่องแรกเลย แล้วรู้สึกว่ามันค่อนข้างท้าทาย แล้วพอลองเล่นเป็นเด็กตาบอดแล้วก็รู้สึกว่าสนุกตั้งแต่ตอนนั้น แต่ว่าก็พักไปยาวแล้วก็ไม่ได้ไป เราก็คิดถึงมันอีกจนกระทั่งเรากำลังจะจบที่ที่จุฬาฯ ก็รู้สึกว่าอยากลองอีกครั้งหนึ่ง นำสิ่งที่เคยได้เรียนตั้งแต่เด็กประมาณ 4-5 ขวบ นั่นก็คือการเรียนร้องเพลง เต้นแจ๊ส บัลเลต์ และแดนซ์ พอเอาทุกอย่างมารวมกันก็ทำให้เราสนุก การที่ได้เข้าไปเล่นรัชดาลัยจะได้เรื่องของการแสดง ซึ่งก็ขึ้นอยู่ที่เราว่าอยากเรียนรู้อะไรมากขึ้นและอยากฝึกฝนยิ่งขึ้น

ตัดสินใจเข้ามาร่วมกับรัชดาลัยนานไหม

ไม่นานเลยค่ะ และจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนบอกว่ามีงานนี้นะ แต่พอรู้ข่าวว่าเขาจะมี Audition ก็สมัครเลย ตอนนั้นเราลองมาสมัครเรื่องสี่แผ่นดินเดอะมิวสิคัล ในฐานะอองซอมเบิล (Ensemble) (หมายถึงนักแสดงสมทบ) และคิดว่านี่แหละคิดสิ่งที่ใช่ ซึ่งเราก็ไม่ได้ปรึกษาคุณแม่มาก ประกอบกับเราตั้งใจมา Audition จริงๆ ก็บอกคุณแม่และเขาให้การสนับสนุนดี

ด่านที่ยากที่สุดในการเป็นนักแสดงละครเวทีคืออะไร

การจัดสรรเวลาในการซ้อมของเรา ซึ่งเราก็ต้องตั้งใจฝึกซ้อม แล้วด้วยการที่เราเป็นเด็กใหม่ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือเขาเรียกแล้วหูตาต้องไว คอยตามพวกพี่ๆ ที่มีประสบการณ์มาเยอะ และต้องเรียนรู้จากพวกเขาเยอะโดยการดูจากนักแสดงหลักว่าเขามีวิธีที่เขาเตรียมตัวกันอย่างไรบ้าง เราก็ใช้ไหวพริบในการมองและเรียนรู้จากเขา พร้อมกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ

จากนักแสดงสมทบก้าวมาสู่นักแสดงนำ ในตอนนั้นถือว่ายากไหม

ตอนนั้นได้รับเลือกให้เล่นบทนำในมิสไซง่อน ซึ่งเราไม่ได้คิดว่าจะเข้ามาเรื่องที่สองก็รับบทนำเลย ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่เลือกแก้มเข้ามา ซึ่งพอเราได้รับบทนำคือมันยากมาก ต้องใช้ทักษะและการโฟกัสมากขึ้นเพื่อเข้าใจบทบาทตัวละครมากขึ้น ซึ่งเราคิดว่าที่พี่ๆ เลือกเรามารับบทนำในตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะด้วยความที่เราร้องเพลงได้ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากก็คือไม่ว่าจะยังไงคนที่จะต้องมารับบทนี้ต้องร้องเพลงค่อนข้างแข็งแรง กับอีกเรื่องคือเรายังเป็นคนที่เป็นหน้าใหม่จริงๆ ในวงการ

คือสำหรับตัวเรื่องมิสไซง่อนเอง การที่จะมาโปรโมทเรื่องนี้มันอาจจะลงล็อกได้อยู่ เพราะว่าในเรื่องเอง ตัวคิมเขาเป็นเด็กอายุ 17 ปี ต้องเข้ามาอยู่ทำงานในสถานที่ที่มันค่อนข้างจะน่ากลัว แล้วก็ดูไม่ใช่ที่สำหรับเด็ก ซึ่งมันอาจจะทำให้เขารู้สึกว่าทำไมไม่ลองเอาเด็กหน้าใหม่มาดูล่ะ

แล้วการข้ามขั้นไปรับบทนำในละครเวทีที่อังกฤษ มีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง

ตอนนั้นแก้มรับบทนำในละครเวทีเรื่อง The King and I ซึ่งตอนนั้นเราไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษอยู่

แล้วการเตรียมตัวของละครเวทีในต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้าง

คือด้วยความที่ละครเวทีในต่างประเทศเขาจะมีเพลงที่เขาทำมาอยู่แล้ว ซึ่งทำตั้งแต่ปีแรกของการแสดง จึงทำให้เราไม่ต้องทำเพลงใหม่ เพราะฉะนั้นทุกคนที่ก่อนจะได้ Audition ผ่านเข้ามา ทุกคนที่ได้เข้ามาเล่นและยืนอยู่ตรงนี้ต้องร้องเพลงนี้เป็นหมดแล้ว มันไม่จำเป็นต้องมานั่งหัดใหม่ตั้งแต่ต้น ซึ่งเขาเลือกเรามาแล้วเพราะว่าเราร้องเพลงเหล่านั้นได้ เพราะฉะนั้น ระยะเวลาในการที่จะซ้อมมันจะไม่ได้นานมาก ไม่เกินสองเดือนแน่นอน ในขณะที่ของเมืองไทยอย่างรัชดาลัยเวลาในการซ้อมก็จะนานกว่า เพราะในบางเรื่องจะมีการปรับให้เข้ากับสถานการณ์และเสียงของผู้ชมด้วยเช่นกัน

ในขณะเดียวกันทุกคนที่มาแสดงก็เก่งหมดเลย แล้วเขามีตัวเลือกแบบถ้าคนนี้เจ็บหรือว่าคนนี้ไม่เอาแล้ว ความประพฤติไม่ดีเอาออก เขาก็มีคนมาแทนที่ได้ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็มีคนมาอยู่ตรงนี้ได้แล้ว เพราะอุตสาหกรรมเขามันใหญ่มาก โรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับด้านนี้มันก็มีเยอะมาก อาจารย์สอนร้องเพลงมีเยอะ มันมีโอกาสเต็มไปหมดเลย มีคนที่จะให้มีความรู้เต็มไปหมด คนที่จะรับความรู้ก็มีเพียบ มันก็เลยยากตรงที่ว่าเราต้องเก่งตลอดเวลา เราต้องทำตัวเองให้ไม่เป็นจุดด้อยตลอดเวลา ตัวแก้มก็รู้สึกว่ามันดี มันก็ถูกหลัก เพราะเราจะอยากเก่งขึ้นไง ก็นี่แหละเป็นโอกาสให้เราได้เก่งขึ้นจริงๆ ได้เก่งขึ้นทางด้านสิ่งที่เราชอบ ในทางสายอาชีพ แล้วมันเก่งขึ้นในการใช้ชีวิตเราด้วย ต้องฉลาดไม่งั้นก็ไปทัวร์อังกฤษไม่ไหวหรอก ต้องทำกับข้าวเอง เจ็บป่วยเองเราจะอยู่ยังไง มันก็เสริมสร้างทักษะในการชีวิตของเราด้วย

เรื่องที่เล่นแล้วรู้สึกว่ายากที่สุดในชีวิต

คิมจากมิสไซง่อน คือเราใหม่มาก คือจะบอกว่าตัวเองไม่กดดันเลยคือโกหก จริงๆ คือกดดันมาก แล้วสมัยนั้นเรายังไม่เคยไปเรียนต่อทางด้านละครเวที ยังไม่เข้าใจเรื่องของการแสดงในแบบที่เราเข้าใจในปัจจุบัน ตอนนั้นยังเด็กอยู่แล้วมันมีความกลัวเข้ามาครอบงำเราในขณะที่เราแสดง ซึ่งมันผิดหลักไง ณ ตอนนั้นเวลาเล่นแล้วมันมีความกลัวอยู่ แสดงว่าเราไม่เป็นตัวละครแล้ว คือมันยังขจัดสิ่งเหล่านั้นไปไม่ได้ เพราะว่าเพลงก็ยากมากๆ เพลงที่ร้องนี่มันยากจริงๆ เหมือนเรายังเด็ก เรายังไม่ได้ผ่านการเรียนทางด้านการร้องและยังไม่ได้รับเทคนิคที่ทำให้เราแข็งแรงแล้วพร้อมที่จะร้องเพลงนั้นได้โดยที่ไม่มีเรื่องของความกลัว ความเครียดอยู่ในหัวขณะแสดง แต่ถามว่าในตอนที่เราเล่น ตอนนั้นเราก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นะ ในขณะที่เรากำลังแสดงไปในแต่ละรอบด้วยเช่นกัน

อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจในการแสดงมากขึ้นจนถึงวันนี้

ตอนที่เราตัดสินใจไปเรียนปริญญาโทโดยตรง เรียนพวกการแสดงทางด้านร่างกายที่เอามาใช้ในบนเวที บางทีมันไม่ได้มีแค่แบบเรียนรู้เรื่องบทอย่างเดียว มันจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ร่างกายมาประกอบที่มันช่วยทำให้อารมณ์ดูรู้สึกมีความเป็นละครมากขึ้นด้วย

แล้วอะไรที่ทำให้เราตัดสินใจไปเรียนต่อด้านนี้

ก็คือประสบการณ์ที่เราได้ทำมาจากในประเทศไทย ที่เราได้แสดงในเมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ซึ่งเป็นเวทีเดียวของเราที่เคยได้เล่นละครเวที ก็รู้สึกว่าประสบการณ์ตรงนั้นทำให้เรามั่นใจว่านี่คือสิ่งที่เราชอบ ถึงแม้ว่าเราจะผ่านความรู้สึกที่แบบว่าเครียดหรือว่ารู้สึกมันยังทำไม่ดี เพราะฉะนั้นเราเลยอยากทำให้มันดีให้ได้ ก็เลยตัดสินใจไปเรียน

สิ่งที่ได้จากการไปเรียนต่อที่อังกฤษคืออะไร

คือหลังจากเรา Showcase จบก็ได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ที่ลอนดอน เพราะว่าการที่เราเข้าไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ การได้โรงเรียนดีหรือไม่ดีก็มีผลมากว่าคุณจะได้เอเจนซี่ดีหรือไม่ เพราะถ้าเป็นโรงเรียนดังก็จะทำให้มีเอเจนซี่ที่ดีมาดูเยอะตอนวันทำ Showcase จบ แล้วเราก็สามารถเลือกได้ด้วยว่าเอเจนซี่ไหนที่ถูกจริตเรา ที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่ว่าดึงไป 10-20 คนแต่ไม่มีงานแสดงเลย เราก็ไม่ไปเอเจนซี่นั้น หรือบางเอเจนซี่ที่เล็กหน่อยแต่ดูแลทั่วถึง อันนี้เราก็โอเคนะ

บรรยากาศตอนไหนที่รู้สึกว่าว้าวที่สุด

เราได้ขึ้นเล่นบทหลักที่ London Paradigm อันนี้เป็นโรงละครที่แบบขึ้นชื่อมากโรงละครหนึ่งของลอนดอนเลย เจ้าของก็คือ Andrew Lloyd Webber ผู้ประพันธ์เรื่อง Cats แล้วแกก็มาดูวันเปิดแสดงด้วยตัวเอง คือแบบดีใจที่เราได้เล่นละครเวทีบน The London Palladium คือมันถือว่าเป็นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต แล้วการที่เราได้ขึ้นเล่นจริงๆ สองรอบติด ก็ได้เล่นกับคุณ Ken Watanabe รู้สึกว่าเป็นอะไรที่แบบสุดยอดมาก แล้ววันนั้นตอนที่ต้องมาขอบคุณมันคือที่สุดแล้ว

แสดงว่าความฝันของเราในวัยเด็กคือการเป็นนักแสดงละครเวทีใช่ไหม

ไม่นะ ตอนนั้นเราไม่รู้ขนาดนี้ว่าสิ่งนี้จะเป็นความฝันเรา มันค่อยๆ สั่งสมจนเรารู้แน่ชัดมากขึ้นว่านี่คือความฝันของเรานะ จริงๆตอนอยู่มหาวิทยาลัยเรายังไม่ได้คิดว่าเราจะมาเล่นละครเวที คือมันไม่ชัดแบบนี้ มันค่อยๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับการที่เราเก่งขึ้นทั้งทักษะของการร้อง การเต้น การแสดงเราเก่งขึ้น แล้วมันเลยค่อยกล้าที่จะฝัน

แสดงว่าแก้มเองดูเป็นคนที่ประเมินความฝันจากความเป็นจริงใช่ไหม

ค่อนข้างที่จะถูกเลยทีเดียว เหมือนตอนเรื่องของครอบครัว เราจะวางรากฐานครอบครัว คือตอนแรกสามีตั้งใจที่มีจะน้องแล้ว เราก็พยายามที่จะปัดเวลาไปเรื่อยๆ เพราะเราอยากเล่นละครเวทีที่ลอนดอน เราจะต้องสร้าง Portfolio ที่โน่น จนวันหนึ่งสามีพูดว่ามันไม่มีจริงหรอกคำว่าพร้อม เพราะว่าคุณจะไม่มีทางที่จะพร้อมในชีวิต ใครมันจะไปพร้อมหมดทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีหรอก อะไรคือความพร้อมมันไม่มีจริง มันเป็นอะไรที่เราสร้างขึ้นมา พร้อมทางการเงิน พร้อมทั้งกาย พร้อมทั้งใจ แล้วทั้งสองฝ่ายอีกให้มันแมทซ์กันขนาดนั้น ไม่มีวันนั้นหรอก เพราะฉะนั้นถ้าเราจะรีบแล้วก็มีเถอะ แล้วเดี๋ยวคุณจะพร้อมไปเอง มันจะไปได้เองของมัน แล้วมันก็จริง คือตัวเรามันจะเรียนรู้ในการที่จะปรับสภาพตัวของเราไปเอง จะต้องทำจนได้ถ้าเราไม่ยอมแพ้ซะก่อน ไม่วิ่งหนีมันจริงๆ

เป้าหมายในชีวิตคืออะไร

รู้สึกว่าตัวเองอยากมีคอนเสิร์ตของตัวเองสักครั้งหนึ่ง แบบจริงๆ ที่เราสามารถเลือกเพลง เลือกนักดนตรี เขียนสคริปต์ เลือกสถานที่ เลือกสไตล์ธีมทุกอย่าง อยากมีวันนั้น อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นคอนเสิร์ตที่ใหญ่โต แต่ว่าเป็นคอนเสิร์ตที่เราใช้ใจทำจริงๆ คือสำหรับบางคนอาจจะแบบแค่นี้เองเหรอ แต่สำหรับเราจริงๆ เป็นคนขี้กลัวนะ แต่จริงๆ ตัวเองมีจุดเป็นคนที่คนเจ้าระเบียบ บางทีเราจะกลัวในสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน กว่าจะก้าวขาออกมาได้มันจะกลัวจังเลย แต่ก็รู้สึกว่าอันนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวใกล้ๆ ไม่ใช่ความฝันไกลตัวมาก

ทำไมถึงตัดสินใจรับบท “คุณอุบล” ในพิษสวาท เดอะมิวสิคัล

จริงๆ อันนี้คุณบอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ติดต่อเข้ามาให้รับเล่น ซึ่งเราดีใจและภูมิใจที่เขาเชื่อมั่นในตัวเรา รู้สึกว่าเป็นเกียรติจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าด้วยประสบการณ์ที่เราได้ไปเจอมา ทำให้พี่เขาเชื่อใจเราได้จุดหนึ่งค่ะ แต่ว่าตอนนี้เราก็ยังต้องต้องโชว์ ต้องแสดงผลงานของเรานะ ไม่ใช่ว่าเรานิ่งดูดายแล้วคิดว่าอันนี้คือที่สุดแล้ว เรายังเรียนรู้อยู่ แล้วก็ยังพยายามไปทุกสเต็ปของการซ้อมนะคะ

ยากไหมในการรับบทบาทนี้

ยากมาก เพราะเรื่องนี้มีสองตัวละครที่เราต้องเล่น แต่ลึกๆ แล้วเขาคือคนเดียวกัน แล้วมันมีความซับซ้อนของอารมณ์มากๆ เราก็ต้องซ้อมและทำความเข้าใจกับบทให้มันเยอะๆ เพื่อที่จะสามารถตีความและเข้าใจอารมณ์ของคุณอุบลให้ได้ดีที่สุด แล้วด้วยตัวละครนี้จะไม่ได้ค่อยออกจากฉากไปพักเท่าไหร่ด้วย ต้องสร้างสมดุลระหว่างพลังกับการเล่นให้ดีๆ อันนี้โหดมาก เราก็ต้องทำให้ตัวเองไม่ป่วยด้วย

สิ่งสำคัญในการเป็นนักแสดงละครเวทีคืออะไร

วินัย แล้วก็ความอยากรู้อยากเห็น เพราะถ้าเราหยุดอยากรู้อยากเห็นปุ๊บ เราไม่พัฒนาแล้วในฐานะนักแสดงหรือนักร้องหรือนักเต้นก็ตาม ก็เลยคิดว่าความอยากรู้อยากเห็น แล้วก็วินัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักแสดงละครเวทีด้วย เพราะว่าร่างกายของคุณมันต้องใช้พวกกำลังวังชาให้รู้ว่าคุณจะต้องใช้มันเท่าไหร่กี่เปอร์เซ็นต์

คิดว่าอนาคตของวงการละครเวทีบ้านเราจะไปถึงจุดไหน

คิดว่ามันจะต้องเดินทางไปข้างหน้าได้อย่างดีขึ้นแล้วก็ดีขึ้นแน่นอน เพราะว่าบุคลากรมันมีแต่เด็กที่เก่งขึ้น เดี๋ยวนี้เด็กเขาเริ่มรู้ตัวว่าเขาชอบอะไรเร็วขึ้น แล้วเวลาเขาตั้งใจทำอะไรก็ตั้งใจทำกันได้ดี แล้วก็มีคณะที่รองรับเกี่ยวกับด้านการแสดงมากขึ้น ก็เลยคิดว่าตรงนี้มันน่าจะเป็นจุดที่สามารถทำให้มีคนเก่งๆ มาเล่น มันก็น่าจะมีมากขึ้น แล้วมันก็น่าจะดีขึ้น ซึ่งรวมถึงทีมด้วยไม่ใช่แค่นักแสดงอย่างเดียว แต่ว่ามันมีการสอนเกี่ยวกับเรื่องของการจัดการพวกละครเวทีหรือว่าสื่อบันเทิงมากขึ้นด้วย มันเหมือนโตไปด้วยกันทั้งระบบ แล้วก็หวังว่าเรื่องระบบความปลอดภัยสำหรับนักแสดง ตลอดจนถึงการซ้อมที่เป็นระบบมากขึ้นอันนี้ก็น่าจะต้องพัฒนามากขึ้นด้วย

คิดว่าละครเวทีเมืองไทยจะมีโอกาสไปเฉิดฉายที่ต่างประเทศไหม

หวังว่าจะมีโอกาส เพราะว่าคนไทยที่เก่งๆ เยอะจริงๆ แล้วก็มีความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ได้น้อยหน้าใคร แล้วก็คือมีแล้วนะคะที่แบบว่าไปเรียนที่ต่างประเทศแล้วก็เขียนงานที่ต่างประเทศด้วย

พิษสวาท เดอะมิวสิคัล
เปิดทำการแสดงตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน – 9 กรกฎาคม 2566
ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ เปิดจองบัตรที่ Thaiticketmajor ทุกสาขา

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า