fbpx

13 ปีที่แข็งแกร่งของจิมมี่ HeadlightMag กับการเป็นที่หนึ่งบนโลกเว็บไซต์ยานยนต์  

เป็นเวลากว่าทศวรรษที่ จิมมี่-ธนเทพ ธเนศนิรัตศัย หรือที่เรารู้จักกันในนาม จิมมี่ (J!MMY) HeadlightMag หยัดยืนทำสิ่งที่ตนเองรักและเชี่ยวชาญ ท้าทายกระแสลมจากคำปรามาส ไปจนถึงความแปรปรวนและความเสี่ยงในการทำสื่อออนไลน์ 

The Modernist ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักทุกแง่มุมชีวิตและความรู้สึกแบบเจาะลึกที่สุด ว่าเบื้องหลังชื่อเสียงและการทำงานของชายผู้ว่ากันว่ามีฝีปากเชือดเฉือนจัดจ้านที่สุดคนหนึ่งในวงการยานยนต์นั้น แท้จริงผ่านความเจ็บปวดและถูกเคี่ยวกรำมาอย่างไร เพื่อมายืนอยู่ในจุดสูงสุดดังปัจจุบัน

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

จุดเริ่มต้น

ปัจจุบันทำอะไรบ้าง

ปัจจุบันทำเว็บไซต์ HeadLight Magazine ทำรายการ Drive by J!MMY ก่อนหน้านี้ออกอากาศผ่านคลื่นวิทยุ แต่ตอนนี้เขากำลังประมูลคลื่นกันอยู่ ก็เลยรอให้เขาประมูลกันเสร็จก่อน นอกนั้นก็เป็น Content Provider ให้กับแอปพลิเคชั่นของสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง คือเอาคอนเทนต์บน HeadLightMag มาย่อให้กระชับ ให้เหมาะกับคนที่เข้ามาอ่านผ่านแอปพลิเคชัน

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น เข้าสู่วงการยานยนต์ได้ยังไง  

ย้อนกลับไปตอนเข้าวงการมันจะประหลาดนิดนึง คือสมัยนั้นเราจะไปตอบคอมเมนต์อยู่ในพันทิปห้องรัชดา ซึ่งเป็นห้องที่พูดคุยกันเรื่องรถยนต์ ชื่อรัชดานี่ก็มาจากชื่อถนนนั่นแหละ เพราะสมัยก่อนถนนรัชดาเป็นถนนที่เต็มไปด้วยเต็นท์รถมือสอง เราก็เข้าไปตอบคอมเมนต์ในห้องนั้นอยู่ประมาณอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งช่วงตุลาคมปี 2541 มีคุณหมอนะครับ นพ. สุรพงษ์ อนุรักษ์เลขา เขาทำบล็อกเกี่ยวกับ Cars and Mechanical เป็นเรื่องรถยนต์กับการแพทย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของความปลอดภัย เราก็เข้าไปช่วยเขียนนิดหน่อยเป็นระยะเวลาสั้นๆ

หลังจากนั้น พี่บอย-วรพล สิงห์เขียวพงษ์ ซึ่งตอนนั้นเป็นบรรณาธิการของ GM Car เดิมทีมันคือหนังสือรถยนต์ในเครือ GM ของคุณปกรณ์ พงศ์วราภา ก็คือ GM MAG MEDIA นั่นแหละ แกก็ทักเข้ามา เพราะเห็นว่าเราตอบคอมเมนต์ทุกคนแบบทุ่มเทมาก เลยอยากชวนมาทำงานด้วยกัน ตอนนั้นเลยตัดสินใจเข้าไปเป็นฟรีแลนซ์ส่งบทความรถใหม่ให้กับ GM Car เล่มแรกที่ออกมาน่าจะเป็นปก Toyota Sport Rider มั้ง เพิ่งออกตอนนั้นเลย เดือนพฤศจิกายนปี 2541

หลังจากนั้นสามเดือนพี่บอยมาบอกว่าเขาจะออกจาก GM Car ไปทำนิตยสารของตัวเองชื่อ Thai Driver พอรู้ก็ลังเลนิดหน่อยนะว่าจะอยู่ที่เดิมต่อดีมั้ย หรือเราจะออกไปกับพี่บอย แต่ความรู้สึกตอนนั้นคือเราอยากจะบุกเบิก เพราะเราอ่านหนังสือรถมาตั้งแต่เด็กๆ ทุกพักกลางวันสมัยเรียนอยู่กรุงเทพคริสเตียนก็จะชอบเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุด จนเราพบว่าหนังสือรถหลังจากปี 2533 เป็นต้นมามันมีโฆษณาแฝงเพิ่มขึ้นมาก ทำให้มันไม่น่าอ่าน แล้วพอเทียบกับหนังสือรถเมืองนอก หนังสือรถเมืองไทยคือสู้เขาไม่ได้เลย จะมีบางเจ้าอย่าง Formula ที่ยังโอเคอยู่ แล้วมันทำให้เราหงุดหงิด ก็เลยคิดว่าพี่บอยกำลังจะทำหนังสือใหม่งั้นเราตามแกไปแล้วไปบุกเบิกละกัน เลยได้ไปทำ Thai Driver ตั้งแต่เล่มแรกเดือนมิถุนายนปี 2552 จำได้เลยว่าเป็นปก Toyota Soluna รุ่นแรก ก็เขียนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจุดอิ่มตัว 

มีเล่าว่าหนังสือช่วงนั้นไม่น่าอ่านเพราะโฆษณาแฝงที่เยอะเกินไป แล้วหนังสือรถยนต์แบบไหนคือหนังสือที่ดี 

สำหรับตอนนั้นเรารู้สึกว่าหนังสือที่ดี ควรจะมีบทความทดสอบรถที่ดี พี่บอยแกก็พยายามจะทำบทความทดสอบรถที่ดีออกมานะ แต่ตอนนั้นก็ต้องยอมรับว่ามันก็มีบริษัทรถยนต์บางแห่งซึ่งยอมรับไม่ได้ในผลการทดสอบ ถึงขนาดไล่ PR ที่เอารถมาให้พี่บอยทดสอบก็มี หลังจากนั้นเราก็ต้องมานั่งคิดแหละว่ามันควรมีการทดสอบรถมั้ย จนกระทั่งปี 2544 มีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนชื่อหนึ่ง เขาเป็นคนที่อ่าน Thai Driver นี่แหละ แล้วเขามาขอหนังสือที่ Thai Driver เรา ทำแจก เพื่อเอาไปแจกที่ฝึกงานเขา ก็เลยมีโอกาสได้คุยกัน ทีนี้เรื่องมันคือพอเขาฝึกงานเสร็จ เขาก็ไปเป็นพนักงานขายรถ Volvo แล้วเขาเอา Volvo XC70 2001 มาให้เราเทสต์ที่บ้าน พอเราลองเอามาขับดูมันก็โอเคนะ สมรรถนะอะไรก็ดี ถึงเราไม่เคยทดสอบรถแบบนั้นมาก่อน แต่เราก็แก้ปัญหามันทุกอย่างได้ด้วยสัญชาตญาณ หนึ่งก็เลยพูดขึ้นมาว่า ‘จิมมี่ทำไมนายไม่ทำรีวิวรถล่ะ เขียนลงอินเทอร์เน็ตอะไรทำนองนี้’ มันก็เลยจุดประกายเราขึ้นมาว่า นั่นสินะ มันยังไม่มีใครทำตรงนี้อย่างจริงจัง คือโดยธรรมชาติของเรา เราเป็นคนที่ชอบริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ก็เลยได้ไอเดียแล้วก็เริ่มไปขอยืมรถจาก PR ค่ายรถเท่าที่เราพอรู้จัก จนช่วงปี 2546 ก็เริ่มมีบทความรีวิวรถมาลง ซึ่งตอนแรกก็จะเอาลง Thai Driver เลยนั่นแหละ แต่ตอนนั้น บก.บห เขาตั้งคำถามกับความน่าเชื่อถือของเรา แบบที่พี่บอยไม่ทำลงในหนังสือ เพราะเขาไม่มีเวลา แต่จิมมี่แกเป็นใคร  ซึ่งมันแทงใจดำเรามากเลยนะเรื่องความน่าเชื่อถือเนี่ย เราก็สวนกลับไปว่า ถ้าผมไม่ทำตั้งแต่ตอนนี้แล้วความน่าเชื่อถือของผมเมื่อไหร่มันจะมีล่ะ? เราก็เถียงกันค่อนข้างแรงเลยตอนนั้น แต่สุดท้ายบทความนั้นก็ได้ตีพิมพ์ แต่มันก็ทำให้เกิดเป็นบาดแผลบางอย่างขึ้นมาเหมือนกัน

หลังจากนั้นช่วงปี 2547 กลุ่ม Burda ซึ่งเป็นสื่อสิ่งพิมพ์จากยุโรปเริ่มเข้ามาในไทย มันเริ่มมาจากมีคนไปซื้อนิตยสาร Lisa มา แล้วทางโน้นเขาบังคับมาว่า ถ้าจะเอา Lisa มาก็ต้องเอา Auto Bild มาด้วย ตอนนั้นแหละเราเลยได้รับการติดต่อทาบทามจากคุณเดียร์ บรรณาธิการบริหารของ Auto Bild เขาก็ถามว่าเราสนใจส่งบทความลงให้ทางเขามั้ย คือ Auto Bild ในเยอรมันเนี่ย เป็นหนังสือรถชั้นแนวหน้าเลยนะ มันอยู่ในเครือของ BILD ซึ่งเขาทำหลายคอนเทนต์แต่ Auto Bild จะเป็นเรื่องรถโดยเฉพาะ ออกสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ถือเป็นหนังสือหัวนอกที่น่าสนใจมากที่มาลงตอนนั้น 

ในช่วงที่จัดตั้งกองบรรณาธิการกัน ต้นสังกัดก็ส่งคนของเขามา ซึ่งช่วงแรกวุ่นวายมาก ทีมไทยกับทีมฝรั่งทำงานด้วยกันยากมาก แต่สุดท้ายหนังสือก็ออกวางขายจนได้ ตอนนั้นจำได้เลยว่าถึงขั้นอดหลับอดนอน ค้างที่ออฟฟิศแล้วไม่ได้นอนด้วย คือนั่งทำงานโต้รุ่งข้ามวัน มันก็ทำให้เราได้เห็นวิธีการทำงานของฝรั่ง ว่าหนังสือนิตยสารระดับสากลเขาทำกันยังไง การวางเลย์เอาต์ ทุกอย่างต้องเป็น Digital Proof ได้รู้ว่าการที่จะทำหนังสือหัวนอก นอกจากต้องจ่ายค่าหัวให้เขาแล้ว ยังต้องดูด้วยว่าบทความบางเรื่องเราเลือกมาลงได้เลย หรือต้องซื้อเขามาลงอีกที อย่างบทความที่เป็น Exclusive ที่เขาทำเอง เราก็ต้องซื้อเขามาลง เช่นพวก Spy Shot หรือ Computer Graphic ของรถรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะออกแต่เป็นข่าวปิด เราก็ต้องซื้อแล้วราคาขายก็แพงมาก Auto Bild ก็เลยอยู่ลำบากเพราะโฆษณาไม่ค่อยเข้า เราก็ทำงานที่นี่จนถึงปี 2547 เราก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศในการทำงานเนี่ยค่อนข้างมาคุ เราก็รู้สึกว่ามันคงไม่ใช่ที่ของเรา เราก็ตัดสินใจเข้าไปบอกพี่ที่เป็น บก.บห. ในตอนนั้นว่าขอยุติการส่งงานนะ และจากกันด้วยดีในวันที่ 25 ธันวาคม 2547 เดินลงมาจากตึกตอน 6 โมงเย็นแล้วบอกกันตัวเองว่ามันจบแล้ว

แล้วจุดเปลี่ยนชีวิตเริ่มจริงๆ เริ่มขึ้นตอนไหน หลังจากที่เราตัดสินใจออกจากที่เก่า

ตัวละครสำคัญคือน้าหมู-ธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา​ เขาเป็นคอลัมนิสต์ใหญ่ในสายรถยนต์ตอนนั้น แกเห็นเราออกจาก Auto Bild แล้วแกมองว่าเราควรจะมีหัวหนังสือหรือสื่อครอบเผื่อเวลาไปยืมรถ เวลาไปติดต่องานมันจะได้สะดวก เขาก็เลยดึงมาทำรายการวิทยุด้วยกันคลื่น ขส.ทบ. AM 1269 แล้วก็มาจัดที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ซึ่งก็คือ 89.5 ในตอนนั้น แต่พูดเลยนะว่าเงินเดือนน้อยมาก เราต้องนั่งแท็กซี่จากบางนาไปแถวเกียกกาย แล้วถ้าวันไหนแท็กซี่ขับไม่ทันใจ เราก็จะขอขับเอง (หัวเราะ) ถ้าเคยเห็นแท็กซี่ขับเหมือน Fast and Furious แถวแยกเกียกกายนะ ใช่เลย คือมันรีบมากเพื่อที่จะไปให้ทันจัดรายการตอนบ่าย 3 โมง ทุกวันจันทร์ อังคาร ศุกร์ เสาร์ โหดอยู่นะ สี่วันต่อสัปดาห์ก็แทบจะหมดพลังงานแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเลย

แล้วตอนนั้นเพิ่งมารู้ทีหลังว่าน้าหมูแกเป็นคนเจ้าอารมณ์มาก มันก็มีเรื่องเยอะอยู่เหมือนกัน คือเราเข้าใจแกนะ แต่มันก็มีหลายครั้งที่เราถูกต่อว่าออกอากาศ ถูกว่าจนร้องไห้ แต่ก็ต้องดำเนินรายการต่อทั้งๆ แบบนั้นก็มี ยังดีว่ามันเป็นคลื่น AM คนฟังไม่ได้เยอะ ก็เป็นแบบนั้นจนมาถึงจุดที่มีเรื่องให้เข้าใจผิดกัน คือเขาเข้าใจว่าเราใช้ชื่อเขา ชื่อรายการเขาเพื่อไปยืมรถ ซึ่งความจริงคือเพราะเราทำงานให้เขา เราก็อยากให้สื่อของเขาได้งานไปเป็นรายแรก แต่ทุกครั้งที่เราทำเอกสารให้เขาเซ็น เขาก็จะดองแล้วไม่ยอมเซ็นสักทีซึ่งมันเสียเวลา เราเลยตัดสินใจใช้ชื่อของเรายืมไปเลย แต่ในจดหมายมันต้องเขียนไงว่าเราทำงานให้สื่อหัวไหน หรือทำอะไรอยู่ แล้วน้าหมูแกก็เข้าใจว่าเราเอาชื่อเขาไปอ้างทั้งๆ ที่เจตนาไม่ใช่แบบนั้น เรื่องมันสะสมเรื้อรังรุนแรงมาเรื่อยๆ ความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่น้าหมูแกลั่นวาจามาเลย “ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป อาจจะส่งแฟกซ์ไปยังบริษัทรถยนต์ต่างๆ ไม่ให้จิมมี่ยืมรถมาอีก” เขาขึ้นแรงมาก เราก็เจ็บปวดนะ คือเราต้องการจะทำงานให้เขาให้ได้ดีที่สุดนะ แต่เรากลับโดนแบบนี้ ในขณะเดียวกันภรรยาของเขาคือน้าลอง เขาพูดกับเราว่า “ช่วยไม่ได้นะจิมมี่ จิมมี่ทำกับพวกเราก่อน” คือน้าหมูแกเสียไปแล้วนะ ตรงนี้ถือว่าเราเคลียร์ตัวเองไปด้วยเลยว่าเราไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นจริงๆ

แต่จากวันนั้นคือตัดสินใจเลยว่าจะตั้งเว็บเอง เสี่ยงตายเอาดาบหน้าเลยแล้วกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เรารู้ด้วยสัญชาตญาณอยู่แล้วว่าเว็บที่เราจะตั้งมันจะออกมาดี และมันจะเป็นไปตามที่เราต้องการ ก็มีการคุยกับเพื่อนพ้องนะครับว่ามาตั้งเว็บกัน หลังจากนั้นเว็บไซต์ก็เริ่มเกิดขึ้น โดยเริ่มเปิดดำเนินการวันแรกเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2552

Headlight Magazine

ตอนที่คิดว่าจะเริ่มทำเว็บเป็นของตัวเอง ตั้งทิศทางไว้ยังไง แล้วช่วงแรกเป็นยังไงบ้าง

ทำยังไงก็ได้ให้ผู้บริโภคได้รับข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาจากตัวเรา เวลาเราวิพากษ์วิจารณ์เราพูดความจริงและตรงไปตรงมาที่สุด แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่ไปทำร้ายใคร เราแค่ต้องการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง รถหนึ่งคันมันอาจจะเหมาะกับคนนึง แต่อาจจะไม่เหมาะกับอีกคน ทั้งที่สองคนนี้อาจมีเงินเท่ากันและพร้อมที่จะซื้อรถคันนั้นได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือทำให้เขารู้ว่าคันไหนเหมาะกับเขา ที่เหลือเป็นการตัดสินใจของเขา ให้เขาไปเลือกเอาเอง นั่นคือสิ่งที่คิดและยึดมาตลอด 

แต่ถ้าถามว่าช่วงแรกเป็นยังไง หลังจากเปิดเว็บเราก็รู้สึกว่ามีการกลั่นแกล้งเราเกิดขึ้น ไม่แน่ใจว่าใช่ไหมนะ แต่เรารู้สึกอย่างนั้น จนสุดท้ายเรามีโอกาสได้คุยกับพี่ วันฉัตร ผดุงรัตน์ เจ้าของเว็บพันทิปดอทคอม พี่แกเป็นคนน่ารักมาก กรุณาเรามาก ตอนนั้นพี่เขาให้พื้นที่โฆษณามูลค่า 5,000 บาท ใช้เป็นตัวอักษรอย่างเดียวเขียนว่ารีวิวของจิมมี่ได้มาอยู่ในเว็บไซต์ headlightmag.com นะ แกขึ้นให้ฟรี 1 เดือน ตอนนั้นเราพยายามโพสต์หลายๆอย่างเพื่อดึงคนเข้าเว็บ แต่ทำแบบไม่ได้น่าเกลียดนะ แต่พอครบ 1 เดือน เขาไล่ลบทุกอย่างออกหมดเลย เราก็เลยตั้งใจไว้ว่าอะไรก็ตามที่ลงในเว็บ headlightmag.com ของเราห้ามไปโพสต์ใน pantip.com เด็ดขาด และห้ามเอาอะไรก็ตามใน pantip.com มาโพสต์ใน headlightmag.com เด็ดขาด และกฎนี้ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ เห็นเมื่อไหร่ลบทันที 

นอกจากเรื่องนี้แล้ว จำได้เลยว่าตอนที่เปิดเว็บแรกๆ มันเป็นจังหวะที่ Nissan กำลังจะโปรโมต Teana J32 รุ่นที่แล้ว เขาก็เลยมาคุยกับเราว่าอยากจะทำรีวิว แต่รถยังไม่เปิดตัว ตัวรถที่เอามาให้เราใช้เลยเป็นรถต้นแบบพรางหน้าไปก่อน ตอนนั้นยืมมา 2 วัน 1 คืน ก็ทำตัวเลข ทำอัตราเร่งอะไรเสร็จแล้วก็เขียนบทความ ปล่อยลงเว็บวันแรกเลย คนเข้าเว็บวันนั้น 3,000 UIP สำหรับเว็บเปิดใหม่วันแรกถือว่าเยอะนะ แล้วก็ไม่ได้โฆษณาเท่าไหร่ด้วย แต่ก็สร้างกระแสให้เราโดนเอาไปเม้าท์ยับลับหลังเหมือนกัน ว่าทำไมจิมมี่ถึงได้ก่อน อารมณ์เหมือนเราดจุดพลุเล็กขึ้นมานั่นแหละ

ส่วนชื่ออันนี้มาจากโจทย์ที่คิดกันไว้ว่า ตั้งชื่อเว็บยังไงก็ได้ที่ไม่มีคำว่า auto และไม่มีคำว่า car ไม่มีอะไรก็ตามที่บ่งบอกโต้งๆว่านี่คือรถนะ แต่คนอ่านแล้วต้องเข้าใจว่าเราพูดถึงรถ ตอนนั้นเพื่อนเลยเสนอไอเดียว่า ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเรื่องไฟหน้ารถนะ ก็ปิ๊งมาเคาะที่ headlightmag เลย คือไอเดียใช้ได้เลยทีเดียว พูดตรงๆ ว่าที่เว็บดำเนินงานมาจนถึงทุกวันนี้ จนจะเข้าปีที่ 13 เนี่ยผ่านเรื่องราวและปัญหามามากมาย แต่มาถึงทุกวันนี้ได้ก็ค่อนข้างโอเคนะ ถ้ามองในแง่ SME เพราะเว็บนี้เราไม่ได้คิดจะเอาเรื่องเงินเป็นหลัก เรื่องแรกที่เราคิดถึงคือมิตรภาพ

ในช่วง 2551 – 2552 เป็นยุครุ่งเรื่องของนิตยสารเล่ม ทำไมถึงเลือกทำออนไลน์ไปเลย

ถ้าจะให้พูดก็คงเป็นสัญชาตญาณ คือการที่เราเคยทำนิตยสารมา มันทำให้เราเห็นว่าต้นทุนในการทำนิตยสารมันแพง และไม่สามารถคุมต้นทุนเองได้ แล้วนิสัยเราคือชอบควบคุมอะไรก็ตามที่ควบคุมได้ ดังนั้นถ้าไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้เลยก็จะเหนื่อย ยกตัวอย่างนิตยสารรถเล่มหนึ่ง ราคาโฆษณาปกอยู่ที่ 2.5 แสนถึง 3 แสน ราคามันขึ้นมาเรื่อยๆนะ จากแสนกว่าแต่ก็ใช้เวลาเป็น 10 ปีนะกว่าจะขึ้นมาถึงระดับนี้ ปกในก็ประมาณ 1.5 แสนถึง 2 แสน มันก็จะมีเรทของเขานะ แล้วค่อยมาดูที่ยอดพิมพ์อีกที ถ้าตอนนั้นหนังสือรถที่ขายดีที่สุดคือ นักเลงรถ ของยานยนต์สแควร์ รองลงมาคือ ยานยนต์ อยู่ในเครือเดียวกัน คราวนี้ยอดพิมพ์ที่เขาเคลมกันเนี่ยประมาณ 5 หมื่นถึง 1 แสนต่อเดือนเพื่อเคลมยอดโฆษณา แต่ความเป็นจริงทั้งเอเจนซี่ทั้งบริษัทรถยนต์ หรือแม้แต่บริษัทสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์ยานยนต์ต่างๆ เขาก็รู้ว่ามันพิมพ์กันไม่ถึงหรอก ถ้าให้พูดตรงๆ มันเป็นยอดของพลอยแกมเพชร แพรว ดิฉัน 3 เล่ม 3 หัวรวมกันต่อเดือน 

แล้วนิตยสารเนี่ยเราจะต้องมานั่งปวดหัวกับราคากระดาษ สายส่ง และสายส่งปกติจะกระจายหนังสือออกไปได้ดีแค่ไหน สมมติพิมพ์มา 100 เล่ม ส่งออก 100% มันจะขายได้ประมาณ 30 เล่ม ตีคืนประมาณ 70 เล่ม ที่ผ่านมาจะเป็นแบบนี้จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมนิตยสารบ้านเราถึงอยู่ได้ด้วยโฆษณาไม่ว่าจะประเภทไหน ต่อให้เมื่อก่อนอัมรินทร์บอกว่า เราจะพยายามอยู่ให้ได้ด้วยยอดคนอ่านจริงๆมากขึ้น แต่สุดท้ายมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ต้องมีโฆษณาอยู่ดี เพราะคนไทยอ่านหนังสือค่อนข้างน้อย ถ้าไปดูที่ตลาดต่างประเทศทุกวันนี้ญี่ปุ่นยังมีร้านหนังสืออยู่เยอะ คนญี่ปุ่นก็อ่านหนังสือน้อยลงประมาณหนึ่ง แต่สื่อสิ่งพิมพ์เขามีวิธีการปรับตัวคือแทนที่จะทำเป็นนิตยสารรายเดือนออกมา ก็ทำเป็นแค่เรื่องราวเฉพาะให้เก็บกัน หรือทำของแถมไปเลยไปตกลงกับแบรนด์ดังๆเลย ยังพอหาได้ใน Kinokuniya นะ แต่สื่อบ้านเราไม่ได้ปรับตัวตามนั้น บ้านเราคนไม่ค่อยอ่านหนังสือ พอคนไม่ค่อยอ่านความคุ้มค่าที่จะลงทุนมันก็ไม่ค่อยมี มันเลยทำให้สื่อสิ่งพิมพ์ค่อยๆ ตายจากไป

การเปลี่ยนจากการทำวิทยุมาทำออนไลน์มีความยากง่ายยังไง นอกจากเรื่องของต้นทุนที่เราควบคุมได้

ด้วยความที่เราจัดรายการวิทยุมา 5 – 6 ปี เราก็มีฐานคนฟังของเราอยู่ แต่การฟังจากวิทยุบางทีมันไม่ชัดเจน เขาอาจจะฟังจากนอกกรุงเทพฯ หรือต่างประเทศ เขาก็เลยมาค้นต่อในออนไลน์ เราก็เลยพัฒนาเว็บและค่อยๆพัฒนามาการมาไลฟ์ตรงนี้เพิ่ม แล้วก็เริ่มลงทุนกับอุปกรณ์ ทำลงทั้ง Facebook และ YouTube เลย สิ่งที่เกิดขึ้นเช่นรายการ Drive by J!MMY คนจะเข้ามาดูในยูทูบกันเยอะสุดเฟสบุ๊กรองลงมา ส่วนรายการวิทยุจริงๆก็เสียดายนะ เพราะต่อให้มันเป็น Conventional Media แต่มันเหมือนเป็น Statement ของเรา สมัยนี้ใครๆ ก็จัดออนไลน์ได้เพราะมันเป็นสื่อของทุกคน แต่คลื่นวิทยุและโทรทัศน์มันไม่ใช่ของทุกคนและไม่ใช่ใครก็ได้จะเข้าถึงได้

เท่าที่คุยกันมา กว่าจะประสบความสำเร็จได้แบบตอนนี้ คือผ่านงานมาหลายสายประมาณหนึ่ง แสดงว่าการที่เราได้รู้จักหรือทำงานกับคลื่นวิทยุหรือโทรทัศน์ ถึงแม้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือถูกต้องมั้ย 

ใช่ มันไม่ใช่แค่ความน่าเชื่อถือในมุมของผู้ใหญ่ยุคก่อนๆ นะ เอาง่ายๆ ตอนนั้นเราสมมติสถานการณ์เพื่อลองถามความเห็นตัวเองขึ้นมา ถ้าเราลองถามเด็กยุคใหม่ว่า สมมติเขามีโอกาสได้เจอคนจัดรายการวิทยุ FM ถามเขาสิว่าเขารู้สึกยังไงกับคนๆนั้น แค่นี้เลยมันคือ statement ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเรามีโอกาสได้กลับไปจัดรายการวิทยุอีกครั้งเราก็จะทำนะ แค่ตอนนี้ก็รอ กสทช. เข้าประมูลกันให้เสร็จก่อน 

แต่ถ้าถามว่าตอนนี้มีโอเคมั้ย ก็ดี ทุกวันนี้ด้วยการจัดรายการออนไลน์ มันไม่ต้องมานั่งเกร็ง ไม่ต้องกังวล มีอิสระมากขึ้น เล่นมุกได้แรงขึ้น แล้วก็เรียกเสียงฮาเสียงตอบรับได้ดีขึ้นกว่าวิทยุปกติ เพราะการทำวิทยุคุณก็ต้องมี statement แล้วก็ต้องมีความทางการตามมาด้วย มันก็ค่อนข้างยากที่จะพลิกแพลง ทำให้มันฮา ทำให้มันสนุกสนานขึ้น เพราะมันคือคลื่นที่ไม่ใช่คลื่นของเรา ถ้าเราทำอะไรที่ไม่เข้าท่า ก็จะส่งผลกระทบต่อคลื่นเขา 

ย้อนกลับไปในสมัยแรกที่มีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้น หลังจากเหตุการณ์นั้นมีอุปสรรคอื่นอีกมั้ย

มีหลายรูปแบบเลย หลักๆ ก็บลัฟกันเอง หรือแย่งคอนเทนต์กัน ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ สื่อรถยนต์เองก็ต้องพยายามชิงความได้เปรียบ ใครสามารถยืมรถรุ่นใหม่มาได้ก่อน แล้วขึ้นเว็บหรือยูทูบได้ก่อน โอกาสที่ Algorithm จะมาจับโฟกัสบทความหรือวิดีโอของเราได้ก่อนรายอื่นๆ มันก็จะทำให้ยอดคนดูเพิ่มขึ้นได้เร็ว ในขณะเดียวกันอาจจะมีการปล่อยภาพ Spy Shot ของรถที่กำลังจะเปิดตัวลงในเว็บบอร์ด เราก็ต้องไปคุยกับตำรวจเรื่องอาชญากรรมทางไซเบอร์ ตอนนั้นเนี่ยเอเจนซี่โฆษณาโดนทางต้นสังกัดกล่าวหาว่าเป็นคนปล่อยภาพ แต่ด้วยความที่เขามีสัญญาผูกมัดกันมันก็เลยทำอะไรได้ยาก แล้วกรณีแบบนี้มันมีขึ้นตลอด เอเจนซี่ก็จะโดนว่าตลอด จนถึงจุดที่เขาทนไม่ไหว เลยไปแจ้งความ ตอนนั้นที่มีการสอบปากคำ เอเจนซี่ให้ความร่วมมือดีมากเลยนะ แต่พอไปสอบปากคำฝั่งบริษัทรถยนต์เขาไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ทั้งสิ้น ตำรวจเลยบอกเราว่า ถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือก็ปล่อยคดีทิ้งค้างไว้แบบนั้นแล้วกัน เพราะตอนนั้นรถเปิดตัวไปเป็นปีแล้ว นอกจากเรื่องนี้ก็มีดราม่าจากผู้อ่านเข้ามาเรื่อยๆ แรงบ้างเบาบ้างสารพัดอะ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหา​ของเรา มีหลายรูปแบบ ครั้งหนึ่งก็ถึงขั้นว่าหาเบอร์โทร​ของคุณผู้อ่าน​คนนั้น แล้วโทรไปเคลียร์

ถ้ามองในมุมคนอ่านหรือคนที่ในสังคม ชุมชนคนตามรถยนต์นี่เป็นยังไงบ้าง  

ถึงจะเห็นปัญหาที่ทำสื่อเยอะแบบนี้ จริงๆสังคมคนติดตามรถยนต์มันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ มันอยู่ที่ความสนใจเท่านั้นเลย มันจะถูกแบ่งเป็น 2 แบบอย่างชัดเจนสำหรับรถยนต์ หนึ่ง-คือมองรถบ้านเป็นหลัก กับอีกกลุ่มคือมองแต่รถ Modify เลย มีทั้งกลุ่มที่แยกกันไปเลยและบางกลุ่มที่มีจุดร่วมกันบ้างจางๆ

ซึ่งส่วนมากสิ่งที่คนในชุมชนทำกัน ก็คือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่กำลังร้อนแรงในช่วงนั้น เช่น มีรถใหม่เปิดตัว ก็จะมีคนมาตั้งกระทู้คุยกัน บางคนอาจจะได้ไปเห็นตัวจริงมาแล้ว บางคนก็อาจจะเห็นแค่รูปจากสื่อต่างๆ ก็มานั่งถกกันในเรื่องความชอบไม่ชอบ บางที่ก็เกินเลยด่ากัน เราในฐานะคนควบคุมดูแลก็ต้องลบ  คอยดูคอยกรองอะไรพวกนี้เหมือนกัน

ในขณะเดียวกันก็มีประเด็นทางสังคมเช่นเรื่องอุบัติเหตุ คือจะมีคนเอาคลิปมาแปะ แล้วก็นั่งวิพากษ์วิจารณ์กัน ซึ่งมันก็ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ เราก็พยายามลดไม่ให้ผู้เข้าร่วมเว็บบอร์ดของเราไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแบบนั้นเพราะมันไม่สมควร 

บางคนก็มีปัญหาเอาปัญหามาปรึกษา มีปัญหาทางเทคนิคบ้าง มีปัญหาการเลือกซื้อรถบ้าง จะเปลี่ยนยางตัวไหนดี ปัญหาน้ำมันก็มีนะ แบบใช้ตัวนี้รถวิ่งดีมั้ย ยี่ห้อไหนใช้แล้วเครื่องแรงเหมือนกัน  มันมีหลากหลายรูปแบบมาก เอาจริงๆเว็บบอร์ดเป็นเหมือนจุดแข็งอีกจุดหนึ่งของ HeadlightMag นะ ในขณะที่ทุกคนเลิกเล่นเว็บบอร์ดกันหมดแล้ว ยังมีที่เราเหลืออยู่ แล้วยังมีคนที่เข้ามาคุยกันทุกวัน นี่ก็งงอยู่เหมือนกันว่าพวกเขาจะไม่ไปไหนกันแล้วใช่มั้ย (หัวเราะ)

เว็บบอร์ดมากมายล้มหายตากจากไปในช่วงที่ผ่านมา แต่บอร์ดของคุณยังอยู่ สิ่งนี้บ่งบอกอะไรบ้าง  

ถ้าพูดกันเล่นๆก็คือพวกเขาคงไม่มีที่ไปกันนั่นแหละ (หัวเราะ) แต่ถ้าพูดในมุมของเรา เราทำเว็บบอร์ดตรงนี้ไว้เหมือนเป็นห้องนั่งเล่นที่ทุกคนจะเข้ามาคุยกันได้ เป็นที่ที่ทุกคนยินดีจะเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยที่บางทีเราก็เข้าไปแจม หรือบางทีก็ปล่อยให้เขานัวกันเอง เราจะได้เห็นความคิดของพวกเขาต่อประเด็นที่เกิดขึ้น บางอย่างก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปแสดงความคิดเห็น เพราะการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลสมัยนี้มันอันตราย แต่เราก็มีเงื่อนไขนะ เช่น ถ้าจะโพสต์รูป Motor Show อย่าโพสต์รูปพริตตี้ จริงๆ ไม่ได้ห้ามขนาดนั้น คือลงได้ แต่ไม่ได้แบบจงใจเจาะจงจะถ่าย ถ้าเวลายืนข้างรถอะไรแบบนี้โอเค เหตุผลคือเราลองถามตัวเองว่าเวลาไป Motor Show ไปดูรถหรือพริตตี้ แน่นอนด้วยความที่เจ้าของเว็บเป็นเกย์แบบนี้เราก็จะตอบว่า “กูดูรถ” แต่มันก็มีกลุ่มคนที่เขาอยากดูพริตตี้ ซึ่งมันก็มีเต็มไปหมดในทุกๆเว็บ 

ตอนนั้นเราได้เห็นคอมเมนต์จากผู้หญิงท่านนึง เขาบอกว่าเขาชอบที่เข้ามาแล้วไม่ต้องมาดูรูปพริตตี้ เพราะเขาจะมาดูรถ เพราะฉะนั้นเราคิดว่าเราจะทำพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นของทุกคน ให้ทุกคนได้มาแชร์กันไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ขอแค่คุณชอบรถ คุณสามารถเข้ามาคุยกันที่นี่ได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ตัดเรื่องการเมืองออกไป ตัดเรื่องความเห็นต่างออกไป มาคุยกันเฉพาะเรื่องรถเท่านั้น ที่สำคัญคือถ้าคุณโพสต์เรื่องการเมืองแรงๆ ต่อให้อยู่ข้างเดียวกับเรา เราก็ลบ เพราะเราถือว่ามันต้องยุติธรรมเท่ากันทุกฝ่าย เราคิดกันมาค่อนข้างเยอะ แม้กระทั่งสปอนเซอร์ที่จะเข้ามาลงโฆษณากับเรา บางบริษัทเราก็เหมือนตกลงกับตัวเองไว้เลยว่า ต่อให้คุณจะเป็นบริษัทระดับมหาชนใหญ่ค้ำฟ้าในประเทศนี้เราก็ไม่รับ ทุกอย่างเราคิดมาเยอะมากกว่าจะออกมาได้ขนาดนี้ เพราะเราตั้งโจทย์กับตัวเราเองว่า เราชอบอะไรไม่ชอบอะไร แล้วคนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะชอบอะไรไม่ชอบอะไร จงทำในสิ่งที่ควรทำและเหมาะสม

แต่ทั้งหมดที่พูดมามันก็จะอยู่ที่ตัวทุกคนด้วยนะ คือทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวคนทำ ถ้าอยากให้บอร์ดมันเป็นมิตรมันก็ต้องช่วยกัน ต้องตั้งคำถามว่าตอนที่เขาเริ่มทำเขาคิดอะไรอยู่ ถ้าความตั้งมั่นของเขาตั้งใจจะให้มันไปในทิศทางไหน คอนเทนต์ที่เขาทำขึ้นจะไปทางนั้น สมมติแม่ค้าไลฟ์สดเขาตั้งใจให้คอนเทนต์ของเขาไปทางนั้น เขาก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเป็นแบบนั้น เพื่อให้คนรู้สึกเข้าถึงง่ายและจริงใจ ดูบ้านๆ  ถ้าอะไรที่ดูเป็นทางการจะรู้สึกว่าทำมาต้องมาเสแสร้ง ซึ่งบางที่มันดูจริงใจกว่าการพูดจาอล่างฉ่างด้วยซ้ำ ดังนั้นเป็นมิตรมั้ย เราตอบไม่ได้นะ อันนี้มันขึ้นอยู่กับมุมมองของคนเสพละ

จุดเด่นของ HeadlightMag อีกอย่างนอกจากบอร์ดคือแบนเนอร์ แถมมีข่าวการประมูลด้วย เล่าที่มาที่ไปให้ฟังหน่อย 

คือมันเป็นการขายโฆษณาที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน คนที่คิดเรื่องนี้ให้เราคือหน่อย เขาทำเว็บ mxphone แล้วก็ดูแลงานโฆษณาให้กับ DroidSans ด้วย และเขาก็เป็นพาร์ทเนอร์กับเรามานาน เขาดูแลงานโฆษณาของเรามาตลอด 

ทีนี้เราเห็นว่าปัญหาอย่างนึงของ HeadlightMag คือ แบนเนอร์ไม่พอกับคนที่จะมาลงโฆษณา แล้วทำไมเราจะไม่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสล่ะ เราก็เลยจัดการประมูลเพื่อจองสิทธิ์ในการจับจองพื้นที่ของ แบนเนอร์ ทั้งที่ในปัจจุบันนี้ผู้ลงโฆษณาทั้งหลายไม่สนใจจะซื้อแล้ว แต่ถามว่าทำไมอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงอยู่ได้ เหตุผลเพราะว่าสื่อมวลชนสายรถยนต์ส่วนใหญ่หนีมาทำเว็บทำยูทูบกัน ดังนั้นการสนับสนุนในรูปแบบแบนเนอร์มันก็ยังพอจะมีกันอยู่บ้างแต่ไม่ได้เยอะขนาดนั้น และลักษณะการสื่อสารของรถยนต์เจ้าใหญ่ๆหรือแม้แต่เจ้าของสินค้าต่างๆ ที่เคยสนับสนุนสื่อทั้งเจ้าเก่าๆและเจ้าใหม่ๆตอนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับว่ายอดการรับชมและการเข้าถึงของคุณเป็นยังไงด้วย ในเมื่อยอดวิวของเรายังสูงอยู่แบบนี้ มันก็ยังคงต้องสนับสนุนกันต่อไปในมุมของเขา  

ดังนั้นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นธันวาคม ก็จะมีการจัดประมูลแบนเนอร์กัน ซึ่งโดยปกติ 7 ตำแหน่งที่เราเปิดให้ประมูลจะเต็มเร็วมาก มันแทบจะเต็มในทันทีในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง แค่ที่เข้ามาจะเป็นเอเจนซี่หรือบริษัทรถยนต์แค่นั้นเอง ได้ยินมาเหมือนกันว่าบางบริษัทต้องตั้ง KPI ของเดือนนั้นเลยว่าต้องประมูลแบนเนอร์นี้ให้ได้ หนักกว่านั้นบางบริษัทก็เล่นสายมู ถวายหัวหมูตรงศาลเจ้าหน้าบริษัทก็มี ขอไม่บอกนะว่าบริษัทไหน แต่เจ้าที่เขาแรงอยู่ (หัวเราะ) 

แต่ๆการประมูลคือประมูลเพื่อจองสิทธิ์ในการซื้อนะ ไม่ใช่ประมูลซื้อเลย ดังนั้นหลังจากประมูลเสร็จ เราก็จะให้เลือกว่าจะเอาตำแหน่งไหน มันก็จะเรียงกันไป 1-6 ใครมาก่อนก็มีสิทธิ์ได้เลือกก่อน แต่จะมีอยู่ 2 ตำแหน่งที่ผูกกันไว้ยาวๆ และไม่เปิดให้จองคือ Hyundai กับ Suzuki 

เหตุผลในส่วนของ Hyundai คือ ต้องยอมรับว่าผมได้รับการช่วยเหลือจากพี่อุ๋ย (สฤษฎ์พร สกลรักษ์) ไว้เยอะมากในช่วงที่เปิดเว็บไซต์แรกๆ แล้วตอนนั้นที่ไม่มีคอนเทนต์อะไรจะลง ก็ได้ Hyundai เป็นเจ้าแรกที่กล้าเข้ามา หลังจากนั้นก็อยู่กันมายาวๆ ราคาไม่ว่าจะปรับขึ้นกี่ครั้งก็ยังอยู่ที่เดิม มันก็เลยต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้แม้ว่าพี่อุ๋ยจะเสียชีวิตไปแล้ว เราก็เลยอยากที่จะให้พื้นที่เพื่อให้เป็นเกียรติและระลึกถึงแด่พี่อุ๋ย จึงให้เป็นกรณีพิเศษ

เช่นเดียวกันกับ Suzuki ซึ่งเรารู้ว่างบเขาไม่ได้เยอะ และในขณะเดียวกันคือความสัมพันธ์ก็ค่อนข้างดี และเขาก็ยินดีให้เราพูดถึงรถของเขาอย่างตรงไปตรงมา คือใครก็ตามที่จะมาลงโฆษณากับ HeadlightMag เรามักจะเลือกเป็นบริษัทรถยนต์ก่อน และทุกบริษัทเหล่านั้นที่จะมาลงคุณต้องรับได้ว่าเราจะวิพากษ์วิจารณ์รถคุณอย่างตรงไปตรงมาทั้งหมด ถ้าคุณรับไม่ได้อย่ามาลง 

เคยมีบางบริษัทที่รับไม่ค่อยได้ เขาพยายามมาลงประมูลครั้งนึง จากนั้นก็แย่งประมูลไม่ทันก็เลยหลุดไปเลย พอหลุดแล้วเนี่ยมันหลุดยาวนะ มันไม่ใช่แค่หายไปเลยทั้งปี จะกลับมาก็ไม่ได้แล้วเพราะว่าคนอื่นเขาเข้ามาเสียบแล้วไง มันมีคิวอยู่ เพราะฉะนั้นต่อให้เราเปิดตำแหน่งเพิ่ม ก็มีคิวอื่นมาจ่อรออยู่ดี แล้วไม่ใช่แค่บริษัทรถยนต์ บริษัทยาง น้ำมัน ประกันภัย เขาก็จ่อคิวได้หมด เราก็เลยเสนอว่าถ้าเป็นแบบนี้ ขอเชิญให้ไปลงภาควิทยุหรือออนไลน์ หรือ Drive by J!MMY แทน

HeadlightMag เป็นหนึ่งในไม่กี่เว็บที่ไม่รับ Advertorial เลย มีเหตุยังไง 

สมัยก่อนเราเคยเขียน Advertorial เอง เรารู้ดีว่ามันคือความน่าหนักใจในชีวิตมาก ตอนปี 2546 – 2547 ช่วงที่เป็นนักข่าวใหม่ๆ เราเคยรับงานเขียน advertorial ให้ Chevrolet เป็นโฆษณาลงหน้าเดลินิวส์วันเสาร์ครึ่งท่อนล่างของ section กีฬา ลองนึกดูว่าจะต้องใช้ความพยายามสูงแค่ไหนในการที่จะหาคุณงามความดีของรถเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้ดีขนาดนั้น แล้วต้องทนเขียนอยู่ 2 ปี คิดว่าจะขุดอะไรมาขายได้บ้างล่ะ ในแง่ของ Branding ตัว Chevrolet ก็มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เล่นเยอะ แต่ประวัติศาสตร์และตำนานของเขามาใช้ในไทยได้แค่รถกระบะ เพราะรถเก๋งมันหลากหลายที่มา หรืออย่างบางแบรนด์ที่จะเขียน ข้อมูลบางจุดตอนนั้นก็ออกสื่อไม่ได้ เพราะเป็นข้อตกลงทางธุรกิจ แล้วยิ่งทำไป ยิ่งอ่านไป ยิ่งรู้สึกว่า ขนาดเรายังไม่อินกับโปรดักส์ที่เราเขียนเลย เราไม่อยากซื้อมันด้วยตัวเอง เขียนให้ตายก็เขียนไม่ออก มันทำให้เรามีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักกับ advertorial 

เท่าที่เราสังเกตนะ advertorial ส่วนใหญ่เขียนเพื่อดึงภาพลักษณ์และทำให้คนมาซื้อ แต่ advertorial ดีๆก็มีนะ บางอันที่เขาอยากขายของ แต่เขาก็สอดแทรกความรู้สิ่งละอันพันละน้อย​ต่างๆ เข้าไปจนน่าอ่าน และทำให้เห็นมุมมองต่างๆ ของชีวิต แต่ advertorial ฝั่งรถนี่มีแต่เอาคนที่ประสบความสำเร็จมานั่งสัมภาษณ์ไลฟ์สไตล์ คือเราอยากรู้เหรอ แบบมานั่งทำงานอยู่สตาบัคส์ ชอบกินอันนี้ใช้นาฬิกายี่ห้อนี้ มันบ่งบอกรสนิยมของเขา แล้วนี่คือรถยนต์ที่ผมใช้ เหรอ?! (หัวเราะ) 

ท้ายที่สุดสำหรับเรา เรามองว่าการเขียน advertorial เหมือนขายวิญญาณอะ แต่แค่ในมุมมองเรานะ คือในเว็บเราไม่ต้องมีก็ได้ เราก็เลยไม่ค่อยอยากรับ สำหรับบางคน เขาก็จำเป็นต้องมีเพราะมันเป็นความอยู่รอดของเขา และเรื่องที่บ้าที่สุดก็คือ media buyer ส่วนใหญ่ก็มาซื้อแต่ advertorial กันทั้งนั้น เพราะเขาคิดว่ามันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะใช้เงินและเป็นการเชื่อมสัมพันธ์กับมีเดียว่า เราซื้อคุณนะ ช่วยหน่อยสิ อย่านอกลู่นอกทาง อย่าด่าบริษัทเรานะ ถ้าด่าเราไม่ซื้อคุณนะประมาณนี้

เคยมีคนขอให้เราเขียนเบาๆ หน่อย แม้แต่ตอนที่ป่วยเป็น COVID-19 อยู่โรงพยาบาลก็ยังมีผู้บริหารบริษัทรถยนต์ค่ายหนึ่ง โทรมาด่าหลังจากที่เราวิพากษ์วิจารณ์รถกระบะเขาว่า รถกระบะเขาดี แต่การตลาดเขาไม่ได้เรื่อง เขาบอกเราว่า “จิมมี่ผมขอล่ะ คุณช่วยเบาๆ หน่อย”  เขาไม่รู้หรอกว่ามันคือการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ และหลังจากนั้นเขาก็โดนปลดออก 

เอาจริงๆคือเราอยู่ตรงนี้มานานพอที่จะเห็นอะไรดีๆ เยอะจนบอกได้ว่า ถ้าคุณมั่นใจว่าสิ่งที่คุณทำมันถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อทุกคนอย่างหมดจิตหมดใจก็ทำไปเถอะ ถึงคุณจะไม่ได้อะไรจากตรงนั้นเท่าไหร่ แต่คุณอยากจะทำให้สังคม คุณมั่นใจว่ามันเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ และคนรอบข้างยินดีกับสิ่งที่คุณทำ คุณทำไปเถอะ เพราะวันหนึ่งสิ่งดีๆจะกลับมาหาคุณ มันอาจจะกลับมาเป็นเงินหรือมิตรภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความน่าเชื่อถือ ความผูกพัน การเป็นที่ยอมรับ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะมาด้วยตัวของมันเอง แต่ขอให้เรายืนหยัดกับสิ่งที่เราทำตรงนี้ที่ไม่แปรผันไปไหน 

ธนเทพ ธเนศนิรัตศัย 

ในวันที่คอนเทนต์ของเรามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ และเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ รู้สึกยังไงบ้าง

เราว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะคอนเทนต์ที่เราทำ ก็ไปอยู่ในที่ประชุมของบริษัทรถยนต์เพื่อการพัฒนารถรุ่นต่อๆไป บอกตรงๆ นะว่าหลายบริษัทเขาก็ให้เกียรติเรา ซึ่งก็ต้องกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ เวลาเดินเข้าไปบริษัทรถยนต์ แล้วได้เห็นรีวิวของเรา ถูก Print ไปแปะในห้องประชุมของฝ่ายเทคนิคในบริษัทของเขา มันทำให้เราภูมิใจนะ แล้วหลายๆ คอมเมนต์ของเรา มันส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับรถที่จะออกมาขายในประเทศนี้ มันมีหลายครั้งที่เป็นแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ผู้ผลิตเขาไม่ได้มาบอกหรอก แต่มันก็เป็นความภูมิใจเล็กๆส่วนตัว ว่าครั้งหนึ่งเราทำให้มันมีการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศนี้ยกระดับขึ้น คนไทยได้ใช้รถที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น 

หรืออย่างตอนนี้ที่มีผู้ผลิตหลายค่ายยอมติดตั้งระบบป้องกันล้อหมุนฟรีมาให้ในรถกระบะรุ่นกลางๆมาให้ เพราะเขามาอ่านกระทู้ของเรา กรณีของลูกค้าที่ประสบอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิต  ก็เลยมีการใส่ระบบนี้เข้ามา หรือเรื่องขนาดของรถกระบะที่สมควร หรืองานออกแบบของ Suzuki Ciaz ก็มาถามเรา มีคำถามหลายรูปแบบมาก หรือแม้แต่บริษัทที่วิจัยตลาดก็มาพูดคุยกับเรา คนของบริษัทรถยนต์ก็มาพูดคุยกับเรา

มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด HeadlightMag วางตัวยังไงในวันที่ถูกจับตามองทุกทิศทาง

ช่างมัน ถ้าสิ่งที่เราทำเราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ทำไปเถอะ แน่นอนว่าต้องมีทั้งคนเกลียดคนรัก มันไม่มีทางที่คน 100 คนจะรักคุณทั้งหมด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตัวเราและทีมเราทำ มันจะเป็นเครื่องยืนยันเจตนารมณ์ของเราเอง ว่าเรากำลังทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไร เราอยากยกระดับประเทศนี้ เราอยากให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ดังนั้นส่วนไหนที่เราทำได้ ทำไปเลย ทำในแบบของเรานั่นแหละ อย่างน้อยสิ่งที่เราทำมันก็ช่วยคนอื่นได้อีกเยอะ 

เรียนรู้และเติบโตอย่างไรตลอดระยะเวลา 13 ปีที่ทำเว็บไซต์มา

เรียนรู้ว่าจงซื่อสัตย์กับตัวเอง ซื่อสัตย์กับคนอื่น และตรงไปตรงมากับทุกคน แต่ที่สำคัญที่สุดนะคือการใส่ใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนเรามีความคาดหวังจากคนอื่นเสมอ ถ้าเรายังคาดหวังกับคนอื่น เราเองก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมที่จะรับความคาดหวังจากคนอื่นด้วย

ส่วนถ้าถามว่าโตยังไงเนี่ย ส่วนตัวนะ เป็นคนที่เย็นลงเยอะ เรานิ่งขึ้นแล้วก็เจ้าอารมณ์น้อยลงมากๆ งานที่ออกมาก็เลยผ่านการกรองมากขึ้น กลมกล่อมมากขึ้น จริงๆตอนปล่อยงานออกไปเราไม่ได้อคติอะไรนะ แต่กลับไปย้อนอ่านบางจุดก็มีเหมือนกัน ซึ่งในฐานะสื่อมวลชนก็ไม่ควรทำหรอก แต่นั่นคืองานยุคแรกๆน่ะ หลังๆ ก็ไม่มีแล้ว

ความสุขในวันนี้ของคุณคืออะไร

ตอบตามตรงเลยนะ คือการอยู่อย่างสงบ ใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่วงนอก แล้วมองเข้าไปในอุตสาหกรรม ได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตรงนั้น แล้วถ้าเราทำได้นะ เราอยากเป็นคนที่กำหนดกฎเกณฑ์จากข้างนอกเข้าไปด้านใน ซึ่งตอนนี้ HeadlightMag ก็ทำแบบนั้นได้ประมาณนึง เพราะเราได้รับความน่าเชื่อถือเยอะ มีคนเข้าใจในจุดยืนของเรา มันทำให้เรามาได้ถึงจุดๆนี้ 

ในขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมว่าจุดเริ่มต้นของเรามาจากอะไร ถ้าเรายังนึกถึงเรื่องพวกนี้ได้ตลอด มันก็ทำให้เกิดความสุขได้นะ เพราะมันทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็อยู่กับความไม่ประมาทในการตัดสินใจ ถ้าเรารับรู้สิ่งเหล่านี้ รับการกระทำและผลจากการกระทำเหล่านั้นได้ เราก็จะมีความสุข

HeadlightMag ในอนาคตจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมั้ย

เราคิดอยู่ว่า Media Owner หลายเจ้า พยายามทำให้ตัวเองได้ยอดวิวสูงๆ แต่เรากลับรู้สึกว่า การที่เราอยู่ตรงนี้มันเพียงพอนะ สิ่งที่เราต้องทำคือการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แล้วก็รับมือกับเทรนด์ต่างๆที่เปลี่ยนไปแค่นั้น ถามว่าจะต้องรวยล้นฟ้ามั้ย ก็ไม่ เพราะเราค้นพบว่ายิ่งคุณมีเงินเยอะ ยิ่งเป็นจุดสนใจมากเท่าไหร่ ชีวิตคุณยิ่งไม่ปลอดภัยและไม่ใช่ความสุขที่ยั่งยืน 

ท้ายสุดสิ่งที่เราตามหาคือเพื่อนและความสุขที่ยั่งยืน เพราะฉะนั้นเราจะทำยังไงก็ได้ให้เว็บนี้ไปต่อได้ โดยที่น้องๆรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น คนอ่านได้ชีวิตที่ดีขึ้นจากรถที่ถูกใจ ในขณะเดียวกัน เรายังสามารถสร้างความบันเทิงในจุดที่เราอยู่ นำเสนอทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีใครว่า หรือต่อให้ว่า ก็จะแพ้ภัยตัวเองไปอย่างที่หลายคนเป็น นั่นคือสิ่งที่เราตั้งใจและอยากเห็นมันต่อไป ถ้าถามว่าจะแตกไลน์ออกจากตรงนี้มั้ย เคยคิดอยู่นะ ไม่แน่คุณอาจจะได้เห็น Home by Jimmy อาจจะได้เห็นอย่างอื่นที่มากกว่านี้ หรือแม้แต่ Truck by Jimmy ก็ได้ หรือ Caterpillar by Jimmy ก็อาจจะมี เราคงจะไม่จำกัดตัวเองแค่ในวงการรถยนต์ เพราะบริษัทรถยนต์เองก็กำลังพัฒนาตนเองให้เป็น Mobility Company ฉะนั้นสิ่งที่เราคิดในอนาคตอาจจะทำ Website for Mobility

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า