“ขอแสดงความยินดีกับ นริศพงศ์ รักวัฒนานนท์ เจ้าของผลงาน “Family Comes First ด้วยรักและผุพัง” ที่ได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปีนี้”
เราเห็นข้อความนี้บนหน้าฟีดแทบจะทันทีที่มีประกาศผลรางวัลซีไรต์จากโพสต์ของสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ตลอดจนองค์กรที่เกี่ยวกับหนังสือหลายแห่ง ด้วยความที่มีหนังสือเล่มนี้ในครอบครอง สนใจประเด็นเรื่องครอบครัวอยู่แล้ว บวกกับเกิดอยู่ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน จึงไม่แปลกใจนักที่รวมเรื่องสั้นเรื่องนี้จะได้รับรางวัล ด้วยสำนวนและกลวิธีที่น่าจับตามองจนเราไม่เชื่อว่านี่คือหนังสือเล่มแรกของเขา ไม่ทันข้ามวัน กลิ่นดรามาตลบไทม์ไลน์ จากคำตัดสินรางวัลดังกล่าวอันเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวาง
ในฐานะผู้อ่านคนหนึ่ง เราขอทดดรามาไว้ก่อน และด้วยความเชื่อว่าหนังสือ ‘ดี’ มันต้องดีในทุกองค์ประกอบ เราขอชวนทุกคนละเลียดหนังสือเล่มนี้โดยพินิจไปพร้อมกัน
Family comes first
ใครจะทำร้ายเราเท่าเรากันเอง, ไม่มี!
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดจนกลายเป็น “ชื่อ” หนังสือเล่มนี้ คือประเด็นเรื่อง “ครอบครัว”
แน่นอนว่าด้วยชื่อเรื่อง – ด้วยรักและผุพัง – ทำให้เราเห็นได้ไม่ยากว่าสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่ทั้ง “สร้าง” และ “ทุบทำลาย” ตัวตนของเราไปพร้อมกัน สะท้อนผ่านการเล่นคำระหว่าง “ผุพัง” และ “ผูกพัน” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเลียนแบบการออกเสียงของคนจีนโพ้นทะเลในไทย ในขณะเดียวกัน เมื่อเราอ่านเรื่องสั้นทั้ง 11 เรื่องในเล่ม เราก็สามารถเชื่อมโยงตนเองได้ทันทีว่า บางครั้งความผูกพันจากผู้คนร่วมสายเลือดก็มัดเราจนเจ็บปวดจับขั้วหัวใจ
ความเหินห่างของครอบครัว, ความคาดหวังที่มีต่อบุตรหลาน, ความลำเอียงจากการรักลูกไม่เท่ากัน และสารพัดเรื่อง toxic ในครอบครัว ถูกร้อยเรียงผ่านเรื่องราวที่ดูธรรมดาสามัญ เราเชื่อเหลือเกินว่าเราทุกคนต่าง (เคย) เจ็บปวดจากการเป็นลูกที่ไม่เอาไหน พี่น้องที่ไม่ใส่ใจ สมาชิกครอบครัวที่แปลกแยก และผิดไปจากบรรทัดฐานความเป็น “คนดี” ของครอบครัว โดยที่ยังไม่ต้องเอาเชื้อชาติมาเกี่ยวข้อง
ในประเด็นความเจ็บปวดผ่านครอบครัวนี้ เราอยากชี้ชวนให้คุณอ่านเรื่องสั้น “หลานชายคนโปรด” เป็นพิเศษ เนื่องจากเรื่องสั้นเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึง “ความคาดหวัง” ที่ครอบครัวมีต่อลูกหลานอย่างชัดเจน ชวนให้นึกถึงงานรวมญาติที่เด็กน้อย ๆ จะยืนสวัสดีผู้ใหญ่ คอยตอบคำถามที่ไม่สะดวกใจตอบด้วยคำพูดกลาง ๆ ยิ้มแห้ง ๆ และเสียงหัวเราะแกน ๆ หรือแม้กระทั่งเพื่อนหน้าตาอิดโรยคนที่เคยเดินสวนกันในโรงเรียนมัธยม และคุณรู้ว่าเขาเรียนหนักเพื่อสนองความคาดหวังของครอบครัวจนอยากจะบอกมันให้ไปใช้ชีวิตบ้าง
อีกสองเรื่องที่น่าสนใจและดาร์กไม่น้อยคือ “น้ำตกใจสลาย” และ “พี่สาวของผม” ที่ชวนให้นึกถึงคู่พี่น้องที่ถูกเปรียบเทียบกันทุกด้าน แค่เข้าโรงเรียนเดียวกัน พ่อแม่ก็โดนคุณครูกระทบกระเทียบให้หลายรอบว่าทำไมพี่น้องไม่เห็นจะเหมือนกันเลย ทั้งที่พี่กับน้องก็เป็นคนละคนกัน ชอบอะไรต่างกัน แต่สำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้ แค่เกิดมาคนละเพศก็ทำให้ความคาดหวัง (และความรัก) เพิ่มขึ้นหรือลดระดับทวีคูณแล้ว แถมยังส่งผลต่อเส้นทางชีวิตของคนทั้งสองที่ต่างกันสุดขีดอีกต่างหาก
พลันทำให้อยากดัดแปลงประโยคโปรยซีรีส์ “เลือดข้นคนจาง” ซีรีส์สะท้อนความตึงเครียดของครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนร่วมสมัย ที่พอจะสรุปความสัมพันธ์ของครอบครัวในรวมเรื่องสั้นเรื่องนี้ได้ว่า
ใครจะทำร้ายเราเท่าเรากันเอง, ไม่มี!
จาก ‘ผูกพัน’ ถึง ‘ผุพัง’
ความไม่ยึดโยงกับครอบครัว เชื้อชาติ และความผูกพัน
ย้อนไปไม่นานนัก เราเคยถามผู้ใหญ่ในบ้านว่า “เรามองตัวเองเป็น ‘ตึ่งนั้ง’ หรือ ‘ฮวงนั้ง’” – แปลว่า เรามองตัวเองเป็น ‘คนจีน’ หรือ ‘คนอื่น’
ในที่นี้ คนอื่น มีความหมายว่า คนจีนจะมองเราว่าเราต่ำกว่า และเราไม่ยึดโยงกับแผ่นดินใหญ่อีกต่อไป
แม้บ้านเราจะไหว้เจ้าสม่ำเสมอไม่ว่าจะจนจะมี นับญาติกันด้วยคำจีน หรือคุ้นเคยกับธรรมเนียมจีนหลายอย่าง แต่บ้านเราก็นิยามตนว่าเป็น “ฮวงนั้ง” ไปแล้ว ด้วยความที่เราจะไม่มีทางยึดโยงตัวเองกับแผ่นดินใหญ่อีกต่อไป สารเบื้องหลังที่น่าสนใจของรวมเรื่องสั้นเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ความรู้สึกว่าตัวเองจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเท่านั้น แต่ยังมีความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของชนชาติแถมเข้ามาด้วย
แม้เราพอจะบอกได้ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศเป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่ความไม่ยึดโยงกับความเป็นจีนมีให้เห็นมากมาย ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนหลายครอบครัวเลือกที่จะไม่สืบสานพิธีกรรมต่าง ๆ ในครอบครัวหลังคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ตายจากไปด้วยความยุ่งยาก บางครอบครัวแยกบ้านไปแล้วก็ขาดการติดต่อกับครอบครัวใหญ่ไป ไม่กลับมาร่วมวงกินข้าวด้วยกันอีก
คุณค่า (?) ของการรวมกลุ่มเป็นครอบครัว บูชาบรรพชน และสืบสานข้อปฏิบัติต่าง ๆ ตลอดจนความไม่เสมอภาคทางเพศที่สะท้อนในความเชื่อแบบจีน – แน่ล่ะว่าสิ่งเหล่านี้ถูกสะท้อนผ่านเรื่องสั้นทั้ง 11 เรื่องด้วย เราอาจตีความได้คร่าว ๆ ว่า นอกจากบาดแผลจากครอบครัวจะทำให้เราเจ็บปวดแล้ว แต่หน้าที่และความรับผิดชอบอันเนื่องมาแต่เชื้อชาติ (ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งต่อกันผ่านสายเลือด) ซึ่งกำหนดพฤติกรรมของคนแต่ละคน มีที่มาสืบเนื่องจาก “รากความคิด” ในแต่ละชนชาติซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับยุคสมัย และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไม่ยึดโยงกับแนวคิดและความเป็นเชื้อชาตินั้นด้วย
สำหรับประเด็นนี้ เราอยากชวนคุณอ่านเรื่อง “ป๊าบอกว่า” ในฐานะตัวแทนบรรยากาศการปะทะระหว่างการกอดจารีตประเพณีไว้แน่นแนบหัวใจ กับการปรับตัวตามความเปลี่ยนไปของยุคสมัย ผ่านการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างพี่น้อง และ “คุณ, วันฝนพรำ และแมวสีดำ” ที่ชวนให้นึกถึงคำว่า “ม่านประเพณี” ที่กีดกันคนสองเชื้อชาติไม่ให้รักกันเสียจนจับใจ
ความไม่ยึดโยงตนต่อสถาบันทางสังคมใด ๆ อาจสะท้อนให้เห็นภาวะของสังคมสมัยใหม่ที่ทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกไป อีกบริบทที่น่าสนใจคือ “ด้วยรักและผุพัง” เผยแพร่ในช่วงเวลาที่วัฒนธรรมครอบครัวทั้งไทยและจีนถูกตั้งคำถามอย่างหนัก เช่นเดียวกับโครงสร้างทางสังคมที่กดทับใครหลาย ๆ คนอยู่ วิกฤตตัวตนที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่คืบคลานเข้ามาพร้อม ๆ กับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม วรรณกรรมจึงมีพันธกิจที่ไม่เพียงแต่ส่องสะท้อนสังคมเท่านั้น แต่ยังต้องเสนอทางออกให้กับสังคมไปด้วย
เมื่อเราพิจารณาสารจากรวมเรื่องสั้นทั้ง 11 เรื่อง เราอาจบอกได้ว่าสารเหล่านั้นไม่ได้นำไปสู่แค่การถกเถียงเพื่อให้เห็นว่ายุคสมัยสมควรต้องเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการโอบกอดตัวตนที่ผุพัง และสิ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตเหล่านั้นเอาไว้ในฐานะ “สิ่งประกอบสร้างตัวตน” แม้มันจะแหว่งวิ่นฉีกขาด เจ็บช้ำบุบสลายอย่างไรก็ตาม
Do(n’t) judge a book by its cover
เมื่อ ‘หน้าตา’ อาจเป็นหน้าต่างของเนื้อใน
ความน่าสนใจของคำประกาศตัดสินรางวัลซีไรต์ประจำปีนี้คือการพิจารณา “สารรอบตัวบท” (Paratext) ประกอบด้วย นำมาสู่ดรามาในวงการหนังสือในเวลาต่อมา
ในโลกปัจจุบัน เรามักเห็นหนังสือที่วางขายตามร้านต่าง ๆ เป็นหนังสือที่มีพลาสติกซีลเคลือบไว้อีกชั้น การจะพิจารณาว่าหนังสือเล่มนี้น่าสน ไปจนถึงน่าซื้อถูกปิดกั้นให้เห็นเพียงหน้าปกเท่านั้น ปกจึงต้องเป็นสิ่งสำคัญที่เล่าเรื่องได้ทั้งเรื่องในฐานะสิ่งดึงดูดสายตาที่สุด
ตามคำประกาศตัดสิน เราพิจารณาภาพปก “ด้วยรักและผุพัง” ว่านี่คงพูดถึงความเจ็บปวดของสมาชิกครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนในภาวะสมัยใหม่แน่แท้ ฟอนต์อักษรไทยที่ดัดแปลงให้กว้างและมีเหลี่ยมคล้ายอักษรจีน แต่ก็มีปลายแหลมคล้ายมีด แถมด้วยเปลวเพลิงที่ชวนให้นึกถึงไฟเวลาเราเผากระดาษอุทิศเครื่องไหว้แก่บรรพบุรุษ ช่างสอดคล้องกับประโยคคำถามหน้าปกที่ครอบคลุมเนื้อในทั้งหมดอย่างชัดเจน สีแดงดำ อันเป็นสีมงคลของจีนที่ใช้เป็นสีธีมหลักของเล่มก็สื่อความทั้งความหมายในเชิงทฤษฎีสี และกลิ่นของหนังจีนโมเดิร์นไปด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ ทางสำนักพิมพ์แซลมอนได้เปิดเผยเบื้องหลังการออกแบบปกไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว
อนึ่ง การอ่านหน้าปกหนังสือและภาพประกอบในฐานะ “สารรอบตัวบท” เป็นสิ่งที่นักวิจารณ์ควรพิจารณาในฐานะองค์ประกอบสำคัญของเรื่องราวในหนังสือเพื่อให้สามารถตีความ “สาร” ในตัวบทได้อย่างชัดเจน แต่หากบริบทนี้ เราอาจโต้แย้งได้ว่ารางวัล “วรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งอาเซียน” มีเพื่อเชิดชูวรรณกรรม ส่งเสริมความสามารถของนักเขียน และสร้างความเข้าใจต่อกันในประเทศอาเซียน คำประกาศตัดสินครั้งนี้จึงชี้ชวนให้เราตั้งคำถามต่อไปว่าการพิจารณาคุณค่าวรรณกรรมจากเป้าประสงค์ทั้งหมดที่ว่ามานี้จำเป็นต้องพินิจเพียงตัวบทอย่างเดียว หรือพิจารณาสิ่งแวดล้อมรอบตัวบทไปด้วย
หากเป็นอย่างหลัง เราเชื่อว่านี่จะเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมหนังสือให้คึกคักยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่เพียงแต่วง “วรรณศิลป์” เท่านั้นที่ต้องการการส่งเสริม แต่วงการอื่น ๆ ที่รายล้อมหนังสือ 1 เล่มก็ต้องการการส่งเสริมเช่นเดียวกัน เพื่อที่จะนำไปสู่ปลายทางที่ทำให้ “วัฒนธรรมการอ่าน” หยั่งรากแข็งแรง
หากเป็นอย่างแรก เราอาจต้องตั้งคำถามต่อไปถึงการมอบรางวัลวรรณกรรม (และรวมถึงรางวัลหนังสืออื่น ๆ) ในประเทศนี้ว่า คำตัดสินของคนกลุ่มหนึ่งจะชี้นำสังคมให้มองเห็น “คุณค่า” ของวรรณกรรมไปในทิศทางที่ต้องการได้มากน้อยแค่ไหน หากใคร ๆ ก็สามารถตัดสินคุณค่าของหนังสือได้
ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครตอบได้ นอกเหนือจากผู้อ่านแต่ละท่านจะใช้วิจารณญาณเอาเอง