fbpx

โดม-จารุวัฒน์ และการบริหาร LIT Entertainment ค่ายเพลงที่ศิลปินและทีมงานทำงานถึงกัน

“คุณรู้สึกยังไงที่รูปประจำตัวของคุณในวิกิพิเดียเป็นรูปตอนแต่งหญิง?”

เราถามคำถามแรกกับคู่สนทนาด้วยความสงสัยจริงๆ ก่อนที่เราทั้งคู่จะระเบิดหัวเราะออกมา 

ก็ช่วยไม่ได้ที่คู่สนทนาของเราแต่งหญิงเล่นละครออกทีวีจนเป็นที่จดจำ

และใช่ เรากำลังพูดถึงโดม-จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม ผู้ชนะจากเวทีค้นฟ้าคว้าดาวปีที่แปด ซึ่งเราต่างยอมรับในศักยภาพการร้องเพลงของเขาผ่านซิงเกิลเรียกน้ำตา และเพลงเพราะๆ ของเขาที่ปล่อยมาตลอด 10 ปี

หรือการเป็นหนึ่งในพิธีกรรายการ 4 โพดำ รายการวาไรตี้ Sing Show ที่เขาโลดแล่นไปพร้อมๆ กับกัน, แก้ม และตั้ม เพื่อนแชมป์จากรายการเวทีเดียวกันในหลากหลายโชว์ ตั้งแต่ละครเวทีที่ทำให้เขาได้ทำอะไรที่สนุกสุดฮา หรือสเตจบนละครเวทีและคอนเสิร์ตใหญ่ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำผลงานของตัวเองทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลัง อย่างการเป็น Music Director ให้กับรายการ LAZiCon ไอคอนป๊อป ตัวท็อปเดบิวต์ ที่เขาดูภาพรวมของงานดนตรีตลอดทั้งรายการ หรือเบื้องหลังรายการดนตรีรอบดึกสุดมันส์อย่าง Sound Check โดมคนนี้ก็ดูแลอยู่เหมือนกัน

และ LIT Entertainment คือผลงานล่าสุดของเขาซึ่งตอนนี้เขานั่งเก้าอี้ผู้บริหารของค่ายเพลงใหม่ในเครือ LOVEiS ซึ่งเป็นพื้นที่เพื่อสร้างไอดอลและศิลปินหน้าใหม่ให้กับพื้นที่วงการเพลงไทยที่ต้อง “แตกต่าง” แต่ยังคงคุณภาพคับแก้วอย่างที่โดมเคยถูกปลุกปั้นมา

เราจะพาคุณไปพบกับเรื่องราวการสร้างค่ายเพลงและศิลปิน ของคนธรรมดาที่เคยถูกปลุกปั้นจนกลายเปฺนศิลปิน และการเดินทางของผู้บริหารที่ลงสนามค่ายเพลงที่ขึ้นมาในปริมาณมากอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ยังสร้างไอดอลหลายๆ วงจนเริ่มเป็นที่จดจำของแฟนๆ

เพราะเรื่องของความฝันมันไม่ Little เลย

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

ยังจำความรู้สึกตอนได้แชมป์ The Star ได้มั้ย

ตอนนั้นเหรอ เด็กกว่านี้เยอะมาก ใช้คำว่าไร้เดียงสาต่อโลกก็ว่าได้ เป็นความรู้สึกที่เหมือนฝัน ฉันทำได้แล้ว มันเป็นความรู้สึกเดียวกับเด็กเวลามีความฝัน ปลูกฝังมาให้มีความฝัน แล้วก็เดินทางมาในเส้นทางจนมันแบบประสบความสำเร็จ ณ โมเมนต์นั้นมันก็เป็นความสำเร็จอย่างนึงในชีวิตเรา แต่โมเมนต์ตอนนั้นมันมีความสุขมาก แฮปปี้มาก แล้วก็รู้สึกว่าเหมือนฝันจริงๆ จากที่เราเคยเป็นนักศึกษา เรียน ทำงานร้องเพลงไปวันๆ แต่วันนึงชั้นได้มาอยู่ในตึกแกรมมี่ ชั้นได้มาอยู่ในย่านนี้ (อโศก) เป็นย่านที่เราไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าเราจะได้มาอยู่ที่นี่ครับ ก็เป็นความฝัน แต่ว่าในขณะเดียวกัน พอมันผ่านระยะเวลาไป ความไรเดียงสาของเด็กคนนั้นอะ มันค่อยๆถูกตบหน้าด้วยความจริงเรื่อยๆ ว่าจริงๆ แล้วมันก็คือหนึ่งงาน มันคือหนึ่งอาชีพ เราแค่เริ่มประกอบอาชีพเร็วกว่าชาวบ้านเค้า คนอื่นอาจจะต้องเรียนให้จบก่อน รอเรียนให้จบ 4 ปี แล้วเริ่มสมัครงานตามกระบวนการ แต่ว่าเราแค่บังเอิญได้รับโอกาสที่ว่าดีมากๆ ในชีวิต แล้วมันก็เริ่มต้นอาชีพเร็วกว่าชาวบ้านเค้า ทำงานเร็วกว่าคนอื่นเค้า ก็มองสิงนี้ไม่ได้เป็นความสวยหรูไปขนาดนั้นซะทีเดียว แล้วจะมองด้วยหลักความเป็นจริงมากขึ้น 

คำว่าชีวิตเปลี่ยนที่คุณบอก เปลี่ยนจริงมั้ย

เปลี่ยนจริง แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ง่ายๆ เลยก็คือ เมื่อก่อนเราเดินไปไหนไม่มีใครรู้จัก แต่ทุกวันนี้เดินไปไหนแล้วมันก็จะมีคนมอง จะมีคนเข้ามาขอถ่ายรูป กลายเป็นว่าทุกย่างก้าวที่เราจะไปไหนก็แล้วแต่ มันก็จะมีคนเห็น ก็จะมีคนรู้จัก ก็จะมีคนเข้ามาหา ยังไม่นับรวมไปถึงเรื่องการทำงานอีกที่เราไม่คิดเลยว่าการทำงานในวงการบันเทิงจะมีรายละเอียดยิบย่อย มีเรื่องนี้ด้วย มีสิ่งนี้ด้วย มันก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปแล้วไม่ค่อยเปลี่ยนไป แต่ว่าสิ่งที่มันเปลี่ยนที่สุดก็คือการปรากฏตัวของเรามันไม่เป็นปกติต่อไป 

พูดถึงคำอธิษฐานด้วยน้ำตา ที่เป็นเพลงแรกของคุณ การทำงานในฐานะศิลปินใหม่เป็นยังไงบ้าง

ตอนฟังครั้งแรกผมน้ำตาไหลเลยอ่ะ มันเพราะมากในมุมเรา ผมจะเสพ Melody เป็นหลัก ซึ่ง Melody เพลงนี้มันเพราะมาก และยิ่งไปรู้ว่าจริงๆ แล้วเนื้อเพลงนี้มันถูกเขียนขึ้นโดยเชื่อมโยงจากชีวิตผมด้วยส่วนนึง หมายถึงว่าถ้าตีความจริงๆ แล้ว มันคือเพลงที่เขาเขียนให้พ่อผมด้วย ถ้าเกิดสมมติว่าฟังท่อนฮุคอะ คือ ‘อีกซักครั้ง ฉันอยากจะฟังเสียงของเธอ’ (ร้องเพลง) คนแต่งเค้าตีความว่า  เสียงหรือความทรงจำที่เราเคยมี ที่เราเคยทำมากับพ่อในเมื่อก่อน แต่ทุกวันนี้มันไม่มีแบบนั้น มันทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว เราอยากฟังเสียงเดิมของเค้า เสียงที่เค้าพูดหรือเรียกเราแบบชัดถ้อยชัดคำเลย มันไม่เกิดแล้ว บางทีเพลงนี้มันอาจจะไม่ได้มีความหมายว่าเขาตาย เขาจากไปอย่างเดียว แต่บางทีมันก็เป็นแค่แบบคนที่เลิกกัน มันก็ตีความหลายๆ แบบมาก แต่มุมนึงมันคือตีความเรื่องพ่อเข้าไปด้วย เลยรู้สึกว่าจริงๆ เขาก็คิดทุกมุมเหมือนกันนะ ทำยังไงก็ได้ให้เราตัวเราอินมากที่สุด ซึ่งมันก็เมคเซนส์มาก เพราะตอนเข้าห้องอัดผมก็คิดถึงเรื่องนี้ด้วยในการร้องเพลง

ถ้าเราพูดถึงมันในฐานะคนฟังด้วย เพลงนี้มันดีมากๆ ฟังครั้งแรกก็อินแล้ว

จริงๆ เพลงนี้อัด 2 ครั้งด้วย คืออัดครั้งแรกแล้วมันยังไม่ได้ โปรดิวเซอร์เค้าบรีฟว่า จริงๆ แล้วเพลงเศร้าเนี่ ยถ้าจะทำให้มันเศร้าแบบ Beyond หรือลึกเข้าไปอีก เราไม่ควรเศร้า หมายถึงว่าตัวคนร้องไม่ควรเศร้าไม่ควรตั้งใจเศร้า จริงๆ ควรเศร้าด้วยความรู้สึกที่ว่าฉันคิดถึงโมเมนต์เหล่านั้นจัง ตอนนั้นฉันจะมีความสุขมากเลย ยิ่งคิดถึงความสุขในตอนนั้นเท่าไหร่แล้วก็ยิ่งทุกวันนี้มันไม่มี มันจะยิ่งเศร้าเอง พอเวลาเราร้อง เราต้องคิดถึงเหตุ ไม่ได้คิดถึงผล สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีเหตุผลมากเลย เราก็หยิบสิ่งนี้ใช้กับทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นแบบเอาไปใช้ทำงานอะไร ผมได้รับบทมาต้องเล่นละครอะไรก็แล้ว แต่ถ้ามันหมดต้องร้องไห้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าฉันจะร้องไห้ เศร้ามาก ฉันเสียใจมาก ไม่ร้อง แต่พอเราไปคิดถึงว่า สมมติว่าบทมันคือเราต้องเลิกกับเขา ยิ่งเราไปคิดถึงวันที่เรามีความสุขกัน มันแฮปปี้มากแค่ไหน แต่ถ้ามองข้างๆ แล้วมันไม่มีเขาแล้วในตอนนี้ โห มันยิ่งทะลักเลยอะ เปิดก็อกเลยเนี่ย มันเลยเปลี่ยนวิธีคิดผมเหมือนกันว่า เอาจริงๆ คนเราถ้าจะเศร้าให้คนอื่นเห็นเราไม่จำเป็นต้องพยายามเศร้าให้คนอื่น เราแค่มีความสุขในโมเมนต์นั้นแล้วมันก็จะเศร้าเอง 

พอเพลงนี้ขึ้นชาร์ตตามสำนักต่างๆ ที่อันดับหนึ่ง มันมีความหมายกับคุณยังไงบ้าง

มันมีความหมายมากนะคือ การจบเดอะสตาร์ ที่เราบอกคำว่าเราไร้เดียงสาใช่ไหม รู้สึกว่า อุ๊ยฉันสำเร็จแล้ว แต่พอมาเจอโลกแห่งความจริง เจอการทำงานจริงๆ มันทำให้รู้ว่าที่ผ่านมามันคีอจุดเริ่มต้นเอง แล้วหลังจากนี้เราจะหมุดหมายอะไรต่อในชีวิตมันก็คงต้องมาจากผลงานที่เราทำ ซึ่งพอผลงานที่เราทำมันได้รับการยอมรับ ได้รางวัล ได้ขึ้นชาร์ต มีคนเอาไปร้อง มีคนเอาไปใช้ทุกครั้ง เราก็จะยิ่งรู้สึกว่ามันมีความหมายกับผมในอีกหนึ่งหมุดมหายในชีวิต พอเราก็ทำงานไปเรื่อยๆ จริงๆ แล้วทุกหมุดหมายมันมีความสำคัญและมีความยิ่งใหญ่หมดเลย แม้กระทั้งที่ผมได้รางวัลแบบ รางวัลใช้ภาษาไทยดีเด่นในเพลง แต่จริงๆ มันคือหมุดหมายในชีวิตเหมือนกันที่เราได้ย้ำเตือน ได้ถูกพูดถึงในแง่นี้เลย ก็เลยรู้สึกว่าหลังจากนี้ไป ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในชีวิตมันล้วนเป็นสิ่งสำคัญเท่าๆ กันหมดเลย 

เมื่ออยู่ในวงการนี้เรื่อยๆ การได้รับบทบาทใหม่ๆ ตั้งแต่พิธีกร นักแสดง จนถึงโปรดิวเซอร์รายการทีวี มันท้าทายศักยภาพของคุณแค่ไหน

ท้าทายครับ ท้าทายมาก มันท้าทายขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าแต่ละบทบาทหน้าที่มันมี Requirement ที่มันไม่เหมือนกัน แต่ละอย่างมันก็ต้องการสิ่งที่เราต้องให้กับงานไม่เหมือนกันเลย เลเวลที่ให้ก็ไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นคือเราเป็นคนที่ต้องปรับตัวกับการทำงานได้หมด ซึ่งพอเห็นว่าผมสามารถทำงานได้มากมายหลากหลาย มันเคยได้รับโอกาสหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันตัวเองก็จะพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองทำให้มันได้ในทุกๆ อย่าง ซึ่งมันก็ท้าทายขึ้นเรื่อยๆ ทีละสเต็ปๆ  เคยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันท้าทายแล้ว เคยคิดว่า 4 โพดำ เนี่ยมันคือท้าทายที่สุดในชีวิต แต่พอไปเจอเล่นละคร เล่นซีรีส์เรื่องอื่น เรื่องใหม่ บทบาทใหม่มันก็ยิ่งท้าทายขึ้นไปอีก เพราะตัวเราเองเวลารับงาน ก็คงไม่อยากรับงานที่มันอยู่กับที่ด้วย มันคือหนึ่งความท้าทายในชีวิตที่แบบมันหาจากไหนไม่ได้แล้ว ผมคิดว่าพอยิ่งคนเห็นเราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาจะรู้สึกจริงๆ แล้วไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่มีลิมิต แล้วใครจะยื่นอะไรมาผมก็โอเค ได้ ทำ

แล้วกับ 4 โพดำ ที่คุณบอกว่ามันท้าทาย คุณเห็นอะไรจากการทำงานทั้งกับตัวเองและเพื่อนๆ บ้าง

เห็นว่าเรานี่มันทนเหมือนกันนะ ถ้าดูจากการทำงานที่ผ่านมา 4 โพดำเป็นการทำงานที่เหนื่อยมาก ตอนที่รายการจบมันจะมีคนเดินเข้ามาเยอะมาก มาบอกว่าเสียดาย อยากให้มีต่อมากเลย มุมนึงเราเสียดายมากเพราะมันเป็นการทำงานที่เราแฮปปี้ ตอนที่เราทำมันไม่เหนื่อยหรอก แต่พอตอนที่ทำเสร็จแล้วหันกลับไปมองอะ โห เราผ่านมันมาได้ยังไงวะ เหนื่อยมากเลย คือการถ่ายทำ 1 ครั้งมันใช้คิวเยอะมาก ใช้คิวในการซ้อม ใช้คิวในการถ่าย ซ้อมร้องไม่พอ มีซ้อมเต้นอีก แล้วมีซ้อมละครอีก แล้วก็ลงรายละเอียดในวันถ่ายจริงๆ อีกนะครับ ซึ่งมันใช้พละกำลังมากเยอะแยะมากมายมหาศาล ในวัยนั้นที่ผมทำงานผมอาจจะทำได้ แต่ถ้าให้ผมกลับไปทำตอนนี้คงไม่ไหวแล้วจริงๆ คือไม่ได้ไม่อยากทำนะ แต่มันรู้ว่าเราน่าจะเราจะเอาทุกอย่างออกมาให้ทุกคนได้ไม่เท่าเดิมแน่ๆ ในความสดในตอนนั้น กูก็สู้ สู้ใช้ได้เหมือนกันนะ เช่นเดียวกันทั้ง 3 คนที่แบบทำงานกันแบบหามรุ่งหามค่ำกันมาก แล้วก็มันต้องรักกันมากอะ ไม่งั้นมันทำไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือเราเป็นเพื่อนแก๊งนี่แหละ

ก่อนหน้านี้คุณก็ได้เป็น Music Director ให้กับรายการ LAZiCON ด้วย

ใช่ครับ ได้ไปอยู่ในทีมทำดนตรีแล้วก็ดูแลเรื่องการร้องของน้องๆ เข้าไปดูไปเทรนนิดหน่อยแล้วก็ดูเรื่องภาพรวมดนตรี มันก็มีคนทำแหละแต่เราก็จะดูว่าโอเคมั๊ย มีพี่แอ้ม (อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์) กับฮาย (ธันวา เกตุสุวรรณ) 3 คนทำด้วยกัน ก็ท้าทายมาก ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะว่างานมันใหม่อะครับ ไม่เคยมีใครทำรายการ Survivor ด้วยเด็กจำนวน 35 คนในประเทศไทยมาก่อน แล้วก็ด้วยธีมรายการ ด้วยวิธีที่ลูกค้าเขาอยากได้ หรือว่าทีมงานรายการอยากได้ มันเป็นสิ่งที่มันต้องใหม่ แล้วเด็กฝึกเองก็เก่งมาก เราก็ต้องทำให้มันทันกับเด็กฝึกซึ่งก็ถือว่ายาก งานนี้ก็ถือว่าหิน

คุณเองที่ทำงานกับน้องๆ เด็กฝึกจนมีผู้ชนะได้เดบิวต์เป็นวง Laz1 คุณรู้สึกยังไงเมื่อน้องๆ กลายเป็นศิลปินเต็มตัว

ก็ดีใจ ดีใจกับน้องๆ มาก แล้วก็เห็นพลังงานของมันที่แบบเป็นพลังงานของเด็กรุ่นใหม่ พลังงานที่มันเป็นพลังงานที่สะอาด ยังมีไฟแรงมาก คือคนเราจะไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นยังไง ถ้าไม่ได้เห็นคนอื่นมาเปรียบเทียบ อย่างเรื่องนี้มันเห็นเลยว่า ไอ้ที่เราคิดว่าเรามีไฟในการทำงานเพราะเจอเด็กเข้าไป เด็กอายุ 20 ไฟของมันกับไฟของเรามันคือคนละไฟกันเลย ไฟมันแบบโชติช่วงมาก พร้อมทำงานมากเลย ซึ่งมองกลับไปมันก็เหมือนเห็นตัวเองในเมื่อ 10 ปีที่แล้วนั่นแหละ ก็เลยรู้สึกได้ว่ามันเก่งแล้ว เด็กสมัยนี้มันเก่ง เก่งขึ้นทุกวัน ตอนอายุเท่านั้น เรายังไม่ได้เท่านี้เลย ด้วยความที่โลกมันหมุนเร็วมาก เด็กคนนี้มันเก่งมาก ผมเลยนับถือไม่ว่าจะใครก็แล้วแต่ ในวันนั้นที่ได้เป็น 5 คนสุดท้าย มันล้วนแล้วแต่คนจะนับถือเท่านั้น เพราะว่ามันผ่านมันผ่านการพิสูจน์มาแล้วในรายการ ไม่มีอะไรที่ต้องมาพิสูจน์กับตัวเขาอีกแล้ว หลังจากนี้คือให้เขาได้สร้างผลงานแหละ

พอมาถึงช่วงโรคระบาด คิดอะไรอยู่ถึงตัดสินใจทำค่ายเพลง

ก็เป็นคำชวนมา คือไม่ได้เริ่มต้นจาก อุ๊ย ฉันตื่นนอนมาแล้วก็อยากค่ายเพลงจัง แต่มันคือใช้ชีวิตทั่วไปในการหลบหนีโควิด ช่วงนั้นอยู่บ้านอย่างเดียว แต่ก็มีโทรศัพท์โทรมาจากพี่มุก (นิตา ชวลิต-ผู้บริหารร่วมค่าย LIT Entertainment) เขาก็ได้รับคำชวนมาก่อนจากพี่จิ๊บ (เทพอาจ กวินอนันต์-ผู้บริหารค่าย LOVEiS) เค้ารู้สึกอยากทำค่ายของเด็ก เพื่อให้มันมีภาพนี้เกิดขึ้น พี่มุกก็เลยมาชวนผม ผมก็ลองไปคุยก่อนว่า ถ้าจะทำจริงๆ ทิศทางมันเป็นยังไง เพราะว่าตัวเราไม่ได้เป็นคนเสพงานฝั่งวัยรุ่นขนาดนั้น คือรับรู้ได้ว่ามันมีอยู่ แล้วก็เห็นเรื่อยๆ มีช่วงนั้นที่อยู่ใกล้ ๆก็คือดู Trinity แล้วชอบ รู้สึกว่า เด็กทุกวันนี้มันเก่งขนาดนี้เลยเหรอวะไรเงี้ย แล้วพอไปคุยกัน อยากรู้ว่าเขาทำทิศทางไหน ซึ่งพอมาคุยกันจริงๆ ทิศทางที่เขาอยากทำและผมรู้สึกว่ามันน่าจะเวิร์กมันเป็นทางเดียวกัน คือไม่ได้อยากจะทำแบบไอดอลเกาหลีขนาดนั้น จริงๆเราก็อยากทำเพลงป๊อปสำหรับคนไทยอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ว่าโอเค เอาโมเดลบางอย่างของการพัฒนาศิลปินของเกาหลีที่มันทำแล้วเวิร์คมาใช้กับบ้านเราบ้าง ก็พยายามปรับๆ ให้มันเป็นวิธีสำหรับคนไทยมากที่สุด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันก็ มันก็พิสูจน์มาประมาณนึงว่าจริงๆ แล้วเราก็เลือกเวย์นั้นมาด้วยกัน แล้วมันก็เป็นเวย์ที่เราแฮปปี้ในการทำงาน

แล้วจริงๆ LIT Entertainment มันคืออะไร

มันเป็นค่ายเพลงที่มีโมเดลที่มันแตกต่างจากค่ายเพลงอื่นๆ และค่ายเพลงลักษณะเดียวกันในเมื่อก่อน เพราะว่าต้องยอมรับว่าอิทธิพลจากกระแสเพลงจากทั่วโลกมันล้วนมีอิทธิพลกับการฟังเพลงของคนในบ้านเรา หรือวงการเพลงในบ้านเรา มันก็เหมือนเป็นเทรนด์หนึ่งที่ปรับไปตามยุคตามสมัย ยุคสมัยนี้คนชอบฟังเพลงแบบไหน ยุคสมัยนี้คนอยากเห็นเด็กที่ออกมาเป็นแบบไหน เด็กในวันนี้อยากเห็นศิลปินแบบไหนเป็นต้นแบบ เราก็มาแผ่กันดู เปิดกันดู โดยเอาจริงๆ คืออิงจากตัวเอง ว่าในยุคนั้นเราเติบโตมากับเพลงป็อป หรือเพลงไทยแบบไหนที่เรารู้สึกว่ามันเวิร์กในยุคนั้น จริงๆ แล้วมันก็เพราะเราก็เป็นคนไทย เสพอะไรคล้ายๆ กันเลย ผมไม่รู้ว่ามันก็คงไม่ได้หนีกันมาก เพียงแต่ว่าเอามาปรับยังไงให้มันเข้ากับคนในยุคสมัยนี้มากที่สุด

มีปัจจัยอะไรบ้างในการเลือกปั้นศิลปินซักคนหรือซักวงหนึ่ง

จริงๆ เป็นการเริ่มคุยเริ่มต้นกันตั้งแต่กับพี่มุกเลยครับว่าเราอยากได้คนที่ Perform ทั้งร้องและเต้นได้จริงๆ เพราะเราอยากให้เด็กมันแข็งแรงพอที่จะหลังจากนั้นจะหมดสัญญากับเรา เด็กมันก็คงไม่ได้อยู่แบบตลอดกาลน่ะ ไม่ได้อยู่กับเรา 10-20 ปี มันมีอายุขัยของมันในการทำวงแบบนี้ หรือทำลักษณะเพลงแบบนี้ เค้าก็ต้องไปเติบโตต่อไป เรารู้สึกว่าเราไม่ได้มองแค่ว่าอยู่กับเราแล้วทำยังไงให้มันแบบดีที่สุด แต่ว่าหลังจากที่น้องจะจบจากเรา แล้วออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ออกไปทำงานของตัวเอง มันต้องแข็งแรงให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นเราเริ่มต้นจากการที่ต้องหาเด็กที่ร้องได้ ยังไงเราตัวเราเป็นคนที่ชอบเรื่องการร้อง ยังไงเรื่องร้องก็ต้องมา เลือกเด็กก็ต้องเลือกแบบที่ต้องร้องดี ถ้าร้องไม่ได้มันยาก

แล้วก็การ Peform ก็ต้องหาวิธีการ หามุม หาเหลี่ยม หาเสน่ห์ของเค้า ค่อยเทรนด์ไป บิ้วไป แต่ก็ต้องมีมาบ้าง ไม่ใช่ว่าแบบไก่กา ไม่เป็นอะไรเลย เราก็เลยคัดจากสิ่งเหล่านี้ในจุดเริ่มต้นนะครับ พอทำไปมันก็ค่อยๆ เห็นเรื่อยๆ ว่า นอกจากเรื่องความสามารถแล้ว มันมีมุมของความอยากทำงานด้วยอยู่ นิสัย วิธีการทำงาน ร่วมงานด้วยแล้ว แฮปปี้ไหม แล้วก็เจอมาคุยกัน แล้วรู้สึกว่าจะทำงานด้วยหรือเปล่า ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมว่ามันเป็นจิตวิญญาณของแต่ละค่าย ทุกที่มันมีมันมีจิตวิญญาณเหล่านี้อยู่เหมือนกัน การเลือกเด็กของแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน 

แล้วไอเดียของการขึ้นของศิลปินแต่ละคนหรือวงคืออะไร

เกิดจากการทดลองครับ ทั้งหมดเลย เราแค่เริ่มต้นคราวๆ ว่า ค่ายเราอยากทำไรบ้าง ผมชอบบาซู ผมอยากทำบาซูซักหนึ่งวงเพราะทุกวันนี้ไม่มีบาซูแล้ว หมายถึงว่าไม่มีวงแบบนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว เราเลยรู้สึกว่าอยากทำวงแบบนี้ ก็ไปดูองค์ประกอบกันก่อนว่าทำไมบาซูในยุคนั้นถึงดัง? อ๋อมันประกอบด้วยคนแบบนี้ ถ้าจะมีผู้หญิงแม่งต้องเก่งมากๆ ไม่งั้นคนดูไม่ดูผู้หญิง คนดูจะไปดูผู้ชาย ถ้าผู้ชายมันหล่อมาก มันเต้นเก่งมาก เค้าจะดูผู้หญิงทำไมนึกออกมั๊ยครับ? อันนี้หมายถึงว่าเราพยายามมากะเทาะกันแล้ว มันเป็นสิ่งที่แย่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้

ก็เลยกลายเป็นมางของวง bamm

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามาง (ปิยธิดา เล็กกลาง) คือคนที่ร้องดีที่สุดมากๆ เลย แต่มันก็เกิดการทดลองอีกนะ เราไม่ได้เริ่มต้นจากการที่หยิบมาง หยิบอาร์ตี้ (ศรุต ลิ่วเกษมศานต์) มา แล้วมารวมกันเป็น bamm เลยนะ มันมีการทดลองผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Showcase อยู่ในค่ายทุกวันเสาร์ ผมจะให้โจทย์ไป ที่ให้ไปก็จะมีทั้งโจทย์เดียวและทำงานเป็นกลุ่ม กลุ่มนี้มันไม่ได้เป็นแบบเปาเปา (ธีรภัทร ตรีวิมล) มาตั้งแต่แรก อ่ะมันเอาคนนี้ไปผสมอันนี้ เคยเอาอิงโกะ, พิมพ์มา, มาเบล (สมาชิกวง PiXXiE) ไปผสมกับมางก็เคย หรือเอามาเบลไปผสมคนนู้นคนนี้ จับคู่กัน คือทั้งหมดจากการทดลองหมดเลยครับ เกิดจากการตั้งสมมุติฐานว่าถ้าคนนี้อยู่กับคนนี้แล้วมันจะเป็นยังไง ก็ลองทำดู ลอง ทดลองซ้ำ ทำต่อถ้ามันเวิร์กทุกอัน แปลว่าว่ามันเวิร์ก

แล้วอย่าง PiXXiE ล่ะ

PiXXiE เป็นวงเริ่มต้นของค่ายที่อยากทำเกิร์ลกรุ๊ป อันนี้มันเริ่มต้นจากการทำเกิร์ลกรุ๊ปว่าอยากทำ แต่ว่ากี่คนไม่รู้ ที่ผ่านมาเกิร์ลกรุ๊ปเรารู้จักต้องมีลักษณะ แล้วเราก็รู้สึกว่า ก็แล้วแต่ว่าเราจะหาเด็กได้ประมาณเท่าไหร่ ตอนแรกก็หาเด็กผู้หญิงเข้ามาก่อน จากผู้หญิงที่มันตามมาตรฐานเรา แล้วจับเอามารวมกันดู ค่อยๆ ตัดทอนออกว่าตรงไหนเหมาะสมที่สุดไรเงี้ย  แล้วก็มานั่งดูว่า เกิร์ลกรุ๊ปในประเทศไทยเริ่มจากยุคสาว สาว สาว มี 3 คน ยุคที-สเกิ๊ต มี 3 คน ซาซ่า 3 คน ทรีจี 3 คน เฟย์ฟางแก้วก็ 3 คน ก็เอ๊ะ หรือเค้ากำลังจะบอกใบ้อะไรเรา ก็มานั่งดูความเป็นไปได้ของการทำศิลปินในยุคก่อนๆ ที่ผ่านมาว่าจริงๆ แล้วธรรมชาติของคนไทยชอบอะไร เราก็รู้สึกว่าถ้าเราอยากทำให้มันถูกจริต จำนวนก็ไม่มีผลขนาดนั้นหรอก แต่ว่าในแง่ของเรารู้สึกว่า เราถ้าทำ 3 คนได้ มันก็น่าจะเป็นการอุทิศแก่วงเกิร์ลกรุ๊ป แล้วก็เดินตามรอยมาเรื่อยๆ แต่จริงๆ สำคัญที่สุดเลยคือการที่เรามีเด็กที่อยู่ด้วยกัน 3 และแฮปปี้ไหม เผอิญว่าเรามีอิงโกะ, พิมพ์มา, มาเบล ที่ 3 คนอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกว่าลงตัวจัง แต่ก็คิดว่าน้อยกว่านี้ได้ไหม ไม่ได้ มากกว่านี้ได้ไหม ก็อาจจะไม่ดี ก็ไม่ เอ่อ ทั้งที่ทดลองมาก็โอเค แต่รู้สึกว่า 3 คนนี้มันกำลังดี มันมีคนนำ มันมีคนตาม มันมีคนช้อน มันมีคนอุ้ม มันพอดี เลยรู้สึกว่าถ้าอย่างงั้นก็ไม่แปลก ที่มันจะทำวง 3 คนในยุคที่ทุกคนทำวงกันแบบหลายวงมากๆ

กลายเป็นว่าคัมภีร์จากการทำเพลงในยุคก่อนๆ กลายมาเป็นต้นแบบในการปั้นศิลปินของคุณ

ใช่ครับ อย่างที่บอกว่าเราจะทำเพลง เราจะทำค่ายเพลงป็อปเพื่อคนไทย ผมก็ต้องไปนั่งดูว่าถ้าโดยปกติแล้วคนไทยดูอะไร อาจจะบอกได้ว่าโอเค คนไทยยุคก่อนกับยุคนี้อาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่ผมว่าจริงๆ ลึกๆ แล้วมันน่าจะมีจุดเชื่อมโยงอะไรบางอย่างที่มันเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างจำนวนคนซึ่งมันเป็นเรื่องที่ง่ายๆ แต่ว่าเรื่องรายละเอียดมันต้องมาดูกันอีกทีว่าคนทุกวันนี้มันฟังอะไร เสพอะไร และทำอะไรตามยุคสมัยนี้ ซึ่งเราก็คงไม่ได้เอาเพลงแบบเดียวกันกับที่เค้าเคยทำมาก่อน แล้วจะมาทำให้มันสำเร็จทุกวันนี้มันก็คงไม่ได้ เพราะว่าทุกวันนี้คนฟังเพลงก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่รายละเอียดใหญ่ๆ ผมมีความเชื่อว่าบางทีมันอาจจะมีเหตุผลของมันก็ได้นะ

มีคำแนะนำอะไรจากผู้ใหญ่ที่คิดว่ามีประโยชน์ แล้วก็นำมาปรับใช้กับใครได้บ้าง

จริงๆผมก็เอาสิ่งที่ผมได้ดูแล มาจากเดอะสตาร์นั่นแหละมาใช้ดูแลเด็กอีกทีนึง คือเขาดูแลเรายังไง ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ จนแบบพอเราได้ทำงานจริงๆ เราก็แบบรู้สึกว่ามันมีประโยชน์นะเรื่องเหล่านี้ และมันยิ่งชัดขึ้นไปอีก พอตอนเรามีลูกเป็นของตัวเอง มีเด็กๆ ของตัวเอง เราถึงได้รู้เองว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เค้าสอนมามันสามารถบอกต่อกับเด็กรุ่นนี้ได้ เรื่องการเข้าสังคม เรื่องมารยาทต่างๆ เรื่องการทำงาน การไปเจอผู้คน การตอบคำถาม การพูดคุย ทุกๆ อย่างเลย บางทีมันเป็นสิ่งที่เราเทรนเรื่องร้อง เรื่องเต้น เรื่องแอคติ้งมาเยอะแล้ว เราต้องเทรนเรื่องอื่นๆ ด้วย มันก็เป็นคำแนะนำที่เราได้รับมาจากรุ่นสู่รุ่น ส่งไปไปยังอีกทอดนึงอีกที  

ผลตอบรับจากศิลปินหลายๆ วงเป็นยังไงบ้าง

โห เกินคาดครับ เกินคาดมากคือ เราทำค่ายในช่วงที่ยังไม่เห็นว่าในวงการ T-POP มันจะมีอะไร ณ ตอนนั้นนะครับ ผมเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2563 ก่อนหน้านี้ก็มี Trinity ที่มาจาก 9by9 ที่มันจบโปรเจคต์ไปแล้ว แล้วก็ยังไม่มี 4EVE ยังไม่มี AR3NA มันแค่กำลังจะขึ้นแต่ว่าตอนที่ผมเริ่มทำค่ายคือยังไม่มีรายการนั้นอยู่ มี Pretzelle ในยุคก่อนนั้นเนี่ย เราดูทุกอย่างว่าในวงการตอนนี้มันมีอะไรบ้าง เราดู BNK48 เป็นยังไงในตอนนั้น ก็เริ่มเห็นว่าเสี่ยงเหมือนกัน ถ้าเริ่มทำไปแล้ววงการมันยังไม่มีพื้นที่สำหรับสิ่งเหล่านี้ ยังไม่มีเวที ยังไม่มีรายการที่ให้น้องๆ ได้ไปออกเนี่ยจะทำยังไง ก็ไม่เป็นไร ช่วงนี้มาขอทำก่อน เทรนเด็กไปก่อน 1 ปี แต่ในระหว่างนี้เราก็พยายามไปหยอดคนนั้น คนนี้มา ผมไปแข่ง The Mask Singer (หน้ากากเมียงู) ก็ไปแอบหยอดถามทีมงานว่าแบบ เอ้ยมันควรจะต้องมีเหมือน 7 สีคอนเสิร์ตอะพี่ อยากให้ทำนะ ผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราพูดไปทำให้เขารู้สึกคิดหรือเปล่า หรือเค้าอาจจะคิดมานานแล้วก็ได้ 

ตอนนั้นน่ะผมก็ทำทุกวิถีทาง มาช่องวันก็บอกว่าพี่ ทำสเตจสิ คือกรุยทางเอาไว้เพื่อที่ว่า จริงๆแล้วรู้สึกว่าถ้าทำ ทำคนเดียวไม่สนุก วงการเพลงเกาหลีมันถึงได้ไปด้วยกันเพราะเขาทำด้วยกัน เขาเชื่อมกัน เขาเจอกันหมดเลย เราเลยรู้สึกว่าถ้าทำคนเดียวทำให้หมด มันเลยเป็นความโชคดีด้วย ผมเลยรู้สึกว่าว่านอกจากจะแบบดีใจแล้ว ก็รู้สึกกูโคตรโชคดีเลยในยุคที่เราทำอะ จริงๆ แล้วในขณะเดียวกันมันมีคนออกสตาร์ทไปพร้อมๆ กับเราเหมือนกันตั้งแต่ตอนนั้นโดยที่ไม่ได้มานั่งบอกกล่าวกัน มีค่ายอื่นๆ ที่ทำแล้วก็มองเห็นว่าจริงๆมันมี Potential ที่จะสำเร็จได้ ก็ทำไปด้วยกัน ระหว่างที่ผมรู้สึกว่าเออ ก็คงเป็นสเต็ปต่อไปที่ ทำยังไงให้ทั้งหมดมันเชื่อมกันให้ได้ กำแพงของค่ายเพลง กำแพงของของวง มันอาจจะไม่อีกต่อไป 

แล้วอนาคตของ LIT Entertainment จะเป็นยังไงต่อ

เท่าที่ผมคุยกันในทีมงานกับทีมผู้บริหารเอง รู้สึกว่าจริงๆ แล้วถ้าเราเดิน เดินได้แบบค่อยๆเดิน คือผมก็จะถามว่ามันสนุกมาก เวลาเห็นทุกคนทำนู่นทำนี่มาเรื่อยๆ ในวงการเลยนะครับ แต่ตัวเราเองก็ต้องมั่นคงกับกับแนวทางของเรามากๆ เลยรู้สึกว่าเส้นทางที่เราทำจริงๆ ก็คือพยายามที่จะรอบคอบมันได้มากที่สุดแหละ ถึงแม้ว่าเราจะเห็นว่าวงการนี้มันเริ่มก้าวกระโดด วงการ T-POP เริ่มมีคนสนใจเยอะมากๆ เพิ่มขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้วนะถ้าถ้าเทียบกัน มันกระโดดแบบเป็นกราฟที่มันพุ่งมาก แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเราเองก็อย่าใจร้อน สิ่งที่จะบอกเรื่อยๆ ในทีมคือ เราค่อยๆเดินไปอย่างมั่นคง ทีมเรามีกันอยู่แค่ 6 คนทั้งบริษัทอะครับ ดูแลเด็กทั้งหมด 15 คน ตอนนี้มีเด็กที่เดบิวท์ไปแล้ว 7 และก็มีเด็กฝึกรุ่นก่อน 3 คน และก็เด็กฝึกรุ่นใหม่อีก 5 คน นั่นคือถ้าเรารีบ ถ้าเราใจร้อน ผมว่ามันน่าจะลำบากแน่ในระยะยาว เราเลยรู้สึกว่าหลังจากนี้ไป เราก็คงจะยังคงทำแบบที่เราเคยทำในปีสองปีที่ผ่านมา พันธกิจของมันยังคงเหมือนเดิม คือผลักดันเด็กให้ได้เก่งที่สุด ให้เขาได้โชว์ศักยภาพของตัวเองได้มากที่สุด ทั้งร้องทั้งเต้น แล้วก็เรื่องอื่นๆ ก็คงจะแล้วแต่โอกาสที่มันกำลังจะเข้ามาอีก 

ผมยังคงรู้สึกว่าก็ยังไม่หยุดแหละ ถ้าคนถามว่า LIT จะไปยังไงต่อเลย มันก็คงจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่คงไม่ได้ขนาดใหญ่แบบก้าวกระโดด เรายังอยากทำมันเป็นทีมที่ทุกคนถึงกันหมดอยู่ดี เพราะว่าผมเห็นข้อดีของการทำงานด้วยความเป็นจริง มันเล็กแบบนี้คือมันถึงกันหมด ทุกคนรับรู้กันหมด ทุกคนเข้าใจและเห็นภาพเดียวกันกันหมด เราเลยยังรู้สึกยังอยากทำแบบนี้ไป ยกเว้นว่ากับจะมีโอกาสที่แบบใหญ่โตมโหฬารเข้ามา ก็คงต้องมีการขยายหรืออะไรก็แล้วแต่ ณ ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่เรายังคงอยากทำแบบที่เราเคยทำกันมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ตัวของคุณเองเติบโตยังไงบ้างจากการเป็นนักร้องประกวดสู่ผู้บริหารค่ายเพลง

มันก็ไกลเหมือนกันเนอะ หมายถึงว่าไม่คิดไม่ฝันเหมือนกัน จากเดิมเราเคยไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะได้เป็นเดอะสตาร์ จะได้เข้ามาในวงการบันเทิง ได้เข้ามาอยู่ในตึกนี้ (แกรมมี่) ตอนนี้มันเป็นอีกสเต็ปนึง เราไม่คิดไม่ฝันว่าเรายังอยู่ยังไงในวงการนี้ได้ ยังคงทำงานต่อไปในวงการนี้ได้โดยที่แบบยังไม่หมดไฟ เพียงแต่ว่าอาจจะเปลี่ยนจากไฟเบื้องหน้ามาเป็นไฟเบื้องหลังแทน แล้วก็ยังคงรู้สึกว่า มันยังคงมีหนอีกตั้งเยอะแยะมากมายให้เราต้องเรียนรู้ และยังคงต้องทำต่อไปอีก เออมันหยุดไม่ได้ มันก็เหมือนกับที่บอกตอน The Star 8 ฉันได้แชมป์แล้วอ่ะ มันไม่ได้แปลว่าฉันมันจะจบ แล้วชีวิตมันจะสำเร็จแล้ว เหมือนกันทุกวันนี้ผมทำค่ายเพลง ได้เป็นผู้บริหารแล้ว ได้มาปั้นน้องๆ น้องๆ มีเพลง 10 ล้านวิว ไม่ได้แปลว่าเราสำเร็จแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราแฮปปี้แล้ว แต่ยังคงต้องทำไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะไม่มีแรงจะทำมันอีก

เรียนรู้อะไรบ้างจากการอยู่ในวงการบันเทิงมานับ 10 ปีแล้ว 

มันก็มีเรื่องมีเรื่องอะไรเยอะแยะที่หน้าฉากเราไม่เคยเห็น แต่ว่าหลังฉากแล้ว มันมีสิ่งนี้อยู่ มันก็ทำให้รู้ว่าจบนโลกนี้มันมีทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง การที่เราเข้ามาทำงานในวงการนี้ ก็ทำไงก็ได้ให้เบื้องหน้าแฮปปี้ที่สุด ให้คนดูมันแฮปปี้ ให้คุณผู้ชมให้คนที่มีบุญคุณกับเราเขาได้แฮปปี้ที่สุด ไม่ว่าเบื้องหลังมันจะเป็นยังไงมันก็จะรู้สึกว่าเออไอ้คำว่า The show must go on. คือของจริงเลยเลย ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ 5-4-3-2 ไฟมาปึ๊บทุกอย่างมันต้องไป มันต้องโชว์แล้ว แม้กระทั่งในชีวิตส่วนตัวเอง หรือในวันที่บางทีเราเหนื่อยมากกลับไปบ้าน แต่ว่าคนที่บ้านต้องการความรัก คนที่บ้านต้องการความดูแลห่วงใยจากเรา เราก็ 5-4-3-2 แล้วก็ดูแลเขาได้เหมือนกัน เราไม่เคยเหนื่อยเหมือนกันเลย มันก็รู้สึกว่าเออมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราอดทนแล้วก็สู้ได้มากขึ้นจากการทำงานในวงการนี้ 

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า