fbpx

“หมดเวลาแล้วครับพี่” เพลงนับถอยหลังสู่การเปลี่ยนแปลงจาก “Bomb At Track”

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้ยินเพลงที่มีเนื้อหาวิพากษ์การเมืองอย่างเข้มข้นและตรงไปตรงมา ค่าที่ว่าสำหรับสังคมไทย ดนตรียังจัดอยู่ในประเภทสื่อบันเทิงมากกว่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักในการสื่อสารทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพและบทบาทในทางการเมืองของประชาชนมากขึ้น ทำให้เพดานการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองสูงกว่าที่ผ่านมา และไม่ว่าจะเป็นศิลปินหรือคนทั่วไป ก็มีพื้นที่แสดงออกของตัวเองมากขึ้นตามไปด้วย

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา Bomb At Track วงดนตรีนูเมทัล เป็นหนึ่งในศิลปินที่แสดงความเห็นทางการเมืองผ่านผลงานเพลงของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์ผู้มีอิทธิพลที่ใช้อำนาจกลบเกลื่อนความผิด ในเพลง “อำนาจเจริญ” การตีแผ่ภาพความเหลื่อมล้ำในสังคมผ่านเพลง “คำตอบ” จนกระทั่งกลายเป็นศิลปินในสังกัด Genie Records พร้อมมุมมองที่กว้างขึ้นต่อปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ โดยเฉพาะระบบอำนาจนิยม ในเพลง “เด็กเอ๋ยเด็กดี” หรือ “คำสั่ง”

“หมดเวลาแล้วครับพี่”

ล่าสุด Bomb At Track ได้เปิดตัวซิงเกิลใหม่ที่มีชื่อว่า “หมดเวลาแล้วครับพี่” ที่แค่ฟังชื่อก็สัมผัสได้ถึงความปั่นประสาท ยิ่งถ้าผู้ฟังเป็นบุคคลประเภท “พี่เบิ้ม” หรือ Big Brother แห่งนวนิยาย 1984 ก็อาจจะรู้สึกว่าฐานอำนาจสั่นคลอนทีเดียว เพราะเพลงนี้กำลังส่งสัญญาณเตือนให้ระบบเก่าในสังคมรู้ว่า เวลาของพวกเขากำลังหมดลงแล้ว และยิ่งทวีความสั่นประสาทด้วยเสียงดนตรีเมทัลผสมอิเล็กทรอนิกส์ สะท้อนถึงความ “ปีนเกลียว” แบบไม่สนลูกใคร

อย่างไรก็ตาม ทางวงเปิดเผยกับ The Modernist ว่า นี่เป็นแนวทางการทำเพลงใหม่ ที่พวกเขาต้องการให้แตกต่างจากเพลงอื่นๆ ที่เคยทำในอดีต ที่มีลักษณะเสียดสี ประชดประชัน และดนตรีที่กระแทกใจ โดยเปลี่ยนมาเป็นเพลงที่ให้อะไรกับผู้ฟังมากกว่าการตะโกน และเปิดพื้นที่ให้มีการตีความตามประสบการณ์ของผู้ฟังมากขึ้น

“เพลงนี้ reference ที่หาเจอ ไม่เกี่ยวกับเรื่องสังคมเลยครับ จริงๆ ตอนแรกผมได้มาเป็น ‘หมดเวลาแล้วครับน้อง’ เป็นหนังเรื่อง ‘Suckseed’ ตอนที่วงดนตรีเขาจะซ้อมกัน แล้วพี่คุมห้องซ้อมก็เปิดประตูออกมา ‘หมดเวลาแล้วครับน้อง’ ผมก็ชอบประโยคนั้น ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจ ก็เลยลองเอามาตีความ เอามาแต่งเล่น แต่พอ ‘หมดเวลาแล้วครับน้อง’ มันขาดความปีนเกลียว ผมรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรกวนๆ ก็เลยเป็น ‘หมดเวลาแล้วครับพี่’ ก็เลยเขียนมา แล้วก็ตีความให้เป็นเรื่องราวของสังคม เรื่องราวของชีวิตมากขึ้น” เต้ – วงศกร เตมายัง นักร้องนำของวงกล่าว

Bomb At Track เล่าว่า ในซิงเกิลใหม่นี้ พวกเขาตั้งใจให้มีโทนที่สว่างมากขึ้นในทุกองค์ประกอบของเพลง จากเดิมที่มักจะพูดถึงด้านมืดของสังคมไทย ปลุกเร้าอารมณ์โกรธที่มีต่อความอยุติธรรมในสังคม และระเบิดออกมาผ่านการร้องตะโกน กระโดด หรือโยกหัว 

“จริงๆ ตั้งใจให้มันสนุกขึ้น ไม่ได้อยากให้เป็นความเดือดเหมือนเมื่อก่อน เราอยากให้มันสนุก กวนๆ ขึ้น ให้คนฟังแล้วแฮปปี้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ที่จะแบบจะโยก จะซัดกันอย่างเดียว” ปุ้ย –  ปราชญานนท์ ยุงกลาง มือกีตาร์ของวงกล่าว

“ปกติไปเล่น คนดูก็จะหน้าเครียด รวมถึงเราด้วย เราก็อยากได้หน้าแบบใหม่ มีรอยยิ้ม” นิล – สิรภพ เลิศชวลิต มือกลองเสริม

ด้าน ข้น – ศาสตร์ พรมุณีสุนทร มือเบสของ Bomb At Track เล่าว่า เพลง “หมดเวลาแล้วครับพี่” ยังคงเก็บกลิ่นอายความเป็น Bomb At Track ในยุคเก่าไว้ ขณะเดียวกันก็ผสมผสานแนวทางใหม่ๆ จากแนวคิดของวงที่เริ่มเปลี่ยนไป โดยส่วนตัวของข้น คือการเรียนรู้ที่จะใช้เสียงอื่น นอกเหนือจากเสียงดนตรีในห้องซ้อม

“อย่างเช่นเพลงนี้มันก็จะมีบางจุดที่เราใช้เสียงนาฬิกา แล้วทำให้มันบิด หรือทำให้มันเสียงสูงเสียงต่ำ มันเกิดเป็นความ percussive อะไรบางอย่าง เอาไปใส่ในเพลง เหมือนที่เราฟังเพลงแล้วได้ยินเสียงแบบติ๊กๆ พยายามเหมือนอะไรที่มันนับถอยหลังตลอดเวลา ก็เริ่มมีความคิดในเชิงคอนเซ็ปต์มากขึ้น เสียงอะไรที่มันให้ความรู้สึกว่าเป็นนาฬิกา หรือว่าการนับถอยหลัง หรือว่าการที่จะไปสู่จุดที่มันจะระเบิด ที่มันถึง 3, 2, 1, 0 แล้วน่ะครับ มันก็เป็นเหมือนวิธีการที่ผมพยายามนำเสนอในเพลงนี้ หรือว่าเอาเสียงร้องไปดัดให้มันเกิดความรู้สึกอีกแบบ เหมือนโดนดูดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง”

เมษ – ภควรรษ ประเสริฐศักดิ์ มือกีตาร์ กล่าวเสริมว่า

“Mindset ก็ใหม่หลายอย่าง ปกติเราจะเล่นกันทุกท่อน แต่เพลงนี้มันจะมีท่อนที่เรียกว่าท่อนแรงที่สุดของเพลง แต่เราไม่เล่นก็มี แบบเป็นอิเล็กทรอนิกส์จัดๆ เลย มันก็เป็นการทดลองใหม่ๆ อย่างการร้องของเต้ที่มีเมโลดี้มากขึ้น หรือว่าผสมซาวนด์ ดีไซน์ทั้งร้อง ทั้งดนตรี มันค่อนข้างเป็นการทดลอง แล้วเราชอบมากๆ คือถ้าเราชอบมันก็จบแล้วครับ ชอบและใช่ทั้ง 5 คน ก็เลยคิดว่ามันไม่มีทางไม่เป็นตัวเราน่ะ”

สังคมเปลี่ยนแปลง Bomb At Track เติบโต

ในฐานะที่เป็นศิลปินที่สร้างผลงานเกี่ยวกับสังคมและการเมืองอย่างต่อเนื่อง เต้สะท้อนมุมมองต่อสถานการณ์การวิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองในปัจจุบันว่า

“ผมว่าเพดานมันสูงขึ้นมาก ทั้งในฝ่ายประชาชน พวกเราเองก็ถือว่ามันเป็นความกล้าหาญมาก ที่แต่ก่อนเราจะทำอะไรได้ไม่มากขนาดนั้น แม้แต่ตัวศิลปินบางคนที่ไม่สามารถพูดเรื่องแบบนี้ได้ แต่ในสมัยนี้ ทุกคนออกมาพูดเรื่องนี้กันทั้งหมดแล้ว”

และนั่นก็ทำให้วิธีการสื่อสารแนวคิดของพวกเขาต้องเปลี่ยนไปด้วย จากการตะโกนส่งเสียงแบบดุเดือด ก็ปรับให้เข้าถึงคนหมู่มากให้มากกว่าเดิม 

“เพลงที่เราทำสมัยแรกๆ มันท่อนตะโกนทั้งหมดเลย มันแรง มันเดือด ซึ่งทุกวันนี้มันก็ยังทำงานอยู่ รู้สึกว่าบางคนก็ บางทีเราตะโกนอย่างเดียวก็ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึง แต่ถ้าเราสามารถทำสิ่งใหม่ๆ แล้วให้คนหมู่มากในวงกว้างเข้าถึง ก็มีสิทธิที่เขาจะไปฟังเพลงเก่าๆ ของเราได้ แล้วก็จะมีอารมณ์ร่วมได้” เมษกล่าว

อาจจะนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ศิลปินมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานให้ “ซอฟต์” ลง หรือ “ป็อป” ขึ้น แล้วมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนเพลงว่าวงได้สูญเสียตัวตน แต่สำหรับ Bomb At Track นั่นไม่ใช่เรื่องที่พวกเขากังวล โดยเฉพาะสำหรับข้น นี่คือการฝึกวิชาอย่างหนึ่ง

“ถ้าเราทำเพลงที่เราถนัดอยู่ในโลกของเราคนเดียวตั้งแต่แรก คือมันก็ทำได้อยู่แล้วแหละ ไม่ได้มีอะไรผิด เราก็ทำโดยธรรมชาติ ถ้าวันหนึ่งเราต้องโตขึ้น หรือเรามีมุมมองอะไรที่ต่าง หรือเราได้ฟังเพลงอื่นที่เรารู้สึกว่ามันเพราะเหมือนกันอีกแนวหนึ่ง แล้วเราอยากจะนำเสนอสิ่งนี้เหมือนกัน ก็หยิบมาผสม”

“เหมือนเป็นขั้นบันไดที่เราไปข้างหน้า มันไม่ได้เรียกว่าเป็นการเสียตัวตน เพราะว่าสิ่งที่เราทำเพิ่มขึ้นมามันต้องใช้วัตถุดิบ มันต้องมีความรู้เพิ่มหรือมีทักษะเพิ่ม มันเป็นการอัพเลเวลวิชาตัวเองว่า จริงๆ แล้วคนเราก็ไม่ได้ถูกจำกัดว่าต้องทำอะไรที่แบบว่า นี่คือสิ่งที่ฉันถนัด นี่คือตัวตนของฉันมาตั้งแต่แรก ตัวตนมันสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และมันเป็นเรื่องที่ท้าทายและสนุก สมมติถ้าเปรียบเทียบ ผมเป็นคนฟัง แล้วผมมองหางานศิลปะชิ้นหนึ่ง แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของตัวเอง แต่มันก็ยังมีลายเซ็นบางอย่าง เราก็รู้ว่าเป็นงานของใคร” ข้นกล่าว

“จริงๆ ตอนนี้ ถ้าเรายังทำเพลงแบบ ‘อำนาจเจริญ’ ออกมา ยังทำเหมือนเดิม ผมว่ามันอาจจะเป็นเราเองก็ได้ที่อยู่ผิดยุคสมัยด้วยซ้ำ” เต้กล่าวเสริม

“เวลาอยู่ข้างเรา”

“ได้ยินหรือเปล่า มีคำบางคำที่พวกกูเป็นคนกล่าว 

วันเวลา อยู่กับมึงแค่ชั่วคราว 

เคยได้อะไรมาต้องจากไปด้วยมือเปล่า”

เนื้อเพลงท่อนหนึ่งของ “หมดเวลาแล้วครับพี่” ที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของเวลาแต่เพียงผู้เดียว นั่นก็ทำให้เต้และ Bomb At Track เชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้นในสักวัน

“ผมรู้สึกว่าเรามีพื้นที่ของเรา เรามีพื้นที่ที่เราสามารถพูดเรื่องราวอะไรก็ได้ ก็จะมีคนที่จะฟังเรา แล้วถ้าเกิดเราพูดเรื่องราวเหล่านี้มากขึ้น บ่อยขึ้น ผมว่าวันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงมันจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ถ้าเรายังคงทำไปเรื่อยๆ” เต้กล่าว

สำหรับเต้ ในฐานะคนแต่งเนื้อร้อง เรื่องราวเกี่ยวกับสังคม การเมือง หรือชีวิตคน เป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่องของเขา อยู่ที่ว่าเรื่องไหนจะเหมาะกับช่วงเวลาใดและทิศทางใดของวง

“ผมว่ามันก็มีเรื่องราวให้เราพูดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคมหรือเรื่องอะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงยากก็จริง ช้าก็จริง แต่ว่าถ้าเราทำไปเรื่อยๆ ผมว่าเวลามันก็อยู่ข้างเรา” เต้สรุป

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า