fbpx

“ข่าวสอนให้อยู่กับความจริง”​ บทเรียนจากการทำข่าวใหญ่แบบเข้มๆ ของอาร์ท-เอกรัฐ

“มีอะไรโทรหาพี่ได้เลยนะอาร์ตี้ เมมเบอร์พี่ไว้นะ”

ไม่รู้ว่าประโยคนี้จากปากของแหล่งข้อมูลจะนับว่าเราได้สร้างความสนิทสนมกันแล้วหรือไม่ แต่รู้ตัวอีกที ฉันก็เก็บเบอร์โทรศัพท์ของพี่อาร์ท-เอกรัฐ ตะเคียนนุช ไว้ในโทรศัพท์แล้ว

เราเจอกันเป็นครั้งแรกในรายการ 4 บอเกย์ หลังจากการตัดสินใจ “ลาออก” จากที่ทำงานเก่าเพื่อหยุดพักจากงานข่าวและทบทวนตัวเองอีกนิดหน่อย การพูดคุยกันในครั้งนั้นเป็นการเปิดหัวม้วนให้เราได้รู้ถึงความทุกข์ยากของคนข่าวในการทำงานที่บีบคั้นด้วยเรตติ้ง แต่ยังยึดหลักการนำเสนอที่มีหลักการและจรรยาบรรณวิชาชีพ

แต่แววตาของพี่อาร์ทยังคงเปล่งประกายเสมอเมื่อพูดถึงการลงพื้นที่ทำข่าว “ด้วยตัวเอง”

หลังจากนั้นเราและพี่อาร์ทพบกันอีกบ่อยครั้ง จนเราพบว่าเขาย้ายไปอยู่ที่ PPTV HD ช่อง 36 ในฐานะสมาชิกใหม่ของกองบรรณาธิการข่าว ทุกครั้งที่เราเจอกัน ยูนิฟอร์มมาตรฐานของพี่อาร์ทคือเสื้อยืดสีดำสกรีนโลโก้สถานี พร้อมแท็กไลน์เรื่องข่าว เรื่องใหญ่ ที่อยู่บนหน้าอก

เรื่องข่าวของพี่อาร์ทคงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ เพราะนอกจากการลงพื้นที่ทำข่าวแทบจะทุกวันเพื่อนำมาเสิร์ฟในรายการใหม่ที่เป็นตัวเองที่สุดอย่างเข้มข่าวใหญ่แล้ว พื้นที่เล็กๆ อย่าง SEEU ซึ่งพี่อาร์ททำร่วมกับเพื่อนๆ อีก 2 คนก็ค่อยๆ เติบโตเรื่อยๆ ด้วยฐานผู้ติดตามกว่า 50,000 คน

สำหรับเราและพี่อาร์ท-ไม่ต้องพูดถึงการนัดหมายเพื่อหาเวลากินข้าว เพราะกว่าจะได้วันนัดสัมภาษณ์ที่ร้านกาแฟข้างๆ สถานีก็ใช้เวลานานพอดู แต่การสนทนาครั้งนี้แทบจะไม่ใช่การสัมภาษณ์เพื่อนำไปทำต่อเป็นบทความในสื่อออนไลน์เลย มันเหมือนเป็นการแชร์เรื่องราวระหว่างพี่-น้อง ในวงการสื่อถึงประสบการณ์ที่พบพาน ความสุขในการทำงานข่าวเป็นที่ตั้ง

และบทเรียนที่โคตรจะสำคัญของการข่าวบนพื้นฐานจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อ 

ที่สำคัญจริงๆ กับคนสื่อในยุคนี้

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

ตั้งแต่เรียนจบคุณก็ทำงานสายข่าวเป็นงานแรกในชีวิตเลย 

จริงๆ ที่แรกเลยของพี่คือที่รัฐสภานะ สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา เป็นนักข่าวสายการเมืองนะ แต่ว่าตอนนั้นพี่สอบราชการไป เป็นข้าราชการด้วย เป็นนักข่าวด้วย มีสองขา ก็คืออยู่สายการเมืองมาตลอดประมาณสักห้าปีได้ แต่ด้วยว่าตอนนั้นความที่เราเบื่อระบบราชการ พี่รู้สึกว่ามันมีเจ้าขุนมูลนาย มันมียศมันมีอย่าง มันเสียเวลา ต้องมานั่งทำเอกสารราชการ พี่รู้สึกว่านั่นมันไม่ใช่ชีวิตละ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเราตั้งใจสอบเข้าไปก็เพื่อพ่อแม่ อะไรหลายๆ อย่างเพื่อครอบครัว แต่พออยู่ไปสักสี่ห้าปี เราเลือกแล้วว่าขาไหนที่เราชอบกว่า เราสามารถตื่นตีสี่ออกมาทำข่าวได้ เราสามารถตื่นตีสี่ออกมาจัดรายการวิทยุได้ แต่ตอนบ่ายเราต้องมานั่งทำเอกสารราชการ มันเกิดความรู้สึกแบบนี้มาเรื่อยๆ เคยถึงขนาดที่ว่าทำเอกสารราชการอะ ทำมาหมดละ หัวหน้ากลุ่มงาน ผอ. รองเลขาธิการ ไปจนถึงเลขาธิการ หน้าห้องตีกลับมา กูเขียนตัวเลขแม่งไม่ตรง ครุฑเล็กไป พี่จำได้แบบ เฮ้ย มันไม่ใช่แล้วว่ะ ก็เลยรู้สึกว่า ค่อยๆ ตัดสินใจว่าคงจะต้องหาทางใดไม่ก็ทางหนึ่ง

แล้วเราชอบอะไรล่ะ เราชอบนักข่าวว่ะ เราเป็นมาสี่ห้าปีแล้วอะ แล้วบังเอิญเข้าไปร่วมงานโครงการๆ นึง เกี่ยวกับด้านสื่อของที่ทำงานที่สองของคุณสุทธิชัย (หยุ่น) นะครับ ก็มีโอกาสไปเรียนไปเจอเพื่อนๆ จริงๆ เรามีเพื่อนเป็นนักข่าวอยู่แล้ว แต่ก็อยากหาคอนเนคชั่นเพิ่มเติม ก็เลยไปโครงการสานฝันผู้ประกาศนั่นแหละ เรียนเสร็จสักพักก็มีโอกาสคุยกับพี่หน่อย (อรัญญา ชัยคาม) เป็นหัวหน้าทีมข่าวอยู่ที่ที่นู่นด้วย แล้วก็มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่อดิศักดิ์ (ลิมปรุ่งพัฒนกิจ) ตอนนั้นเป็น CEO ของเนชั่นทีวี รวมถึงพี่วีรศักดิ์ (พงศ์อักษร) ตอนนั้นแกก็เป็นบก. ของเนชั่นทีวีด้วย สุดท้ายก็มีโอกาสได้มาร่วมทำงานกับที่ทำงานของคุณสุทธิชัยเนี่ยแหละ ซึ่งด้วยความที่ว่าในยุคนั้นเนี่ย พี่เชื่อว่าคนไทยทุกคนทราบดีว่ามันเป็นสถาบันจริงๆ มันเป็นความอิสระ มีทั้งพี่ๆ ศิษย์เก่าพวกเราเช่น พี่สรยุทธ (สุทัศนะจินดา) พี่จอมขวัญ (หลาวเพ็ชร) ใช่ไหม พี่เอม (นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์) พี่บรรจง (ชีวมงคลกานต์) ทุกคนอยู่ในวงการสร้างคนมาทั้งหมดเลย เป็นอิสระในการทำงาน แล้วมันก็เป็นอิสระจริงๆ คนทุกสี ทุกคนอยู่ในที่ทำงานเดียวกันและมีอิสระทางความคิดหมดเลย อันนี้คือเป็นสิ่งที่เราก็รู้อยู่แล้ว เราก็อยากเข้า เอาเลย ลาออกจากราชการเลย แต่ด่านสุดท้ายของพี่ก็คือแม่

แล้วตอนนั้นคุณดีลกับคุณพ่อคุณแม่ยังไงบ้าง

คือพี่ต้องชัดเจนกับตัวเองก่อน พี่ใช้เวลาตัดสินใจเลยว่า กูเอาแน่ใช่ไหม เพราะว่าการสอบข้าราชการเข้าไปมันก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่พอสมควรนะ แล้วจะออกจากข้าราชการเนี่ย มันก็ต้องทิ้งสวัสดิการเอยอะไรเอย บำเหน็จบำนาญ พี่ก็เฝ้าถาม คุยกับตัวเองก่อนให้ตกผลึกก่อนเลยว่า เอาแน่ใช่ไหม รักแน่ใช่ไหม คือพูดง่ายๆ ว่า การตัดสินใจครั้งนั้นถือเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงในชีวิตที่พี่มักจะเอาไปสอนนักเรียนเลยนะ คือถ้าคุณมั่นใจในสิ่งที่คุณรักคุณชอบจริงๆ อะ มันจะไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งคุณได้เลย แต่คุณประเมินนิดนึงว่างานที่คุณจะไปทำอะมันสร้างงานสร้างรายได้ได้จริงๆ มันเอาตัวรอดได้จริงๆ คุณต้องหาเหตุผลมาประกอบก่อนนะ ไม่ใช่คุณเอาแต่อารมณ์ พี่ตัดสินใจหมดแล้ว และประเมินทิศทางหมดแล้ว ถามว่าเสี่ยงไหม เสี่ยงว่ะ เพราะแม่งเริ่มต้นประมูลทีวีดิจิตอลซึ่งมันเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนมันจะดิ่งลง คือตอนพี่ลาออกมันกำลังถึงช่วงพีคและมันจะเริ่มๆ ดิ่งลงพอดี ของพี่อยู่ตรงยอดก่อนพึ่งตก ตอนนั้นเราคาดคะเนไม่เห็นหรอก เราไม่รู้หรอก เพียงแต่ว่าตอนนั้นตกผลึกเองได้แล้วว่ายังไงต้องไป ทนไม่ไหวจนถึงอายุหกสิบเพื่อรอเอาบำนาญบำเหน็จไม่ได้แน่ๆ เราไม่มีความสุขกับระบบราชการไทยเลย คือแบบไม่มีทางอยู่ได้จนถึงหกสิบแบบ อีกสามสิบกว่าปีข้างหน้า พอชัดเจนเสร็จปุ๊บ เรียนสานฝันเรียบร้อยแล้ว

พี่เอาก้อนวางแผนชีวิตทั้งหมดไปนั่งคุยกับแม่เสมือนโปรเจคเลยนะ นี่คือโปรเจคในชีวิตของพี่ ดึงมา 3-4-5 เป็นแบบนี้ๆ ทางรอดคืออะไร ทางไม่รอดคืออะไร พี่มีเวลาสี่ปีในการที่อาจจะกลับเข้าไปรับราชการได้ มีข้อกำหนดอยู่หนึ่ง ถ้าเกิดไม่รอด (หัวเราะ) แต่พี่ไม่มีทาง แล้วนึกในใจว่ากูไปแล้วกูไปเลย แม่พี่อะเป็นครู พ่อพี่เป็นครู พี่สาวเป็นอัยการ ราชการทั้งบ้าน แต่กลายเป็นว่าแม่เห็นด้วยเว้ย พี่ถามว่าทำไมเขาถึงเห็นด้วย ถามว่าเขากังวลไหม เขากังวลมาก แต่ว่าเขาสังเกตเห็นแววตาพี่ตอนช่วงสองปีสุดท้าย มันทุกข์ทรมาน มันมีความสุขครึ่งวันเช้า ไร้ซึ่งความสุขช่วงครึ่งวันบ่าย ทนเห็นลูกต้องไปทำเอกสารราชการ ต้องไปหาผู้ใหญ่คนนั้น ไม่ได้ เขารับรู้ สุดท้ายเลยสำเร็จ เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดครั้งนึงในชีวิตเลย 

เมื่อคุณย้ายเข้ามาที่เนชั่น พนักงานใหม่จะได้หนังสือไบเบิ้ลที่ชื่อ Nation Way หนังสือเล่มนั้นบอกอะไรบ้าง

เราเป็นแฟนคุณสุทธิชัยมาตั้งแต่ตอนสงครามอ่าวเปอร์เซียละ พี่ตัวเล็กๆ ตอนนั้นแกยังมีหนวดอยู่เลย พี่รู้อยู่แล้วว่าที่นี่เป็นยังไง เราเป็นแฟนในยุคยุคนึง พอได้อ่านหนังสือเล่มนั้นอะ คือ เออ มันน่าภาคภูมิใจว่ะ ลองคิดดูว่าพี่อยู่ในระบบราชการมา มันมีแต่กรอบเต็มไปหมด เพียงแต่ว่าเมื่อถึงวันนึงอะ คัมภีร์เล่มนี้มันเป็นคัมภีร์ที่พี่รู้เลยว่ามันกลั่นออกมาจากผู้สร้าง กลั่นออกมาจากคุณสุทธิชัย มันกลั่นออกมาจากทีมพี่อดิศักดิ์เอยอะไรเอย แล้วมันอ่านเสร็จปุ๊บ มันให้ความรู้สึกเหมือนมองท้องฟ้าไกลๆ ใหญ่ๆ มันรู้สึกถึงความเป็นอิสระ ท้องฟ้าใสๆ อยากจะบินไปไหนก็บิน อยากจะเล่นอะไรก็เล่น อยากจะขับรถไปไหนก็ไป มันรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ ว่า โห มันไม่มีกรอบ บัตรก็ไม่มีอะไรก็ไม่มี มันเหมาะสมกับคนที่รักในวิชาชีพจริงๆ และคนที่มีความรับผิดชอบจริงๆ อะ เอออันนี้มันเหมาะมาก แล้วพอทำงาน มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ ในช่วงที่มันสมบูรณ์แบบนะ

ท่ามกลางบรรยากาศที่คุณบอกว่ามันหลากหลาย มีคนทุกสี ทุกเพศ ทุกวัย การทำงานในพื้นที่แบบนั้นมันเป็นยังไงบ้าง

ถ้าเราจินตนาการมันน่าจะมีปัญหา แต่เชื่อไหม พี่กล้าพูดแบบเต็มปากเต็มคำเลยว่ามันไม่มีปัญหาจริงๆ คือทุกคนมีสปิริต คนมันมี DNA ตรงกัน จะยังไงก็ตามทีแต่ว่าคุณยึดข้อเท็จจริงอะ มีแท่งตรงกลางมาผนวกด้วยกัน ปักๆๆๆ ทุกคนแม่งยึดคัมภีร์เล่มนั้นตรงกันว่า เฮ้ย มันไม่ได้มีอะไรมากเหนือไปกว่าข้อเท็จจริง เมื่อถึงเวลาทำงานปุ๊บ คนแม่งวางความรักความชอบไว้ ร้อยละ 80 เป็นอย่างงี้ เพื่อนทุกกลุ่มสี อย่างพี่อะ โห ประชาธิปไตยจ๋าเลย เจอพี่ๆ บางคนอาจจะเป็นอนุรักษ์นิยมก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ทุกคนแม่งก็เห็นปัญหาตรงกัน ถึงบอกว่าตอนนี้น่าเสียดาย พี่รู้สึกว่าพี่โชคดีอยู่นิดนึงตรงที่ว่า ชีวิตนี้ในวิชาชีพนี้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่สั้นนะ 4-5  ปี ตัดปีสุดท้ายออกละกัน ไม่มีความน่าประทับใจเลย (หัวเราะ) 4 ปีเนี่ยเป็นสี่ปีในชีวิตที่จะจดจำไว้จนวันตายพี่กล้าพูดแบบนั้น จริงๆ นะ เราก็ไม่คิดเหมือนกันว่าองค์กรในประเทศไทยมันจะมีอย่างนี้ คือมันคงมีแหละ แต่พี่ไม่ได้ไปอยู่ที่อื่นไง แต่เรารู้สึกว่าเราดีใจที่เป็นอย่างนี้

บรรยากาศการทำข่าวในช่วงที่ดิจิตอลทีวีกำลังเข้มข้นเป็นอย่างไรบ้าง

พี่รู้สึกว่าเป็นช่วงที่กำลังเมามันส์ เหมือนมันเพิ่งผ่านพ้นประมูลมาก็ปีนิดๆ เนอะ ตอนนั้นมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากหน่วยงานรัฐของพี่มาอยู่ที่นี่ ตอนนั้นพวก Facebook Live มันเพิ่งจะเริ่มต้นเข้ามา พี่รู้สึกว่าตอนนั้นมันมี Periscope (แอปพลิเคชั่นไลฟ์ของทวิตเตอร์-ปัจจุบันไม่มีให้ใช้งานแล้ว) พี่จำได้ว่าพี่ไปทำข่าวที่ทำเนียบ คุณสุทธิชัยสั่งให้ทำไลฟ์ Periscope ให้ใช้อันนี้ออนแอร์เข้าไปในทีวี พี่จำได้เลยว่าการแข่งขันมันสูงมาก ตอนนั้นเครื่องส่งต่างๆ ยังต้องใช้ 3G, 4G อยู่ แต่จุดเปลี่ยนในความคิดของพี่คือ ถ้ากูไม่ปรับแม่งตายห่าแน่เลยว่ะ คือไอ้เจ้า Periscope อะ พี่จำได้เลยว่าพี่นั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารทำเนียบรัฐบาลอะ คุณสุทธิชัยสั่งลงมาในไลน์ผู้บริหารว่า ช่วยเอา Periscope ออนแอร์ทีวีด้วย ตอนนั้นพี่ก็รู้สึกว่า เชี่ย กูก็โง่เทคโนโลยีมาก แต่ว่าดูจากทรงแล้วการแข่งขันแม่งคงกระฉูดแตกแน่เลยอะ เพราะว่าอยู่ดีๆ และพี่รู้สึกว่าน่าจะต้องเดือดชิบหายแน่เลย พี่เลยนึกในใจว่าตอนนั้นนอกเหนือจากทีวี เราต้องเล่นโซเซียลมีเดีย อันนั้นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งนึง ซึ่งพอผ่านพ้นไปถึงปี 59-60 โอโห กระจุยกระจายเลย การแข่งขันมันสูงมาก มันกำลังจะนำมาซึ่งโซเซียลมีเดีย ซึ่งเนชั่นให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยและโซเซียลมีเดียมาก เป็นตัวแปร เป็นเกณฑ์การวัดผลอย่างหนึ่งเลย มันจะมีตั้งแต่ยุคนู้นที่คุณสุทธิชัยบังคับให้ทุกคนสมัครทวิตเตอร์ บังคับให้ทุกคนใช้เฟสบุ๊คไลฟ์ ใช้ Periscope หรือ Clubhouse มาใหม่ๆ ก็มาก่อนอะไรแบบนี้ 

คุณบอกเองว่าคุณเป็นคนไม่ค่อยทันเทคโนโลยีเท่าไหร่ คุณปรับตัวเยอะมั้ย

โอเค มันอยู่ในกลไก เพียงแต่ว่าในตอนแรกพี่เป็นคนที่ใช้คำว่าโง่เทคโนโลยีได้เลยอะ เราปรับตัวไม่ค่อยทัน แต่ว่าตอนนั้นพอมันเป็นเกณฑ์วัดในตัวของพนักงานอะ มันก็เลยต้องถูกบีบไปในตัว พี่ก็ต้องเริ่มต้นสมัครโซเชียลเลย แรกๆ ก็รู้สึกว่ามันหนักมากเวลาทำข่าว คือการที่ทำข่าวทีวีด้วยแล้วต้องเล่นทวิตเตอร์ คือมันหนักมากเว่ย เชี่ย ไม่ไหว กูทำไงดีวะ แต่ว่ามันมีจุดเปลี่ยนที่พี่รู้สึกว่ามันสำคัญ ถ้าพี่จำไม่ผิดมันจะเป็นช่วงวันเด็กของปีๆ นึงนะ มันมีเรื่องของไดโนเสาร์ซ้ำหรืออะไรสักอย่าง พี่ทวิตเรื่องนี้ไป แล้วปรากฎว่ามันมีการแชร์ไปพอสมควร แล้วมีการถูกพูดถึง เออ มันแฮปปี้ว่ะ พลังของโซเซียลมีเดียแม่งเป็นอย่างนี้เองหรอวะ ทั้งที่กูไม่เคยสนใจเลย ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราค่อยๆ ปรับตัวมาเรื่อยๆ นอกจากเหนือพลังโซเซียลมีเดีย ความสนุกของเรามันอยู่ที่พลังคอนเทนต์เว้ย โซเซียลมีเดียมันทำให้คอนเทนต์เราอะไม่สูญหาย ถ้าเราทำอย่างดีนะ มันจะเป็นสิ่งที่ตูมตามๆ มาก แล้วก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เล็กๆ น้อยๆ จนถึงเรื่องใหญ่ได้หมดเลย

เรารู้สึกว่าคุณเป็นนักข่าวที่ไม่แคร์ลุคตัวเองเลย ช่วยบอกหน่อยได้มั้ยว่าความสนุกของการลงพื้นที่ทำข่าวคืออะไร

อันนี้จริง พี่ไม่เคยสนเรื่องลุคเรื่องอะไรเลย พี่รู้สึกว่าชีวิตนี้ต่อให้พี่มานั่งอ่านข่าว แต่สิ่งที่มันสนุกมากที่สุด สิ่งที่มันทำให้เราใจฟูมากที่สุดคือการออกมาทำข่าว คือการลงพื้นที่ พี่รู้สึกว่า การทำข่าวตอนนั้น เนื่องด้วยว่าที่เนชั่นตอนนั้นคุณสุทธิชัยใช้วิธีแบบจับทุกคนโยนลงน้ำอะ ใครมาใหม่คือมึงไปเลย เหมือนจับว่ายน้ำอะ เป็นไม่เป็นไม่รู้แล้วแต่มึงอะ แต่ขากลับมึงต้องเอาข่าวมาให้ได้ เด็กฝึกงานมา ส่งไปทำเนียบฯ มึงจะเอาตัวรอดยังไงก็แล้วแต่ แต่ขากลับสี่ห้าโมงเย็นมึงต้องเอาข่าวมาให้ได้ สำหรับหนังสือพิมพ์นะ ของพี่ก็ต้องเอาข่าวทีวีกลับมาให้ได้ แต่เนื่องด้วยว่าพี่มีประสบการณ์การทำข่าวอยู่แล้วพี่ก็เลยไม่เป็นไร พี่อยู่สภามาตลอด พี่รู้สึกว่าจุดนึงที่มันทำให้เราแบบสนุกเพราะความไม่พร้อม แต่นั่นเป็นสิ่งที่พี่ภาคภูมิใจ กูพร้อมเนี่ยคือเสื้อกู ตัว N ณ วันนั้น เป็นโลโก้เก่านะ หรือโลโก้ที่หน้าผากเรา เชี่ย แหล่งข่าวแม่งจงใจว่ะ 

มันเหมือนเป็นบัตรวิเศษหรืออะไรรึเปล่า

พี่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็น Privilege ไม่ได้เป็นแบบ โห กูไปเบ่ง ไม่ใช่ แต่พี่รู้สึกว่าแบบเขาเกรงใจในแบรนด์ดิ้ง แต่แบรนด์ดิ้งมันต้องนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือด้วย ณ วันนั้น มันเป็นแบบนั้นจริงๆ พี่สามารถไปทำข่าวอะไรก็ได้ พี่ทำรายการคมชัดลึก พี่แม่งใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวทั้งรายการ 45 นาที ตอนนั้นต่อจากพี่จอมขวัญ ซึ่งเฮ้ย แม่งภาคภูมิใจมาก คือเนชั่นมันเป็นนี้ สมมุติพี่ไปทำรายการ ทำข่าวๆ กูไม่ได้ไปทำข่าวอย่างเดียวนะ กูต้องทำได้ทุกอย่าง ซึ่งมันฝึกให้เราทำได้ Multi Skills จริงๆ ครับ 

แล้วพี่อดิศักดิ์เคยเป่ากะโหลกพี่เลยว่า ความไม่พร้อมของคุณอะมันจะทำให้คุณดีดดิ้น มันจะทำให้คุณรู้สึกว่า มึงต้องเอาชนะให้มาก ทำให้มึงต้องสู้ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ว่าต้องเป็นคนที่รักจริงๆ ที่ชอบจริงๆ นะ พี่รู้สึกว่ามันเป็นความใจสู้มากกว่า มีความใจสู้ มีความรักในศักดิ์ศรีของวิชาชีพ ต้องการความน่าเชื่อถือ เกิดการยอมรับ ในประเด็นของเรา ลู่วิ่งของเราอะไรแบบนี้ ส่วนใหญ่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ซึ่งก็ต่อยอดมาถึงทุกวันนี้ ทุกวันนี้พี่ก็ไม่ได้สนใจ มึงจะเอากล้องให้กูรึเปล่าไม่รู้ แต่กูขอมีโทรศัพท์เครื่องเดียว กูได้คลิปๆ นึง กูได้ประเด็นข่าวละอันนึง แต่ก็คือที่สุดแล้ว เอามาให้ที่ทำงานได้ 

เป้าหมายสูงสุดในการทำงานข่าวของคนบางคนคือ การออกเบื้องหน้า แล้วกับคุณเป็นอย่างนั้นมั้ย

ตอนเข้ามาแรกๆ พี่ไม่คิดอะไรเลย คือกูทำสิ่งที่กูทำอยู่ทุกวันเลย อยู่สภา ประจำทำเนียบ ไม่อยากเข้าออฟฟิศ คือเนชั่นแม่งต้องเข้าออฟฟิศ (หัวเราะ)  อยากประจำอยู่สภา อยู่ทำเนียบไปเลย เพราะเข้าออฟฟิศแล้วเขิน เราถนัดข้างนอก พี่เชื่อว่านักข่าวหลายๆ คนอะเป็น ไม่ชอบการแต่งหน้า ไม่ชอบการทำผม ไม่ชอบอะไรเลย มันรู้สึกเคอะเขินเสียเวลา 

แล้วพี่คิดว่าพี่ไม่คิดว่าจะมีวันนั้น ก็เลยไม่ได้คิดอะไรเลย คืออยู่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกูอยากแก่แบบเจ้านายกูอะ อยากเป็นแบบคุณสุทธิชัย อยากเป็นแบบพี่อดิศักดิ์ ยังไม่ทันได้คิดว่าจะมีเป้าหมายอะไรมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงซะก่อน เพราะว่ามันแฮปปี้ไง มันสนุกจนไม่ได้คิดอะไรเลย จนพี่อดิศักดิ์เรียกไปคุย ก็บอก “ผมจะให้คุณทำคมชัดลึกแทนโมไนย (เย็นบุตร) แทนจอมขวัญ เตรียมตัวนะ” คือแบบ เชี่ยไรวะ เพราะว่ารายการคมชัดลึกตอนนั้นมันเป็นตำนานของช่อง มันเป็นรายการที่แบบ มีคุณภาพมากๆ ภาพจำของตอนนู้นก่อนที่มันจะมีการเปลี่ยนแปลง พี่จะต้องย้ำเรื่องนี้เสมอเวลาคนพูดเรื่องเนชั่น โห คนแรกคือพี่สรยุทธ แล้วมาพี่จอมขวัญ แล้วก็มาเป็นโมไนย แล้วมาเป็นพี่ พี่รู้สึกว่า เชี่ย กูแบบ ไม่อยาก พี่ปฏิเสธทันควันเลย บอก “พี่ทำไม่ได้” จริง ผมไม่ถนัดเลยอะไรงี้ พี่อดิศักดิ์ด่าพี่ยับเลยวันนั้นอะ (หัวเราะ) บอก “คุณจะบ้าหรอ ผมเลือกคุณ ไม่ได้เลือกให้คุณมาปฏิเสธ” แกพูดประโยคนึงว่า “ผมรู้จักคุณมาก็ตั้งนานแล้ว แล้วคุณไม่ใช่ไม่เคยทำข่าว คุณทำข่าวมานานมากแล้ว คุณไม่คิดจะเติบโตบ้างเลยหรอ แล้วคุณอยู่ทีวีสภามา คุณอยู่ในสภามา ข้อมูลคุณแน่น คุณไม่อยากจะใช้เวทีแบบนี้ได้บอก ได้เล่าในสิ่งที่คุณทำข่าวจากประสบการณ์คุณหรอวะ” พปากก็ต้องโอเคครับ แต่ในใจคืนนั้นคือนอนไม่หลับเลย เอาไงดีวะ ก็เลยสุดท้ายคือ เออ มันก็ต้องไปอะ แต่มันก็เครียด กดดันมาก กลัวมาก

ตอนนั้นคุณกลัวอะไร 

ลึกๆ พี่เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เป็นคนเก้อๆ เขินๆ พี่กลัวกล้อง ชินกับการไปภาคสนาม  ไม่กลัวไฟไหม้ ไม่กลัวนักการเมือง ไม่กลัวแผ่นดินไหว แต่พี่กลัวกล้อง แต่พี่กลัวบรรยากาศที่มันเพอร์เฟคต์อะ กล้องต้องยังไง พูดยังไง แต่ว่าก่อนหน้านั้นพี่ก็อ่านข่าวกลางคืน ตอนตี 1 ไม่ได้กดดันมาก แต่เวทีนี้มันใหญ่มาก ก็กลัวไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า 

แล้วคุณปรับตัวยังไงบ้าง

พี่อดิศักดิ์บอกว่าให้เป็นตัวของตัวเองไปเลย อยู่ข้างนอกพี่เป็นคนแบบนี้ ไปเตะบอลก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เขาบอกว่า “ผมให้เวลาคุณ 2 เดือน ไม่ได้ให้ไปเปลี่ยน ให้ไปปรับจูนความรู้สึกตัวเอง” พี่ก็ไปปรับจูนตัวเองว่า “ช่างแม่งเว่ย เอาวะ ช่างแม่งก็ได้วะ กูเป็นไงก็เป็นงั้นเลย” (หัวเราะ) ซึ่งบังเอิญคาแรคเตอร์ตอนนั้นมันต่างจากโมไนยไปเลย คือไม่ปรับอะไรเลย พี่ไม่รู้ศาสตร์อะไรแบบนี้เลย ทุกวันนี้พี่ยังนั่งเอียงอยู่เลย นั่งตรงแล้วพูดไม่ออก คิดว่าถ้าคนดูจะด่าก็ไม่เป็นไรเพราะเราเป็นอย่างนี้จริงๆ เอาคอนเทนต์เป็นหลักแล้วกัน 

อะไรยากที่สุดในการทำรายการ Hard Talk

การรู้จักตัวตนแหล่งข่าว คนอยู่สายการเมืองโชคดี เพราะนักการเมืองจะมีลูกล่อลูกชนค่อนข้างเยอะ ตอนทำข่าวที่สภามันเจอทุกรูปแบบอยู่แล้ว แต่พี่คือการรู้จักตัวตนแหล่งข่าว บางคนพูดเยอะ บางคนพูดน้อย มันมีแนว มีเล่ห์เหลี่ยมของเขา บางทีตั้งใจตอบน้อย พี่รู้สึกว่าการเท่าทันแหล่งข่าวเป็นสิ่งที่ยากที่สุด แล้วแหล่งข่าวจะข่มเราไม่ข่มเรา คือแหลางข่าวข่มเป็นเรื่องปกติเลย แต่พี่จับได้ว่าสิ่งที่เขาข่มไม่ได้คือคอนเทนต์ของเรา สักพักหนึ่งเขาจะนิ่งๆ เอง 

รับมือกับแหล่งข่าวที่กวนประสาทอย่างไร

เราต้องยึดประเด็นเป็นหลัก เหมือนเป็นหัวใจของวิชาชีพเลย ถ้าเราตอบโต้ด้วยประเด็นมันจะควบคุมอารมณ์เราได้ คุมอารมณ์แหล่งข่าวได้ด้วย ถ้ายึดคอนเทนต์มันจะไม่ตื่นตระหนก คือมันต้องผ่านช่วงเวลาที่เราเริ่มรู้จักคนนี้มาแล้ว เริ่มเกรงใจกัน พี่ว่านี่เป็นจุดที่ยากสุดเลย ซึ่งพี่ยังรู้สึกว่าทักษะทั้งหมด รายงานสด อ่านข่าว สกู๊ป Hard Talk พี่รู้สึกว่า Hard Talkยากที่สุดในทักษะวิชาชีพข่าว ซึ่งถ้ามีทักษะในการทำข่าวก็จะช่วยตรงนี้ได้มาก 

มีความกดดันแค่ไหนกับการยึดเรตติ้งเป็นเกณฑ์วัดความนิยมของการทำข่าว

พี่เข้าใจว่ะ พี่เข้าใจในธุรกิจ เราปฏิเสธไม่ได้หรอก ตราบใดที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของสื่อ ตราบใดที่พี่ไม่ได้มีบริษัทของตัวเอง พี่มีทั้งความเข้าใจในเชิงธุรกิจ แต่ว่าต้องการระดับไหนที่มันจะไม่ทำร้าย หรือว่าทำให้สิ่งที่เราต้องการอยากทำจริงๆ มันอันตรธานหายไป ดังนั้นพี่ถึงบอกว่าพี่เข้าใจในวิธีแบบนั้น เรตติ้งอะ ยังไงมันต้องแข่งขันว่ะ ทุกคนมันก็ต้องเอาหมดแหละ และพี่รู้สึกว่าหลายคนบอกพี่ว่าตอนที่พี่อยู่ที่ทำงานเก่าอะ พี่เหมือนเป็นบริษัทนอก เพราะว่าแนวทางการทำงานมันไม่ตรงกัน เพราะลักษณะการนำเสนอหรือการทำข่าวมันไม่ตรงเลย พี่ก็รู้สึกว่าถ้าแบบนี้เนี่ย เราอยู่ได้ เพียงแต่ว่าเราไม่แฮปปี้เท่านั้นเอง 

ถ้าพูดตรงๆ คือพี่เคยทำมันจนชนะข่าวสามมิติไปเป็นวีคๆ รายการกูมีแค่สี่วัน วันๆ กูออกไปตั้งแต่เช้าเจ็ดโมง กลับมาเข้ารายการเสร็จเที่ยงคืน คือเราทุ่มเททุกกำลังที่เรามี เพียงแต่ว่าตัวเลขมันรอด พี่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องตัวเลข วันนึงพี่ได้เรทติ้งหนึ่งกว่า 1.7, 1.6 (เฉลี่ยนคนดูผ่านจอโทรทัศน์ประมาณ 500,000 คน-บรรณาธิการ) แล้วเป็นคอนเทนต์ที่พี่มั่นใจว่ามีคุณภาพด้วย แต่กูไม่สนุกอะ แต่พี่รู้สึกว่ามันไม่มีคุณค่า พี่รู้สึกว่าสิ่งที่พี่ทำอะ มันเหมือนเกิดการจุดพลุขึ้นมา แล้วมันก็มอดดับลงไป พี่รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่ามาก มันควรถูกเอาไปขยายผล มันจะเป็นคอนเทนต์ของแบรนด์ๆ นึงเลย พี่ยกตัวอย่างเช่น ข่าวแบตเตอรี่เครื่องสูบน้ำอะ พี่ภูมิใจมากนะเว้ย ทำครั้งเดียว ทำคนเดียว ถูกเอามาตีผ่านเวทีปราศรัยใหญ่ดีเบตของผู้สมัครผู้ว่ากทม. แบบนี้มึงถึงเรียกว่ามีผลกระทบจริงๆ พี่ว่ามันเป็นสิ่งที่คุณต้องภาคภูมิใจเว่ย แต่แม่งจบลงแค่วันนั้น แล้วพี่ต้องทนเห็นสื่ออื่น เดลินิวส์ มติชน ข่าวสด พี่ๆ เวิร์กพอยท์ไปขึ้นเครดิตอาร์ท เอกรัฐ ยกเว้นที่ทำงานกู เหี้ยไรเนี่ย 

ในวันที่เรตติ้งของคุณชนะช่องอื่นๆ เรื่องนี้บอกอะไร และส่งผลกับสนิมที่เกาะกินจิตใจคุณแค่ไหน

โอเค มันมีปัจจัยหลายอย่าง แต่มวยรองตัวเล็กๆ แบบเราอะ มันสะท้อนว่าถ้าคอนเทนต์คุณดีจริง แล้วคือคุณทำข่าวจริงๆ คุณไม่ได้มานั่งอ่านข่าว คือคุณเป็นนักข่าวแล้วคุณลงพื้นที่ไปทำข่าวจริงๆ แล้ววันนึงอะแม่งส่งผล พี่ยังยืนยันเหมือนเดิม ทุกสิ่งอย่างแม่งต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มันไม่มีอะไรจริงไปมากกว่านักข่าวกับการลงพื้นที่ทำข่าว ต่อให้คุณทำเรื่องยากๆ พี่ยังเชื่อว่าคนดูอะ เขารอที่จะให้คุณค่าคุณอยู่ เพราะสุดท้ายทุกวันนี้ทุกคนแม่งถามมาหลังไมค์ว่าทำไมไม่ทำ ชอบสไตล์คุณอาร์ท อยากให้คุณอาร์ททำนั่นทำนี่ให้มากเลย

มันสะท้อนจริงๆ มันสะท้อนคุณภาพ ตัวเลขมาพร้อมคุณภาพได้ ไม่ต้องไปล่าท้าผี คุณไม่ต้องไปให้ค่าผู้ต้องหาคนนึงใส่ชุดแมนยูทั้งๆ ที่เป็นผู้ต้องหาในคดีน้องชมพู่ คุณไม่ต้องทำเว้ย สิ่งที่มีคุณค่ามันมาพร้อมตัวเลขได้ ถ้าคุณให้เวลามันนะ ตอนนั้นพี่มั่นใจว่าไม่ใช่ข่าวรูทีนก๊องแก๊ง มานั่งอ่านครึ่งชั่วโมงแล้วจบ กลับบ้าน ไม่ใช่ มันผ่านกระบวนการมาตั้งแต่เจ็ดโมง แปดโมงเช้า เก้าโมงเช้า พี่นั่งกลับมาจากลพบุรีน้ำท่วม 6 สัปดาห์ กลับมาจากการทำข่าวน้ำท่วมติดกัน 6 สัปดาห์ แล้วกลับมาที่บ้านทุกวัน กลับไปกลับไปที่สตูทุกวัน กลับมาถึงสามทุ่มครึ่ง เข้ารายการสี่ทุ่มครึ่ง กลับมานั่งคัดเสียง กลับมานั่งฟังแหล่งข่าว กลับมานั่งทำโปรโมต กลับมานั่งทำกราฟิก แต่พี่ไม่เครียดไง เวลามันกระชั้นก็จริงแต่งแม่งมันส์ กูแม่งไม่ได้ออกไปดิ กูเครียด เนี่ย แล้วสุดท้ายมันส่งผลจริงๆ สุดท้ายมันส่งผลเว่ย เรากล้าตรวจสอบภาครัฐ เรากล้ากระทุ้ง ASM คนจำ สุดท้ายคอนเทนต์ต่างๆ กับตัวเลข มันมาได้ถ้าคุณเข้าใจมันจริงและคุณให้เวลากับมัน

การย้ายมาอยู่ที่ PPTV ทำให้ตัวตนของคนข่าวกลับมามั้ย

ตอบได้เลยว่าวันนี้ครบเดือนแล้ว เชื่อไหมว่าความรู้สึกที่เหมือนตอนอยู่เนชั่นแรกๆ กลับมาเลยอะ พี่รู้สึกว่าอยากทำฟิต เดือนนึงผ่านมาพี่เลยทำข่าวทุกวัน พฤติกรรมนึงของพี่คือการนั่งกลับมานั่งถ่ายจอทีวีตอนข่าวออก เชี่ย มันกลับมาแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ พี่ไม่รู้ตัวเว่ย แฟนพี่ถ่ายรูปพี่แล้วส่งไปให้เพื่อนพี่ที่ทำเพจ SEEU ดู เขารู้จักตัวตนพี่ ก็บอกว่า “ตัวตนของอาร์ทที่มันบ้า มันกลับมาแล้ว” มันเป็นสิ่งที่เติมเต็มจิตใจเรา ความรู้สึกดีใจของนักข่าวที่เห็นข่าวตัวเองได้ออกทีวี แม้สั้นๆ แค่หนึ่งนาทีสองนาที

แล้วการกลับมาอ่านเข้มข่าวใหญ่บนหน้าจออีกครั้ง มีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างมั้ย

กลายเป็นเฉยๆ แฮะ เพราะรู้สึกว่าถ้าเกิดพี่เว้นไปเลยเดือนนึง หรือเดือนกว่าคงจะตื่นเต้นมากกว่านี้ แต่ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีกลับไปอ่านบ้างแล้วคือ อ่านข่าวค่ำ ซึ่งข่าวค่ำมันก็เป็นข่าวขยายเชิงลึกแบบที่เราชอบ เรารู้สึกว่าเราไม่ได้หยุดอะไรไป ก็เลยไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ก็คงคิดว่ากลับมาทิศทางเดิมนั่นแหละ ทำงานเหมือนเดิม สักอาทิตย์นึงก็น่าจะปรับตัวกลับมาชินได้ แต่ว่ารอบนี้ตั้งใจว่าคอนเทนต์ที่เราทำคงได้ขยายองคาพยพแน่นอน เหมือนวันที่ตอนนี้มาอยู่ใน PPTV ตอนนั้นภูมิใจในเรื่องแบตเตอรี่มาก นี่แหละตัวเรา นี่แหละฐานของเรา นี่แหละในสิ่งที่เราต้องเป็น 

ตัวตนในการทำงานสำคัญกับคุณยังไง

ตัวตนเรามันต้องแมตช์กับงานที่ทำ พี่หาตัวเองเจอไม่ช้านะ 20 ปลายๆ ทำมาเรื่อยๆ ทำบริษัทเอกชนมา ทำนู่นทำนี่จนกระทั่งบังเอิญเจอสิ่งที่เราถนัดกับมันจริงๆ แล้วแม่งสร้างรายได้

มันมีสามอย่างนะ เจอสิ่งที่ชอบก่อน แล้วบังเอิญได้ไปทำมัน พอทำมันเสร็จ งานชิ้นนี้มันต้องไม่ใช่งานอดิเรกนะ เป็นงานหลักและมันสร้างรายได้ เพราะงั้นสามข้อนี้มันสำคัญมาก เราจะอยู่กับมันได้จนเราบ้ามัน พี่หลอกเพื่อนๆ พี่ไปเที่ยวทะเลที่ระยองใช่ปะ เพื่อนก็คิดว่าไปเที่ยวเหรอ เปล่าหรอก พี่หลอกเขาไปทำข่าวน้ำมันรั่ว แต่เขาจับได้ (หัวเราะ) แต่เรารู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องที่มีความหมายว่ะ มุมมองการไปเที่ยวของเรามันเปลี่ยนไป หรือกระทั่งพี่ไปเที่ยวปิล๊อกคี่ (จังหวัดกาญจนบุรี) ที่มีเสือออกมากัดคน ตอนนั้นอะ สำนักงานเขตวิทยุเพื่อการศึกษา น้องที่เนชั่นเขาไปรับอาจารย์นี่นั่น ก็ชวนพี่ไป แล้วก็ไปบรรยาย เสร็จปั๊บได้รายงานพิเศษกลับมาว่ะ คือคนที่เขาลงเรียนกันอยู่ข้างบนอะ ไฟฟ้าแม่งยังไม่มีเลย ใช้แค่แผงโซล่าเซลล์ก้อนเดียว พี่แบบเฮ้ย มันไม่ได้แล้ว เป็นรายงานชิ้นนึงจนกระทั่งมีกลุ่มพิมรี่พายเข้าไปแล้ว เนี่ยซึ่งเป็นรายงานที่ดีออกทีวีตอนที่จะลาออกแล้ว ก็ลงโซเซียลมีเดียส่วนตัวนี่แหละ คนแม่งแชร์ๆๆ พี่รู้สึกว่าการที่เราได้ทำงานในสิ่งที่เรารัก หาสิ่งที่ชอบเจอ แล้วบังเอิญสร้างเงินสร้างรายได้ได้ด้วยมันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก 

คุณกำลังมองเห็นจรรยาบรรณวิชาชีพของคนเป็นสื่อในยุคนี้เป็นอย่างไรบ้าง

พี่มองว่าตัวการแข่งขัน ทุกสื่อมันเผชิญหน้ากับการแข่งขันสูงมาก โซเซี่ยลมีเดียก็เป็น Red Ocean เหมือนกัน คนเปิดเพจได้ทุกวัน คนเปิดสำนักข่าวได้ทุกวันถ้าคุณพร้อมใช่ปะ การแข่งขันมันสูงมากเว้ย เพราะงั้นบางครั้งตัวเงื่อนไขที่เราเคยต้องยึดมันอะ พี่เข้าใจ บางทีมันอาจจะต้องถูกละเลยไปบ้าง ตัวพี่ก็เป็นนะ ไม่ได้บอกว่าตัวเองดีพร้อมนะ หรือองค์กรอาจจะต้องหรี่ตาข้างนึงบ้าง ซึ่งมันคือการแข่งขันจริงๆ ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่า เราเห็นแล้วเราก็ไม่ได้ดีหรอก แต่เราก็มั่นใจว่าเราพยายามมันให้อยู่ในแกนกลางของมัน เพียงแต่พี่มองว่า พอมันสูญเสียไปเยอะๆ อาชีพเรามันจะถูกตีความน่าเชื่อถือต่ำลงไปเรื่อยๆ แล้วมันก็กระทบเรา เราก็ไม่กล้าที่จะไปส่งเสียงร้องแรกแหกกระเชอมากนัก เราต้องยอมรับเวลาที่มีความผิดพลาด แต่พี่รู้สึกว่า จุดนึงที่มันช่วยได้ นอกเหนือจากเรื่องจรรยาบรรณอะ พี่ว่าวิจารณญาณความเป็นบก. ในตัวของนักข่าวเพื่อเติบโตไปถึงจุดหนึ่ง มันไปหน้างานมันจะคิดได้ว่าอันนี้ไม่ได้จริงๆ ว่ะ  ถอนตัวเถอะ พี่รู้สึกว่าพี่อาจจะโตระดับนึงแล้วก็ได้นะครับ มันจะต้องมีความเป็นบก. ในตัว บางครั้งจะรายงานสดก็ต้องดูหน้างานในตัว สมควรพูด ไม่สมควรพูด สมควรเขียน ไม่สมควรเขียน อันนี้มันไม่ได้แน่ๆ วิธีการมันไม่ถูกต้อง พี่รู้สึกว่าวิจารณญาณส่วนตัวมีส่วนช่วยในการที่จะรักษาจรรยาบรรณในขั้นต่อไปได้

ถ้าให้สรุปชีวิตการทำข่าวเป็นบทเรียนได้หนึ่งข้อ การทำข่าวของเอกรัฐ ตะเคียนนุช สอนให้รู้ว่า

ข่าวสอนให้เราอยู่กับความจริง

พี่รู้สึกว่างานข่าวเนี่ย มันมีทั้งความไม่จริงแล้วก็ความจริงด้วย พอเราทำทุกอย่าง พยายามจะค้นหาความจริง ความจริงมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ พี่รู้สึกว่าหัวใจของมันคือตรงนี้ แล้วมันก็เอามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วย บางครั้งพี่ยังมานั่งคิดเลยว่า เราไปค้นหาความจริงของคนอื่น แต่เราก็ต้องซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราอยากมี อยากทำ อยากเป็นกับคนใกล้ชิดของเรา กับครอบครัวเรา พี่เคยนั่งคิดเลยนะ เราเคยโกหกอันนั้นว่ะ เราเคยโกหกอันนี้ว่ะ บางทีมันก็ละอายในเมื่อเราตรวจสอบความจริงคนอื่น แต่เราก็ต้องกลับมาอยู่กับความจริงตัวเองด้วย 

พี่รู้สึกว่า ความจริงมันทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นด้วย เราไม่ต้องไปนั่งปรุงแต่ง ไม่ต้องไปนั่งหาเหตุหาผลไปประกอบสร้างมัน เราไม่ต้องไปนั่งโกหกอะไรในเมื่อข่าวคือความจริง ชีวิตเราก็คือความจริง 

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า