ขณะที่ประเทศไทยกำลังถกเถียงกันในประเด็นเรื่องเครื่องแบบนักเรียน ว่าสมควรมีอยู่ต่อไปหรือยกเลิก สหรัฐอเมริกา ประเทศเสรีนิยมที่แม้จะมีวัฒนธรรมให้เด็กส่วนใหญ่ได้แต่งชุดไปรเวทไปโรงเรียนมานานมากแล้ว แต่ก็ยังมีการถกเถียงเช่นกัน และดูเหมือนว่าหลายโรงเรียนในสหรัฐฯ เริ่มเปลี่ยนนโยบายให้เด็กๆ หันมาใส่ชุดเครื่องแบบมากขึ้น
ชุดเครื่องแบบนักเรียนถูกใช้ตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วโลกมาเป็นเวลานานหลายสิบปี จากหลายเหตุผลด้วยกัน เช่น เรื่องความปลอดภัย ความสะดวก และเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในกลุ่มนักเรียน แต่ที่สหรัฐฯ จนถึงขณะนี้ ก็ยังมีการโต้เถียงกันอยู่ว่า ชุดเครื่องแบบนักเรียนจะถือเป็นการลิดรอนสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะแสดงความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคลหรือไม่
ประเด็นนี้ยังมีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะหลายคนเริ่มวิตกว่า ชุดเครื่องแบบอาจส่งผลกระทบกับเด็กทั้งในแง่ของเพศ เชื้อชาติและระดับชนชั้น แต่ก่อนที่เราจะไปในเนื้อหาส่วนนี้ เราลองมาไล่เรียงประวัติของชุดนักเรียนกัน
- ปี 1552 อังกฤษพัฒนาชุดเครื่องแบบนักเรียนขึ้นมาเป็นครั้งแรก โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 16 หลายคนเชื่อว่า ชุดเครื่องแบบนักเรียนถูกใช้เป็นครั้งแรกที่ Christ’s Hospital เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กยากจนในอังกฤษ
- ปี 1987 โรงเรียนในสหรัฐฯ ออกนโยบายให้เด็กใส่เครื่องแบบนักเรียนเป็นครั้งแรก โดยมีโรงเรียนสองแห่งในรัฐแมรีแลนด์ และที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งออกกฎนี้
- ปี 1995 แมสซาชูเซ็ตส์ เป็นรัฐแรกและรัฐเดียวในสหรัฐฯ ที่ผ่านกฎหมายห้ามโรงเรียนบังคับนักเรียนแต่งเครื่องแบบ แม้กระทั่งแค่การกำหนดโทนสี แบบ หรือ ลายของเครื่องแต่งกาย (dress code) ก็ไม่ได้ เพื่อรับประกันว่า เด็กนักเรียนยังมีเสรีภาพในการแสดงตัวตน โดยสิ่งใดจะเข้ามาแทรกแซงมิได้ เว้นเสียแต่ว่า เพื่อเหตุผลด้านสุขภาพและความปลอดภัย
- ปี 1996 ประธานาธิบดี บิล คลินตัน สนับสนุนให้แต่งเครื่องแบบนักเรียน เพราะต้องการให้โรงเรียนมีความปลอดภัยมากขึ้น และเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ระเบียบวินัยเพิ่มขึ้นด้วย เขาถึงกับสั่งการให้แจกจ่ายคู่มือไปยังโรงเรียนรัฐในพื้นที่ต่างๆ เพื่อชี้แจงว่า พวกเขาจะบังคับใช้เครื่องแบบนักเรียนแก่เด็กๆ ได้อย่างไร
- ปี 2017 – 2021 มีโรงเรียนรัฐในสหรัฐฯ ที่ให้นักเรียนแต่งเครื่องแบบมากขึ้น คิดเป็น 21% ในกลุ่มโรงเรียนรัฐทั้งหมดของประเทศ
จนถึงขณะนี้ ก็ยังมีฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการแต่งชุดนักเรียนไปโรงเรียน อย่างที่สหรัฐฯ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็มองว่า การแต่งชุดนักเรียนเท่ากับละเมิดสิทธิตามหลักรัฐธรรมนูญว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความเป็นตัวตน ทั้งยังลดทอนความคิดสร้างสรรค์ และการเสริมสร้างบุคลิกตัวตนของเด็กๆ ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนกลับมองว่า ชุดนักเรียนจะทำให้เด็กๆ มีสมาธิในการเรียนมากขึ้น
ฝ่ายที่ต่อต้านชุดนักเรียนยังเห็นว่า ชุดนักเรียนแบ่งแยกความเป็นชายและหญิงจนเกินไป โดยส่วนใหญ่จะบังคับให้เด็กหญิงต้องสวมกระโปรง และเด็กชายต้องนุ่งกางเกง ทั้งที่ความเป็นจริง เด็กหญิงก็มีสิทธินุ่งกางเกงไปเรียนได้เช่นกัน และการใส่แต่กระโปรงก็ทำให้การทำกิจกรรมต่างๆ ไม่สะดวก ชุดนักเรียนในบางประเทศกำหนดให้กระโปรงของเด็กสั้นเหนือเข่า สร้างความอับอายให้เด็กหญิงเวลาต้องแต่งชุดแบบนี้ออกนอกบ้าน นอกจากนี้ ในกลุ่มเด็กที่เป็นเพศทางเลือก การบังคับให้แต่งชุดเครื่องแบบนักเรียนยังสร้างความยุ่งยากให้เด็กกลุ่มนี้
ส่วนในประเด็นด้านความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ กลุ่มที่สนับสนุนเห็นว่า การแต่งชุดนักเรียนสามารถช่วยปกปิดความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องฐานะของเด็กนักเรียนได้ แต่กลุ่มต่อต้านกลับมองว่า ชุดนักเรียนมีราคาแพง และยังไม่สะท้อนถึงโลกแห่งความเป็นจริง ที่ก็ต้องมีคนแต่งตัวแพง และคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าถูกๆ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ในเรื่องความปลอดภัย กลุ่มสนับสนุนมองว่า ชุดนักเรียนทำให้เด็กปลอดภัยมากขึ้น เพราะช่วยตามตัวเด็กได้ง่าย เวลาต้องออกไปทัศนศึกษา และยังช่วยลดการก่ออาชญากรรมในโรงเรียน เพราะอาจมีเด็กบางคนใส่เสื้อผ้าราคาแพงหรือสวมของมีค่ามาโรงเรียนแล้วถูกขโมย หรือถูกคุกคามได้ และการใส่ชุดนักเรียนยังช่วยให้เกิดความกลมเกลียวในหมู่นักเรียน
แต่กลุ่มที่ต่อต้านก็มองว่า การบังคับให้เด็กแต่งชุดนักเรียน อาจทำให้เด็กบางส่วนก่อความรุนแรงเพราะไม่เห็นด้วยก็เป็นได้ เพราะผลการศึกษาบางชิ้น บ่งชี้ว่า นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ต้องการใส่ชุดเครื่องแบบ การใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียนช่วยให้เด็กมีความสุขขึ้นกับการเรียน และมีแนวโน้มจะเพิ่มศักยภาพในการเรียนได้มากขึ้น
ที่มา : wisevoter