fbpx

ตามไดโนสองไปเที่ยว Himeji Castle ตำนานปราสาทนกกระสาขาวที่ยังมีลมหายใจ

สวัสดีครับทุกท่าน เราก็กลับมาพบกันอีกแล้วกับ “ไดโนสอง”​ ที่จะพาทุกท่านไปเที่ยวทิพย์ทุกหนทุกแห่งจากที่เราเคยไปมา เราจะมาเล่าในรูปแบบและมุมมองของเรากันครับ

ในวันนี้ก็เป็นภาคต่อจากที่เราไปเที่ยว โอซากะ เราก็ยังอยู่ที่ภูมิภาคคันไซอยู่เช่นเดิม แต่เราจะไม่ได้อยู่ที่โอซะกะแล้ว เราจะไปเที่ยวปราสาทฮิเมจิ ที่เมืองฮิเมจิกัน

โดยในคราวนี้เราไม่ได้ใช้ตั๋ว Osaka Amazing Pass แล้ว เรามาใช้ตั๋ว Seishun 18 เป็นตั๋วที่ญี่ปุ่นนิยมใช้มาก เพราะว่าจะสามารถขึ้นรถไฟ JR ได้ทุกสายของญี่ปุ่น ยกเว้นตั๋ว Limited Express, Green Car และที่สำคัญจะขายเป็นช่วงเวลา โดยจะขายช่วงที่เด็ก ๆ ปิดเทอมซึ่งเป็นการโปรโมทการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยใช้รถไฟ

สำหรับปี 2022 จะขายอยู่ทั้งหมด 3 เวลาคือ ช่วงใบไม้ผลิ, ฤดูร้อน และฤดูหนาว

สำหรับตั๋ว Seishun 18 หนึ่งใบจะสามารถใช้ได้ 5 สิทธิ์ เช่นเราจะไปท่องเที่ยว 1 วันกับเพื่อน 5 คนเราก็ใช้ตั๋วใบเดียว หรือ เราเที่ยวคนเดียว ก็สามารถเที่ยวได้สูงสุด 5 วัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ์ต่อเนื่องกัน ราคาปัจจุบันจะอยู่ที่ 12,050 เยนต่อ 1 ใบ

สาเหตุที่เราใช้ตั๋วแบบนี้แทน JR Pass เพราะว่าในช่วงนั้นนักเรียนภายในประเทศจะไม่สามารถใช้ JR Pass ได้ ดังนั้นเราเลยใช้เป็นตั๋ว Seishun 18 แทนและเราได้ซื้อล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วจากโตเกียว

มาเริ่มเที่ยวกันเลย ในตอนเช้าเราเริ่มต้นกันที่สถานีโอซากะ ที่ชานชาลา 5 ด้วนขบวนรถด่วน

เค้ารู้หมดเลยว่าเราตื่นสาย กว่าจะออกเดินทางก็ 11:30 แล้ว แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไร เพราะว่าจากโอซากะไปฮิเมจิ 30 นาทีเอง หรือถ้าหากมาจากโตเกียวก็ใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมงโดยชินคังเซน ซึ่งที่ฮิเมจิรถไฟชินคังเซนก็จอดอยู่แล้วด้วย จึงไม่ใช่ปัญหาเลย

สำหรับสถานีโอซากะแล้วจะใช้ที่กั้นชานชาลาเป็นแบบเชือก ไม่ได้เป็นที่กั้นหรือกระจกหรือรั้วแต่อย่างใด

ผ่านไป 30 นาทีเราก็ถึงที่สถานีฮิเมจิแล้ว ซึ่งหน้าสถานีฮิเมจิ เป็นสถานีสีดำทรงโมเดิร์น

ซึ่งก็สามารถอยู่ด้วยกันได้ โดยไม่ได้เป็นปัญหาหรือขัดกับเมืองมรดกโลกอย่างฮิเมจิแต่อย่างใด

เราก็ได้เดินจากสถานีไปยังปราสาทฮิเมจิ เพียง 20 นาที ซึ่งอุณหภูมิในเดือนมีนาคมปี 2019 เหลือเพียง 10 กว่าองศาเซลเซียส 

ระหว่างเดินไปปราสาทเราก็จะพบกับการก่อสร้างทางเท้าใหม่ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการรบกวนการเดินของเรามีการแบ่งเขตการก่อสร้างและเดินอย่างชัดเจน วัสดุที่เค้าใช้ในการก่อสร้างของเค้าดีมากกกกก สำหรับฝาท่อก็จะเป็นรูปนกกระสาสีขาวซึ่งก็เป็นฉายาของปราสาทนี้ และจะเห็นรูปมาสคอตของเมืองฮิเมจิที่เป็นรูปปราสาทสีขาว ตัวน้องจะป่อง ๆ เห็นอยู่ทั้งเมือง และเมื่อใกล้ถึงก็จะเจอคล้ายๆ กับ ตลาด Free Market ชาวบ้านจะเอาของมือสองมาขาย ถ้าหากมีเวลาลองแวะดูก่อนได้นะครับ ของน่ารักๆเพียบเลยหรืออาจจะเจอของหายากหรือของที่เราอยากได้อยู่ก็ได้นะ

พอเราข้ามถนนจากตลาดไปก็จะพบตัวปราสาทฮิเมจิสีขาวขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเราเลย

แต่จริงๆ แล้วแค่เราออกจากตัวสถานีรถไฟเราก็จะเห็นตัวปราสาทแล้วด้วยซ้ำ

ก่อนที่เราจะเข้าไปเที่ยวในตัวปราสาท เราจะมาเล่าประวัติคร่าว ๆ ของปราสาทให้รู้ก่อนดีกว่า

ปราสาทฮิเมจิเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1333 โดยประมาณและมีการขยับขยายมาเรื่อย ๆ เป็นปราสาทเพียงไม่กี่ปราสาทในญี่ปุ่นที่ไม่ถูกทำลายจากสงคราม เพราะบางปราสาทในญี่ปุ่นคือแทบไม่เหลือเค้าโครงปราสาทเลย แต่ปราสาทฮิเมจิยังถือว่ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก อีกทั้งยังรอดพ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 1995 ที่โกเบ

ปราสาทฮิเมจิได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติของญี่ปุ่น

ปราสาทฮิเมจิเป็น 1 ใน 3 ที่เป็นปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น อีก 2 แห่งคือปราสาทมัตสึโมโตะ อยู่ในจังหวัดนากาโนะ และ ปราสาทคุมาโมโตะ 

จากที่ผมบอกบริเวณปราสาทจะมีลายฝาท่อที่เป็นรูปนกกระสาสีขาว เพราะว่าปราสาทฮิเมจิได้รับฉายาว่า “ปราสาทนกกระสาขาว” เพราะว่าตัวปราสาทที่มีสีขาว และหลังคาของปราสาทมีความโค้งคล้ายกับปีกของนกกระสา

เอาล่ะ นี่ก็เป็นประวัติคร่าว ๆ ของปราสาทฮิเมจิ เราเข้าปราสาทสาทกันดีกว่า

เมื่อเราเข้ามาได้ไม่ไกล เราก็จะพบกับลานโล่ง ๆ อยู่หน้าปราสาท ซึ่งเราเดินเล่น ถ่ายรูปได้ตามอัธยาศัย และที่สำคัญในพื้นที่ส่วนนี้เข้าฟรีอีกด้วย ไหน ๆ มาแล้วก็ขอถ่ายรูปกับลานโล่งและตัวปราสาทหน่อยดีกว่า

เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้วเราก็เดินไปต่อที่โซนตัวปราสาทกันดีกว่า แต่โซนนี้จะต้องเสียค่าเข้าด้วยนะครับ ผู้ใหญ่ 1,000 เยน เด็ก 300 เยนและหากมาเป็นหมู่คณะลดไปได้อีก 20% โดยเราสามารถซื้อตั๋วผ่านตู้ตำหน่ายตั๋วอัตโนมัติด้านข้างประตูทางเข้าได้เลย ซื้อเหอะแก นานๆ มาทีไม่ได้มากันบ่อย ๆ และสปอยไว้ก่อนเลยว่ามันคุ้มค่ากับ 1,000 เยน ของมรดกเลยนะเว่ยยยยย

และก่อนที่เราจะเข้าไปด้านในเราก็จะพบกับรูปปราสาทฮิเมจิแบบดั้งเดิมที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่

และตามที่ผมเข้าใจคือลานกว้าง ๆ ที่เราไปถ่ายรูปก่อนหน้าที่อยู่ทางด้านหน้าของปราสาท

เมื่อก่อนก็คงเป็นบ้านคนหรือเหล่าขุนนางแต่คงได้รับความเสียหายไปหมดแล้ว เลยกลายเป็นลานกว้าง ๆ แทนแต่สำหรับตัวปราสาทจริงๆ ที่อยู่ด้านบนนั้นยังมีสภาพที่สมบูรณ์ดีอยู่มาก

เราเข้ามาด้านในเราเริ่มจากโซนด้านซ้ายก่อน

ในตัวปราสาทจะไม่สามารถใส่รองเท้าได้ ดังนั้นเราจึงต้องถอดรองเท้า และนำใส่ถุงไว้และถือติดตัวไปได้เลย ภายในปราสาทก็จะพบกับห้องต่าง ๆ มากมาย ห้องซ้อนห้อง ซ้อนแล้วซ้อนอีก

แอบหลอนอยู่นะเฮ้ย ไปนั่งทำไมตรงน้าน

เมื่อเราออกมาจากตัวปราสาทด้านซ้าย หรือตัวปราสาทเล็ก เราก็จะไปที่ตัวปราสาทหลักกัน กิมมิกมันอยู่ที่นี่ !! ระหว่างเดินไปปราสาทหลักก็ถือโอกาสถ่ายรูปตัวปราสาทพร้อมกับดอกซากุระที่เริ่มบานซะหน่อย และอีก 2-3 วันหลังจากนี้คาดว่าดอกซากุระจะบานสะพรั่งเต็มต้น

และทางเดินไปตัวปราสาทหลักก็เป็นทางเดินไม่ใหญ่มาก ที่แต่ละส่วนจะมีประตูที่ไม่สูงมากกั้นเอาไว้อยู่ และก็จะเห็นโครงสร้างของปราสาท อย่างหินได้อย่างชัดเจนมาก

เอาล่ะได้เวลาขึ้นปราสาทกันแล้ว อย่างที่บอกในตัวปราสาทเราต้องถอดรองเท้าเช่นเดิม ตอนที่เราไปคนที่รอขึ้นชมยอดปราสาทฮิเมจิ มีจำนวนมากพอสมควรเลย เลยมีการปล่อยคนออกเป็นรอบ ๆ และที่สำคัญด้านบนของปราสาทมีความคับแคบและเตี้ยพอควร ระวังหัวกันด้วยนะครับ

ระหว่างขึ้นไปด้านบนแต่ละชั้นที่เราขึ้นมาก็จะมีหน้าต่างอยู่เรื่อยๆ ซึ่งสามารถปิดเปิดได้ แต่ขอแอบเมาท์หน่อย ตอนที่เราไป ด้วยความปราสาทต้องถอดรองเท้าอ่ะเนอะ ก็จะได้สัมผัสกับกลิ่นที่ไม่ค่อยจะประสงค์สักหน่อย เราจึงพยายามเปิดหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศแต่คนด้านหน้าผมเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่คนด้านหลังผม ผมมองหน้าเค้า เค้าก็ได้แต่ยิ้ม ๆ และเหมือนมองตา ยิ้มแห้งก็รู้ใจว่า เปิดหน้าต่างเถอะนะ โอะเนะไกชิมัส (พลีสสส)

หลังจากที่เราได้กลั้นหายใจไปพักใหญ่ ไม่สิ !! หลังจากที่เราได้ขึ้นมาถึงยอดปราสาทเราก็จะพบกับวิวรอบปราสาทที่สามารถมองได้ 360 องศาเลยด้วย เราจะพบกับตึกต่าง ๆ ของเมืองฮิเมจิ และอีกมุมนึงก็พบกับตึกราบ้านช่องของชาวบ้าน 

เอาล่ะ ได้เวลาลงล่ะ ตอนลงก็ระวังหัวกันด้วยนะครับ ค่อย ๆ ลงไม่ต้องรีบ

เมื่อเราออกมาจากตัวปราสาทเราก็จะพบกำแพงที่แบ่งตัวปราสาทและฐานปราสาทขนาดใหญ่

ก่อนจะกลับก็ขอถ่ายรูปกับฐานปราสาทหน่อยว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน (หรือเราเตี้ยเองนะ)

ได้เวลากลับล่ะ ระหว่างเดินกลับเราก็ยังพบกับการก่อสร้างฟุตบาทที่มีระเบียบมาก

และจะเห็นว่าที่เมืองฮิเมจิมีที่จอดรถใต้ดินอีกด้วย มิน่าล่ะเราถึงไม่พบการจอดรถข้างทางเลย เจ๋งมาก

ในเวลาตอนนั้นก็ประมาณ​ 4 โมงเย็นแล้วเราก็เริ่มหิว ๆ กันแล้วก็ขอกิน Corn dog คนละอันเติมพลังกันก่อนที่จะเดินทางต่อ

กลับมาที่สถานี ก่อนที่จะเข้าไปในชานชาลาเราก็เอารูปแผนที่รถไฟ JR West ในส่วนของของ Osaka, Hyogo มาให้ดู ส่วนใหญ่จะยังเป็นชื่อสถานีที่มีแต่ภาษาญี่ปุ่นอยู่ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ จะมีภาษาอังกฤษประกอบไว้อยู่แล้ว

สำหรับ Himeji ไป Osaka จะเสียค่าโดยสาร 1,490 เยนหรือ หากไป JR Namba ก็จะเสีย 1,660 เยนแต่เรามีตั๋ว Seishun 18 อยู่แล้วก็ขึ้นไปเลยสิจ้ะ ไม่ต้องเสียอะไรอีกแล้ว

เราจะนั่งสาย JR Kobe Line เป็นแบบ Special Rapid ซึ่งจะจอดน้อยสุดแล้ว ยิ่งจอดน้อยเท่าไหร่ เรายิ่งถึงปลายทางเร็วเท่านั้น คิดดูว่าถ้านั่ง Local จอดทุกป้ายเมื่อไหร่จะถึงงงง

ถ้าเทียบกับรถไฟไทยบ้านเราก็เหมือน Local คือรถชานเมืองที่จอดทุกป้าย Rapid คือรถเร็วที่ไม่จอดทุกป้าย จอดเฉพาะป้ายใหญ่ ๆ และ Special Rapid คือรถด่วนจอดน้อย 

แต่ !! เราต้องดูเวลาด้วยนะว่าขบวนรถแต่ละประเภทให้บริการตอนไหน เพราะใน Kansai ขบวบรถบางประเภทไม่ได้ให้บริการตลอดทั้งวัน และต้องสังเกตว่าป้ายที่เราจะลงรถแบบไหนจอดบ้าง จะได้ไม่นั่งเลย หรือนั่งผิดที่นะ อ่อ อีกอย่างสังเกตป้ายหน้ารถดี ๆ หรือป้าย Information ต่างๆ ว่ารถที่เราจะนั่งไปปลายทางไหน ขึ้นชานชาลาไหน มาเวลากี่โมง ไม่งั้นเราอาจจะขึ้นผิดหลงไปอีกที่เลย

อย่างขบวนรถที่เรานั่งก็เป็นปลายทางที่เป็น Maibara ซึ่งเป็นสถานีหนึ่งในของ Biwako แสดงว่ารถขบวนนี้จะวิ่งต่อเนื่องจากสาย Kobe ไปเปลี่ยนเป็นสาย Biwako ไปในจังหวัดชิกะ (直通)(Through Service)

เราก็ได้นั่งรถกลับมามาลงที่สถานี Osaka และต่อรถไปที่สถานี JR Namba เพื่อมากินข้าวเย็นกันที่ย่าน Dotombori ใกล้ ๆ ที่ที่เราพัก

ในวันนี้เราจะฝากท้องกันที่ร้านราเมงร้านหนึ่ง (ซึ่งเราจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยค้าบ)

หน้าร้านก็จะมีเมนูให้เราเลือก และมีภาษาอังกฤษให้ด้วยเราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากได้ความเข้มข้นขนาดไหน ต้องบอกก่อนนะว่าคนญี่ปุ่นกินเข้มมากกกก รสชาติว่าไทยเข้มแล้ว ที่ญี่ปุ่นเข้มอีกเป็น 10 เท่า ไขมันจุก ๆ เค็มจัด ๆ 55555

แต่เอาเข้าจริงเราก็ติดรสชาตินั้นไปแล้วเหมือนกันนะ กลมกล่อมมาก 

มาดูกันที่ตู้จำหน่ายกันจะมีให้เลือกประเภทราเมง น้ำซุปและเลือกท็อปปิ้ง รวมไปถึงอาหารอื่น ๆ ซึ่ง 880 เยนของร้านเนี่ยคืออิ่มจนจุกแล้วนะ แต่ถ้าใครยังไม่จุใจเอา Gold Special ไปเลยจ้า 

อ่อ แล้วถ้าเราอยากได้เส้นนิ่ม หรือเส้นแข็งสามารถบอกเค้าได้เลยนะ

ถ้าเอาเส้นนิ่มบอกว่า Yawarakame ถ้าเอาเส้นแข็งบอกว่า Katame

ระดับน้ำมันก็บอกได้เหมือนกันถ้าเอาน้ำมันเยอะบอกว่า Abura Ome ถ้าเอาน้ำมันน้อยก็  Abura Sukuname

ลองเอาไปใช้ ไปสั่งกันได้นะครับ 

และนี่ก็เป็นการเที่ยวในคันไซวันที่ 3 ของเรานะครับเพื่อน ๆ ลองจดแพลนและไปเที่ยวตามกันได้เลยนะ และถ้าหากข้อมูลตรงไหนผิดพลาด หรือเปลี่ยนแปลงสามารถมาบอกเราได้เลย เราจะได้เอาข้อมูลเพิ่มเติมมาแชร์กับเพื่อน ๆ ต่อได้ 

สำหรับตอนหน้าเราจะไปหาน้องกวางกันที่เมืองนาราเราจะไปป้อนอาหารน้องกวางด้วยเซมเบ้ (ไม่ใช่น้าต๋อยนะ 5555)

สุดท้ายนี้ก็ขอฝากช่องไดโนสอง ทาง YouTube เช่นเคยนะครับ
เข้าไปดู กดแชร์ กดไลค์ ยิ่งกด Subscribe ได้ยิ่งดีเลย

แล้วพบกันตอนหน้านะครับ
ไดโนสอง

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า