fbpx

16 ปี Little Miss Sunshine ภาพยนตร์ที่บอกเราว่า ชีวิตแพ้ได้ และเราจะไม่เป็นไร

ในสภาวะที่ข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจซบเซาจนหลายคนกลายเป็นคนว่างงาน และโรคภัยที่ระบาดรอบตัวจนเกิดความวิตกกังวล ความท้อแท้สิ้นหวังที่เข้ามาห่อหุ้มความรู้สึกที่หลายคนไม่อยากเผชิญเมื่อเจอกับชีวิตที่ล้มเหลว มันคือความรู้สึกของคนแพ้ 

ไม่มีใครอยากเป็นคนที่แพ้ เพราะความรู้สึกแพ้ในชีวิตจริงที่เกี่ยวพันกับหน้าที่การงาน เงินในกระเป๋า หรือแม้แต่เรื่องความรักและความฝันที่พังทลาย มันแย่ยิ่งกว่าการแพ้การแข่งขันในเทศกาลกีฬาสีในโรงเรียนเมื่อตอนเป็นเด็ก เพราะเมื่อเติบใหญ่ การแพ้บนสนามแข่งชีวิตจริงมันโหดร้ายและทรมานกว่ามากนัก ชนิดที่กี่คำปลอบโยน ก็ไม่อาจชุบชูจิตใจให้ดีขึ้นได้ในเวลานั้น 

โลกใบนี้มีมนุษย์อาศัยอยู่มากกว่าเจ็ดพันล้านคน เจ็ดพันล้านเรื่องราว เจ็ดพันล้านความทุกข์ หากคิดว่าการแพ้ของตัวเองนั้นคือหนึ่งเรื่องราวที่เจ็บปวดจนเกินจะรับไหว ขอเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งให้ฟัง เรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวที่ทุกคนคือคนแพ้ที่ล้มเหลวในชีวิต เรื่องราวครอบครัวฮูเวอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Little Miss Sunshine

Little Miss Sunshine คือภาพยนตร์ดราม่าครอบครัวในปี 2006 นับจนถึงตอนนี้ มันได้ครบรอบ 16 ปีพอดีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำหน้าที่ชุบชูจิตใจ สร้างพลังและแง่คิดในการใช้ชีวิตให้กับคนมากมาย นี่คือหนังเล็ก ๆ ที่คนทั่วโลกหลงรัก ในการทำรายได้สุดเซอร์ไพรส์ที่ทำเงินไปทั่วโลกกว่าหนึ่งร้อยล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 8 ล้านเหรียญ และไปไกลถึงเวทีออสการ์ด้วยการเข้าชิง 4 สาขาและคว้ามาได้สองสาขา ได้แก่สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (อลัน อาร์กิน) และบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม 

ครอบครัวฮูเวอร์มีสมาชิกทั้งหมด 6 ชีวิต ประกอบด้วย ริชาร์ด พ่อและสามี หัวหน้าครอบครัวที่ตั้งมั่นอยากเป็นผู้ชนะเสมอในชีวิต โดยเขามีความพยายามจะเป็นนักเขียนที่มุ่งหมายว่าหนังสือของเขาที่ว่าด้วยเรื่องของบันไดสำเร็จ 9 ขั้น จะทำให้เขารวยเละ แต่นั่นอาจเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ ที่กำลังหลอกตัวเอง เพราะชีวิตจริง เขายังไม่เคยเข้าใกล้คำว่าชนะเลยสักครั้ง 

เชอริล แม่ผู้พยายามประคับประคองให้ครอบครัวของตนปกติที่สุด แต่ท่ามกลางความเครียด เธอก็ยังเอาชนะบุหรี่ที่เธอติดงอมแงมไม่ได้สักที 

เอ็ดวิน คุณปู่ผู้ชอบพูดจาขวานผ่าซาก แถมยังติดผงเฮโรอีน โดยเหตุผลที่ยังไม่เลิกมีเพียงเหตุผลสุดเห็นแก่ตัวที่ว่า ‘ฉันแก่แล้ว’ 

แฟรงค์ พี่ชายของเชอริล อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้เป็นเกย์ที่เพิ่งผิดหวังกับความรัก และเพิ่งผ่านการรักษาตัวจากการฆ่าตัวตายมาหมาด ๆ 

ดเวนย์ วัยรุ่นชายผู้เก็บตัวและเกลียดทุกคนบนโลก ที่มีเป้าหมายในการเข้าโรงเรียนการบิน โดยเขาปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่เอ่ยปากพูด จนกว่าเป้าหมายของเขาจะสำเร็จ 

โอลีฟ เด็กสาวผู้มีความฝันจะเป็นนางงาม โดยเธอกำลังจะเข้าประกวดนางงามในชื่อ Miss Sunshine 

เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มต้นที่ว่าเมื่อคนในครอบครัวรู้กระทันหันว่าโอลีฟจะต้องไปประกวดนางงาม จากปัญหาส่วนตัวของแต่ละคน ทำให้ทุกคนในครอบครัวจึงต้องไปส่งโอลีฟไปงานประกวดที่รัฐแคลิฟอร์เนียให้ทันเวลา โดยมีรถตู้โฟล์คสวาเก้นสีเหลืองคันเก่าสภาพพังแหล่ไม่พังแหล่ที่แม้ประตูรถยังปิดให้สนิทไม่ได้ ที่ต้องเป็นทั้งยานพาหนะและที่อาศัยของครอบครัวคนแพ้ที่ต้องใช้ชีวิตและปรับความเข้าใจร่วมกัน 

ในช่วงแรกของหนัง เราจะได้เห็นความระหองระแหงกันในครอบครัวที่ไม่ค่อยกินเส้นกันนักของครอบครัวนี้ เพราะต่างคนก็ต่างมีทัศนคติ เรื่องราว ปมชีวิตของตนที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่ากับบางคนนั้นมีปมในแง่ของความไม่พอใจที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของความไม่สมประกอบและล้มเหลวของครอบครัวนี้ด้วย บางคนถึงขนาดเหยียดหยามความคิดและไม่เชื่อความจองหองเกินเหตุของแต่ละฝ่าย

แต่การเดินทางจากรัฐนิวเม็กซิโกไปสู่รัฐแคลิฟอร์เนียด้วยเวลาสองวัน ไม่ได้ราบรื่นอย่างใจคิดเมื่อรถตู้สีเหลืองคันเก่าได้ออกอาการพยศแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะอาการเครื่องดับเป็นระยะจนคนในรถต้องช่วยกันเข็น สารพัดปัญหาระหว่างการเดินทางที่คนในครอบครัวต้องช่วยกันฝ่าฟันเพื่อให้ถึงจุดหมาย และจนถึงช่วงระยะหนึ่ง มันทำให้ครอบครัวนี้เปิดใจกันมากขึ้น คุณปู่ที่แม้ภายนอกจะเป็นคนติดยาที่ปากคอเราะร้าย แต่กับหลานสาวตัวน้อย คุณปู่ก็พร้อมจะเป็นคนที่ใจดี ให้กำลังใจ และอธิบายแง่คิดในชีวิตดี ๆ ให้ฟังอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นฉากนำเสนอท่าเต้นกวน ๆ ให้หลานสาวไปใช้ในงานประกวด

ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ทำให้ทุกคนในรถตู้คันนั้นเริ่มเปิดใจ เห็นมุมมองอื่น ระบายความทุกข์ให้แก่กันโดยไม่ตั้งใจ แม้จะสิ่งที่ตอบกลับมาจะเป็นแค่เป็นการรับฟัง แต่ในเวลาที่เราทุกข์ตรึม บางครั้งแค่การรับฟังด้วยความเข้าใจ นั่นก็เพียงพอแล้ว เพราะในขณะที่เราจมอยู่กับทุกข์ของตัวเอง เรามักจะลืมคนรอบข้างไปเสมอ เช่นกันที่คนรอบข้างก็มักจะลืมว่าต้องเอาใจใส่คนที่กำลังเกิดความทุกข์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถตู้คันเก่านั่น ทำให้เกิดการตระหนักรู้ ว่าการรับฟังนั้นสำคัญ เช่นเดียวกับความพยายามที่จะเข้าใจปัญหาของคนอื่น

ฉากที่เจ็บปวดฉากหนึ่งที่เป็นฉากจำของหนัง คือฉากที่ดเวนย์เพิ่งรับรู้ความจริงชวนช็อคที่ว่าความฝันในการเป็นนักบินของเขาไม่มีทางเป็นจริง เพราะเขามีอาการตาบอดสี ทันใดนั้นเองอาการคลุ้มคลั่ง สติหลุดของดเวนย์ก็เกิดขึ้นทันทีขณะที่รถกำลังวิ่ง เขาแหกปากโวยวายจนพ่อต้องจอดรถกลางทาง ดเวนย์วิ่งออกไปข้างทางพร้อมกับตะโกนระบายอารมณ์ด้วยความเสียใจ และนั่งลงไปกับพื้น ต่อให้ผู้เป็นแม่พยายามจะเข้ามาปลอบใด ๆ ก็ไม่อาจช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ เว้นเพียงแต่อ้อมแขนเล็ก ๆ ที่โอบกอดพี่ชายของโอลีฟด้วยความไร้เดียงสาและความรักอันบริสุทธิ์ เท่านั้นเอง ดเวนย์ก็ใจเย็นลง และเดินกลับขึ้นไปบนรถกับครอบครัว 

มันคือการกระทำที่เรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด ๆ นี่คือการส่งความรู้สึกที่มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่ส่งถึงกันได้ โอลีฟจึงเป็นเด็กสาวที่เป็นเหมือนเทวดาตัวน้อยของครอบครัวนี้ รอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์ และการมองโลกในแง่ดีในแบบเด็ก ๆ บางครั้งมันก็กลายเป็นการสอนผู้ใหญ่ที่กำลังจมอยู่ในความทุกข์ตรมและไม่มีทางออก เมื่อครอบครัวเริ่มเข้าใจกัน พร้อมอยู่เคียงข้างกัน การเดินทางครั้งนี้มันจึงเป็นการเยียวยากันและกัน ในเมื่อชีวิตอันบัดซบของพวกเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ความฝันและการมองโลกอันไร้เดียงสาของโอลีฟเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่พวกเขาไม่อาจยอมให้เสียไปได้ งานประกวดนางงามของโอลีฟ จึงเป็นจุดหมายเดียวที่เหลืออยู่

ฉากประทับใจในช่วงท้ายเรื่อง เป็นฉากที่โอลีฟต้องออกไปแสดงบนเวทีประกวด แน่นอนว่าเธอไม่ได้มีคุณสมบัติของการเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในแง่ของการแสดงหรือการประกวด ประกอบการท่าเต้นแบบไร้เดียงสาที่ดูประหลาดและก๋ากั่นเกินวัยที่เธอเรียนรู้มา การแสดงของโอลีฟจึงออกมาน่าหัวเราะ ผิดกาลเทศะ และไร้ซึ่งความสวยงามในแบบการแสดงในงานประกวดที่ควรจะเป็น ปฏิกิริยาของคนดูจึงออกมาในลักษณะที่ไม่ชอบใจนัก พ่อแม่บางคนพาลูกออกจากงาน บางคนส่ายหัว ขณะที่ผู้ดำเนินงานต้องการให้การแสดงของโอลีฟจบลง ผู้เป็นพ่อก็พยายามขัดขวาง ช่วงขณะหนึ่งที่ไม่รู้จะทำยังไงดี ริชาร์ดก็เริ่มออกท่าเต้นแบบเพี้ยน ๆ เป็นเพื่อนโอลีฟ คนอื่นในครอบครัวได้เห็นดังนั้น ก็วิ่งขึ้นมาบนเวทีเต้นแร้งเต้นการ่วมกับโอลีฟกันหมดทุกคนท่ามกลางความงงงวยและรับไม่ได้ของคนดูที่อยู่ในงาน

มันคือฉากที่น่าขันที่แม้คนในงานจะไม่เข้าใจว่าครอบครัวนี้มันเป็นบ้าอะไรกัน ถึงออกมาเต้นท่าเพี้ยนโชว์แบบไม่อายชาวบ้าน แต่สำหรับครอบครัวฮูเวอร์ นี่คือความรู้สึกของโอลีฟที่พวกเขาต้องการปกป้อง เรื่องแพ้ชนะไม่ได้อยู่ในหัวของพวกเขาอีกแล้ว จะแพ้หรือชนะก็ช่างปะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกต่างหาก หากพวกเขายอมปล่อยให้ผู้จัดงานให้การแสดงจบลง ให้เธอพบการตัดสินจากคนดูว่าท่าเต้นที่เธอภูมิใจหนักหนานั้นไม่น่าดูชมเอาเสียเลย ความฝันของโอลีฟจะพังทลาย ความรู้สึกไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ของเธอจะแตกสลาย และเราไม่อาจรู้เลยว่านี่อาจเป็นปมความทุกข์ที่ติดตัวเธอไปตลอดเลยก็ได้ 

การเต้นแร้งเต้นกาของครอบครัวฮูเวอร์ จึงเป็นฉากประทับใจที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นครอบครัวที่พร้อมช่วยเหลือและประคับประคองความรู้สึกกันและกัน แลกกับความน่าอายเพียงไม่กี่นาที มันช่างคุ้มค่าเหลือเกินกับการรักษาความรู้สึกของแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัวนี้ไว้ 

ถ้าเรามองจากสายตาคนนอก เราจะเห็นว่าครอบครัวนี้คือครอบครัวที่ช่างน่าสงสารและไม่สมประกอบ ซึ่งจริงอย่างที่เห็น (คนในครอบครัว ถังแตก ฆ่าตัวตาย ความระหองระแหงจวนจะหย่าร้างของพ่อแม่) หากเรื่องราวต่าง ๆ ไม่เกิดขึ้น พวกเขาไม่ใช่คนแพ้ ความสุขหรือความสมบูรณ์ของครอบครัวก็คงมีมากกว่านี้ แต่มันคงไม่เกิดการเรียนรู้ใด ๆ เพราะเราคงเปลี่ยนปัญหาหรือเรื่องราวของครอบครัวตัวเองไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นมาแล้ว แต่อย่างน้อย พวกเขาจะต้องเผชิญกับความทุกข์ต่อไป แต่เผชิญด้วยจิตใจที่เข้มแข็งมากขึ้น และเผชิญไปพร้อมกับคนในครอบครัวที่อยู่เคียงข้างกัน

แต่กรณีนี้ก็อาจใช้ไม่ได้กับครอบครัวที่มีพ่อแม่ที่ไม่ได้ทำตัวเป็นพ่อแม่ที่ดี ที่สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางความรู้สึกให้กับคนในครอบครัว นั่นเป็นอีกกรณีที่ประเด็นในภาพยนตร์เรื่องนี้อาจใช้ไม่ได้ และเป็นข้อยกเว้นสำหรับบางคน ที่บ้านไม่ได้เป็นพื้นที่ปลอดภัย

ในเรื่องของความฝัน การเป็นผู้ชนะและการเป็นผู้แพ้ ชีวิตก็ชีวิต ไม่มีมนุษย์คนไหนบนโลกเป็นผู้ชนะตลอดไป และไม่มีใครเป็นผู้แพ้ตลอดกาล วันนี้ครอบครัวฮูเวอร์แพ้ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าวันหนึ่งพวกเขาจะไม่ชนะ เพราะการเป็นผู้แพ้ มันคือการเรียนรู้ ยอมรับ และหาทางเดินใหม่ได้เสมอ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ใช่ผู้แพ้จริง ๆ ดังคำสั่งสอนสุดท้ายของคุณปู่ที่กล่าวกับหลานสาวตัวน้อยที่กำลังกลัวว่าตัวเองจะไม่ชนะงานประกวดว่า ‘A real loser is someone who’s so afraid of not winning he doesn’t even try’ (คนขี้แพ้ตัวจริง คือคนที่กลัวที่จะไม่ชนะทั้งที่ยังไม่เคยพยายามทำอะไรเลย)

ชีวิตคนเราแพ้ได้ มันไม่เป็นไร อย่างน้อยเราได้เคยลองทำ เคยพยายาม และยามเมื่อแพ้ เราก็ยังมีครอบครัวที่อยู่เคียงข้างกัน เยียวยารักษาจิตใจ ยอมรับมัน และมีชีวิตต่อไป 

นั่นคือสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกกับเรา

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า