ทรานส์ทาเลนท์จับมือศศินทร์ เปิดเวทีเสวนา “เปลี่ยนโซเชียล แปลงสังคม” คลี่ชั้นความรุนแรงทับซ้อนของผู้มีความหลากหลายทางเพศ พร้อมแนะ 4 แนวทางสร้างแคมเปญขับเคลื่อนสังคมด้วยโซเชียลมีเดีย
เทศกาลไพรด์ช่วงเดือนมิถุนายนปีนี้ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาของการขับเคลื่อนความหลากหลายทางเพศที่เข้มข้นมากกว่าทุกปี โดยเฉพาะในเมืองไทยที่เห็นภาพการเคลื่อนไหวและร่วมมือกันอย่างมีนัยสำคัญทั้งจากฝั่งการเมือง ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจ เช่นการร่วมผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมให้บังคับใช้ก่อนไทยประชันการเป็นเจ้าภาพจัดเวิลด์ไพรด์ 2028 การเดินขบวนพาเหรดสีรุ้งตามเมืองใหญ่สำคัญทั่วประเทศ การออกนโยบายเพื่อความหลากหลายเท่าเทียมในองค์กรธุรกิจ รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียสร้างความตระหนักรู้ สนับสนุนและแสดงออกถึงจุดยืนด้านสิทธิความเท่าเทียมของคนทุกเพศในสังคม
อย่างไรก็ดีผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยยังคงเผชิญความท้าทายในรูปแบบความรุนแรงทั้งทางตรง ทางวัฒนธรรม และทางโครงสร้าง ผ่านความทับซ้อนของอัตลักษณ์และลักษณะต่างๆ ในรูปแบบและสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และมักถูกมองจากฐานที่ว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) เป็นหน่วยรวมหน่วยเดียวกัน มีประสบการณ์และพบเจอบริบทปัญหาแบบเดียวกัน ทำให้ขาดความเข้าใจอย่างถูกต้อง ลึกซึ้งและรอบด้าน ต่อสถานการณ์และบริบทเฉพาะของแต่ละกลุ่มที่เผชิญอยู่ นโยบายหรือทางแก้ปัญหาในหลายๆครั้งจึงขาดความเชื่อมโยง ละเลยแนวคิดสภาวะทับซ้อน (intersectionality) และมองข้ามประสบการณ์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศบางกลุ่ม โดยเฉพาะคนข้ามเพศ
ทรานส์ทาเลนท์ คอนซัลติ้ง กรุ๊ป ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ภายใต้การสนับสนุนโดยสถานทูตสหรัฐอเมริกา จึงจัดเวทีเสวนา “เปลี่ยนโซเชียล แปลงสังคม” (TRANSforming social media to social movement) เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับความรุนแรงที่ทับซ้อนและการขับเคลื่อนประเด็นสังคมต่างๆด้วยพลังโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะด้านความหลากหลายและเท่าเทียมทางเพศ มีผู้นำคนรุ่นใหม่จากหลายองค์กรกว่า 30 รายเข้าร่วมทางออนไลน์และออฟไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ผ่านกิจกรรมดังกล่าว
ความรุนแรง: ตัวเร่งการเคลื่อนไหวทางสังคม (social movement)
จากรายงานของ SDG Move วิเคราะห์สถานการณ์การเผชิญความรุนแรงของกลุ่ม LGBTQ+ ที่ผ่านมา โดยสามารถแบ่งเป็นความรุนแรง 1) ทางตรง เช่น การทำร้ายร่างกายและกลั่นแกล้งบุลลี่ให้ได้รับความอับอาย 2) ทางวัฒนธรรม เช่น ค่านิยมการเหยียดเพศ การตีตราและอคติ ผ่านแบบเรียนและสื่อ เป็นต้น และ 3) ทางโครงสร้าง เช่น การถูกเลือกปฏิบัติและอคติจากความอยุติธรรมทางสังคมและกลไกเชิงโครงสร้างหรือระบบต่างๆที่สร้างความเหลื่อมล้ำจากกฎหมาย นโยบาย โครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำที่มีแนวคิดการแบ่งแยกชายหญิงมากกว่าการออกแบบบนพื้นฐานของความเข้าใจและยอมรับความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง
งานวิจัยระหว่างคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และดีแทค ในปี 2561 เผยว่า กลุ่มนักเรียน LGBTQ+ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตกเป็นเป้าของความรุนแรงจากการกลั่นแกล้งรังแกทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ มีประสบการณ์โดนกลั่นแกล้งทางวาจา 47.67% แกล้งทางเพศ 8.46% แกล้งทางไซเบอร์ 5.16% และถูกกลั่นแกล้งทุกประเภท 87.42% ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับนักเรียนหญิงและชาย
นอกจากนี้ รายงานการสำรวจของธนาคารโลกในปี 2561 ยังเผยอีกว่าในประเทศไทยมีคนข้ามเพศมากถึง 77% เลสเบี้ยน 62.5% และ เกย์ 49% ที่ยังคงเผชิญกับการถูกปฏิเสธการจ้างงาน การเลือกปฏิบัติ และการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน รวมถึงการปฏิเสธการส่งเสริมบทบาทผู้นำโดยเฉพาะกับคนข้ามเพศ ที่สังคมมักจะเหมารวมว่าเป็นบุคคลที่ “ไม่มีความสามารถ ไม่น่าเชื่อถือ ไม่เป็นมืออาชีพ”
ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้จำกัดให้กลุ่มคนข้ามเพศต้องทำงานอยู่แต่ในอุตสาหกรรมด้านความงาม สื่อและวงการบันเทิง รวมถึงงานบริการทางเพศ คนข้ามเพศเป็นกลุ่มที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากที่สุดในบรรดากลุ่ม LGBTQ+ จากการถูกกีดกันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในทุกรูปแบบ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความรุนแรงทั้งสามแบบเป็นตัวเร่งการเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วน
คนข้ามเพศ: หมุดหมายของสังคมแห่งความเสมอภาคทางเพศอย่างแท้จริง
“ในการสร้างสังคมหรือองค์กรแห่งความหลากหลายที่แท้จริงและเน้นการมีส่วนร่วมเพื่อความยั่งยืนด้านทรัพยากรคนนั้น ผู้นำต้องเข้าใจแก่นของปัญหาความรุนแรงและบริบทที่ทับซ้อนอย่างลึกซึ้งและเชื่อมโยงกันในทุกมิติของกลุ่มคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม เพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง เช่น เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ไม่ใช่แค่เรื่องของหญิงเท่ากับชาย แต่ต้องรวมกลุ่ม LGBTQ+ ด้วย และต้องศึกษาเรื่องความรุนแรงต่อคนกลุ่มนี้ให้ลึกกว่าเดิม
โดยเฉพาะอคติ การเลือกปฎิบัติและความรุนแรงในทุกมิติ ทั้งควรคำนึงถึงแนวคิด Inclusion from the margin เน้นการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างพลังให้คนที่ถูกเลือกปฎิบัติมากที่สุดในกลุ่ม LGBTQ+ นั่นคือ คนข้ามเพศ (Transgender) อันเป็นการสร้างความเสมอภาค (equity) ที่ถูกต้อง” ณัฐินีฐิติ ภิญญาปิญชาน์ ผู้ก่อตั้ง ทรานส์ทาเลนท์ คอนซัลติ้ง กรุ๊ป บริษัทที่ปรึกษาด้านการสร้างสถานที่ทำงานที่มีความเป็นมิตรต่อ LGBTQ+ แห่งแรกของประเทศไทยกล่าว “นี่ไม่ใช่การเรียกร้องสิทธิพิเศษ แต่เป็นการสนับสนุนอย่างเสมอภาคให้เกิดความเท่าเทียมกับกลุ่มคนชายขอบ เพื่อลดอุปสรรคของระบบ ขณะเดียวกันก็ช่วยปลดล็อกศักยภาพของคนข้ามเพศที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและองค์กรต่อไป”
โซเชียลมีเดีย: เปลี่ยนแพลตฟอร์มเป็นพลังขับเคลื่อนสังคม
บทสรุป 4 แนวทางการใช้โชเชียลมีเดียสร้างแคมเปญขับเคลื่อนสังคมแห่งความเท่าเทียมทางเพศ
- รู้จักและเข้าใจแก่นของสิ่งที่อยากขับเคลื่อน
“เวลาทำแคมเปญขับเคลื่อนสังคม พึงระลึกไว้เสมอว่าเรากำลังทำเรื่องของคนภายในชุมชน ประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาถือเป็นแหล่งข้อมูลชั้นยอด การศึกษาค้นคว้าจากคนในชุมชนและเข้าใจแก่นของปัญหาอย่างถูกต้อง (Accuracy) จะทำให้เรารู้ลึกและรู้รอบในเรื่องนั้นๆ เพื่อสร้างทัศนคติ (Attitude) ให้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชนเข้าใจประเด็นทับซ้อนอย่างแท้จริงและถูกต้อง เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่ตอบโจทย์มากที่สุด อย่างการสร้าง GendersMatter สื่อที่มองเรื่องเพศนอกตำรา (ที่ไม่ได้มีแค่จู๋กับจิ๋ม) ให้หลากหลาย เพื่อให้ความรู้และขับเคลื่อนสังคมไปพร้อมกัน” ปณต ศรีนวล บรรณาธิการบริหาร ประจำสื่อ GendersMatter Media Agency ติ๊กต๊อกเกอร์ Tewtuen (ติวเถื่อน) มีผู้ติดตามกว่า 250,000 ราย
- รู้ว่าคุณกำลังต่อสู้เพื่ออะไร
“สังคมตีกรอบสิทธิ หน้าที่ รวมถึงวิธีคิดของคนข้ามเพศให้อยู่ในกล่องเดิมๆ มาอย่างยาวนาน เรากำลังต่อสู้กับอคติ การตีตราและมาตรวัดสังคมแบบเดิม ทั้งการมีตัวตน ความงาม โอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจ เป้าหมายของเราคือการสร้างต้นแบบคนข้ามเพศที่เติบโตได้ในสายอาชีพที่หลากหลายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนข้ามเพศรุ่นหลังต่อไป จึงได้เข้าไปร่วมทำงานกับ Trans for Career Thailand เพจให้คำแนะนำบุคคลข้ามเพศในเรื่องการทำงาน อาชีพ และเล่าเรื่องราวคนข้ามเพศมืออาชีพเก่งๆหลายคน เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องความหลากหลายและความเสมอภาคในที่ทำงาน เป็นต้น” เจสสิลินน์ นาคประสิทธิ์ อีเมลล์มาเก็ตเตอร์ ผู้ประสานงานเพจ Trans for Career Thailand และมิสทรานส์อินเตอร์เนชั่นแนลไทยแลนด์ 2021
- รู้ว่าจะใช้กลยุทธ์แบบไหนและเครื่องมืออะไร
“การรู้จักจุดแข็งของตัวเอง มีจุดยืน มองเห็นโอกาสในทุกๆปัญหา และเข้าใจกระแส คือกลยุทธ์ที่ใช้สร้างโมเดลเอเจนซี่และแอปฯ เดทสำหรับคนข้ามเพศและ LGBTQ+ แห่งแรกของนิวยอร์ก โดยการใช้โชเชียลมีเดียและแอปฯ สร้างแบรนด์และเสนอบริการโมเดลที่หลากหลายตอบโจทย์แบรนด์ในช่วงเวลาที่กระแสความหลากหลายกำลังมาแรง นอกจากจะช่วยสร้างงานแล้วยังช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กับกลุ่มที่ถูกกดทับมานานในอุตสาหกรรมแฟชั่นและความงาม นอกจากนี้แอปฯ เดทติ้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่ออาชญากรรมที่เกิดจากการเกลียดกลัวคนข้ามเพศได้อีกด้วย” สุภัทร ภาษี ผู้ก่อตั้งเอเจนซี่ทรานโมเดล Transmodel NYC สำหรับคนข้ามเพศแห่งแรกของนิวยอร์ก ผู้ร่วมก่อตั้ง Teadate เดทติ้งแอปพลิเคชั่นสำหรับคนข้ามเพศ มีผู้ใช้กว่า 18,000 ราย
- ทำทันที
“Just do it ลองทำเลย ถือเป็นหัวใจของความสำเร็จ เพราะทุกก้าวที่เราทำมันจะทดสอบและวัดผลได้ทันทีว่าสิ่งที่ทำนั้นใช่ทางของเราจริงๆ หรือเปล่า ทั้งตอนเริ่มทำเพจ Not too late to be equal ก็เป็นเพจแรกที่พูดเรื่องสิทธิของคนข้ามเพศในการรับฮอร์โมนจนไปถึงการรณรงค์ให้มหาวิทยาลัยเปลี่ยนการแต่งกายตามคำนำหน้าเพศได้ หรือการทำ TikTok ช่องซาร่าอาสารีแคป ก็เกิดมาจากความหลงใหลในการดูนางงาม แต่ก็ยังส่งสารสร้างความเท่าเทียม ท้าชนมาตรฐานกรอบความงามแบบเดิม เพื่อยกระดับเวทีนางงามโดยใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลาย จากจุดเล็กๆ ในวันนั้นจนกลายมาเป็นเสียงที่ดังขึ้นได้ในวันนี้ จากความสำเร็จของก้าวเล็กๆ ก็จะสามารถสร้างอิมแพคไปจนต่อกันเป็นภาพใหญ่ได้ในสักวัน” ธนพงษ์ วรรณโคตร ผู้ก่อตั้งเพจ Not too late to be equal ติ๊กตอกเกอร์ Sarahchh_ มีผู้ติดตามกว่า 75,000 ราย