fbpx

เบื้องหลังโลกบล็อกเชน และเส้นทาง 8 ปีที่เติบโตของท็อป Bitkub

ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา อายุห่างจากฉัน 5 ปี

และก็คงเป็นคนวัย 30 ที่ทำงานหนักและประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ฉันเคยรู้จัก

เขาใช้เวลา 8 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จในการเปิดบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือที่เราคงคุ้นๆ อีกว่า Bitkub ซึ่งมีหนึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือเป็นแอปพลิเคชันซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกพูดถึงมากที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่ง

8 ปีที่แล้วเขาคงเชื่อมั่นในอะไรสักอย่างของคริปโตฯ เลยเปิดบริษัทเกี่ยวกับบิตคอยน์แห่งแรกในไทยโดยมีห้องแถวเล็กๆ ในประตูน้ำเป็นที่ทำการบริษัท

แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครเข้าใจในบิตคอยน์ และท็อปบอกเราว่านั่นคือการล้มลุกคลุกคลาน พบพานอุปสรรคอันหนักอึ้งที่ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะมาก

จนท็อปบอกเราว่า เขาแทบไม่มีชีวิตอย่างที่วัยรุ่นคนหนึ่งพึงจะเป็นเลย

แต่การอุทิศตนให้กับสิ่งที่เขาเชื่อ มันผลิดอกออกผลกลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีกระดานแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีการซื้อขายมากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเติบโตกว่า 2,000 เปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่นาน ทำให้ชื่อของท็อปถูกพูดถึงในแทบทุกสื่อ และไม่ว่าสังคมไทยจะพูดถึงเรื่องคริปโตกี่ครั้ง ต้องมีท็อปร่วมวงสนทนาเสมอ

เรามีนัดหมายพิเศษกับเขาที่ออฟฟิศ Bitkub ซึ่งรอบนี้เราโฟกัสที่บทเรียนจากการเปิดบริษัทเทคที่มีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก สิ่งที่เรียนรู้จากรายทาง เรื่องหนักอึ้งของการเป็น CEO และถอดบทเรียนจากเส้นทาง 8 ปีที่เขาพานพบ

ถ้าย้อนกลับไปดูโฆษณาโทรทัศน์ของ Bitkub เมื่อหลายปีก่อน เราจะเห็นท็อปพูดว่า “ชีวิตคุณกำลังจะเปลี่ยนไป”

และเขาพูดถูก เพราะชีวิตของท็อปก็เปลี่ยนไปจนไม่เหมือนเดิมจริงๆ

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

ยังรู้สึกเขินอยู่มั้ยที่เห็นหน้าตัวเองอยู่ตามป้ายโฆษณาทั่วประเทศ

ตอนนี้ไม่ค่อยแล้วนะครับ จริงๆ ก็ 2 ปีกว่าแล้ว คนเราก็จะชินกับทุกอย่าง ทำไปสักพักหนึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร

แล้วรู้สึกตื่นเต้นมั้ยที่เห็นหน้าตัวเองบนบิลบอร์ด 

ต้องเริ่มก่อนว่าความเชื่อของเรามองว่าในอนาคตทุกบริษัทจะเข้าถึงข้อมูล แต่บริษัทที่แตกต่างคือบริษัทที่สื่อสารกับลูกค้าตลอดเวลา เราก็เลยเชื่อว่าเรื่องการสื่อสารไม่ใช่แค่ต้องทำให้ดีภายในองค์กร แต่ต้องทำให้ดีนอกองค์กรด้วย แล้วในฐานะที่เราเป็นบริษัทการเงินหน้าใหม่ เรื่องความเชื่อมั่นสำคัญมาก เพราะอยู่ๆ ลูกค้าจะฝากเงิน 10 ล้าน นอนหลับโดยที่ไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังบริษัทนี้ เราโปร่งใสแค่ไหน ใครเป็นนักลงทุน มันต้องสร้างความเชื่อมั่น เรื่องของความเชื่อมั่นสำคัญมากในวงการการเงิน เราเลยเชื่อว่าเราต้องเป็นบริษัทที่มีจิตวิญญาณ ต้องให้ลูกค้าเข้าถึงเราได้ แล้วก็โปร่งใสตรงที่เราทำอย่างจริงใจ ถ้าคนที่ทำแบบไม่จริงใจจะไม่กล้าเปิดเผยตัวเองอยู่แล้ว เราก็เลยเอาหน้าขึ้นตั้งแต่วันนั้น 

ถ้าสังเกตดู Bitkub จะมี Production House ของตัวเอง น่าจะเป็นบริษัทการเงินที่เดียวในเมืองไทยที่มี Production House ทุกคนคิดว่าเป็นบริษัท Marketing Agency ซึ่งก็เป็นแต้มต่ออย่างหนึ่งที่เราคิดว่า ในอนาคตบริษัทอื่นต้องทำมากขึ้นคือใส่จิตวิญญาณเข้าไป ใส่นิสัย ใส่ตัวตนเข้าไป เราก็เลยเอาหน้าตัวเองขึ้น แต่ไม่ได้รู้สึกเขินอะไร

การใช้ CEO Branding เป็นแต้มต่ออย่างไรในการทำธุรกิจ

ต้องดูระดับโลกครับ มีบริษัทที่ยิ่งใหญ่บริษัทไหนที่ไม่มี CEO Branding บ้าง Apple คือ Steve Jobs, Facebook คือ Mark Zuckerberg คนนึกถึงหมด Tesla คือ Elon Musk ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากที่คนที่ทำบริษัทจริงๆ ต้องมา Lead สิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ใช่ให้คนที่โฆษณานมผงมาโฆษณาบริษัทการเงิน อยู่ดีๆ จะมาโฆษณาบริษัทการเงิน มันก็ไม่ใช่

ทำไมการใส่จิตวิญญาณลงไปถึงสำคัญ

Trust Reputation มันสำคัญในวงการการเงิน การที่เราไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง บริษัทมันก็ไม่สามารถที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้ หรือชื่อเสียง หรือความโปร่งใสว่าเราก็จริงใจ จริงจัง ไม่ได้ทำอย่างเล่นๆ

การใช้ CEO Branding ทำให้ต้องระวังตัวในการใช้ชีวิตมั้ย

อย่าง Alibaba ทุกคนต้องนึกถึง Jack Ma เขาบอกว่าถ้าย้อนกลับไปได้คงเลือกที่จะไม่มีชื่อเสียง แต่สังเกตทุกบริษัทที่เป็น Great Company มี CEO Branding หมดเลย เป็น CEO ที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจนหมด แม้แต่ Jack Ma ก็เลี่ยงไม่ได้ หรือ Jeff Bezos (เจ้าของ Amazon) ก็ทำ

มีข้อเสียอย่างแรกคือเรื่อง Privacy ก็เป็นสิ่งที่ต้องยอมแลก CEO ต้องทำสิ่งที่มันจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของบริษัท เราเป็นคนที่ต้องแบกหิน ต้องรับผิดชอบที่สุดในบริษัท ต้องนำไปข้างหน้า ถ้าจำเป็นก็ต้องทำ แต่ถามว่ามีข้อเสียไหม ทุกอย่างมี Consequence อยู่แล้ว ถ้าอยากจะเป็น CEO ก็ต้องรับได้

ส่วนตัวแล้วคิดมั้ยว่า Bitkub จะมาไกลขนาดนี้

ผมเริ่มจากการเปิดบริษัทที่ร้านขายเสื้อผ้าของคุณแม่ที่ประตูน้ำ ก็เปิดคนเดียว มีโซ้ยอี๊ (น้องของแม่) บริจาคโต๊ะเก้าอี้ให้และก็มีคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง แล้วก็เปิดบริษัทบิตคอยน์บริษัทแรกในไทย นั่งทำคนเดียว 

จริงๆ ผ่านอุปสรรคเยอะมากนะครับ ถ้าใครเคยฟังเรื่องราวของผม บริษัทแรกหนักไม่แพ้บริษัทนี้เลย แต่ยิ่งเราเจออะไรหนักๆ มันยิ่งทำให้เราเก่ง รับความเจ็บปวดได้ดีกว่าคนอื่น แล้วทำให้เราเรียนรู้เร็ว ประสบการณ์ยิ่งหนักมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เรายิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งเจอปัญหาเยอะยิ่งเก่ง เป็นเรื่องปกติ แต่เราก็เครียดกว่าคนอื่นเยอะนะ มันมีผลต่อร่างกาย ล่าสุดผมไปตรวจ อายุผม 32 แต่ร่างกายอายุ 49 ซึ่งมันเป็นหนึ่งในการเสียสละ มันก็มีข้อดีข้อเสียในทุกอย่างใช่ไหมครับ ยิ่งทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องเสียสละมากกว่าคนทั่วไป 

ถามว่าเกินคาดไหม จริงๆ ผมประกาศตั้งแต่วันที่เปิด Bitkub วันแรกเลยว่าเราต้องเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศให้ได้ นี่คือเป้าหมาย แต่เราเป็นตัวที่สองก็โอเคเพราะอย่างน้อยก็เป็นได้ ถ้าเทียบ Ticket Size ถือว่าเป็นยูนิคอร์นใหญ่ที่สุดในอาเซียน ถือว่าถึงเป้าหมาย แต่พอถึงเป้าหมายเราต้องมีวิสัยทัศน์ที่ใหญ่ขึ้น ต้องมีทรัพยากรที่มากขึ้น มีทีมงานที่มีความสามารถอยู่กับเรา ก็ไม่ควรจะทิ้งโอกาสนี้ให้เสียเปล่า ควรจะทำสิ่งที่มันยิ่งใหญ่ ดันบาร์ของประเทศให้สูงขึ้น 

จริงๆ ตอนนั้น Bitkub ดันเพดานวงการ Start-up แล้ว ถ้า Bitkub ทำไม่สำเร็จก็ไม่แน่ใจว่า ณ วันนี้วงการนี้จะมีกระแสแบบนี้ไหม แต่อย่างน้อยก็ทำให้เมืองไทยไปอยู่บนแผนที่โลกได้ มี Start-up ไหนบ้างที่ได้ขึ้นเวทีเดียวกับผู้บริหารระดับโลกในงานที่มี Bill Gates ไปร่วมด้วย ซึ่ง Start-up ไทยไม่เคยถึงจุดนี้มาก่อน ถือว่าเป็นการดันเพดานระดับหนึ่ง ถามว่าคาดหวังไหมมันคาดหวังอยู่แล้ว แต่ว่าเป็นเรื่องของเวลามากกว่า ว่ามันถึงเร็วกว่าที่คาดไว้

ผิดหวังมั้ยที่ไม่ได้เป็นยูนิคอร์นตัวแรก

ไม่ผิดหวังครับ อาจจะเป็นเพราะผมรู้จักคุณคมสันต์ก่อน (คมสันต์ ลี CEO ของ Flash Express) พอรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างก็คิดว่าเขาสมควรได้เป็นยูนิคอร์นจริงๆ เพราะเขาผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน

คุณเคยพูดอยู่บ้างว่าคุณไม่เคยนำ Bitkub ไป Pitching เหมือน Start-up รายอื่นๆ เลย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

ใช่ ผมเป็น Start-up ที่แปลกกว่าที่อื่นหมดเลย อย่างแรกไม่เคยระดมทุน ไม่มีกองทุน มีแต่ Angel Investor (นักลงทุนใจดีในช่วงแรกของการประกอบธุรกิจ) อย่างที่สองคือไม่รันธุรกิจแบบขาดทุน อย่างที่สามคือไม่เคยไป Pitch บนเวทีอะไรเลย เพราะผมมองว่ามันไม่ใช่ Deal ที่ดี มันเป็นการตลาดแบบได้ภาพ ได้หน้าเฉยๆ แต่ Ticket Size ที่มัน Sizable จริงๆ มันไม่ได้เกิดจากการมานั่ง Pitch 

อย่างตอน Bitkub เปิดบริษัทใหม่ๆ เราระดมทุนได้ 67 ล้านบาท นี่คือ Ticket Size เดียว 67 ล้านบาท มูลค่า 525 ล้าน ไป Pitch ที่ไหนใครเขาจะบ้าให้เงิน 67 ล้านบวกค่าประเมินอีก 525 ล้าน จริงๆ มันควรจะต้องเป็นธุรกิจ Series A ที่ต้องมี Working Product มีทีม มีออฟฟิศ แต่ผมมีแค่ Presentation Slide ถ้าไป Pitch อย่างนั้นใครจะไปให้ ไม่มีทางอยู่แล้ว

คิดถูกมั้ยที่ตอนนั้นอดทนรอจนกว่าจะมีคนมาลงทุน

ผมว่าผมคิดถูกมาก มันมีข้อมูลบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าการ Pitching ไม่ใช่สิ่งที่ดี มันอาจจะดีในด้านการตลาด แต่ก็ต้องมีบ้างแหละที่ประสบความสำเร็จ แต่จำนวนเทียบกับสัดส่วนมันไม่ได้เยอะ จริงๆ เพราะว่า Bitkub เป็นบริษัทที่สองของผมแล้วด้วย บริษัทแรกขายให้ Gojek ได้ประสบความสำเร็จ ที่เปิดที่ร้านขายเสื้อผ้า Coins.co.th ตอนนั้นถือว่าเป็น Big Exit แต่ตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 70-100 ล้านดอลลาร์ หรือ 2-3 หมื่นล้าน แต่นี่ก็เป็นอีกขึ้นหนึ่ง พอมันมี Credential ว่าปกติ Start-up ตอนนั้นไม่มีใคร Exit เราเป็นคนแรกๆ ที่ Exit ตอนนั้นถือว่าใหญ่ มันก็เลยทำให้คนที่ติดตามตั้งแต่บริษัทแรกเชื่อมั่น เราก็จะระดมทุนโดยที่เรามีสไลด์แค่อันเดียว แต่ได้ทุนระดับ Series A เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวเรา

ในเชิงการเติบโตของธุรกิจ Bitkub โตเร็วกว่าที่คิดมั้ย

ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมทำในตอนแรกคือเราดันปิดรอบการระดมทุน ตอนนั้นก็ภูมิใจที่ปิดได้มูลค่าสูงสุดในวงการ Start-up ไทยที่ 525 ล้านบาท ข้อเสียคือ ยิ่งปิด Valuation สูงเรายิ่งต้องวิ่งเร็ว ให้ Justify Valuation นั้นให้ได้ ภายใน 2 ปีถ้า Runway ยังไม่ถึงจุดนั้นมันจะเกิด Down Round เจ็บตัวทุกคน เพราะฉะนั้นต้องวิ่งให้เร็วในขนาดที่ว่าผมปิดได้ 67 ล้านบาท ถ้าเป็น Start-up ทั่วไปก็คงรับเงินเดือนสักหน่อยเพราะปิดได้เยอะ แต่ผมเลือกที่จะไม่รับเงิน 10 เดือนเพราะรู้ว่าจ่ายตัวเองมันไม่ใช่ ROI (สัดส่วนกำไร) ที่คุ้ม เราต้องใช้ทุกบาทให้คุ้มที่สุด 

แล้วรู้ไหมครับว่ายังไม่พอเลย ถึงจุดที่อีก 2 เดือนเงินจะหมดบริษัท ต้องให้พนักงาน 80 คนออก 

ตอนที่จะต้องให้พนักงานออก คุณแก้ปัญหายังไงบ้าง

ตอนนั้นวิ่งหาเงิน ปีแรกทำเงินได้ 3 ล้าน ค่าใช้จ่าย 40 ล้าน ติดลบ 37 ล้าน ก็เหลือเงินให้อยู่ได้อีก 1 ปี ผมก็เลยเอาเงินไปซื้อบริษัท IT แล้วเปลี่ยนเป็น Bitkub ด้วย ปีที่สองทำเงินได้ 33 ล้าน คือ 1 ปี โต 1,000% ยังไม่พอที่จะ Justify Valuation 525 ล้านได้ ขนาดมากกว่า 1,000% (10 เท่า) จากปีแรกยังไม่พอเลย เพราะเราปิดมูลค่า Funding สูงเกินไป 

หรือ 2 เดือนสุดท้าย มีนักลงทุนคนหนึ่งยื่นข้อเสนอให้ผม 350 ล้าน จากมูลค่า 525 ล้าน เหลือ 350 ล้าน มันคือ Down Round ให้อีก 50 ล้าน ถ้าคุณไม่เอาก็บอกลา Bitkub (ปิดบริษัท) ได้เลย พนักงานก็ตกใจว่า CEO หายไปไหน สุดท้ายผมก็เลือกไม่รับเงิน เพราะมันเป็นการไม่ให้เกียรตินักลงทุนที่เชื่อมั่นในตัวเราตั้งแต่รอบแรก

หลังจากนั้นก็โชคดีที่มีนักลงทุนที่เชื่อใจเราลงมูลค่า 750 ล้าน ก็ถือว่าโอเคขึ้นมานิดหนึ่ง เป็นการต่อลมหายใจ Pre-Series A หลังจากนั้นก็กำไร ปีที่ 3 โตอีก 1,000% จาก 33 ล้านเป็น 350 ล้าน โชคดีที่ต้นทุนโตไม่ถึง 1,000%

ข้อเสียของการที่โตเร็วคือ ต้องเร่งความเร็วกว่าเดิมใช่มั้ย

จริงๆ ช่วงแรกโตช้ากว่าที่ Justify มูลค่าบริษัท แต่ก็โชคดีที่มีคนเชื่อใจเราแล้วก็ต่อลมหายใจให้ แต่ช่วงปีหลังโตเร็วกว่าที่คาดไว้เพราะดันโต 1,000-2,000% เพราะว่า Economy Scale พนักงานเลยเพิ่มจาก 200 เป็น 2,000 คน มันยิ่งกว่า Triple จำนวน Takeout อีก ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ Capture Growth ได้ทันค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น 10% ที่ไม่จำเป็น / Inefficiency เพิ่มขึ้น 10% ปิดตาจดไว้ในใจเดี๋ยวมาแก้ทีหลัง วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่โอเคหรือการจ้างที่ผิดพลาด จดไว้ก่อน 

สำคัญที่สุดคือน้ำขึ้นให้รีบตัก หลังจากนั้นก็มาแก้ไขปัญหาต่างๆ ในบริษัทอีกที มันอยู่ในยุคสมัยของการรันบริษัท Wartime คือช่วงแรกที่จะเกิด Down Round อยู่แล้ว ต้องทำให้บริษัทมีกำไรให้ได้ทุกวิถีทาง เหมือนกระโดดลงหน้าผาแล้วเกาะเครื่องบินให้ทันก่อนถึงพื้น นั่นคือ Wartime หลังจากนั้นคือ Blitzscale ในฐานใหญ่ หลังจากนั้น Bitkub กำลังเข้าสู่ช่วง Peacetime คือทำอย่างไรให้บริษัทอยู่ได้นาน มีความยั่งยืน ทำอย่างไรให้บริษัทประสบความสำเร็จ แบบที่ถ้าผมโดนรถบัสชน Bitkub ก็ยังอยู่ได้ (หัวเราะ)

คิดว่าอะไรที่ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในตัวคุณ

เราไปแชร์วิสัยทัศน์ทั่วๆ ไป ไม่ได้พูดอะไร แต่ที่ไม่ได้บอกใครคือเราไม่ทำให้ใครเจ็บตัวอยู่แล้ว มันเพราะเป็นชื่อเสียงเรา ตอนนั้นที่เหลือเงินสำหรับ 2 เดือนสุดท้าย ผมยังคิดเลยว่าจะขาย Bitcoin ส่วนตัวเพื่อคืนเงินนักลงทุนแล้วปิดบริษัทไหม แล้วก็มีเงินให้พนักงานสักนิดหนึ่ง ตัวเลือกที่สองคือขาย Bitcoin มาแล้วต่อลมหายใจ ซึ่งในใจเราคิดว่าเรามีเงินรับผิดชอบนักลงทุนอยู่แล้วแต่เราวัดใจคนว่าเขาจะเชื่อมั่นในตัวเราไหม สุดท้ายเขาก็เชื่อ 

จริงๆ จากบริษัทแรกหลายคนถามว่าทำไมไม่ใช้เงินส่วนตัว บริษัทที่สองทำไมต้องระดมทุน ช่วงสองเดือนสุดท้ายนี่แหละที่เราต้องเชื่อในตัวเอง มันต้องมีเงินก้อนนั้นเพื่อวันฝนตก ผมก็เลยไม่ได้ใช้เงินตัวเอง แต่ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าเราไม่เคยไม่ให้เกียรติใคร ตอนนี้ผลตอบแทนก็มหาศาล

มีวิธีจัดการ Crisis Management อย่างไร

การมีทีมที่เก่งจะลดปัญหาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นการคัดคนสำคัญมาก อย่าไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ บริษัทคือคน บริษัทที่ดีคือบริษัทที่มีค่าเฉลี่ยคนเก่งเยอะ หลังจากที่คนพร้อมต้องมีการออกแบบองค์กรให้มีการตัดสินใจที่เห็นรอบด้าน มีระบบการตัดสินใจอย่างไร ระบบจัดการความเสี่ยงอย่างไรไม่ให้ผิดพลาดแล้วบริษัทต้องปิด มันต้องเริ่มที่คน

เคยฟังเสียงสะท้อนของพนักงานตัวเองมั้ยว่าทำงานกับคุณยากหรือง่ายยังไง

โห ยากมาก โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่โต 2,000 เปอร์เซ็นต์ต่อปี มันไม่ใช่เพราะทำงานกับผม แต่สภาพแวดล้อมมันบีบบังคับให้ยากอยู่แล้ว บวกกับผมก็ทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ถ้าผมผลักดันตัวเอง ผมก็ต้องผลักดันกับคนรอบข้าง ทุกคนที่โดนผมผลักดันก็จะเกิดการท้าทาย พัฒนาตัวเอง และมันไม่มีทางง่ายเพราะเราไม่ใช่บริษัทที่โต 5 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี ถ้าจะทำอะไรที่มีแรงกระเพื่อมมันต้องยากอยู่แล้ว

มีเงื่อนไขอะไรบ้างสำหรับคนที่จะมาทำงานกับคุณ

มันมี Core Values 7 อย่างคือ Ownership and Beyond คือ รับผิดชอบตัวเองได้ในหน้าที่ของตัวเอง ไม่ต้องให้พูดเยอะ สมมติจ้างนักบัญชีมา Ownership ต้องปิดบัญชีให้ทันเวลา แต่มันมีคำว่า Beyond ด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้น เสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องทำงานได้ ไม่ใช่ทำงาน 9 To 5 ถ้าปิดงบเสร็จแล้วทีม Marketing แพคของไม่ทัน ทีมบัญชีก็ต้องไปช่วยได้ เพราะมันมีคำว่า Beyond

Challenge and Commit กล้าที่จะแชร์ไอเดีย กล้าชนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สมมติมีมติออกมาแล้วแต่ไม่เห็นด้วย เราก็ต้องโต้แย้งให้เป็น ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยแล้วก็ไม่พายเรือนี้ ต่อมามี Earn Trust, Adapt and Innovate, Strive for Result and Action, Passionate and Dive Deep และข้อสุดท้ายที่เพิ่มเข้ามาล่าสุดคือ Empathy and Collaboration มันมี Core Values ทั้งหมด 7 ข้อครับ แล้ววิธีที่จะรู้ได้ดีที่สุดคือทำงานไปเลย ถ้าไม่ใช่ก็ออก เขาอาจจะไปรุ่งที่อื่นก็ได้

คุณเคยพูดในโฆษณาโทรทัศน์ของ Bitkub ว่า “ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป” แล้วในช่วงเวลาสั้นๆ ชีวิตของคนที่ใช้งานหรือเชื่อมโยงกับ Bitkub เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

การที่จะเปลี่ยนอะไรบางอย่างมันไม่ใช้คำว่า ‘ระยะสั้น’ มันเป็นระยะยาว ต้องเข้าใจคำใหม่ว่า Digital Inclusion มีอยู่ 3 อย่างคือ Financial Inclusion, Education ทำอย่างไรให้การศึกษาเข้าถึงทุกคนได้ด้วย Digital Technology แล้วก็ Healthcare ซึ่งสิ่งที่ Bitkub ทำตอนนี้มีทั้งหมด 9 บริษัทแล้ว เรากำลังวางโครงสร้างพื้นฐานที่จะทำให้เกิด Digital Inclusion ในประเทศไทยให้ได้ ในอนาคตรัฐบาลต้องให้ 2 อย่างกับประชาชน คือ Connectivity (การเชื่อมต่อ) กับ Digital ID (อัตลักษณ์ดิจิทัล) ที่เป็นเหมือนแสงไฟจากท้องถนนที่คนเข้าถึงได้ฟรี มันจำเป็นต้องมีเพราะเราไม่สามารถมี Financial Inclusion, Education Inclusion หรือ Healthcare Inclusion ได้เลยถ้าไม่มี Digital Technology, Internet หรือ Digital ID

แต่สิ่งที่ภาคเอกชนต้องทำคือวางตัวเป็น Digital Infrastructure (โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล) แล้วในระยะยาวลูกค้าจะได้ผลประโยชน์อย่างมหาศาล เทคโนโลยีมันเป็น Financial Platform อยู่แล้ว คนไทยสามารถเข้าถึงการใช้งานที่ดีที่สุดได้เลย พวกนี้มันคือประโยชน์ของประเทศทั้งหมด

Bitkub Academy ก็เป็น Education Platform ที่สามารถเปลี่ยนแปลงวงการการศึกษาได้ ปีที่แล้วเรามี Play to Earn ที่จะเชื่อมกับ E-Sports ที่จะมาเปลี่ยนแปลงวงการเกมหรือ Metaverse อีก สุดท้ายก็มี Exercise to Earn อีกเพราะ Healthcare ก็เป็นหนึ่งในสับเซตของ Digital Inclusion 

สรุปง่ายๆ บริษัทที่จะอยู่รอดคือบริษัทที่มีผลประโยชน์ให้กับประชาชน กับลูกค้า บริษัทที่ไม่มีประโยชน์ให้กับลูกค้าจะไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวมันเอง ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ และการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้เกิดขึ้นทันที ต้องใช้เวลา คำตอบคือระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น

เคยรู้สึกหมดความอดทนมั้ย

มีท้อตลอดเวลา แต่ไม่ถอยครับ ที่สำคัญคือไม่ถอย เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ มีวิกฤตหลายอย่างที่ผ่านมาตั้งแต่บริษัทที่แล้ว มันจะถึงจุดที่จะล้มหลายครั้ง แต่ผมแค่ไม่ยอมแพ้ ข้อดีคือยิ่งเจออุปสรรค เราจะชิน เหมือนวิ่งได้ 1 กิโล วิ่งเรื่อยๆ ก็เป็น 10 กิโลได้เป็นเรื่องปกติ ปัญหาก็เหมือนกัน เจอปัญหาเรื่อยๆ มันจะเล็กลง รับความเจ็บปวดได้มากขึ้น

การอดทนรอสำคัญอย่างไร

สำคัญที่สุดครับ การเป็นผู้ประกอบการที่ดีต้องมีความอดทน ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรต้องได้ทันที มันคือหนึ่งในสิ่งสำคัญของการเป็นผู้ประกอบการคือ รับความเจ็บปวดได้มากกว่า อดทนได้มากกว่าคนอื่น สำคัญที่สุดเลยครับ 

การเปิดบริษัท ในสื่อทำให้ทุกอย่างดูง่าย ดูสวยหรู แต่จริงๆ มีอุปสรรคทุกวัน มันมีการทดลองหนึ่งที่ชื่อว่า The Marshmallow Test เป็นการทดลองที่เอามาร์ชเมลโลว์มาวางหน้าเด็ก เด็กคนไหนที่สามารถอดทนรอได้ ไม่หยิบทันที ก็จะได้มาร์ชเมลโลว์อีกชิ้น ธรรมชาติของเด็กถ้าเห็นลูกกวาดเขาก็จะหยิบกิน แต่เขาพิสูจน์แล้วว่าคนที่ห้ามใจตัวเองได้นานที่สุด โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีมากกว่าคนอื่น

คิดว่าคุ้มมั้ยกับการอุทิศตนให้ Bitkub และบริษัทเก่า

เป็น 8 ปีที่เหนื่อยมาก ถ้ารวมช่วงเรียนด้วยก็ 15 ปี ผมใช้คำว่าไม่ได้ใช้ชีวิตเลย ช่วงมหาลัยก็ไม่ได้มีชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป ไม่ได้ปาร์ตี้ ไม่ได้มีแฟน ไปอังกฤษ 5 ปี ดูบอลนัดเดียวทั้งที่ชอบดูบอลมาก เจ็บปวดไหมก็เจ็บปวด แต่ถามว่าภูมิใจไหมก็ภูมิใจ ครั้งหนึ่งได้จบจาก Oxford มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก ถามว่า 8 ปีที่ผ่านมาเจ็บปวดไหมที่ไม่มีชีวิตเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้แต่งงานมีลูก ต้องเสียสละตัวเอง มีอุปสรรคเข้ามาตลอด เจ็บปวดแต่ก็ภูมิใจ หนึ่งครั้งในชีวิตได้สร้างยูนิคอร์นมันไม่ได้แฮปปี้ แต่มันเติมเต็ม

เราไม่ได้หยิบ Marshmallow กินเลย แต่เรานอนตายตาหลับเพราะไม่ได้เสียใจว่า ตอนนั้นน่าจะเปิด Start-up

เคยมีภาพวันเกษียณตัวเองในหัวมั้ย

ยังเลยครับ ทุกช่วงชีวิตผมจะมีเป้าหมายเดียว และจะทำแค่อันเดียว ช่วงเรียนมีเป้าหมายคือเข้ามหาลัยระดับท็อปให้ได้ ไม่แคร์เรื่องอื่นเลย เปลี่ยนการคบเพื่อน สายตาสั้นเพราะเข้าสมุด 7 วันต่อสัปดาห์ จบมาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเราเป็นคนส่วนน้อยที่ถูกเกี่ยวกับบิตคอยน์ คนส่วนใหญ่ผิด ต่อมาก็จะสร้างยูนิคอร์น ไม่เคยคิดไกลขนาดนั้น คิดแค่เป้าหมายช่วงชีวิตตอนนี้

สำหรับตัวคุณแล้ว คุณเกิดมาเพื่อเป็นที่หนึ่งหรือเกิดมาเพื่อเป็นที่สุด

ผมไม่เคยแข่งขันกับใครเลย ไม่มีคู่แข่ง มีแค่เป้าหมายจะเข้ามหาลัยระดับโลกให้ได้ แข่งกับตัวเอง หรือช่วงที่พิสูจน์ตัวเองก็แข่งกับคนส่วนใหญ่ในโลกเพราะเราเป็นคนส่วนน้อยที่เข้าใจก่อนคนอื่น เราเป็นคนที่ไม่ชอบแพ้และโฟกัสมากๆ กับเป้าหมาย เป็นตั้งแต่เด็กแล้ว คุณพ่อบอกตอนเด็กเวลาเล่นเกมใครเรียกชื่อก็ไม่ได้ยิน จริงๆ ตอนนี้ก็ไม่รู้เลยว่าคู่แข่งตัวเองคือใคร รู้แค่มีเป้าหมายและต้องทำให้ได้

เรื่องไหนที่รู้สึกสะใจที่สุดในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา

เราประสบความสำเร็จให้คนที่ไม่เชื่อในตัวเราเห็น

แต่ไม่ได้แค้นใช่มั้ย

ไม่ครับ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำธุรกิจกันพอดี (หัวเราะ)

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า