fbpx

คลั่งชาติ วาทศิลป์ นายทุนและชนชั้นกลาง เคล็ดลับสู่การเป็น “ท่านผู้นำ” ของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์”

“อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ผู้นำพรรคนาซีเยอรมัน ได้รับการกล่าวขานในหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะเผด็จการผู้คร่าชีวิตประชาชนไปเป็นจำนวนมาก เรื่องราวของเขาเป็นบันทึกบทหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุโรป ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นอกจากจะมีสีสันแล้ว ยังเป็นบทเรียนจากบาดแผลให้มนุษย์ทุกคนบนโลกได้จดจำถึงความเลวร้ายจากความคลั่งชาติ ที่นำไปสู่การแบ่งแยกและทำลายศักดิ์ศรีของมนุษย์ในที่สุด

ในวันเกิดของฮิตเลอร์ 20 เมษายน The Modernist ขอพาไปย้อนรอยเส้นทางสู่อำนาจของฮิตเลอร์ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ ทั้งคุณสมบัติด้านวาทศิลป์ ความคลั่งชาติอย่างสุดจิตสุดใจ และบริบทสังคมและการเมืองทั้งในเยอรมนีและในยุโรป ที่ส่งให้เขาก้าวขึ้นสู่สถานะ “ท่านผู้นำ” ในที่สุด  

จากอาร์ทติสสู่เผด็จการ 

ฮิตเลอร์มีความฝันอยากเป็นจิตรกรระดับโลก ถึงขนาดเดินทางสู่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย เมื่ออายุ 17 ปี เพื่อสอบเข้า Academy of Fine Art สถาบันศิลปะชั้นนำของยุโรป แต่ก็ถูกปฏิเสธจากสถาบันดังกล่าวถึง 2 ครั้ง เมื่อถูกปฏิเสธจึงกลายเป็นศิลปินไส้แห้งข้างถนรับทำงานวาดรูปทิวทัศน์ของเมืองเวียนนาประทังชีวิต และอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์คนไร้บ้าน

ชีวิตพลิกผันจากศิลปินกลายเป็นคนคลั่งชาติ 

เมื่อไม่มีงานทำ ประกอบกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้อุบัติขึ้น และขยายวงกว้างไปทั่วยุโรป อาร์ทติสฮิตเลอร์ผู้ไม่มีงานทำก็เลยสมัครไปเป็นพลทหารสังกัดกองทัพเยอรมนี ความคลั่งชาติเยอรมนีของเขาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เพราะว่ากองทัพเยอรมนีในสายตาฮิตเลอร์ไม่ควรจะแพ้สงคราม แต่กลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียอย่างนั้น ทำให้เป็นภาพจำฝังใจ และทำให้เขามุ่งมั่นจากพลทหาร ไต่เต้าสู่การเป็นผู้นำประเทศและใช้อำนาจบังคับให้ทั้งประเทศสร้างสรรค์ศิลปะในแนวทางที่ตนเองชอบ หลีกเลี่ยงศิลปะแนวนามธรรม และไล่ทำลายศิลปะที่ไม่ถูกจริตกับตนเอง จนผลงานอันทรงคุณค่าของประเทศเยอรมนีเสียหายเป็นจำนวนมาก

ภาพลักษณ์และวาทศิลป์ชนะใจคน 

หลายคนอาจมองฮิตเลอร์เป็นเผด็จการโหดร้าย เอาแต่ใจ แถมสุดจะขี้เหวี่ยง แต่หารู้ไม่ว่าภาพลักษณ์ของเขาล้วนดึงดูดสายตาของชาวเยอรมนีหลังพ่ายแพ้สงครามโลกได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกที่ก้าวร้าวดุดัน การไว้หนวดทรงแปรงสีฟันอย่าง “Handlebar Style” ที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำในทุกยุคสมัยหรือการทำสัญลักษณ์มือและส่งเสียงว่า “Heil Hitler“ เพื่อสื่อถึงอำนาจของตนเอง ล้วนเป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ที่ติดตรึงใจของชาวเยอรมนี 

คุณสมบัติอันโดดเด่นของฮิตเลอร์ที่เราไม่ควรมองข้าม คือความสามารถในการพูด ซึ่งก่อนหน้านี้ ความสามารถของเขาก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว  จากการที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโฆษกประจำกองทัพเยอรมนี ในยุคที่สังคมกำลังแตกแยก เศรษฐกิจย่ำแย่ และเกียรติภูมิประเทศเสื่อมถอยจากการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ฮิตเลอร์ ในฐานะผู้นำพรรคนาซีชาติเยอรมัน ใช้วาทศิลป์กล่าวสุนทรพจน์เร่าร้อน ปลุกเร้ากระแสเกลียดชาวยิว และปฏิเสธสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่เยอรมนีต้องชดใช้ค่าปฏิกรณ์สงครามจากความพ่ายแพ้ในสงครามโลก เขาตระหนักดีว่าการพูดปลุกใจและโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือที่จะช่วยควบคุมทิศทางความคิดของประชาชนในประเทศ และส่งเสริมความนิยมในตัวเขาและพรรคได้ดีที่สุด

สถานการณ์เป็นใจ ให้ชายหนวด 

มีคำพังเพยที่ว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” แต่สถานการณ์ของเยอรมนี ใน ค.ศ. 1929 – 1931 กลับ “สร้างชายไว้หนวด” เพราะว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของเยอรมนี ณ ขณะนั้นตกต่ำมาก การเมืองไร้เสถียรภาพ รัฐบาลเยอรมนีที่มาจากประชาธิปไตยก็มีศัตรูรอบด้านที่พร้อมจะล้มรัฐบาลอยู่ทุกเมื่อ และที่สำคัญ ชาวเยอรมันไม่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยมากเท่าไร เพราะมองว่าเป็นการหยิบยื่นอุดมการณ์ทางการเมืองของฝ่ายที่มีชัยให้เยอรมนี จึงเป็นช่องทางที่ทำให้จอมเผด็จการอย่างฮิตเลอร์ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการครอบงำเยอรมนีด้วยระบอบนาซี 

สังคมเยอรมนีและยุโรปก่อนยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ยิ่งเป็นใจ ให้กับฮิตเลอร์ เนื่องจากกระแสชาตินิยมและ กระแสฟาสซิสต์ที่แพร่กระจายไปทั่วยุโรป จะเห็นได้จากเติบโตของพรรคที่มีอุดมการณ์ชาตินิยมในประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน และประเทศอื่นๆ นโยบายของพรรคนาซีเองก็โดนใจกลุ่มกรรมกรชาวเยอรมนี เพราะสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตอาวุธ รวมถึงไล่คนเห็นต่างออกนอกประเทศ และบรรจุกรรมกรชาวเยอรมันเข้าไปแทนที่ สนับสนุนการยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ยกเลิกเสียค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ได้ใจกลุ่มทหารเก่าและกลุ่มคลั่งชาติไปในตัวด้วย 

กลุ่มนายทุนอุตสาหกรรมกับกลุ่มนายทุนธนาคารก็สนับสนุนฮิตเลอร์เช่นกัน เพราะเขามีนโยบายชัดเจนที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ กลุ่มนายทุนเล็งเห็นแล้วว่าหากฮิตเลอร์ได้เป็นรัฐบาลต้องได้รับความคุ้มครองอย่างแน่นอน ที่สำคัญฮิตเลอร์เล่นงานชาวยิว ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจในเยอรมนี ทำให้นักธุรกิจเยอรมนีไร้คู่แข่งและประกอบธุรกิจได้อย่างไร้กังวล 

ความอยากลองของใหม่ เพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้วของชนชั้นกลางในเยอรมนีก็เป็นปัจจัยหนึ่ง เพราะที่ผ่านมา พรรคสังคมประชาธิปไตยเป็นรัฐบาลมาเกือบ 14 ปี แต่ไม่ได้สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวเยอรมัน กลุ่มเกษตรกรชาวเยอรมันก็ชอบนโยบายส่งเสริมกสิกรรมของพรรคนาซี เพราะยึดที่ดินของชาวยิวมาแจกจ่ายให้กับชาวเยอรมัน พร้อมส่งเสริมการศึกษาตลอดจนค่ารักษาพยาบาลสำหรับเยาวชนอีกด้วย ด้วยนโยบายที่แจ่มชัดเพื่อคนเยอรมนี ทำให้เขาประสบความสำเร็จและก้าวสู่ผู้นำเผด็จการในนามของพรรคนาซีในที่สุด

ที่มา : Workpointtoday / The Standard / Way Magazine / Prachatai

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า