NASA กำลังพัฒนาวิธีการที่จะส่งมนุษย์ไปยังดาวอังคารภายในทศวรรษ 2030 และผลวิจัยใหม่เปิดเผยว่า ผู้หญิงจะเป็นนักบินอวกาศที่ดีที่สุดในการขึ้นไปสำรวจดาวอังคาร
นักวิจัยจาก European Space Agency (ESA) พบว่าผู้หญิงใช้ออกซิเจนน้อยกว่า ผลิตคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า และต้องการอาหารน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ชาย
ภารกิจที่ใช้เวลา 1,080 วัน พร้อมนักบินอวกาศหญิงจำนวน 4 คน จัดทำขึ้นโดยนักวิจัย และพบว่าพวกเธอต้องการอาหารน้อยกว่า 3.736 ปอนด์ และช่วยประหยัดงบประมาณได้มากกว่า 158 ล้านเหรียญสหรัฐ ในกระบวนการทำงาน
ขณะที่ทีมนักบินอวกาศที่เป็นหญิงล้วนจะมีขนาดเล็กลง หมายถึงทีมนักบินอวกาศจะมีพื้นที่ในแคปซูลมากขึ้น และมีพื้นที่เก็บอุปกรณ์ช่วยชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย
หลังจากการเดินทางนาน 7 เดือนไปยังดาวอังคาร นักวิจัยจะขอให้หน่วยงานด้านอวกาศต่างๆ พิจารณาข้อมูลนี้ เพื่อลดจำนวนและปริมาณของอาหารที่ใช้ในการเดินทาง
เจฟฟรีย์ แลนดิส นักวิทยาศาสตร์ของ NASA ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อดีของการใช้นักบินอวกาศที่เป็นผู้หญิง เมื่อปี 2000 ว่า นักบินอวกาศหญิงมีมวลร่างกายน้อยกว่าและบริโภคในปริมาณที่น้อยกว่า ส่วนเหตุผลที่ควรมีลูกเรือเป็นผู้หญิงล้วนนั้นก็ง่ายมาก คือ ความต้องการการสนับสนุนที่น้อยลงและใช้พื้นที่ในยานอวกาศน้อยลง ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อพิจารณาในเชิงตัวเลข มีนักบินอวกาศของ NASA เพียง 72 คน จาก 622 คน ที่เป็นผู้หญิง และได้บินขึ้นสู่อวกาศ นอกจากนี้ NASA เองยังส่งนักบินอวกาศขึ้นสู่อวกาศทั้งหมด 355 คน มีนักบินอวกาศหญิง 55 คน คิดเป็น 15% เท่านั้น
วาเลนตินา เทเรชโควา นักบินอวกาศชาวโซเวียต เป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เดินทางสู่อวกาศในปี 1963 และในอีก 20 ปีต่อมา ผู้หญิงชาวอเมริกันคนแรกที่ได้เดินทางสู่อวกาศ ได้แก่ แซลลี่ ไรด์
เดือนที่แล้ว NASA ประกาศว่า คริสตินา คอช จะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เดินทางไปยังดวงจันทร์ ในฐานะหนึ่งในลูกเรือของยานอาร์ทีมิส 2 ที่จะปล่อยขึ้นสู่อวกาศในเดือนพฤศจิกายน ปี 2024
ที่มา : indy100
Content Creator
