fbpx

ถกลเกียรติ วีรวรรณ : เมื่อช่องวัน 31 ไม่ใช่ช่องทีวี แต่คือ Content Creator

“ยังมีคนดูทีวีอยู่อีกเหรอ?” คงเป็นคำถามที่โลกแตกพอสมควรสำหรับใครหลายๆ คน แต่แน่นอนว่าคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าหลากหลายกระแสในโลกออนไลน์ที่มีต้นตอมาจากหน้าจอโทรทัศน์ก็มีให้เห็นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกระแสตอบรับ การชื่นชม หรือแม้กระทั่งการสร้างมูลค่าต่างๆ สื่อโทรทัศน์ล้วนยังมีความสำคัญอยู่มาก

วันนี้ The Modernist มีโอกาสได้จับเข่าพูดคุยกับ “คุณบอย” ถกลเกียรติ วีรวรรณ ที่เราจะมาไขความสำเร็จและเส้นทางผลงานตลอด 31 ปีที่ผ่านมา รวมไปถึงเรื่องราวที่เขาอยากจะบอกกับคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาด้วยว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้ต่อยอดไปได้คืออะไร? วันนี้มาร่วมไขคำตอบกันจากบทสัมภาษณ์นี้ได้เลย

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

มุมมองในชีวิตที่ผ่านมาในการทำงานระยะเวลา 31 ปี เป็นอย่างไรบ้าง?

“ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ผมคิดว่ามันอยู่ที่ความพร้อมของตัวเราด้วย มันอยู่ที่สภาพของตัวเราด้วย มันอยู่ที่ใครมาทำงานกับเราด้วย มันอยู่ที่สภาพของสังคมด้วย มันอยู่ที่เทคโนโลยีด้วย วิธีคิดมันก็เปลี่ยนไป งานแต่ละงานก็จะเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เปลี่ยนไปให้ได้ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน”

คุณบอยมองอุตสาหกรรมละครโทรทัศน์ ละครเวทีเปลี่ยนไปยังไงบ้างไหม?

“เปลี่ยนครับ เพราะว่าเมื่อสังคมเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน ละครก็เปลี่ยน เพราะสุดท้ายละครก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนชีวิตของคนในแต่ละยุคสมัย บางสิ่งของคนที่เปลี่ยนไป ความคิดของตัวละครก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย มันถึงมีละครพีเรียดกับละครปัจจุบัน มันก็อยู่ที่ว่าเราจะหาโอกาสยังไงกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น แล้วจะสร้างสมดุลกันยังไงมากกว่าครับ”

พอเป็นละครเวทีกับละครโทรทัศน์ มันมีความยากง่ายของแต่ละประเภทยังไงบ้าง?

“จริง ๆ แล้วมันเป็นพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน แต่มันก็เป็นการแสดงคนละแบบกันเลย ละครโทรทัศน์มันมีการถ่ายทำ พอถ่ายทำเสร็จมันบันทึกไว้หมดแล้ว เอาไปตัดต่อได้ แต่ละครเวทีมันเล่นสดทุกรอบ ไม่มีการบันทึก ถ้าบันทึกก็คือบันทึกความเข้าใจของนักแสดงและทีมงานให้มาทำการแสดงแล้วเหมือนกันในแต่ละรอบ”

มีช่วงที่ผ่านมาที่ทำ เมืองมายา live เพราะอะไรที่มาทำเป็นละครสด แล้วอะไรที่ทำให้ไม่ถูกไปต่อจากโปรเจคที่วางไว้ทั้งหมด?

“คือตอนนั้นเราก็หาอะไรที่จะลองดู ถ้าทำละคร TV สดมันจะเป็นยังไง เสร็จแล้วก็ดูผลตอบรับว่าคนดูให้แต้มกับมันมากน้อยเพียงไหน ถ้าเผื่อสมมุติว่าเราทำแล้วลงของเยอะมาก แล้วคนดูให้แต้มกับมันมาก เราก็อาจจะทำต่อ แต่ถ้าเราลงของเยอะมาก แต่คนดูให้แต้มน้อยกว่าของที่เราลง เราก็ต้องมาดูว่ามันคุ้มหรือไม่คุ้ม มันไม่ใช่แค่เงิน แต่มันรวมถึงพลังงานและเวลาที่เสียไป มันก็มีอีกหลายปัจจัย

คือผมเป็นคนที่มีความฝันก็จริง แต่ผมก็ต้องมองถึงสมดุลระหว่างความฝันกับความเป็นจริงว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรทำแค่นี้พอแล้ว อะไรยังทำได้อีก ผมว่าจริง ๆ แล้ว วงการบันเทิงมันก็อยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างความฝันกับความจริง”

อะไรที่เป็นจุดเด่นของช่องวัน 31 ในช่วงปีที่ผ่านมาบ้างไหม?

“มีมากครับ (หัวเราะ) ผมว่ามันเป็นการลองผิดลองถูก ตอนแรกผมมองว่าเราโชคร้ายมากที่ประมูลทีวีดิจิทัลมาในช่วงที่มันเกิด digital disruption แต่พอถึงวันนี้ผมมองว่ามันเป็นผลดี เพราะกลายเป็นว่าเราได้เรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันกับมัน ก็เลยเหมือนกับเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี เราก็จะไม่เหลิง ไม่เกินเลย เราก็ค่อยเป็นค่อยไป เราอยู่กับมันตั้งแต่ต้น เราเห็นว่าเทรนด์มันเป็นยังไงไปยังไง จะอยู่กับมันยังไง จะ balance มันยังไง จะประคองไปยังไง และจะไปสู่อนาคตยังไง

Disruption ไม่ได้แปลว่าห่างหาย ร่ำลา เมื่อมันมีการเปลี่ยนแปลง มันก็มีโอกาสอะไรเพิ่มขึ้นมา อันนี้ต่างหากที่เราต้องมอง ไม่ใช่ล้มไปให้หมดแล้วหาใหม่ มันทำให้รากฐานที่เราทำกันมาไม่มีประโยชน์ไปเลย ซึ่งมันไม่ใช่ รากฐานในชีวิตยังสำคัญอยู่ เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่มีรากก็โตไม่ได้ แต่ว่าในวันที่ภูมิทัศน์สื่อมันเปลี่ยนไป คุณจะตัดเล็มกิ่งก้านมันยังไงให้มันเท่าภูมิทัศน์สื่อที่มันเป็นอยู่น่ะครับ เราจะใช้ technology ใหม่ๆมาช่วยเสริมสร้าง traditional media ยังไง และ/หรือเอา traditional media ไปต่อยอดใน technology ใหม่ๆได้ยังไง ผมว่าอันนี้ต่างหากที่เราดูแล มันคือการสร้างสมดุล สร้างโอกาสมากกว่า”

วิธีการปรับของช่องวัน 31 กับที่อื่นมันเป็นยังไง?

“ผมว่ามันเป็นกรณีๆ ไปนะ ถ้าเกิดคุณมองว่ามันเป็น threat ยังไงมันก็เป็น threat แต่ถ้าคุณมองว่ามันเป็นโอกาส มันก็เป็นโอกาส เราก็ต้องหาโอกาส อย่างที่ผมบอกว่าการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้แปลว่าหายหมด มันแปลว่าแล้วมันมีตรงอื่นมาเพิ่มหรือไม่ต่างหาก เราก็ต้องดูสิ บวกกับสิ่งที่เรามีอยู่แล้วเป็นต้นทุน ซึ่ง 31 ปีที่เราทำมา ต้นทุนมหาศาลมาก 31 ปีในวงการ 31 ปีของประสบการณ์ในการทำสื่อบันเทิง มันเป็นทรัพยากรที่หาซื้อไม่ได้เลย มันอยู่ที่ว่าเราจะหยุดแค่นั้นเหรอ เราก็ไม่หยุดไง เราก็ต้องต่อยอดให้มัน เพื่อให้มันเดินไปกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมให้ได้ อันนั้นต่างหากที่จะเป็นโอกาส”

มีละครเรื่องไหนที่ในใจพี่บอยรู้สึกชื่นชอบ?

“ถ้าผมจะเอา 31 ปีที่ผ่านมา ผมว่าสามหนุ่มสามมุมมันก็เป็น masterpiece ในยุค 30 ปีที่แล้ว สามหนุ่มสามมุมที่ทำใหม่อาจจะไม่ masterpiece เหมือนยุคนั้น ก็ต้องรับได้ เข้าใจได้ หลังจากนั้นก็มี อยากหยุดตะวันไว้ที่ปลายฟ้า ทอฝันกับมาวิน ตอนนั้นผมก็ถือว่าเป็น masterpiece ในยุคนั้น ถ้ามาถึงยุคนี้ผมก็จะบอกว่า วันทอง คือ masterpiece มันก็ต่างกันในแต่ละยุคสมัยนะครับ เราไม่ได้ยึดติดแต่เราต้องไม่ลืม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นบทเรียนได้เสมอ

ถ้าพูดถึงละครเวทีผมก็จะบอกว่า สี่แผ่นดิน The Musical คือ masterpiece หรืออย่างบัลลังก์เมฆ ก็เป็น masterpiece แล้วพอบัลลังเมฆกลับมาทำใหม่ ก็เป็น another masterpiece ที่ผมก็ชื่นชอบ เหมือนกับ แม่นาคพระโขนง The Musical พวกนี้ครับ คือสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกดีกับมันมาก ๆ รู้สึกว่ามันเติมเต็มแล้วมันก็ให้อะไรกับคนดู ผมคิดว่างานแต่ละอย่างเราก็จะมองหาว่ามันเติมเต็มอะไรบ้าง มันเติมเต็มเราในการทำงาน หรือเติมเต็มคนดู หรือเติมเต็มเพื่อนร่วมงานที่ทำงานนั้น ๆ ผมคิดว่าแต่ละเรื่องที่ผมพูดมามันก็เติมเต็มได้หลายๆแบบ”

ถ้าย้อนไปวันแรกที่เริ่มต้นทำงานด้านละครโทรทัศน์ จนถึงวันนี้เติบโตมากน้อยแค่ไหน?

“เติบโตเยอะสิ เพราะเราก็เรียนรู้มากขึ้น เราก็รอบรู้มากขึ้น แล้วเราก็ปรับไปตามสถานการณ์ ผมว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ไม่จบสิ้นครับ ตอนที่เรียนจบใหม่ๆเราก็จะไฟแรงมาก เราต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่หลายครั้งความอยากของเรากลับกลายเป็นเราไม่ได้นึกถึงผู้อื่น หรือเงื่อนไขต่างๆอีกเยอะแยะ เราก็ต้องเรียนรู้มันและปรับวิธีคิดของเราให้เข้ากับความเป็นจริงโดยที่ยังไม่ทิ้งความฝัน เราอาจจะทำได้ครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่ง มันก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ แต่อีกครึ่งหนึ่งหรือส่วนหนึ่งที่เราทำไม่ได้ เราก็ต้องเรียนรู้กับมันด้วย ผมคิดว่าเราต้องเรียนรู้กับทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว ไม่ว่าละครเรื่องนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลว เราต้องมานั่งวิเคราะห์ว่ามันสำเร็จเพราะอะไร หรือมันล้มเหลวเพราะอะไร

ถ้าล้มเหลว เราควรจะทำแตกต่างไปแบบไหนมันจะได้ไม่ล้มเหลว เราต้องช่างสังเกต เราต้องเรียนรู้ในมุมกว้าง อยู่กับปัจจุบัน อันนี้คือสิ่งที่ผมทำมาตลอด 31 ปี แน่นอนว่าเมื่อ 31 ปีที่แล้ว ผมก็เหมือนเด็กจบใหม่อีกหลายคน ผมจะปฏิวัติวงการละครของประเทศไทย ผมก็มีความตั้งใจอย่างนั้น แต่พอเข้ามา ถามว่ามันทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์อย่างที่เราคิดไหม มันอาจจะทำได้ประมาณ 60 หรือ 70 แต่ที่เหลืออีก 30 นั่นคือสิ่งที่เราต้องเคารพนะ จะไม่สนใจมันเลยไม่ได้

แน่นอนว่าเราต้องมีฝัน มีเป้าหมายที่เราอยากจะไปให้ถึง และต้องจริงจังและทุ่มเท แต่สุดท้ายแล้วคุณก็ต้องดูความเป็นจริงด้วย ไม่งั้นคุณจะกลายเป็นฝันเฟื่อง แล้วพอคุณทำไม่ได้ คุณก็จะมาโทษนู่นนั่นนี่ ยกเว้นโทษตัวเอง ซึ่งอันนี้ผมว่าไม่ได้ ก่อนที่เราจะทำอะไรซักอย่าง เราต้องกลับมาดูที่ตัวเราเองก่อนว่าเราคือใคร เรารู้อะไรและเราไม่รู้อะไร เรายังต้องฝึกอะไรเพิ่ม ถ้าผมล้มเหลว ผมจะมองที่ตัวเองก่อน ผมอาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง ผมอาจจะคิดผิดหรือไม่รอบคอบ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะแก้ยังไง เราปรับตัวเองได้ครับ อะไรที่เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้เราทำได้ ถ้าเราควบคุมไม่ได้เราก็ไม่ต้องไปควบคุมมัน แต่เราต้องอยู่กับมัน เราต้องไปกับมันให้ได้ แล้วสุดท้าย 31 ปีมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ที่ผ่านมาผมได้ทำอะไรตั้งเยอะ และทุกวันนี้ผมก็ยังอยู่ตรงนี้ มันก็เป็นบทพิสูจน์อะไรบางอย่าง ใช่ไหมครับ”

ในฐานะที่เป็นผู้บริหารช่อง content อะไรที่เรามองว่ามันยากที่สุด?

“ยากหมดนะครับ (หัวเราะ) ผมว่ามันไม่มีอะไรง่ายเลย มันยากหมดครับ ผมว่าเราก็ต้องดูต้องศึกษากับมันเยอะๆ กับทุกๆ อย่างครับ ถ้าพูดถึงข่าว ทุกวันนี้เราจะรู้ได้ยังไง ข่าวสารเต็มไปหมดเลย สักพักนึงมันก็มา มันก็เด้งฟีดมาแล้วในโทรศัพท์ ข่าวลวงก็เยอะ อะไรจริง อะไรไม่จริง แล้วเราจะไปรู้ได้ยังไง เราก็ต้องหาข้อมูลกันโดยที่เราต้องไม่มีความอคติ เพราะสุดท้ายแล้วคนอยากฟังความจริงนะครับ แต่มันก็มีหลายประเภทไง คนอยากฟังความจริง หรือคนอยากฟังในสิ่งที่ตัวเองอยากฟัง อันนี้เราก็เลือกที่จะนำเสนอให้กับคนที่อยากฟังความจริงดีกว่า เพราะว่าถ้าเกิดคนอยากฟังในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยิน บางทีมันก็ไม่ใช่ข่าว เพราะงั้นเราก็ต้องไปหาข้อมูลที่มันถูกต้องและรอบด้าน มันถึงจะออกมาได้

แต่ถ้าเกิดเราหาแล้วไม่รู้ บางทีเราก็ต้องหยุดก่อน อย่าเพิ่งนำเสนอ เพราะทุกวันนี้ถ้าเป็นเรื่องของความเร็ว ยังไงคุณสู้ Social media ไม่ได้หรอกครับ ผมอยากได้ความถูกต้องมากกว่าความเร็ว เพราะว่าความเร็วบางทีมันทำให้เกิดหายนะได้ คุณขับรถเร็วเกินไปแล้วรถพลิกคว่ำ มันไม่คุ้มกันหรอก ก็จะต้องดูแลกันดีๆในเรื่องของข่าว

ในเรื่องของละครเองก็ต้องดู เพราะว่าละครก็จะใช้คนเยอะมาก แต่ละคนก็อาจจะไม่เข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจ ซึ่งถ้ามองเป็นเรื่องดีมันก็เป็นเรื่องดี ถ้าเกิดเขาเหมือนกับเราหมดก็น่าเบื่อแย่สิ เราก็จะไม่มีอะไรใหม่ๆ เราต้องค้นหา หาหลากหลายความคิดของคนเอามาทำงาน แต่ให้มันไปอยู่ในทิศทางที่เราตกลงกันแล้วว่าอย่างนี้น่าจะลงตัว ผมว่ามันก็คือการสร้างสมดุลว่าเรามี concept แบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะมีรายละเอียดหรือวิธีการนำเสนอที่หลากหลาย เราต้องไม่ปิดกั้นความคิดของคนอื่น ความคิดใหม่ๆ การบริหารงานละครมันคือการบริหารศิลปินนะ บริหารศิลปินทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เสร็จแล้วจะจัดการกับมันยังไง แปลว่าเราต้องรับฟังเยอะแยะมากมาย ไม่งั้นกลายเป็นเราก็อาจจะตกเทรนด์ แต่ถ้าเผื่อเราไม่มีจุดยืนเราก็จะสะเปะสะปะ (หัวเราะ) รายการ variety ก็เหมือนกัน ผมว่ารายการกับละครมีความคล้ายกันในหลากหลายมุมมอง”

อะไรที่คนรุ่นใหม่ที่ต้องเติมอะไรเข้าไปในการที่เขาจะเข้ามาในวงการบันเทิง?

“รากฐาน สิ่งที่มันน่ากลัวอยู่ทุกวันนี้ ด้วย Social media มันไปเร็วมาก แล้วมันทำให้คนรู้สึกว่าฉันรู้เยอะแล้ว แต่ว่าสิ่งที่คุณรู้นั้นมันรู้จริงหรือเปล่า หรือคุณรู้แค่ผิวเผิน หรือรู้แค่สิ่งที่คุณอยากรู้ และอย่างที่บอกว่า Social media มันมีทั้งข้อดีและมีทั้งข้อเสีย มันทั้งสร้างและทั้งทำลาย คุณต้องรอบรู้ในหลายๆ มุมมอง หลายๆ ทิศทางนะครับ ผมยังเชื่อในทฤษฎีกฎ 10,000 ชั่วโมง คือถ้าคุณจะสำเร็จกับการทำอะไรได้ คุณต้องทำมันอย่างน้อย 10,000 ชั่วโมง คุณนับไปสิกี่ปี 1 วันคุณทำงาน 8-10 ชั่วโมง คุณคูณไปสิเป็นกี่ปี ตรงนั้นแหละถึงจะถือว่าคุณมีรากฐานที่แข็งแรงกับงานนั้นๆที่คุณทำ ไม่ใช่แค่ในวงการนะ งานทุกงาน แล้วงานนั้นมันต่อยอดเป็นงานอะไรนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ก็นี่ไงฉันทำงานมามากกว่า 10,000 ชั่วโมงแล้ว เป็นกี่สิบปีไม่รู้ แต่คุณมาทำอีกแบบหนึ่ง มันก็เป็นคนละงานกัน บางทีมันไม่เหมือนกันนะ

แต่แน่นอนว่าคุณต้องคิดว่าคุณจะใช้ประสบการณ์ของคุณมาปรับใช้ยังไง เพราะฉะนั้นเราถึงบอกว่า โอเค คุณทำงาน 10,000 ชั่วโมงก็จริง แต่คุณก็ยังต้องเรียนรู้ไปอีกเยอะ เพราะว่าโลกมันก็เปลี่ยนไปอีก จริง ๆ แล้วผมอยากให้เด็กรุ่นใหม่ยังต้องตระหนักถึงตรงนี้ว่ามันเหมือนดูง่าย แต่มันไม่ง่าย ผมไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้มาง่าย ๆ มันจะอยู่ได้ยาว เอาอย่างนี้ดีกว่านะ อย่างที่ผมบอกแหละ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ทุกวันนี้บางทีผมก็เห็นว่า บางคนคิดว่ามันได้เงินง่ายเหลือเกิน รีวิวอะไรนิดเดียวก็ได้เงินละ ในการทำ YouTube Channel ถ้าคนชอบก็ดี แต่อย่าลืมกรณีศึกษามัน อย่าเหลิงกับมัน ความหายนะมาจากการเหลิง ฉันรู้ฉันเป็นแล้วได้เงินเยอะแยะ ถ้าอยู่ได้ยาวก็ดีไป แต่ถ้าอยู่ไม่ได้ยาวอันนี้น่ากลัว เพราะเราไม่รู้ว่าโลกมันจะเปลี่ยนไปอีกแค่ไหน อะไรมันจะเปลี่ยนแปลงไปอีกแค่ไหน เราตามมันทันหรือเปล่า และมันไม่ได้แปลว่าสิ่งที่คุณไม่เห็นมันไม่มีนะ อันนี้สำคัญมากนะครับ คือบางทีคนรุ่นใหม่หลายคนบอก ฉันไม่ดูทีวีแล้ว ฉันดูแต่สื่อออนไลน์ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าคุณไม่ดูแล้วคนอื่นไม่ดูนี่ มันมีจำนวนคนอีกไม่น้อยในประเทศนี้ที่ยังดูทีวีกันอยู่ แน่นอนคนดูทีวีน้อยลงแต่ไม่ใช่ไม่มีเลย ยังมีอยู่ เยอะด้วย อย่าลืมว่าหลายๆครั้งสิ่งที่ทำให้เกิดกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ได้มันมาจากทีวีนะ ไม่งั้นวันทองก็ไม่กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างใน social media หรอก

หรือกระเช้าสีดา ถ้าไม่มีทีวีก็ไม่มีทางเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ได้ขนาดนี้ เพราะฉะนั้น อะไรก็แล้วแต่เราต้องมองหาโอกาส มันต่อยอดได้ไหม มันไปไหนอีกได้ไหม ละครทุกวันนี้ที่เราทำออกอากาศในทีวีก็จริง แต่มันจะต่อยอดตรงไหนได้อีกล่ะ เราก็ต้องมองหาโอกาส ในขณะที่บางคนอาจคิดว่าอะไรที่ไม่ได้เป็นกระแสในโลกออนไลน์แปลว่ามันไม่เกิด อันนี้ผิด เพราะกลายเป็นว่าคุณมองอยู่มุมเดียว ไม่มองมุมอื่น มันก็จะไม่รอบคอบครับ

อย่างที่ผมบอก มันก็ย้อนกลับไปสมัยที่ผมจบใหม่ ผมไฟแรง ผมมีความฝัน แต่ผมจะมีความฝันแค่ไหนผมก็ต้องดูความเป็นจริงด้วย ความฝันมันมาจากไหนแล้วเราจะสร้างสมดุลกับความเป็นจริงได้ยังไง ถามว่าผมทิ้งความฝันไหม ผมไม่เคยทิ้งนะ แล้วถามว่าฝันของผมมันกลายมาเป็นความจริงได้มากมายแค่ไหน ผมว่าผลงานที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้ว ผมฝันอยากทำนั่นอยากทำนี่ แล้วผมทำได้ไหม ผมทำได้ สำหรับผม ผมเคยพูดว่า คนเราต้องมีฝัน แต่มันไม่ใช่ทำความฝันให้เป็นจริง มันเป็นการทำความจริงให้ไปถึงฝัน อันนี้สำคัญมากนะครับ”

การลองผิดลองถูกคือสิ่งที่สำคัญ เหมือนเป็นการเรียนรู้ของเราเองถูกไหม?

“ใช่ครับ เราต้องไม่คิดว่าเราน้ำเต็มแก้ว มันมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ แล้วเราต้องเรียนรู้ ผมว่ามันเป็นอะไรที่น่ากลัวสำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอมือถือแล้วคิดว่ารู้ทุกอย่าง อันนี้น่ากลัว เพราะจะกลายเป็นกลวง รากฐานมันจะไม่แข็งแรง อันนี้คือสิ่งที่มันน่ากลัว แล้วมันก็จะเป็นต้นไม้ล้มลุก วันนี้มันสวยนะ แต่มันก็เป็นไม้ล้มลุกนะ ไม่ใช่ไม้ยืนต้น อันนี้คือสิ่งที่ต้องระวัง ผมว่ามันคือธรรมชาตินะครับ ยังไงมันก็คือธรรมชาติ คุณจะอะไรยังไงก็ได้ แต่คุณไปแข่งกับธรรมชาติไม่ได้ เหมือนทุกวันนี้คุณห้ามฝนไม่ให้ตกไม่ได้ คุณห้ามไม่ให้ใครตายไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ มันก็คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราก็ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน แต่อยู่ที่ว่าตอนที่ยังอยู่ เราจะทำให้มันดีที่สุดอย่างไร แล้วถ้าเกิดบอกว่าอยู่ไปเดี๋ยวก็ตายแล้วมันก็ไม่ใช่ไง อันนี้เกิดมาเสียชาติเกิดสิ (หัวเราะ)

การแข่งขันของทีวีดิจิทัลในปี 2021 มันดุเดือดมากขนาดไหน?

“ก่อนที่เราจะไปสู้กับคู่แข่ง เราจะทำยังไงกับธรรมชาติดีกว่าไหม (หัวเราะ) เราจะมีกลยุทธ์ยังไงที่จะทำให้เราอยู่กับสถานการณ์โควิดได้ อันนี้ต่างหาก ก่อนที่เราจะไปคิดถึงคู่แข่ง เพราะอันนี้คือคู่แข่งตัวใหญ่เลย ซึ่งอย่างที่เราบอกว่าเราห้ามไม่ได้ไง แต่เราจะอยู่กับมันได้ยังไง เราจะมีกลยุทธ์ยังไงที่จะอยู่กับมัน อันนี้ต่างหากครับที่สำคัญ มันก็ไม่ต่างอะไรกับตอนเริ่มช่องทีวีดิจิทัล อ้าว digital disruption ก็ไม่ต่างกัน มันก็คือกลยุทธ์ที่เราคิดว่าด้วยสถานการณ์โควิด เอาแบบนี้แล้วกัน คือถ้าในสถานการณ์ปกติ เราก็แบบเรตติ้งเราควรจะขึ้นไปอันดับเท่านั้นเท่านี้ พอสถานการณ์โควิด เราก็เดี๋ยวก่อน อันดับช่างมันก่อน เอาให้อยู่รอดก่อนไหม (หัวเราะ)

คือมันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เหมือนเวลาคุณป่วย ก่อนที่คุณจะทำอะไรได้ คุณต้องรักษาตัวเอง ให้ออกจากโรงพยาบาลให้ได้ก่อน ถูกไหมครับ? อันนี้ผมว่าก็เหมือนกัน แล้วเราก็ต้องประคอง โอเค แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป อันนี้ล่ะความยาก มันจะสมดุลกันยังไง มันจะมีกลยุทธ์ยังไงที่จะประคองทุกสิ่งทุกอย่างให้มันดี เพราะฉะนั้นมันคือรายละเอียดในแต่ละวันว่าเราจะทำมันยังไง เดี๋ยววันนี้มีประเด็นนี้เราจะปรับยังไง เราจะแก้ยังไง เราจะเลี้ยวยังไง”

พอเจอโควิด-19 เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากสิ่งเหล่านี้?

“เรียนรู้เยอะว่าในโลกนี้เราอยู่คนเดียวไม่ได้ ไม่มีใครอยู่คนเดียวได้ นึกออกมะ ถ้าพูดถึงโควิด เราปลอดภัยคนเดียวแต่คนอื่นไม่ปลอดภัย ยังไงภัยก็มาถึงตัวเรา เราเซฟตัวเองแต่คนอื่นไม่เซฟ ยังไงภัยก็มาถึงตัวเรา เพราะฉะนั้นเราถึงบอกว่า เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เราต้องประคับประคองซึ่งกันและกัน อันนี้สำคัญมาก คือบางทีผมรู้นะว่าบริษัทสื่อบันเทิงหลายบริษัท เหมือนไม่สนใจคนอื่น กูเอาตัวกูรอด มันเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะถ้าคุณคิดจะเอาตัวคุณรอด แต่ถ้าวงการไม่รอดคุณก็ไม่รอด เพราะมันใช้บุคลากรร่วมกันเยอะมาก โอเค ดาราตัวท็อป พระเอกนางเอก อาจจะเซ็นกับช่องนั้นช่องนี้ก็ว่ากันไปนะครับ แต่ตัวรอง ตัวพ่อตัวแม่ ไม่ได้เซ็นกับใครนะ เขาไปเล่นทั่วเลยนะ

แล้วถ้าเกิดกองเราดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวดมาก แต่ดาราคนนี้เขาไปอีกกองหนึ่งที่ปล่อยปะละเลยไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัยกัน สุดท้ายพอเขากลับมาทำงานกับเรา เขาก็มีสิทธิ์เป็นพาหะมาติดคนของเราได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันคือ Nobody is safe until everyone is safe. นั่นคือความจริง ผมว่านั่นคือสัจธรรมของชีวิตนะครับ อันนี้คือสิ่งที่ผมเรียนรู้จากโควิด และผมว่ามันก็ support กับสิ่งที่ผมคิดมาตลอดครับ ว่ามันจะทำยังไงให้อุตสาหกรรมมันดีขึ้นกว่านี้ เราก็อยากจะให้อุตสาหกรรมมันดีขึ้นกว่านี้ แต่บางทีมันก็พูดยาก เพราะว่าวิธีคิดของแต่ละองค์กรมันก็มีความคิดที่แตกต่างกัน มันก็ประมาณนี้ ก็โอเค ก็ไม่เป็นไร ก็ต้องอยู่กับมัน มันเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด แต่ต้องทำ ทำให้เห็น ไม่ใช่มัวแต่ไปโทษคนนู้นคนนี้ อันนี้ยังไงมันก็จะไม่เกิด”

ก้าวต่อไปของช่อง one 31 ในฐานะของผู้นำคอนเทนต์จะเป็นอย่างไร?

“ไม่มีใครเปิดทีวีแล้วดูช่องเปล่าๆ ไม่มีใครเปิดดู color bar เพราะฉะนั้นคอนเทนต์จึงสำคัญมาก เราไม่ใช่แค่ช่องทีวี เราเป็น content creator ที่มีช่องทีวีที่ได้รับความนิยมเป็นของตัวเองด้วย แต่ว่าไม่ได้มีแค่ช่องทีวีไง เราก็ยังไม่ทิ้งโอกาสในการที่จะเอาคอนเทนต์ของเราไปปล่อยในแพลตฟอร์มอื่น ๆ ใน Social media ใน OTT platform ที่มีอยู่ในทุกวันนี้ ในโลกดิจิทัลที่มีในทุกวันนี้ แล้วเราก็มองหาโอกาสตลอดว่ามันจะไปต่อยังไงได้ แต่คอนเทนต์ต่างหากที่มันเป็นสิ่งที่คุณต้องมีก่อน คุณถึงจะไปต่อยอดได้ ถ้าคุณไม่มีคอนเทนต์ก็จบ ก็เจ๊ง

เพราะฉะนั้นการที่เราบอกว่าเราเป็น content creator มันสำคัญมาก เราต้องย้อนกลับมามองตัวเราเองก่อนว่าเราเป็นใคร เรามีจุดแข็งจุดอ่อนยังไง เราถึงจะเข้าใจได้ว่าอนาคตเราจะเดินไปทางไหนได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าเราบอกว่าเราเป็น content creator แปลว่าเราต้องคิดว่าเราทำคอนเทนต์แล้วมันไปออกตรงไหนได้บ้าง? แต่ถ้าเราทำตัวเป็นช่องทีวี คนรุ่นใหม่ก็ถาม พี่ วันนี้ใครเขาดูทีวีกันวะ ถึงบอกว่าเราต้องกลับมามองว่าเราเป็นใคร เราเป็น content creator และเราก็ดีกว่า content creator อีกหลายเจ้า ที่เรามีช่องทีวีของเราเองด้วย เราเลือกได้ว่าจะเอา content ของเราไปออกในช่องเราเองหรือไปออกใน on line หรือทั้งคู่ แบบไหนที่ลงตัวที่สุดสำหรับ content นั้นๆ ตรงนี้คือมูลค่า ทำไมทุกวันนี้ซีรีส์วายหลายเรื่องที่ดังในออนไลน์อยากมาเช่าเวลาช่องทีวีเรา เพราะถ้ามันออกทีวีได้ด้วยเขาจะขายสปอนเซอร์ได้เยอะขึ้นไง เขาก็ได้กำไรเพิ่มขึ้นไง แล้วคุณจะมาบอกว่าทีวีไม่มีมูลค่าได้ยังไง

ตราบใดที่เรายังมีทีวีอยู่ เราก็ทำประโยชน์จากมันให้คุ้มค่าที่สุดสิ ทั้งเรื่องการสื่อสารและเรื่องธุรกิจ เราก็ดูแลรักษามันและบริหารให้มันดีที่สุด คุณต้องแยกแยะระหว่างโอกาสกับสิ่งที่คุณมี แล้วใช้มันทั้งคู่ แต่ว่าคอนเทนต์คือสิ่งสำคัญไง ไม่ต้องอะไรหรอก ที่ผมบอกว่าไม่มีใครเปิดมาดู color bar ไม่ใช่แค่ในทีวีนะ ใน YouTube ก็ไม่มีใครดู color bar เปล่าๆเช่นกัน  (หัวเราะ) ถูกเปล่าล่ะ คิดแค่นี้มันก็ง่ายละ เราเป็นใคร คือคำถามที่สำคัญที่สุดเลย ซึ่งมันก็คือรากฐานของเรา และเราจะต่อยอดมันไปได้อีกเรื่อยๆ”

พี่บอยอยากบอกอะไรพวกเขาบ้างไหมครับว่ามันมีทางเลือกอาชีพอีกมากมายที่ได้เลือกอีกเยอะในนิเทศศาสตร์?

“คือคุณอยากเป็น youtuber หรือคุณอยากจะเป็นนักแสดงก็ได้ แต่คุณต้องเรียนรู้ว่ารากฐานของมันจริงๆคืออะไร คุณอยากเป็นนักแสดงเพราะคุณมีความสุขกับศาสตร์และศิลป์ของมัน หรือเพราะว่าคุณแค่อยากดังและอยากได้เงินจากมัน เพราะอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณไม่ได้เรียนรู้ถึงพื้นฐานการแสดงเลย คุณก็อยู่ได้ไม่กี่ปีหรอก คุณจะหน้าหล่อหน้าสวยแค่ไหน แป๊บเดียวก็จะมีหน้าหล่อหน้าสวยที่หน้าเด็กกว่าคุณมาแทนคุณได้เสมอ ถ้าคุณไม่รู้จักที่จะไขว่คว้าหารากฐานของการแสดงที่แข็งแรงจริงๆ ไม่นานคุณก็ไป มันมีให้เห็นมาตลอด มันไม่เปลี่ยนหรอกอันนี้ อันนี้คือธรรมชาตินะ คุณหน้าเด็กอย่างนี้ไม่ได้ตลอดหรอก (หัวเราะ) ทั้งโลกก็เป็นแบบนี้ ทั้งดารา Hollywood เกาหลี หรือไทย อุ้ย 10 กว่าปีผ่านไปทำไมหน้าตาเป็นอย่างนี้แล้วล่ะ ถ้าเขาไม่มีความสามารถในการแสดงจริงเขาก็อยู่ไม่ได้หรอก

แล้วคุณคิดว่า YouTube มันจะอยู่กับคุณไปนานแค่ไหน ผมก็ไม่รู้ ผมตอบไม่ได้ ถ้าถามผมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ใครจะตอบได้ว่าทีวีจะเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าต่อไป YouTube จะไม่เปลี่ยน แล้วถ้าคุณไม่รู้หลักการทำคอนเทนต์ที่แท้จริง คุณแค่ผิวเผินกับมัน อยู่กับมันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งมันเกิด YouTube disruption ขึ้นมา คุณจะทำยังไง ถูกไหมฮะ

คุณต้องเรียนรู้รากให้มันแข็งแรงก่อนหรือเปล่า ว่ามันคืออะไร มันมาจากไหน แล้วเอาอะไรมาปรับใช้กับปัจจุบัน กับ ณ เวลานั้น ๆ ได้แค่ไหน มันก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นะครับ แต่รากฐานสำคัญมาก มันก็เหมือนคุณเล่นกีฬา ถ้าคุณจะเป็นนักกีฬา สมมุติว่าคุณอยากจะเป็นนักวอลเล่ย์บอล คุณไม่ต้องคุมอาหารเหรอ คุณไม่ต้องกายบริหารเหรอ คุณไม่ต้อง exercise ด้วยการวิ่งเหรอ คุณไม่ต้องออกกำลังกายอื่นๆเหรอ คุณจะหัดตบลูกอย่างเดียวเหรอ (ใช่ คุณต้องหัดตบลูกด้วยแต่ก็ไม่ใช่อย่างเดียวไง) การออกกำลังกายแบบอื่นๆมันก็เพื่อให้ร่างกายคุณพร้อมทั้งหมด ให้ร่างกายคุณแข็งแรงไง คุณอาจจะต้องทำอะไรอีกหลายๆ อย่างที่มันมองไม่เห็น อย่ามองแค่ผลลัพธ์”

อะไรคือจุดอ่อนที่เราต้องพัฒนาเพิ่มเติมไหม?

“ผมว่าจุดอ่อนจุดแข็งมันก็ไปด้วยกันแหละครับ (หัวเราะ) มันมีจุดแข็งมันก็มีจุดอ่อน เราก็ต้องรู้ตลอดเวลาว่า อันนี้เราดีอยู่นะ แต่เราก็ขาดตรงนี้นะ มันไม่มีอะไร 100% หรอก ยิ่งงานสายบันเทิงนะครับ มันไม่ใช่หาสูตรน้ำอัดลม 1 สูตร แล้วขายได้เป็น 10-50 ปี มันคงไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเป็นละครแต่ละเรื่องก็มีจบ เราก็ต้องเปลี่ยนเรื่องทุกๆ 2 เดือน มันคนละแบบกัน ถ้าเป็นรายการ variety อาจจะอยู่ได้ยาวหน่อย แต่เราก็ต้องคิดว่าในแต่ละตอนเราจะมีรายละเอียดอะไร เราจะมีลูกเล่นอะไรที่มันจะดูแล้วทุกสัปดาห์มันไม่ได้เหมือนกันตลอด มีความเหมือนและมีความต่าง จุดอ่อนอาจจะมาจากความตัน คิดไม่ออก เราจึงต้องเติมอาหารสมองอยู่ตลอดเวลา พักบ้าง ไปเที่ยวบ้าง เปิดโลกให้กว้างขึ้นบ้าง นั่งนิ่งๆ บ้าง ทำสมาธิบ้าง ”

ทำไมละครต้องเกิดการ remake กันขึ้นเป็นจำนวนมาก?

“ผมว่ามันอยู่ที่เป้าหมายในการ remake ตั้งแต่แรกก่อนนะครับ ว่ามันมีมุมมองอะไรที่ต่างหรือไม่ ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ เลย พอผมพูดว่าจะทำวันทองขึ้นมา มันมีสองกระแส ก่อนที่ละครจะฉาย กระแสหนึ่ง เฮ้ย ในยุค 2021 มันจะเป็นยังไง มุมมองใหม่ การตีความใหม่ในวันทองก็น่าติดตามดู อันนี้ก็เป็นทางบวก ในขณะเดียวกันก็มี feedback บางอันว่า ฉันไม่อยากดู จะทำอีกทำไมวันทอง ฉันรู้เรื่องขุนช้างขุนแผนหมดแล้วจะทำอีกทำไม เราก็บอกว่าเราทำวันทอง เราไม่ได้ทำขุนช้างขุนแผน เขาก็ถามว่ามันต่างกันยังไง ก็รอดูสิครับ มันพูดถึงวันทองไง มันเป็นอีกแบบหนึ่งไง แล้วเราก็มีมุมมองใหม่ที่จะนำเสนอ

สุดท้ายพอละครฉาย ก็ได้สองกระแสอีก กระแสชื่นชมจะเยอะกว่าจนเป็น talk of the town ที่ เออ ใหม่มากเลย เรื่องเก่าที่เขียนใหม่ มุมมองใหม่ เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ไม่เคยเห็น ในขณะเดียวกันก็มีส่วนน้อยที่บอกว่า ฉันอยากได้ยินเสภาสวยๆของขุนช้างขุนแผน ทำไมไม่มี ก็จะมีการต่อว่ามาแบบนี้ เราก็ต้องชัดเจนว่าเราตั้งต้นว่าจะไม่ทำแบบนั้นไง ก็อยู่ที่วิธี approach เราแต่แรกว่าเราอยากจะทำอะไร เราอยากทำวันทองสำหรับคนดูในยุค 2021 เราไม่ได้อยากทำขุนช้างขุนแผน แล้วผมว่าอันนี้ต่างหากที่จะทำให้เกิดศิลปะร่วมสมัย ศิลปะแบบดั้งเดิมก็มี ศิลปะที่มันจะร่วมสมัยที่จะพัฒนาไปแต่ละยุคสมัย มันก็ต้องทำได้ ไม่งั้นมันจะติดแต่รูปธรรม ซึ่งมันตายได้

แฟชั่นมันเปลี่ยนไปทุกปี มันก็มีวัฎจักรของมัน มันก็อยู่ที่ว่าเรามองในมุมอะไร หรือเรื่องกระเช้าสีดา ก็ remake นะ แต่ถ้าย้อนกลับไปดูเวอร์ชั่นเก่าๆ อำพนไม่เด่นเลยนะ แต่เวอร์ชั่นนี้อำพนเด่นมาก ก็เป็นมุมมองที่จะเล่าอีกแบบหนึ่ง เข้าใจว่ามันจะ remake แต่ remake ออกมายังไงนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันก็แล้วแต่นะ บางเรื่องอาจจะอยาก remake ด้วยมุมมองเดิมเพิ่มเติมคือเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำได้หวือหวากว่าเมื่อก่อน และอยากนำเสนอให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นก็ได้เหมือนกัน ผมว่าจะ remake หรือไม่ อยู่ที่ว่าเรื่องนั้น ๆ มันไปทำในปีพ.ศ.ที่คุณนำเสนอได้หรือเปล่า แล้วคุณจะมองมันยังไง ผมว่ามันอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ”

ฝันที่พี่บอยอยากทำในอนาคตคืออะไรครับ

“พัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่ และหาความเป็นไปได้กับสิ่งใหม่ ๆ แล้วก็ไม่ยึดติด แต่ไม่ลืมรากฐานกับสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่แค่คอนเทนต์ที่เรามี แต่รวมไปถึงกับวิธีคิดก็ดี กับวิธีการที่เราเรียนรู้ กับบุคลากรหรืออะไรต่าง ๆ ก็ดี แล้วก็หาโอกาสใหม่ ๆ เข้ามาเสมอครับ”

ระหว่างการเป็น content creator ที่เช่าเวลาช่องอื่นแบบสมัยก่อน กับในยุคนี้ที่มี channel เป็นของตัวเอง บริหารจัดการยากง่ายต่างกันไหม?

“แน่นอนเรามีข้อได้เปรียบกว่าเมื่อก่อนเยอะ แต่เราต้องวางของให้มันอยู่ถูกที่ถูกทาง ของอันนี้เหมาะกับอยู่ตรงไหนก็ให้มันอยู่ตรงนั้น แล้วมันจะสร้างความนิยมและรายได้ได้ดีที่สุด และนอกจากนั้นแล้ว มันไปอยู่ตรงอื่นได้อีกไหมเพื่อเป็นการต่อยอด หรือเป็นการวางหมาก เราต้องชัดเจนว่าอันนี้วางเพื่ออะไร คอนเทนต์นี้วางตรงนี้เพื่ออะไร เพราะถ้าเกิดอยู่ผิดที่ผิดทางมันก็จะไม่เกิด”

อยากมีอะไรจะบอกกับแฟน ๆ ช่องวัน หรือคนที่เข้ามาอ่านแล้วอยากจะเปิดใจดูช่องวัน?

“มันเป็นการเติบโตไปด้วยกันครับ ช่องวันเป็นช่องใหม่ที่เริ่มในยุค digital disruption เราก็สร้างมันมาจากโครงสร้างนั้น และเราก็เรียนรู้กันไป ในขณะเดียวกันเราก็มีรากฐานที่แข็งแรงที่เราไม่ได้เพิ่งมาเริ่มที่ช่อง เพราะเราเป็น content creator มา 31 ปีแล้ว เรามีรากฐานและประสบการณ์จากการทำงานไม่ใช่แค่ 10,000 แต่เป็น 100,000 ชั่วโมงแล้ว (หัวเราะ) เราก็เอาตรงนี้มาปรับใช้และอยู่กับปัจจุบัน  แล้วก็ไม่ลืมที่จะมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาขยายและต่อยอดสำหรับอนาคต มาโตไปด้วยกันสิครับ”


ละคร 5 เรื่องของช่องวันที่คุณบอย-ถกลเกียรติ
แนะนำว่าต้องดู!

ว่าด้วยละครทั้ง 5 เรื่องที่คุณบอยจัด List มาให้ชาวส่องสื่อได้ติดตามกัน เผื่อใครอยากจด List ละครที่คิดว่าอยากดูซ้ำ หรือยังไม่ได้ดูแล้วอยากดูเลย ต้องจัดแล้วนะ! เริ่มกันที่ละครยิ่งใหญ่แห่งปีกับ “วันทอง” ต่อด้วย “พิษสวาท” ละครขึ้นหิ้งเลยก็ว่าได้ ตามมาด้วย “กระเช้าสีดา” ละครที่รอภาคสองอย่างใจจดใจจ่อ และ “หัวใจศิลา” ละครที่รีเมคทีไร มีความสดใหม่เสมอ ตบท้ายด้วย “ภาตุฆาต” ละครที่สุดสนุก ใครเห็นลิสต์แล้วอย่าลืมไปตามกันนะ!

Content Creator

Graphic Designer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า