fbpx

“สุชาติ ชมกลิ่น” เราคือเพื่อนกัน ว่าแต่ท่านคือเพื่อนใคร?

“…ปรบมือดังเสียงกลอง และป่าวร้องว่าไม่ยอมให้ผู้ใด

มาทำร้ายลิดรอนสิทธิ์เสรีที่เรามี

ตราบที่เรายังหายใจ

จับมือเดินก้าวไป เราคือเพื่อนกัน”

เสียงเพลงปลุกเร้ากำลังใจที่ดังขึ้นแทบทุกครั้งที่มีการชุมนุมของประชาชนในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลงานของวงสามัญชน วงดนตรีเพื่อชีวิตของคนรุ่นใหม่ และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเรียกร้องประชาธิปไตยในยุคนี้ แต่ในห้วงเวลาที่การชุมนุมทางการเมืองไม่คึกคักนัก เพลงนี้กลับดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าในบริบทที่ต่างออกไป และกลายเป็นตลกร้ายในช่วงค่ำของวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา

เพราะเพลง “เราคือเพื่อนกัน” นี้เกิดดังขึ้นอีกครั้งใน Facebook Fanpage ของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยประกอบในมิวสิกวิดีโอภาพบรรยากาศเวทีปราศรัยของพรรคที่จังหวัดชลบุรี ก่อนจะถูกคอมเมนต์แซว และโพสต์นี้ก็ถูกลบออกไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

หลังจากนั้น วงสามัญชนได้ออกแถลงการณ์ว่าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น “ไม่คู่ควร” กับเพลงนี้ และขอให้นายสุชาติ “อดทนรับคอมเมนต์บันเทิงจากแฟนคลับวงสามัญชนโดยไม่ปิดกั้น”

แม้จะเติบโตมาอย่างสู้ชีวิตในครอบครัวสามัญชนในจังหวัดชลบุรี ไต่เต้าจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนสู่การเป็นรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน และเป็นหนึ่งในพรรครัฐบาลคนดีที่ตั้งใจมาปราบโกง เหตุใดสามัญชนจึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ผู้นี้ และนี่คือเหตุผลที่อาจจะทำให้นายสุชาติไม่สามารถเข้าแก๊งสามัญชนได้ ดังนี้

ผลงานการรับมือสถานการณ์โควิด-19

หากจะมีวิกฤตการณ์ใดที่วัดใจและวัดฝีมือของผู้บริหารประเทศ “โควิด-19” ก็น่าจะติดอันดับต้นๆ เลยทีเดียว เพราะเจ้าเชื้อไวรัสนี้ได้พลิกวิถีชีวิตของผู้คนในทุกวงการแบบหน้ามือเป็นหลังมือ บวกกับการบริหารสถานการณ์โรคระบาดที่ไร้ประสิทธิภาพ หลายชีวิตก็ถูกพลิกจากหลังมือเป็นหลังเท้าไปเลย 

แรงงานทุกภาคส่วนก็หนีไม่พ้นวิกฤตนี้เช่นกัน และนั่นก็เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงานในมือของท่านรัฐมนตรีสุชาติ โดยในช่วงที่รัฐประกาศมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งไม่มีการวางแผนล่วงหน้าหรือแนวทางสนับสนุนหรือเยียวยาประชาชนแต่อย่างใด วันที่ 28 มิถุนายน 2564 มีรายงานข่าวว่า นายสุชาติได้กล่าวถึงการจ่ายเงินเยียวยาลูกจ้างรายวันในอุตสาหกรรมก่อสร้าง “เดือนละ 2,000 บาท” ส่วนแรงงานไทยนอกระบบก็ให้มาขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม เพื่อรับเงินช่วยเหลือ 2,000 บาท และการจ่ายเงินส่วนนี้ต้องรอคณะรัฐมนตรีอนุมัติอีกครั้ง เพราะใช้งบเงินกู้

และอีกหนึ่งมาตรการที่พีคไม่แพ้กัน คือการสั่งปิดแคมป์คนงาน เพื่อป้องกันไม่ให้คนงานเดินทางกลับภูมิลำเนา ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด พร้อมย้ำว่า “ขณะนี้ใครอยู่ในแคมป์เราจ่ายตังค์” และจะมีการประเมินทุก 15 วัน หากแคมป์คนงานใดมีความปลอดภัย จะพิจารณาเปิดเป็นรายกรณี

มาตรการรับมือกับสถานการณ์โควิดของนายสุชาติ เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกซักฟอกในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 3 กันยายน 2564

ในวันที่ 3 กันยายน 2564 นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ได้วิพากษ์การทำงานของนายสุชาติ ในกรณีปิดแคมป์คนงานว่า “ไม่มีการวางแผน จะประกาศล็อกดาวน์วันศุกร์ แต่คืนวันศุกร์กลับบอกว่า ไม่ล็อกดาวน์แล้ว กลับไปกลับมา นี่จึงเป็นที่มาของการกระจายโรคออกสู่ต่างจังหวัด แรงงานแห่กลับต่างจังหวัด เพราะการประกาศล็อกดาวน์แบบไม่มีแผนรองรับ ไม่มีความรอบคอบ” ซึ่งหลังจากที่มีการปิดแคมป์คนงาน ก็มีผู้ประกอบการไปร้องเรียน จนรัฐออกมาตรการใหม่ ยกเว้นให้โครงการใหญ่ทำงานก่อสร้างได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีการเตรียมการและวางแผนใดๆ

นอกจากนี้ นายสมคิดยังตั้งคำถามถึงการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติที่ลักลอบเข้าประเทศไทย ซึ่งแม้จะมีมาตรการให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ยังมีแรงงานข้ามชาติกลุ่มใหญ่ไม่ยอมขึ้นทะเบียน เสี่ยงต่อการนำโควิด-19 เข้ามายังประเทศไทย และยังมีปัญหาเรื่องการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายโดยส่งส่วยให้กับเจ้าหน้าที่

และในระหว่างที่เกิดสถานการณ์โรคระบาด กระทรวงแรงงานได้นำงบประมาณ 850 ล้านบาท ไปซื้อคอมพิวเตอร์ ซึ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ ข้ออภิปรายหนึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในขณะนั้น คือการที่นายสุชาติ “ปล่อยปละละเลยให้แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายปะปนอยู่ในระบบแรงงาน และเกิดการแสวงหาประโยชน์จากแรงงานผิดกฎหมายดังกล่าว จนเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบของผู้ใช้แรงงานและโรงงานจากมาตรการของรัฐในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค จนผู้ใช้แรงงานต้องตกงานจำนวนมากและใช้ชีวิตตามยถากรรม นักศึกษาจบใหม่ก็ไม่มีงานทำ ซึ่งเป็นอัตราการว่างงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ภาคการผลิตได้รับผลกระทบอย่างหนักจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างรุนแรง และยังบกพร่องผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดคลัสเตอร์การติดเชื้อใหม่ในโรงงานรายวันโดยไม่มีมาตรการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ”

นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ทำเองไม่ได้และคนอื่นห้ามทำ

นอกจากมาตรการรับมือกับสถานการณ์โควิดและการดูแลแรงงานตามหน้าที่ของกระทรวงแล้ว ประเด็นที่นายสุชาติถูกอภิปรายในเวทีเดียวกัน คือความจริงใจในการบริหารงานด้านแรงงาน เพราะขณะที่หาเสียง พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งนายสุชาติสังกัดอยู่ในขณะนั้น ได้กล่าวถึงนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 – 425 บาทต่อวัน จบอาชีวะได้ 18,000 บาท จบปริญญาตรีได้ 20,000 บาท แต่หลังจากทำงานมาได้ 1 ปี กลับไม่มีวี่แววว่าจะทำตามสัญญา ทั้งที่ขอเวลาไม่นาน

และก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานได้ของบประมาณสภาพัฒน์ จาก พ.ร.บ.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เพื่อเอามาสร้างงาน ซึ่งได้งบประมาณมา 19,000 ล้านบาท จ้างงานได้ 4 แสนกว่าคน แต่เมื่อปฏิบัติจริงกลับลดจ้างแรงงาน 50,000 คน ตัดงบประมาณไป 3,000 ล้านบาท เหลือ 16,000 บาท โดยอ้างสถานการณ์โควิด ทำให้แรงงานหลายคนได้รับผลกระทบ

จนกระทั่งในวันที่ 2 มิถุนายน 2565 นายสุชาติได้ชี้แจงในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ว่า ยังไม่สามารถปรับค่าแรงขั้นต่ำได้ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และกล่าวว่า

“เหตุผลที่ต้องปรับค่าแรงขั้นต่ำมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 66 นี้ ถึงปรับค่าแรงได้ ถ้าไปปรับกลางปี บริษัททั่วไป จะมีปัญหาเรื่องค่าแรง โบนัส ยืนยันมีการปรับค่าแรงแน่นอน แต่จะปรับเท่าไร ให้คณะกรรมการไตรภาคีเป็นผู้เสนอขึ้นมา ที่ผ่านมา นายจ้าง ลูกจ้าง บาดเจ็บมามาก อยู่ๆ ให้ปรับค่าแรง 48% แล้วนึกดูว่า จะรอดไหม ถ้าเราไปปรับตามข้อเรียกร้อง นายจ้างอยู่ไม่ได้ แล้วแรงงานจะอยู่ได้หรือไม่ แม้ยังไม่ขึ้นค่าแรง แต่รัฐบาลก็ช่วยเหลือค่าครองชีพ ด้วยการเยียวยาแรงงานทั้งหมด”

ต่อมาในปีเดียวกัน นายสุชาติได้โพสต์วิจารณ์นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทของพรรคเพื่อไทยว่าเป็นการหาเสียงแบบนึกสนุก โดยระบุว่า

“‘เพื่อไทย’ หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย อย่าหาเสียงเพราะนึกสนุกแบบนี้ เพราะสิ่งที่พูดออกมามันเหมือนการโยนระเบิดเวลาให้เจ้าของกิจการ การหาเสียงแบบนี้เป็นการโยนภาระให้ภาคเอกชน แต่ตัวเองได้คะแนนเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”

“นอกจากนี้จะกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศเพราะจะไม่กล้าเข้ามาลงทุน การออกมาพูดแบบนี้ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย”

แล้วนโยบายด้านเศรษฐกิจแบบไหนที่ดีถูกใจรัฐมนตรีแรงงานผู้นี้?

ในระหว่างการหาเสียงในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ นายสุชาติได้ยกตัวอย่างสิทธิประโยชน์ดีๆ จากบัตรสวัสดิการต่างๆ ที่ประชาชนจะได้รับ หากได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น บัตรสวัสดิการพลัส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากเดิมที่เคยให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยวงเงิน 300 – 400 บาท จะเพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเงินชราภาพ อายุ 55 ปี เป็น 10,000 บาท รวมทั้งปรับเพิ่มเงินเลี้ยงดูแลบุตร จากเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ขวบ จากเดิม 800 ปรับเป็น 1,000 บาท

ก็คงจะเป็นตัวเลขเงินสนับสนุนในฝันที่น่าจะพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนได้จริง โดยที่เศรษฐกิจไม่หายนะ…

การเพิกเฉยต่อกรณี “เบอร์รีเลือด” 

ในการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 นายจรัส คุ้มไข่น้ำ ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล ได้สอบถามนายสุชาติ ถึงเรื่องแรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศฟินแลนด์และสวีเดน แต่กลับกลายเป็น “เบอร์รีเลือด” เพราะแรงงานดังกล่าวต้องเผชิญกับงานหนัก ค่าแรงที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย สภาพภูมิประเทศที่ลาดชัน ไกล และหนาวเย็น

ยิ่งกว่านั้น ยังมีรายงานว่า มีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ได้โควตาไปเก็บผลไม้ป่าที่ฟินแลนด์ถูกตั้งข้อหาค้ามนุษย์ และมีภาพนายสุชาติไปดูงานและพบผู้บริหารที่บริษัทดังกล่าว

กรณีนี้ นายสุชาติได้ชี้แจงว่า แรงงานที่มีปัญหานั้นมีเพียง 200 – 300 คน จากแรงงานกว่าหมื่นคน และเป็นกลุ่มที่เพิ่งไปเป็นครั้งแรก ส่วนเรื่องบริษัทที่ถูกตั้งข้อหาเรื่องการค้ามนุษย์และมีภาพตนเองไปดูงาน เนื่องจากบริษัทนั้นมีคนไทยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องไปเยี่ยมเยียน และยืนยันว่ากระทรวงแรงงานไม่ได้สนับสนุนการค้ามนุษย์

แล้วตกลงท่านคือเพื่อนใคร?

19 กันยายน 2563 ขณะที่นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ว่างงานเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และการเตรียมการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ ก็ได้พูดถึงการชุมนุมของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า

“ขอวิงวอนไปถึงนักเรียน นักศึกษา ที่ได้รับการชักชวนมาร่วมชุมนุม ให้หันกลับมามองมิติของการทำงาน การช่วยเหลือของรัฐบาลที่มีให้กับนักเรียนนักศึกษา เพื่อจะได้พัฒนาประเทศชาติไปสู่มิติที่ดีขึ้น”

“ต้องยอมรับว่าเป็นความโชคดีของคนไทยและของประเทศ ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทุ่มเทกำลังในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลก และเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก ที่แก้ปัญหาได้ 100% วันนี้เราอยู่ในช่วงการฟื้นฟูประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงอยากจะขอพลังนักเรียนนักศึกษาจบใหม่ ซึ่งเป็นบุคคลมีความรู้ ความสามารถ มาช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศชาติ ให้เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจดีกว่า”

และต่อมาในวันที่ 5 มีนาคม 2566 นายสุชาติก็ได้โพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัว โดยชื่นชมพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากอาการมือบวมอักเสบ ว่า

“‘ลุงตู่’ ต้นแบบนักสู้ ของผม
ไม่เคยสักครั้งที่จะคิดถึงเรื่องส่วนตน คิดถึงแต่ประโยชน์ประเทศชาติ คิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก และสิ่งที่ลุงตู่รักมากคือพี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ว่าใครจะรัก จะชอบ หรือจะเกลียด ‘ลุงตู่’ อย่างไร ลุงตู่ก็รักทุกคนเหมือนๆกัน

‘ลุงตู่’ ลงพื้นที่ติดต่อกันหลายวัน จนล่าสุด ‘มือบวม’
จนน่าตกใจ …..ลุงตู่ ไม่คิดจะพัก ไม่คิดจะหยุดลงพื้นที่ทำงานสักวันเดียว

จนมาถึงวันนี้ที่คุณหมอ ขอร้องให้พัก เพื่อรักษาอาการให้หาย แต่ ลุงตู่ ก็ยังสู้ต่อ … ผมว่าที่ผ่านมาผมก็เป็นนักสู้ เพราะผมสู้อยู่ตลอดเวลา มาถึงวันนี้ เห็นลุงตู่แล้ว ผมบอกตรงๆว่า สู้ ‘ลุงตู่’ ไม่ได้เลย นับต่อจากนี้ไป ผมจะมีลุงตู่ เป็นไอดอล ในเลือดนักสู้ ทำเพื่อพี่น้องประชาชน ชาติบ้านเมืองครับ”

อย่างไรก็ตาม ปณิธาน “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ที่สุชาติสืบทอดมาจากลุงตู่ ผู้ไม่ได้มีผลงานเป็นที่น่าพอใจของประชาชนนั้น ดูเหมือนจะขัดแย้งกับสิ่งที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับประชาชาติธุรกิจ เมื่อ พ.ศ. 2563 ที่ว่า

วันหนึ่งได้เป็นรัฐมนตรี เราต้องดูว่าเราทำได้ขนาดไหนด้วย ไม่ต้องให้เขาปลดเราหรอก ถ้าเราทำไม่ได้จะอยู่ทำไม

เหมือนผมทำธุรกิจ ผมก็ต้องวางแผนเชิงธุรกิจของผม ผมเป็น ส.ส. ผมวางแผนในพื้นที่จบแล้ว ถ้าวันหนึ่งมีบุญวาสนาเป็นฝ่ายบริหาร ก็ต้องบริหารแผนกระทรวงนั้นให้เป็นไปตามแผนไว้ ถ้าทำแบบ 1+1 เป็น 2 ไม่ได้แล้ว ประเทศชาติจะเดินอย่างไร”

ที่มา : workpointtoday / thaipbs / prachachat / sanook 1 2 3 4 5 6 / thairath

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า