fbpx

“เราควรอยู่อย่างมีความหวัง” มุมมองของ “วีรพร นิติประภา” ต่อสังคมไทยหลังชัยชนะของพรรคก้าวไกล

แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้จะร้อนแรงจากศึกช่วงชิงตำแหน่งประธานสภา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่กำลังตื่นตัวอย่างมาก จากความหวังที่จะได้เห็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และยังเป็นรัฐบาลที่เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ หลังจากที่ประเทศไทยติดหล่มในรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมาจากการรัฐประหาร นานเกือบ 10 ปี

นับตั้งแต่การเดินสายลงพื้นที่หาเสียง จนกระทั่งถึงการเดินสายขอบคุณคะแนนเสียงจากประชาชน พรรคก้าวไกลออกเดินทางเพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังไปทั่วประเทศ ผ่านการปราศรัย การดีเบต และคอนเทนต์ในช่องทางออนไลน์ต่างๆ ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนเห็นจากการเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลจึงไม่ใช่แค่นักการเมืองหาเสียงเพื่อเข้าสภา แต่เป็นภาพความหวังถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสิทธิเสรีภาพเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้

The Modernist คุยกับ “วีรพร นิติประภา” นักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ 2 สมัย ถึงภาพความหวังที่มาพร้อมกับพรรคก้าวไกล และ “รสชาติแห่งความเป็นคนที่เท่ากัน” ที่สังคมไทยเคยได้ลิ้มรส เมื่อครั้งพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ต่อมาจนถึงพรรคเพื่อไทย ก่อนที่รสชาติความเท่าเทียมนี้จะถูกทำลายโดยรัฐประหาร

หว่านเมล็ดพันธุ์ความคิด “คนเท่ากัน”

“การทำงานครึ่งหนึ่งจริงๆ ที่พี่เห็นของพรรคก้าวไกล มันคือการทำงานทางความคิดมากกว่า” วีรพรเปิดบทสนทนาด้วยการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคก้าวไกล ที่ไม่ใช่แค่การหาเสียงและให้สัญญากับประชาชนด้วยนโยบายเพื่อปากท้องเท่านั้น แต่พวกเขายังพยายามเผยแพร่แนวคิดของโลกยุคใหม่ให้กับประชาชน

“ก้าวไกลเขาทำมาตลอด อย่างเช่น คราวที่แล้ว เรื่อง LGBTQ+ ต่างๆ เขาก็เป็นคนแรกที่เปิดเรื่องนี้ สมรสเท่าเทียม แล้วตอนนั้นก็ยังมีเสียงค่อนแคะมา โอ๊ย เรื่องคอขาดบาดตายล้านแปด มานั่งสนใจเรื่องคนเพศเดียวกันจะแต่งงานกัน ตามจริงแล้วพี่คิดว่ามันเป็นอะไรที่ฉลาดมาก ถ้าสมมติว่าความรักยังไม่ชนะ ประชาชนจะชนะได้อย่างไร” วีรพรกล่าว

การทำงานทางความคิดของพรรคก้าวไกล สะท้อนผ่านแทบทุกพื้นที่ที่พวกเขาไปปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นบนเวทีดีเบต ที่ตัวแทนพรรคต่างวาดลวยลาย แสดงศักยภาพของตนเอง พร้อมเผยแพร่แนวทางของพรรคที่เชิดชูประชาธิปไตยและประชาชนไว้สูงสุด รวมทั้งนโยบายต่างๆ ที่ทำให้คนเห็นความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

“มันเป็นการเขียนนโยบายที่หมดจดงดงามน่ะ ทันทีที่คุณอ่านจบ คุณจะเห็นอย่างน้อยๆ ก็คือประเทศอย่างที่มันควรจะเป็น มันควรจะมีอะไรบ้าง นโยบายการศึกษา ส้วมสะอาด เขาพูดเรื่องส้วมในโรงเรียน จุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกมองข้ามอยู่ตลอดเวลา คนเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกมองข้ามตลอดเวลา การจัดปราศรัยที่มีพื้นที่ให้คนพิการ มีภาษามือ อะไรแบบนี้ นิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ อะไรแบบนี้ พี่เข้าใจว่าเราโตจากตรงนั้นมากกว่า ประชาชนโตจากการได้เห็นการถูกยกให้เท่ากัน การไม่กดใครลงไป”

“อันหนึ่งที่พี่ชอบคือ 2 – 3 ครั้ง ที่เขาเรียกผู้คนในแวดวงต่างๆ เฉพาะแวดวงอย่างศิลปิน แวดวงการศึกษา แวดวงคนทำงานดิจิทัลต่างๆ การออกแบบต่างๆ มาเพื่อที่จะขอความเห็น แล้วก็เขาแจ้งเลย เพื่อร่างนโยบาย นโยบายที่เป็นของประชาชน ในบางครั้งเราอาจจะมีคนที่มีความรู้จริงๆ เก่งจริงๆ ใหญ่จริงๆ ในอุตสาหกรรม แต่เราไม่ได้คุยกับคนที่ทำงานจริงๆ ซึ่งอะไรแบบนี้มันทำให้คนทำงานจริงๆ ได้มีโอกาสพูด”

“ถ้าสมมติว่าคุณทำนโยบายจากคนที่เป็นตัวใหญ่ในอุตสาหกรรม คุณก็อาจจะได้เรื่องบางเรื่อง ปัญหาบางปัญหา แต่มันจะไม่เป็นปัญหาปลีกย่อยลงไปถึงระดับคนทำงาน เหมือนอย่างที่คนทำงานเห็น ซึ่งก็น่าสนใจว่าอย่างน้อยนโยบายก็ไม่ได้มาเลื่อนลอย ไม่ได้มาจากข้างบน” วีรพรอธิบาย

อย่างไรก็ตาม อาจเรียกได้ว่าช่วงเวลานี้เป็นเวลาทองของก้าวไกลก็เป็นได้ เพราะในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา กระแสการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ยังมีส่วนในการเผยแพร่แนวคิดเรื่องความเท่าเทียมออกไปสู่สังคมในวงกว้าง ทำให้ประชาชนเติบโตทางความคิดไปพร้อมกัน

“เทรนด์มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่มีม็อบ ซึ่งมีคนหมื่นสองหมื่น หรือเต็มที่ห้าหมื่น แต่ว่ามันถูกผลิตซ้ำในสื่อ

ทุกครั้งที่มีการทำซ้ำก็คือเป็นสองเท่าน่ะ นั่นแปลว่าคนสองหมื่น ดูครั้งที่สองสี่หมื่น ดูครั้งที่สามก็หกหมื่น มีคนดูกี่ครั้ง แล้วมันมีกี่ม็อบในช่วงเวลานั้น เพราะฉะนั้น มันก็กระจายอย่างน้อยสุดคือหนึ่งไอเดียหลักๆ ก็คือ ‘คนเท่ากัน’ มันก็จะเอคโคไปเรื่อยๆ ม็อบมาทำไม อาจจะมีเหตุผลต่างๆ แต่ทั้งหมดจะจบลงที่ไลน์เดียวคือ ‘คนเท่ากัน’”

นั่นหมายความว่า เมื่อฤดูกาลของการเลือกตั้งมาถึง ประชาชนจำนวนมากจึงเลือกพรรคที่สนับสนุนให้คนเท่ากัน จึงเป็นที่มาของชัยชนะของพรรคก้าวไกลในวันนี้

บรรยากาศของความหวังยุคพิธา – ยุคทักษิณ

วีรพรเล่าให้เราฟังว่า ในวันเดียวกับการเลือกตั้ง 2566 เธอได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการออนไลน์รายการหนึ่ง และเดินสัมภาษณ์ผู้คนตามท้องถนน บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพราะทุกคนได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันมาแล้ว ซึ่งวีรพรได้สะท้อนสิ่งที่เธอเห็นในวันนั้นว่า

“มันมีความหวังจริงๆ ความหวังมันคงหน้าตาเป็นแบบนี้ ความหวังของการได้เลือกรัฐบาลที่ตัวเองอยากได้ ได้ลุ้นว่าเย็นนี้เขาจะได้ไหม อีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ เสียงของเราจะมีความหมายไหม”

เมื่อถามว่าประเทศไทยเคยมีบรรยากาศแห่งความหวังในลักษณะนี้มาก่อนหรือไม่ วีรพรจึงย้อนอดีตให้ฟังว่า

“พูดถึงพื้นฐานของคนเท่ากัน พี่เข้าใจว่าเราเริ่มลิ้มรสของการเป็นคนเท่ากันจากเพื่อไทย จากไทยรักไทย เราก็ได้หนึ่งในรัฐบาลที่ดีที่สุด คือไทยรักไทย เราก็ต้องยอมรับ เศรษฐกิจมันดีแบบดีเลย ในชั่วดีดนิ้วเลยล่ะ อย่างรวดเร็ว แล้วก็โดนปฏิวัติอย่างรวดเร็ว” 

“แต่ว่าช่วงนั้นเศรษฐกิจโลกดีด้วยนะคะ พี่จำได้ว่าช่วงนั้นเราทำงาน BIG กัน ครอบครัวพี่ ทำเฟอร์นิเจอร์ขาย ก็มีคนจากทั่วโลก คนญี่ปุ่นมานี่โค้งแล้วโค้งอีก โห ของเมืองไทยมันสวยจริงๆ เฟอร์นิเจอร์ของเรานี่สุดยอด คือออกแบบกันแบบเต็มที่ แล้วมันก็ขายได้”

“เมื่อเศรษฐกิจดี คนก็เปลี่ยนชนชั้น จากชนชั้นล่างไปเป็นชนชั้นกลาง มีการศึกษา คือมันมีความฝัน ยิ่งกว่าความหวังอีก เลือกตั้ง มีการศึกษา มันเป็นยิ่งกว่าความหวังอีก”

“ทีนี้ถ้าสมมติว่าเศรษฐกิจมันไม่ดี รัฐบาลไม่ส่งเสริม มีปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย เราก็จะทำแต่เก้าอี้ที่เป็นเก้าอี้ ทำโต๊ะที่เป็นโต๊ะ ทำเตียงที่เป็นเตียง เราจะไม่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เราจะขายสิ่งที่เรามั่นใจว่าขายได้ นั่นก็คือปัญหา เสร็จแล้วมันก็ลงมาๆๆ ในที่สุดก็ไม่มีใครมา เพราะว่ามาแล้วก็ เก้าอี้เมืองไทยก็เหมือนเก้าอี้อื่นๆ ในโลก แต่ครั้งหนึ่งเคยมีเก้าอี้ที่เป็นแรงบันดาลใจ เคยมีเก้าอี้ที่เป็นความรัก เคยมีเก้าอี้ที่เป็นความหวัง มีอารมณ์ มีเรื่องราว เคยค่ะ เราเคยผ่านช่วงนี้มา” วีรพรเล่า

ประเทศไทยผ่านคืนวันที่ผู้คนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน สู่ห้วงเวลาแห่งความมืดมิดจากรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร จนกระทั่งทุกวันนี้ที่เราเริ่มจะเห็นความหวังอีกครั้งจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย วีรพรเชื่อว่า เมื่อประชาชนตาสว่าง การเลือกตั้งครั้งหน้าสำหรับเหล่านักการเมือง อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

“พี่ค่อนข้างจะมั่นใจว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ครั้งถัดไป ทุกพรรคจะต้องทำการบ้านมาดีกว่านี้ คุณจะต้องหนักแน่น คุณจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน อาจจะไม่ต้องดีเลิศก็ได้ แต่ต้องชัดเจน ต้องรอบด้าน แล้วแข่งกันที่นโยบาย หมดยุคแบบว่า ‘เลือกเราสิ ดีนะ’ ‘ไม่เลือกเรา เขามาแน่’ อะไรแบบนั้นมันไม่ทำงานแล้ว เพราะถ้ามันทำงานในการเลือกตั้งครั้งนี้ มันทำไปแล้ว”

“มันจำเป็นต้องเป็นอะไรที่หนักแน่น เข้มแข็ง สวยงามพอสมควร นั่นหมายความว่า เราสามารถวัดการเติบโตของประชาชนได้จากตรงนี้ หลายปีที่ผ่านมา ประชาชนโตขึ้นมาก เขาสนใจว่าเขาจะได้อะไร เขาสนใจว่าสิ่งที่เขาจะได้มันใช่ไหม หรือไม่ใช่ เขาไม่ต้องการคำหวานๆ เขาไม่ต้องการอะไรเลื่อนลอย ซึ่งก็น่าสนใจ”

เราควรจะอยู่อย่างมีความหวัง

“จริงๆ สิ่งที่เราต้องเห็นในฐานะประชาชนคือ ความหวัง เราควรจะอยู่อย่างมีความหวัง” วีรพรกล่าวถึงเป้าหมายสูงสุดที่ประชาชนควรจะได้เห็นจากรัฐบาลที่พวกเขาบรรจงกากบาทเลือกมากับมือ พร้อมกล่าวเสริมว่าที่ผ่านมาไม่ใช่ประชาชนไม่อยากหวัง แต่ไม่กล้าหวัง ขอเพียงให้ตัวเองมีกินไปวันๆ หรือหากเกิดโรคระบาดอย่างโควิด-19 ก็หวังเล็กๆ เพียงแค่รัฐบาลจะมีมาตรการรับมือที่ดีกว่าในอดีต

“เราควรจะหวังว่าทุกคนจะรอด เราควรจะหวังว่าทุกคนจะอยู่ดีในระดับหนึ่ง เราควรจะหวังถึงรัฐสวัสดิการเต็มรูป”

วีรพรกล่าวว่า นอกจากรัฐสวัสดิการจะทำหน้าที่เป็นตาข่ายรองรับเมื่อประชาชนร่วงหล่นแล้ว ยังทำให้ระบบอุปถัมภ์หายไปจากสังคม เพราะเมื่อไรก็ตามที่ประชาชนเดือดร้อน เงินภาษีที่พวกเขาจ่ายจะย้อนกลับมาพยุงพวกเขาไว้ ซึ่งแตกต่างกันกับการบริจาค ที่ผู้รับต้องเป็นหนี้บุญคุณผู้ให้

“รัฐสวัสดิการมันไม่ได้ทำแค่รองรับเมื่อร่วงหล่น แต่มันทำให้คนรู้สึกถึงความหวังและศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์น่ะ เรื่องสำคัญที่สุดของรัฐสวัสดิการคือศักดิ์ศรี ซึ่งประเทศเราไม่เคยพูดเรื่องนี้ คนทุกคนควรจะมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น รัฐสวัสดิการทำอะไร ทำให้เราตระหนักในความเป็นมนุษย์ของเรา” 

“คือเราไม่เข้าใจหรอกว่าเวลาที่คนอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี เขาทำอะไรได้บ้าง เพราะเราไม่เคยอยู่แบบนั้น เราก็แค่อยู่แบบหงองๆ จ๋องๆ ไป เราไม่เคยยืนหลังตรงจริงๆ นั่นหมายความว่าการขับเคลื่อนประเทศมันต้องผ่านตรงนี้ด้วย ผ่านคุณภาพของประชากร ผ่านประชากรที่มีความหวัง ผ่านประชากรที่มีความฝัน ผ่านประชากรที่ตระหนักในศักดิ์ศรีของตัวเอง หรือถูกทำให้ตระหนักในศักดิ์ศรีของตัวเอง” วีรพรกล่าวปิดท้าย

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า