fbpx

นิ(น)ทากะลาแลนด์ ตอน ค่าไฟกะไข่ต้ม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนราชาธิปไตย กะลาแลนด์ ฤดูคิมหันต์ ได้มาเยือนดินแดนแห่งนี้ และเนื่องจากภาวะโลกร้อน ทำให้ดินแดนแห่งนี้ ปกคลุมไปด้วยความร้อนสูง จากการไม่เคยแก้ปัญหาของนายกรัฐมนตรีแห่งกะลาแลนด์ ชื่อว่าลุงฉุน ที่ยึดอำนาจพลเรือนไป ทำให้พลเมืองในดินแดนแห่งนี้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาก จนค่าไฟทุบสถิติจากทุกปี และแน่นอนว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนที่ไร้สวัสดิการขั้นพื้นฐาน พลเมืองจึงต้องจ่ายค่าไฟที่สูง ประชาชนต่างบ่นกันถ้วนหน้าว่าทำไมค่าไฟถึงได้แพงจัง จากปกติพันนิดๆ พุ่งขึ้นมาเป็นสามสี่พัน บางบ้านปกติจ่ายสามสี่พัน วันนี้กระโดดมาเกือบหมื่น!

เมื่อประชาชนบ่นกันสนั่นเมือง เหยี่ยวข่าวแห่งแดนกะลาก็โฉบเสียงบ่นของชาวประชามาทำข่าว จนเสียงของผู้คนลอยเข้าไปกระทบโสตประสาทของรัฐบาลลุงฉุน ที่กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง เขาต้องการสืบต่ออำนาจต่อ จึงต้องออกมาประกาศว่ากำลังเร่งดำเนินการแก้ไข  และหากเลือกเขามาเที่ยวหน้าค่าไฟถูกแน่นอน 

แต่ๆๆ ประชาชนก็ตั้งคำถามว่าลุงฉุนอยู่มา 8 ปี ทำไมไม่เห็นแก้ได้ “เขาหลอกเราหรือเปล่า” “ไม่เห็นจะแก้ได้เลย พูดมั่ว” กระนั้นก็มีคนออกมาแก้ต่างให้ว่า “ลุงฉุนเป็นรัฐบาลผสมลองเป็นรัฐบาลพรรคเดียวสิทำได้แน่นอน” แอบกระซิบสักนิด ลุงฉุนใช้น้ำ ใช้ไฟ ใช้รถหลวง อยู่บ้านหลวงฟรี ทุกวันนี้เขาจะรู้หรือเปล่าว่าค่าสาธารณูปโภคมันแพงขนาดไหน 

นอกจากนี้ กะลาแลนด์แดนเมืองยิ้มแห่งนี้ ยังเต็มไปด้วยเขื่อนที่มีชื่อของชนชั้นนำ ที่มักอ้างว่าผลิตไฟฟ้าได้ แต่กลับสร้างผลกระทบต่อประชาชน จนประชาชนเริ่มเหล่ตามองว่ามีประโยชน์จริงหรือ หรือการเก็บภาษีของประชาชนไปอย่างมหาศาลอ้างนำไปใช้พัฒนาพลังงานยั่งยืน แต่เมื่อค่าไฟแพง สิ่งเหล่านี้กลับไม่มีอะไรมาช่วยเหลือประชาชนได้เลย

ขณะที่ประชาชนร้อนกายเพราะอากาศ ร้อนใจเพราะค่าไฟ โลกออนไลน์ก็ร้อนไม่แพ้กัน เมื่อหนังสือเรียนใส่เนื้อหาว่าด้วยลูกคนรวยไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ยากจน และได้ลิ้มรส “ไข่ต้ม” อาหารธรรมดาที่ใครๆ ก็หามากินได้ แต่คุณจะสัมผัส “รสชาติแห่งความพอเพียง” เมื่อไข่ต้มนั้นเป็นอาหารที่หรูหราที่สุดในบ้านคนจน

เรื่องราวความพอเพียงที่สารอาหารไม่เพียงพอนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปลูกฝังให้ประชาชนใช้ชีวิตแบบพอประมาณ ไม่เรียกร้องสิทธิอันพึงมี เพื่อที่ชนชั้นปกครองจะสามารถปกครองได้อย่างง่ายดาย และดูดเอาทรัพยากรไปใช้อย่างเต็มที่

แต่ดูเหมือนว่ายากล่อมประสาทในกระดาษหนังสือเรียนจะใช้ไม่ได้ผล เพราะใครๆ ต่างก็ตั้งคำถามถึงคุณค่าทางโภชนาการของไข่ต้ม และความตลกร้ายที่คนรวยสอนให้คนจนพอเพียง แต่ตัวเองกินอยู่อย่างสบาย ร้อนถึง “รัฐมนตรีปากแจ๋ว” ที่ทำทุกอย่างยกเว้นหน้าที่ของตัวเอง ก็ออกมาโชว์ตอกไข่ต้มกินกับลูก  และป่าวประกาศว่า แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว แต่โชว์ไข่ต้มกลับต้องจบลงแบบเด๋อๆ เมื่อรัฐมนตรีปากแจ๋วตอกไข่บนหัวลูก ทว่าไข่ไม่แตกแต่ลูกหัวโน จนชาวเน็ตคอมเมนต์ว่า “แม้แต่ไข่ต้มยังต้องซื้อกิน เพราะไม่เคยทำอาหารสินะ” หรือ “ปอกไข่สร้างภาพชัดๆ” เสียงสะท้อนนี้ระงมไปทั้งเมืองรัฐมนตรีปากแจ๋วจึงต้องสงบปากสงบคำไปสักพักหนึ่ง

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต ชาวกะลาแลนด์ต่างทราบดีว่า ผู้นำของชาวกะลาแลนด์หนึ่งในผู้ร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 80 ปี ที่แล้ว เคยทำให้ชาวกะลาแลนด์รู้จักก๋วยเตี๋ยว ซึ่งมีโภชนาการครบมากกว่าไข่ต้ม ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงสงคราม และเมื่อย้อนไปไม่นานมานี้ตัวแทนประชาชนพรรคฝ่ายค้านเคยตั้งคำถามกับเรื่องเบี้ยคนชราของดินแดนแห่งนี้ ที่จ่ายเดือนละ 600 บาท สามารถซื้อไข่ต้มกินทั้งเดือนได้ 3 มื้อ เท่านี้เมื่อนำเรื่องมาเชื่อมโยงกันแล้ว จึงเกิดการตั้งคำถามว่า หรือนี่คือสิ่งที่ชนชั้นนำของดินแดนแห่งนี้ต้องการ ให้ประชาชนกินไข่ต้มขณะที่ตนกินหรูอยู่สบาย  

ยังไม่นับเรื่องอาหารของพลทหารในดินแดนแห่งนี้ ที่ปราศจากสงครามมาอย่างยาวนาน แต่ต้องการดำรงกองทัพเอาไว้เพราะจะได้กุมอำนาจจัดสรรอำนาจ ยื้อแย่งอำนาจจากประชาชนไป และมักอ้างว่ากองทัพเพื่อประชาชน แต่เมื่อเข้าไปสำรวจในรั้วกองทัพแล้ว จะพบว่าลูกหลานของประชาชนที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารต้องกินอาหารที่ไม่ต่างจากอาหารสุนัข มีแต่กระดูกและข้าว แทบไม่มีเนื้อสัตว์ หรืออาหารครบ 5 หมู่ ขณะที่สุนัขที่ถูกเลี้ยงโดยชนชั้นนำของดินแดนแห่งนี้กลับมียศฐาบรรดาศักดิ์คะดับนายพล และกินหรูอยู่สบาย มากกว่าหลายๆ คนในดินแดนแห่งนี้แต่มีการสร้างภาพหลอกลวงอยู่สักพักหนึ่ง โดยให้พลทหารมากกินอาหารโชว์มีทั้งไก่ยี่ห้อดัง รวมถึงพิซซ่า ทำให้ดูว่าพลทหารมีความสุข นี่คือการหลอกลวง และเมื่อหมดดราม่าเรื่องอาหารของพลทหาร สิ่งหลอกลวงเหล่านี้ก็จะหายไป ข้าพเจ้าก็ได้แต่หวังว่าดราม่าไข่ต้มจะกระตุ้นให้กองทัพหันมาเลี้ยงอาหารดีๆ ให้กับพลทหารอีกครั้งหนึ่ง

นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นในดินแดนแห่งนี้ สิ่งที่เห็นคือประชาชนเริ่มหูตาสว่างมีความหวัง และตั้งคำถาม คนรุ่นใหม่ ณ ดินแดนแห่งนี้มีพลังพร้อมขับเคลื่อนสังคม ขณะที่ชนชั้นนำของดินแดนนี้ปรับตัวไม่เป็น ล้าหลัง เหมือนผู้เฒ่า เน้นใช้กำลัง ผลิตวาทกรรมแสนผิดเพี้ยน ใช้การหลอกลวงประชาชนชนิดเดิมๆ ข้าพเจ้าหวังว่าดินแดนแห่งนี้จะสว่างสดใส เพราะหากดินแดนแห่งนี้ปลดแอกจากชนชั้นนำโบราณได้จริงๆ จะเป็นดินแดนที่น่ามาเยือน น่าอยู่อาศัย ตลอดจนเป็นดินแดนที่พร้อมพัฒนาประชาชนของตนเองให้ทัดเทียมดินแดนอื่นได้

สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเจอ “สิงห์ นักปั่น” ณ ดินแดนราชาธิปไตยกะลาแลนด์

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า