fbpx

ในนาม กองบรรณาธิการ The Modernist พีระพันธ์ ก็แค่ฝ่ายขวาที่ไม่น่าเหลือเชื่อ

ใครจะรู้ว่ายุคนี้สมัยนี้ จะมีคนนำบทเพลงหรือทำนองเพลงยุคสงครามเย็นมาปลุกระดม ฮัมทำนองเพลงปลุกใจมวลชนฝ่ายขวา แล้วคิดว่าจะได้ผลเหมือนในอดีต ที่มีเพียงวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งถูกควบคุมเนื้อหา เหลือเพียงโฆษณาชวนเชื่อไม่กี่อย่างของรัฐบาล แต่ล่าสุด พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ยกเพลง “ความฝันอันสูงสุด” ขึ้นมา ณ ช่วงเวลาที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยกำลังจะจัดตั้งรัฐบาล

จังหวะมีพิรุธแบบนี้ จะมีนัยอะไรหรือเปล่า แต่สำหรับ The Modernist เพลงนี้นั้นมีเงื่อนงำน่าเจาะลึก และอาจจะดูไม่เหมาะสมที่จะโพสต์เพลงนี้ ในช่วงเวลาที่เรากำลังจะได้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่มาจากเสียงของประชาชน 

เพลง “ความฝันอันสูงสุด” เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นในปี 2514 อันเป็นยุคที่สงครามเย็นกำลังคุกรุ่น ฝ่ายผู้มีอำนาจของไทย ณ ขณะนั้นกำลังหวั่นใจกับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้จากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ลาวและกัมพูชา โดยมองว่าคอมมิวนิสต์นั้นเป็นภัยต่อความมั่นคง ประกอบกับภายในประเทศไทย อุดมการณ์ฝ่ายซ้าย กำลังแพร่หลายในหมู่นิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ที่ศึกษาอุดมการณ์สังคมนิยมผ่านรั้วมหาวิทยาลัย 

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ฝ่ายขวาไทยมองว่าประเทศไทยกำลังมีปัญหาทั้งภายนอก ภายใน และกลัววันที่ตนจะหมดอำนาจ จนนำไปสู่การปลุกระดมปราบปรามเพื่อนร่วมชาติในที่สุด 

การโพสต์เพลง “ความฝันอันสูงสุด” ของ “พีระพันธ์” 

สำหรับกรณีการโพสต์เพลงความฝันอันสูงสุด ของนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค สะท้อนภาพลักษณ์ของฝ่ายขวา ที่ยังเชื่อถือเรื่องชาติและสถาบันอย่างแข็งแกร่ง เหมือนกับนายกรัฐมนตรีในอุดมคติของเขา คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีภาพลักษณ์ไม่งอ แต่ยอมหักกับความเปลี่ยนแปลงจนน่ากลัว ขณะที่คนรุ่นใหม่และเยาวชนกำลังเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก จากความล้มเหลวของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอด 8 ปี 

ลักษณะโดยทั่วไปของฝ่ายขวาคือการยึดติดกับวัฒนธรรมเดิมๆ ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนคิดว่าสิ่งที่มีอยู่ก่อนนั้นดีงามยากที่จะแตะต้อง ฉะนั้น “ความฝันอันสูงสุด” ของพีระพันธ์ คือการที่ยังมองว่าต้องสู้รบกับฝ่ายซ้าย ฝ่ายเห็นต่าง ในฉากทัศน์ที่เขามองอย่างเดิมๆ ในโลกยุคสงครามเย็นนั่นเอง 

“ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว” ใช้ผิดที่ผิดเวลา 

ความฝันอันเหลือเชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติ ณ ขณะนี้ คงหนีไม่พ้นการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ฝันจะแช่แข็งประเทศไทยเหมือน 8 ปี ที่ผ่านมา แต่ดูจากจำนวน ส.ส. ที่มีเพียง 30 กว่าที่นั่ง คงจะต้องฝันอย่างเหลือเชื่อต่อไป เป็นไปไม่ได้นอกจากพึ่งพากลุ่มอื่น พรรคอื่น หรือพึ่งอำนาจนอกระบบเพื่อต่อรองอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยต่อไป ส่วนในเรื่อง “ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว” ประโยคนี้ไม่ควรใช้ในยุคนี้ ที่ประเทศเราไม่มีศัตรูจากภายนอก ขณะที่คอมมิวนิสต์จีน เราก็ยังเป็นมิตรกับเขา ต้อนรับขับสู้อย่างดี จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรใช้ การสู้ศึกคือการมองว่าสถานการณ์ ณ ขณะนี้มีศัตรู เราจะนิยามเพื่อนร่วมชาติที่เห็นต่างเป็นศัตรูไม่ได้ เพราะบ้านเมืองเรา นโยบายหาเสียงของหลายพรรคการเมืองคือการประสานความขัดแย้งทางการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติเองก็ชูเรื่องความสงบ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะมาชี้หน้าด่าว่าคนอื่นเป็นศัตรูที่ควรทำสงครามด้วย 

การดึงท่อนบทเพลงดังกล่าวขึ้นมาใช้ จึงเป็นการติดหล่มในยุคสงครามเย็น ที่ไม่ควรเอากลับมาคิด มาใช้อย่างยิ่ง เพราะสถานการณ์ ณ ขณะนี้ เราได้พรรครัฐบาลจากฝั่งประชาธิปไตยที่มีเสียงข้างมาก แถมประเทศไม่ได้มีภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์แต่อย่างใด 

เขาอาจจะเป็นคนหลงยุค หรือเพียงต้องการแช่แข็งประเทศ ปัญหาคือฝ่ายขวาจัดบ้านเราไม่รู้จักความเปลี่ยนแปลง รู้จักแต่เพียงคนเห็นต่าง คนปรับตัว เป็นพวกแตกแยกที่ต้องถูกกำจัดไปเท่านั้นเอง 

นี่จึงเป็นตัวอย่างของฝ่ายขวา การกระทำที่ไม่น่าเหลือเชื่อเท่าไหร่นักเท่านั้นเอง 

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า