fbpx

การปรับตัวที่ไม่ปรับราคา แต่พัฒนาดีไซน์ Häagen-Dazs พรีเมียมไอศกรีม

Häagen-Dazs (ฮาเก้น-ดาส) แบรนด์ไอศกรีมแสนอร่อย ราคาแพง สัญชาติอเมริกัน ที่มีชื่อราวกับภาษาเดนมาร์ก พัฒนารสชาติมาจากสูตรอิตาเลียน ก่อตั้งโดยผู้อพยพจากยุโรปตะวันออกที่มีต้นกำเนิดจากชาวยิว คือส่วนผสมอันหลากหลายของแบรนด์ไอศกรีมชื่อก้องโลกที่มีเรื่องความเป็นมาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องราวระหว่างทางในการปลุกปั้นแบรนด์ที่ล้วนต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ถูกบังคับให้เปลี่ยน รวมถึงต้องเปลี่ยนตัวเองก่อนที่จะเลือนหายไปตามกาลเวลาอีกหลายระลอก

The Modernist จะพาไปถอดเกร็ดแบรนด์ไอศกรีมที่ประกาศตัวว่าจะขายในราคาแพง ท่ามกลางผู้เล่นในตลาดยุคก่อนที่เน้นขายราคาถูก สิ่งที่ตามมาคือกลยุทธ์หมัดเด็ดอันแสนจะแพรวพราวที่ผู้ก่อตั้งงัดขึ้นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการจับกระแสสังคมแล้วสะกัดออกมาเป็นกลุ่มลูกค้า หรือการคิดชื่อแบรนด์ที่ไม่มีใครเหมือน จนสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจของสหรัฐฯ อยู่พักใหญ่ ๆ 

จากผู้อพยพสู่ผู้สร้างปรากฏการณ์

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 คาบเกี่ยวกับต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่สหรัฐอเมริกาเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม และการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศอย่างจริงจัง ทำให้ประเทศเกิดใหม่แห่งนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและร่ำรวยขึ้นมา  โดยในช่วงปี 1880-1920 มีผู้อพยพเข้ามาแสวงหาโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวในสหรัฐฯ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นจำนวนมากถึง 20 ล้านคน กระจายอยู่ตามเมืองอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยมีอีกปัจจัยหนึ่งคือการถือกำเนิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทำให้ชาวยุโรปหลั่งไหลกันเข้ามาเป็นจำนวนมาก 

รูเบน แมตทัส (Reuben Mattus) ก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากพ่อเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 แม่ได้พารูเบนในวัย 10 ขวบ อพยพจากยุโรปตะวันออกมาสู่สหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1920 ทั้งคู่ทำงานในบริษัทไอศกรีมของญาติสนิทที่ตั้งอยู่ในมหานครนิวยอร์ก โดยรูเบนรับหน้าที่คั้นน้ำมะนาวที่เป็นส่วนผสมของไอศกรีม และจัดส่งไอศกรีมและแซนด์วิช ด้วยเกวียนลากม้าไปวางขายตามร้านค้า รวมถึงร้านอาหารเล็ก ๆ ในละแวกบ้าน และด้วยความมัธยัสถ์และอุตสาหะ แม่ของรูเบน สามารถเปิดกิจการไอศกรีมเป็นของตัวเองได้สำเร็จ 
ขณะที่ธุรกิจครอบครัว แมตทัส ดำเนินกิจการต่อไป วันเวลาก็พาให้ รูเบน เติบโตขึ้น เมื่อก้าวเข้าสู่วัยหนุ่ม เขาได้พบรักกับ โรส วีเซล (Rose Vesel) ราว ๆ กลางทศวรรษที่ 1930 โรส เป็นผู้อพยพจากสหราชอาณาจักร ที่พ่อแม่ได้พามาตั้งถิ่นฐานที่สหรัฐฯ หลังจากเกิดสงครามอิสรภาพไอร์แลนด์ โดยทั้งคู่ได้แต่งงานกันในปี 1934 และต่อมา โรส นี่เองที่จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่พาให้แบรนด์ไอศกรีมของรูเบน ซึ่งได้รับความนิยมในระดับท้องถิ่นให้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับนานาชาติ

สู้กับตลาด ด้วยการเปลี่ยนแปลง

กิจการของครอบครัว แมตทัส ดำเนินมาด้วยดี จนกระทั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดผู้เล่นหลายใหญ่เป็นจำนวนมากเข้ามาเล่นในตลาดไอศกรีม โดยใช้การระบบอุตสากรรมเข้ามาใช้ในการผลิตทำให้สามารถจัดจำหน่ายไอศกรีมออกมาได้เป็นจำนวนมากและขายได้ในราคาถูก หลายเจ้ากระจายสินค้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ประกอบกับทศวรรษ 1950 เกิดนวัตกรรมที่เรียกว่าตู้เย็นขึ้นมา ทำให้ช่องทางการขายไอศกรีมมีมากขึ้น เพียงแค่กระจายสินค้าไปตามร้านรวงต่าง ๆ สิ่งนี้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับธุรกิจของแม่ลูกคู่นี้เป็นอย่างมาก ต่างคนต่างรู้ดีกว่าการค้าขายโดยอาศัยเพียงเน้นสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าและการขายตรงผ่านหน้าร้านเพียงอย่างเดียวใช้ไม่ได้อีกต่อไป แต่ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีทำธุรกิจของทั้งคู่กลับมองต่างกัน  รูเบน มองว่าตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการปรับให้ไอศกรีมของครอบครัวกลายเป็นของดีมีระดับและคุณภาพสูง นั่นหมายความว่าบริษัทต้องลงทุนเทคโนโลยีการผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตไอศกรีมออกมามากขึ้น เช่นเดียวสูตรไอศกรีมและวัตถุดิบที่ใช้ที่ต้องสังคายนาใหม่ทั้งหมด  ด้วยการหันมาใช้ของที่มีคุณภาพสูงกว่าแต่ก่อน เมื่อแผนการปรับเปลี่ยนธุรกิจมาถึงมือแม่ของเขา ทุกอย่างกลับถูกปัดตกลง โดยมองว่าการความท้าทายที่ธุรกิจครอบครัวกำลังเผชิญจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อยู่ในตลาดเดียวกันในขณะนี้ บริษัทต้องหันมาผลิตสินค้าอย่างอื่นเพื่อให้มีความหลากหลายมากขึ้นแทน 

ความไม่ลงรอยในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจระหว่างแม่กับลูกคู่นี้ กินระยะเวลายาวนานร่วมหนึ่งทศวรรษเลยทีเดียวถึงจะหาทางประนีประนอมกันได้ อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยเร่งที่ทำให้กิจการของครอบครัว แมตทัส ต้องเปลี่ยนคือปัจจัยภายนอกที่ตลาดไอศกรีมกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด ธุรกิจรายย่อย ย่อมอ่วมอรทัยไปตาม ๆ กัน 

ด้วยสภาวการณ์เช่นนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้ รูเบน ยังตัดสินใจพาธุรกิจไปต่อ โดยไม่ยอมแพ้ ทั้งที่เจอกับปัจจัยภายนอกที่บีบคั้นและปัจจัยภายในอย่างความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันของคนในครอบครัว นั่นก็คือความหลงใหลและความเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอย่างหมดใจ กลายไปขุมพลังที่คุกรุ่นอยู่ภายในตัวเขาให้พยายามเดินหน้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ 

ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่เขาต้องประคองบริษัทและหาสมดุลให้กับความคิดที่ไม่ตรงกันระหว่างเขากับแม่ รูเบนได้ใช้เวลาปลีกตัวในการทดลองสูตรไอศกรีมใหม่ ๆ ประหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่หมกตัวอยู่ในห้องทดลอง เขาเริ่มเล่นแร่แปรธาตุวัตถุดิบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บัตเตอร์มิลค์ในสัดส่วนที่สูงขึ้นเพื่อให้ได้เนื้อครีมที่มีความเข้มข้น เพิ่มไข่แดงสด และใช้สารปรุงแต่งที่ซับซ้อนให้กับไอศกรีมของเขา รวมไปถึงใช้ช็อกโกแลตจากเบลเยียม วานิลลาจากมาดากัสการ์ และเมล็ดกาแฟจากโคลอมเบีย อย่างไรก็ดีความพยายามในการรังสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา เขายังคงไม่ทิ้งสูตรเดิมของต้นตระกูลที่สร้างเอกลักษณ์ให้กับไอศกรีมของเขา 

นอกจากนี้ รูเบน ยังวางแผนการตลาดอย่างจริงจัง โดยเน้นจับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม พร้อมกับมุ่งสร้างแบรนด์ไอศกรีมให้แข็งแกร่ง  โดยวางตำแหน่งแห่งที่ของแบรนด์ให้อยู่ระดับพรีเมี่ยม วางขายในราคาแพง ท่ามกลางตลาดไอศกรีมที่คุณภาพแปรเปลี่ยนไปตามราคาที่ถูกลง 

อัตลักษณ์ที่เพิ่งสร้าง กับชื่อแบรนด์แหกขนบ

“ถ้าคุณเป็นเหมือนคนอื่น ๆ นั่นแหละ คือสิ่งที่บอกว่าคุณกำลังจะตายแล้ว” รูเบน แมตทัส ได้กล่าวประโยคนี้ไว้ครั้งหนึ่งเมื่อถูกถามถึงเคล็ดลับในการทำธุรกิจ

คำกล่าวนี้คงจะไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปตลอดเวลาที่ รูเบน เข้ามาทำธุรกิจไอศกรีม เขาพยายามเป็นอย่างมากในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ด้วยการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาเพราะความบังเอิญ แต่มาจากการทดลองแล้วทดลองอีก และถูกคิดมาอย่างเป็นระบบ สิ่งที่เห็นได้ชัดสุด ๆ ก็คือการคิดชื่อแบรนด์ ‘Häagen-Dazs’ ซึ่งเป็นชื่อที่รูเบนและโรส ภรรยาของเขาช่วยกันระดมความคิดโดยมีโจทย์ว่าอยากให้ชื่อแบรนด์สินค้าเป็นชื่อที่ดูราวกับเป็นสินค้านำเข้ามาจากต่างประเทศมายังสหรัฐฯ เนื่องจากในห้วงเวลานั้นชาวอเมริกันมองว่าสินค้าที่มาจากประเทศอื่นล้วนดีกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศตัวเอง และพร้อมที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้น ทั้งสองจึงตัดสินใจใช้ภาษาเดนมาร์ก จนออกมาเป็นชื่อ Häagen-Dazs พร้อมกับใส่สัญลักษณ์ 2 จุดอยู่เหนือตัว a สระตัวแรกของคำ เพื่อให้ดูแปลกตา แม้ว่าเครื่องหมายนี้จะไม่มีอยู่ในภาษาเดนมาร์กแต่อย่างใด และคำ ๆ นี้ยังไม่ได้มีความหมายอีกด้วย

อีกนัยหนึ่งชื่อดังกล่าวถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติให้กับชาวเดนมาร์ก ที่เคยให้ความช่วยเหลือชาวยิวอพยพออกจากยุโรปในช่วงที่นาซีกำลังเรืองอำนาจ สำหรับบรรจุภัณฑ์ได้นำแผนที่สแกนดิเนเวียมาใช้ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ดูเป็นสินค้าจากยุโรปมากขึ้น และทุกวันนี้ก็ยังมีชาวอเมริกันบางส่วนที่ยังคงเข้าใจว่า Häagen-Dazs เป็นไอศกรีมนำเข้ามาจากประเทศใดประเทศหนึ่งจากสแกนดิเนเวีย 

ทั้งนี้มีเรื่องขำขันเกิดขึ้นในช่วงที่แบรนด์ Häagen-Dazs ติดตลาด ทำให้สินค้าในสหรัฐฯ ตอนนั้นแห่พากันตั้งชื่อแบรนด์ให้เป็นภาษาต่างประเทศอย่างแพร่หลาย บางอย่างพ่วงชื่อประเทศในแทบยุโรปต่อท้ายแบบดื้อ ๆ เช่น วาฟเฟิลเบลเยียม เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าก็มี 

สลักเสลาความเคลื่อนไหวในสังคม แล้วจับกลุ่มลูกค้า 

จากคำบอกเล่าของรูเบน แมตทัส เขากล่าวว่า โรส เป็นคนที่มีหัวการค้าและเป็นนักการตลาดตัวยง เมื่อได้ไอศกรีมรสชาติมีเอกลักษณ์ และมีชื่อแบรน์สะดุดตาแล้ว โรส ได้กระจายไอศกรีม Häagen-Dazs ไปยังร้านค้าทั่วเมือง แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ Häagen-Dazs กลายเป็นสินค้ายอดนิยม โรสจับแสสังคมในช่วงต้นทศวรรษ 60 ได้ว่าวัฒนธรรมฮิปปี้เริ่มก่อตัวขึ้นในสังคมสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจต่าง ๆ มองไม่เห็น ไม่เพียงแต่ในแวดวงธุรกิจไอศกรีมด้วยกันเท่านั้น โรส จึงรีบบุกตลาดคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ ด้วยการการกระจายไอศกรีม Häagen-Dazs ไปยังเมืองมหาวิทยาลัย (college towns) ทั่วสหรัฐฯ 
“เราพบตลาดทางเลือกที่กำลังบูมในยุค 60 เป็นกลุ่มคนไว้ผมยาว รสนิยมสูง และกำลังมองหาขนมที่เอาไว้กินขณะสูบกัญชา” คำพูดของ โรส แมตทัส ที่ปรากฏอยู่ในสมุดบันทึกของดอริส ลูกสาวของโรสและรูเบนระบุไว้

จากความรื่นรมย์ในเฉพาะกลุ่มบุปผาชน ความนิยมได้แพร่กระจายไปยังวงกว้างอย่างรวดเร็ว เกิดกระแสปากต่อปาก โดยที่บริษัทไม่ได้เสียเงินค่าโฆษณาแม้แต่เหรียญฯ เดียว ทำให้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1970 Häagen-Dazs ได้ผงาดขึ้นมาเป็นแบรนด์ไอศกรีมระดับไฮเอนด์แบรนด์เดียวที่ทำกำไรมากที่สุดในสหรัฐฯ 

ต่อมาในปี 1983 ถือเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของไอศกรีมแบรนด์หรูนี้ แต่ด้วยวัยของ รูเบน และ โรส แมตทัส ที่ก้าวเข้าสู่ 70 กว่าปี ทั้งคู่ต้องการที่จะล้างมือในอ่างทองคำ เพื่อกลับไปใช้ชีวิตในปั้นปลายกับคนในครอบครัวอย่างสงบ จึงตัดสินใจขาย Häagen-Dazs ให้กับบริษัท Pillsbury ผู้ผลิตธัญพืชและอาหารรายใหญ่ ในราคา 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย รูเบน ได้จากไปอย่างสงบในปี 1994 ส่วน โรส เสียชีวิตในปี 2004 ไม่นานหลังจากครบรอบวันเกิดอายุ 90 ปีของเธอไป

ปัจจุบัน Häagen-Dazs ตกเป็นของบริษัท General Mills และมีการจำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทไอศกรีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก 

เปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อโลกหมุนไปข้างหน้า

Häagen-Dazs เป็นแบรนด์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งถูกตลาดบีบให้เปลี่ยน รวมไปถึงเปลี่ยนตัวเองเพื่อพัฒนาแบรนด์ แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมาสู่ศตวรรษที่ 21 ไอศกรีมแบรนด์หรูนี้ก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอีกระลอก ในปี 2017 บริษัทต้องรีแบรนด์ใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนความคลาสสิกให้เป็นความทันสมัย เพื่อทำให้ไอศกรีมเข้าถึงง่ายขึ้น  เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่ม Millenials 

ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะ Häagen-Dazs ไม่ได้ทำการตลาดด้วยการลดราคาลงแต่อย่างใด แต่ยังคงวางตัวเองเป็นไอศกรีมราคาระดับพรีเมี่ยม การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ Häagen-Dazs ได้เชิญศิลปินที่มีฝีมือเป็นเอกลักษณ์จากทั่วโลก มาออกแบบกราฟิกแพคเกจจิ้งใหม่ โดยแต่ละคนจะต้องลองชิมไอศกรีมทั้ง 46 รสชาติก่อน เพื่อออกแบบภาพประกอบที่จะนำมาใช้ในบรรจุภัณฑ์ในสไตล์ของตนเอง อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนเฉดสีของโลโก้ ขณะเดียวกันการรีแบรนด์ที่เกิดขึ้นนี้ Häagen-Dazs ยังคงที่จะชูมรดกความเป็นมาของแบรนด์ที่รูเบนกับโรส แมตทัส ได้สร้างเอาไว้ 

เจนนิเฟอร์ ยอร์เกนเซ่น (Jennifer Jorgensen)  รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Häagen-Dazs ให้สัมภาษณ์กับ US Business Insider ว่าปัจจุบันนิยามของความหรูหรากำลังเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคไม่ได้กินเพื่ออวดอีกต่อไป แต่เป็นการเลือกซื้อเพราะความน่าเชื่อถือ และเรื่องราวที่อยู่หลังแบรนด์ อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างประสบการณ์ดี ๆ ให้กับผู้บริโภคด้วยมาตรฐานของรสชาติและการผลิตที่ใช้คุณภาพสูง ซึ่งหากแบรนด์ไม่สามารถทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเข้าถึงได้ อาจสร้างความเสียหายให้กับอัตราการเติบโตของแบรนด์ให้ชะลอลงไปนานถึง 30 ปี เลยทีเดียว

ปั้นแบรนด์ให้แข็งฉบับ Häagen-Dazs 

1.วางตำแหน่งทางการตลาดให้แคบเข้าไว้  

เรื่องนี้สำคัญมาก ต้องหาลูกค้าเฉพาะกลุ่มให้เจอ ดังที่ รูเบน เลือกที่จะเจาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อในช่วงแรก  การเลือกเจาะกลุ่มตลาดบุปผาชนในช่วงต้นทศวรรษที่ 60 ของโรส หรืออย่างการปรับตัวล่าสุดของ Häagen-Dazs ที่หันมาจับกลุ่ม Millenials เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในระยะยาว ต้องหันมาเน้นลงทุนในการกระตุ้นยอดขายและกลยุทธ์ระยะสั้นเพื่อต่อสู้กับยักษ์ใหญ่ในตลาดเพื่อความอยู่รอดแทน

2.อย่าลืมตัวตน หากคิดจะรีแบรนด์ 

การสร้างแบรนด์มักจะเริ่มต้นจากตัวผลิตภัณฑ์เสมอ ส่วนการรีแบรนด์มักจะเริ่มจากการวิเคราะห์ตลาดและการดำเนินงานทางธุรกิจ เมื่อต้องการที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ต้องดึงเอาจุดเด่นของแบรนด์ที่มีอยู่เดิมออกมาให้หมด ไม่ว่าจะเป็น สโลแกน เรื่องราวที่มาของแบรนด์ รวมไปถึงไอเดียบางอย่างที่หลงลืมไป เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนที่สามารถนำไปพัฒนาต่อได้ และหากผู้บริหารหรือฝ่ายการตลาดหลงลืมปัจจัยนี้ไป แบรนด์นั้น ๆ ก็จะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีอีกต่อไป

3.รักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์

ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นสักทีครั้ง การดำเนินธุรกิจต้องรักษาและเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อแบรนด์ที่พัฒนามาตลอดหลายปี ซึ่งจะช่วยให้สามารถกระชับความสัมพันธ์ที่สร้างไว้กับลูกค้าในปัจจุบัน และยังมีอิทธิพลต่อการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ด้วยสิ่งที่เป็นพื้นฐานมากที่สุดนั่นก็คือการรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับลูกค้า 

กรณีของ Häagen-Dazs คือคำพูดของ รูเบน แมตทัส ที่ประกาศก้องว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือไอศกรีมต้องมีรสชาติที่ดี” ซึ่งเขาได้พัฒนารสชาติที่เป็นเรือธงของแบรนด์ไว้ 3 รส ได้แก่ วานิลลา ช็อกโกแลต และกาแฟ ด้วยคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้คือไอศกรีมต้องมีส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงสุดในทุก ๆ ถ้วย แม้ว่าในกาลต่อมาจะมีการเปลี่ยนรูปแบบบรรจุภัณฑ์อีกหลายรอบ แต่หลักการที่เป็นพื้นฐานอย่างวัตถุดิบที่มีคุณภาพยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

การเดินทางของแบรนด์ Häagen-Dazs และการต่อสู้ของผู้ก่อตั้งดูราวกับเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ต้องประสบพบเจอการเปลี่ยนแปลงมากมาย การต่อสู้ทางความคิดระหว่างคนในครอบครัว ความล้มเหลวหลายครั้งต่อหลายครั้งในการทดลองสูตรไอศกรีมนานหลายปี รวมไปถึงแรงขับที่มาจากความรักในสิ่งที่ตนลุ่มหลงอย่างสุดหัวใจ อย่าง ไอศกรีม ทำให้ Häagen-Dazs เป็นตัวละครหนึ่งในโลกธุรกิจที่มีสีสันและน่าค้นหาไม่ว่าเราจะกลับมาสำรวจกันกี่ครั้งก็ตาม แม้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต แต่หลายครั้งเมื่อย้อนกลับไปมอง ก็พบว่าเงาแห่งอดีตกาลในบางโมงยามก็ย้อนกลับมาทาบทับกับปัจจุบัน

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า