‘สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ’
‘ชีวิตอิสระที่อยู่บนความไม่แน่นอน’
‘ของแพงขึ้น แต่เราขายได้น้อยลง’
ปัญหาปากท้องเรียกได้ว่าเป็นปัญหาสำคัญทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ธุรกิจ จนไปถึงระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการมีรายได้ที่ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ข้าวของแพงขึ้น สังคมที่มีแต่ความเหลื่อมล้ำแบบรวยกระจุกจนกระจาย การกู้หนี้ยืมสินในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก
ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า นักวิเคราะห์และสถาบันทางการเงินโลกได้มีการประเมินทิศทางของการเติบโตทางเศรษฐกิจ พบว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2023 มีความไม่แน่นอนและมีโอกาสเกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และเงินเฟ้อ (Geopolitical Recession; Inflationary recession) ที่มาจากสงครามในยูเครน และอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวสูงทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ส่งผลให้หน่วยงานวิจัยเศรษฐกิจหลายแห่งปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกลงอย่างมีนัยสำคัญ และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต้องเผชิญกับความยากลำบากในเรื่องของปากท้องและคุณภาพชีวิต
หน่วยงานสำคัญที่จะเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือ ‘รัฐบาล’ และสำหรับการ #เลือกตั้ง66 ที่ผ่านมาเราเชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต่างต้องการเลือกผู้นำที่จะช่วยนำพาไปประเทศไปสู่แสงสว่างเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
จากผลนับคะแนนเลือกตั้ง 2566 อย่างไม่เป็นทางการ พรรคก้าวไกล เบอร์ 31 ขึ้นนำมาเป็นอันดับ 1 โดยมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แต่สิ่งที่หลายฝ่ายต่างจับตามองคือ “นโยบาย 100 วันแรก” ของพรรคก้าวไกลที่จะเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อชาวไทยทุกคน โดยเฉพาะเรื่องปากท้องประชาชน
The Modernist จึงรวบรวมทุกนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้อง จาก “นโยบาย 100 วันแรก” ของพรรคก้าวไกล จะมีอะไรบ้างมาดูกัน
- เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เริ่มต้นวันละ 450 บาท ให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อและดัชนีค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทุกปี
- แบ่งเบาภาระค่าแรงที่สูงขึ้นสำหรับ SME ในช่วง 6 เดือนแรก โดยการที่รัฐบาลช่วยสมทบค่าประกันสังคมในส่วนของผู้ว่าจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
- ลดค่าใช้จ่าย SME โดยการเปิดให้ SME เหมาค่าใช้จ่ายภาษีบุคคลได้เพิ่มเป็น 90% (จากเดิม 60%)
- เพิ่มลูกค้าให้ SME โดยสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนที่เลือกซื้อสินค้า SME ได้รับสลากกินแบ่งของรัฐบาลไปลุ้นรางวัล และร้านค้าสามารถนำยอดขายมาแลกเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เช่นกัน
- ลดค่าไฟให้กับประชาชนได้อย่างน้อย 70 สตางค์/หน่วย (เฉลี่ยบ้านละ 150 บาท) พร้อมเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสัมปทานใหญ่พลังงานใหม่ เพื่อลดต้นทุนที่เกิดขึ้นจากค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่อง และปรับนโยบายเพื่อให้ความสำคัญกับประชาชนก่อนกลุ่มทุน
- ปลดล็อกให้ประชาชนทุกบ้านติดแผงโซลาร์เซลล์ ด้วยระบบ Net Metering (หักลบหน่วยขาย/ซื้อ) เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าและเปิดโอกาสให้ขายไฟฟ้าที่ผลิตเกินใช้ กลับคืนให้รัฐบาลในราคาตลาด
- เร่งเปลี่ยนที่ดินนิคมสหกรณ์ทุกแห่งทั่วประเทศ เป็นเอกสารสิทธิ์หรือโฉนดให้เกษตรกรและประชาชนทันที
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งใน “นโยบาย 100 วันแรก” ของพรรคก้าวไกล ที่มองว่าเป็นทางออกในการช่วยแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนชาวไทยได้ทันทีตั้งแต่ก้าวแรกของการเป็นรัฐบาล
นอกจากนั้นยังมีนโยบายไฮไลต์และนโยบายผลักดันต่อที่ทางพรรคก้าวไกลได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ เช่น สวัสดิการลดความเหลื่อมล้ำให้กับเด็กและผู้สูงวัย, ปฏิวัติการศึกษา, การยกระดับขนส่งสาธารณะ รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด เป็นต้น ซึ่งในขั้นตอนการดำเนินงานและปลายทางของความเปลี่ยนแปลงประเทศ จะเป็นอย่างไร เราชาวไทยทุกคนคงต้องจับตาดูกันต่อไป
ที่มา : election66 / bot.or.th