fbpx

เช็คสูตรจัดตั้งรัฐบาลบนทาง 3 แพร่ง บนโลกประชาธิปไตย หรือการเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ 

“ตอนนี้รู้สึกคันไม้คันมือ อยากแก้ไขปัญหาของประเทศมากๆ โดยเฉพาะเรื่องภัยแล้ง เอลนีโญ ในปีนี้จะนานมากกว่า 20 เดือนต่อกัน และอยากแก้เรื่องทรัพยากรน้ำ ปรับปรุงโครงสร้างรถไฟสายกรุงเทพโคราช โคราชหนองคาย ฟื้นฟูเขาใหญ่ให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง” ประโยคเด็ด ขณะขยับย่างก้าวทางการเมืองของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในการเดินสายขอบคุณคะแนนเสียงจากประชาชนที่มอบให้พรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ณ จังหวัดนครราชสีมา 

ขณะที่ ส.ว.บางกลุ่มกลับตบเท้าลั่นชัด แตะเบรก ไม่สนับสนุน พิธา เป็น นายกรัฐมนตรี จังหวะการเมืองเหล่านี้กำลังเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะถึงวันที่ 13 กรกฎาคม  

หลังจากได้ประธานรัฐสภา ในวันที่ 4 กรกฎาคม คือ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ พรรคร่วม 8 พรรคของฝั่งประชาธิปไตย เริ่มส่อเค้าชัดเจนว่าการเมืองไทยไม่อออกทางใดก็ทางหนึ่ง คือ 1. ภาวะปกติย่อมได้นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคร่วมเดียวกัน และเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมาก คือพรรคก้าวไกล  ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยและสากล พรรคที่ได้คะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรมาเป็นอันดับ 1 ย่อมมีนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคตนเอง 2. การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ แบบไม่พลิกขั้ว คือการที่พรรคเพื่อไทยพรรคอันดับ 2 จัดตั้งรัฐบาล เพราะพรรคก้าวไกลไม่สามารถฝ่าด่าน ส.ว. ได้ 3. สูตรพลิกฟ้า พลิกแผ่นดิน ไม่เคารพฉันทามติของประชาชน คือพรรคฝ่ายอำนาจนิยมที่ได้อำนาจจากกติกาเลือกตั้งที่บิดเบี้ยว สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โดยที่ถนนทุกสายต้องยกให้ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี 

ทั้ง 3 สูตรนี้ ไม่ว่าจะออกลูกไหน ล้วนเป็นได้หมดในการเมืองไทย ผู้เขียนขอพาไปเจาะลึก 3 สูตร ขยายมุมวิเคราะห์การเมืองไทย พิธา จากพรรคก้าวไกลจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคอะไร หรือสุดท้ายผลจะออกมาแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน 

  1. ภาวะปกติ ได้นายกรัฐมนตรีจากพรรคอันดับ 1 นาม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 

สูตรนี้ นักวิเคราะห์สายเก็งการเมืองสายดาร์ค ล้วนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่พิธาจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเส้นทางของพิธา ต้องผ่านด่านการเลือกตั้ง (ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าพรรคก้าวไกลจะได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1) ผ่านคดีถือหุ้นไอทีวี ที่มีนักฟ้องคอยรุมขย้ำเหมือนฝูงสุนัขเต็มไปหมด ไหนจะผ่านด่าน โหวตประธานรัฐสภา ที่มีคนเก็งให้เพื่อไทยขัดแย้งกับก้าวไกล จนต้องโหวตแข่งกันเอง แต่ก็ไม่เกิดขึ้น เพราะพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย 8 พรรค ตกลงกันได้ นำไปสู่การได้ประธานรัฐสภาอย่าง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ เป็นประธานรัฐสภา ปดิพัทธ์ สันติภาดา จากพรรคก้าวไกล เป็นประธานสภาลำดับที่ 1 และพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน เป็นรองประธานสภาลำดับที่ 2 เรียกได้ว่าฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่แตกแถว และอาจจะส่งผลถึงวันเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ 8 พรรคฝ่ายประชาธิปไตยลงมติเอกฉันท์โหวตสนับสนุนพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มี ส.ว. สนับสนุน (ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับพิสดารที่ให้อำนาจ ส.ว. โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ผิดจากรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยทั่วไป ที่นายกรัฐมนตรีต้องมาจากเสียงข้างมากจากสภาผู้แทนราษฎร ด้วยกติกานี้ทำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ไม่มีเสถียรภาพได้ทุกเมื่อ) เพราะเชื่อว่า การขานชื่อเลือกนายกรัฐมนตรีแบบสดๆ ผ่านสื่อ จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ส่งผลต่ออนาคตสำหรับตัว ส.ว. ทั้งในแง่การเมือง การงาน สังคม ครอบครัว และประเทศชาติ ส.ว. ที่มีหัวใจรักประชาธิปไตยย่อมต้องโหวตสนับสนุนนากยรัฐมนตรีที่มาจากพรรคอันดับ 1 ที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอย่างแน่นอน 

และหากมองข้ามไปถึงฉากทัศน์การเมืองไทยขั้นต่อไป หลังจากได้นากยรัฐมนตรีชื่อพิธา จากพรรคก้าวไกล ด่านต่อไปที่ต้องเจอคือคดีต่างๆ ที่นักร้องต้องเข้าไปยื่นเรื่องต่อองค์กรอิสระ ที่เป็นลูกข่ายอำนาจของ คสช. การเมืองฉบับราชการปล่อยเกียร์ว่างที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยโดนเล่นงานเมื่อ พ.ศ. 2554 สร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่าพรรคฝ่ายประชาธิปไตยไม่สามารถทำได้อย่างที่เคยหาเสียง นี่จึงเป็นการแหกด่าน ทะลายม่านการเมืองเก่าที่รัฐบาลก้าวไกลจะต้องเจอ ถึงแม้จะสามารถเฉิดฉายส่งพิธาให้โลดแล่นเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลไทยคู่ฟ้าได้แล้ว 

ถามว่าทำไมถึงไม่เอารัฐประหารมาเป็นอุปสรรค จะบอกให้ว่า ลืมไปได้เลยเรื่องนี้ เพราะประชาชนทนกับคณะรัฐประหารมา 9 ปี เห็นประเทศตกต่ำลงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนหลายคนบ่นว่าหนักหนาสาหัสกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง ทั้งทุนผูกขาด การฉ้อฉลของราชการ ไหนจะทุนสีเทาทั้งในและนอกราชการ ทหาร ตำรวจ การปฏิรูปที่ยิ่งกว่าผายลมไร้ผล มีแต่สร้างผลประโยชน์ให้กับพวกพ้อง  

และเมื่อถามอีกว่าทำไมผู้เขียนถึงไม่ยกเรื่องอุปสรรคเรื่องพรรคฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลพิธา เชื่อเถอะครับว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ตรวจสอบสนุก น่าติดตาม มากกว่าให้คนขี้เซามานั่งตรวจสอบ หรือให้แก๊งปากแจ๋วที่ไม่มีน้ำหนักเรื่องข้อมูลมาเป็นฝ่ายค้าน เอาเป็นว่าโจทย์นี้ผมอาจผิดก็ได้ แต่ขอให้พรรคฝ่ายค้านเตรียมใจเตรียมข้อมูลทำให้การตรวจสอบพรรคก้าวไกลให้ดูสนุกและน่าติดตาม ลบคำปรามาสผมให้ได้นะ 

นี่จึงเป็นสมการที่จำเป็นที่สุดสำหรับการเมืองไทย ณ ขณะนี้ และเป็นสมการที่ควรเป็นไปได้มากที่สุดตามครรลองประชาธิปไตย เพราะพิธา ได้มติจากมหาชน หากคุณกล่าวว่ามีคนอีกหลายล้านคนไม่ได้เลือกพิธา และพรรคก้าวไกล ผมให้คุณไปตอบตัวเองก่อนว่าคุณล่ะมีกี่คนที่ไม่ได้เลือกเช่นกัน  

  1. การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้น แบบไม่พลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาล 

การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้น อันนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่าบ้านเราเมืองเราเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงเสี้ยมหรือเชิงวิเคราะห์ ต่างมองไปที่ความเก๋าเกมการเมือง และการต่อรองอำนาจของพรรคเพื่อไทย เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าพรรคเพื่อไทยมีมุ้งการเมืองเยอะ การแบ่งสรรปันส่วนโควตารัฐมนตรีก็เป็นไปตามแต่ละขั้วภายในพรรค ไหนจะเสียงฮึ่มๆ ของพรรคเพื่อไทย อ้างว่าจำนวน ส.ส. ระหว่างพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลห่างกันไม่กี่เสียง ไหนจะเสียงจาก ส.ว. ที่พร้อมโหวตนายกรัฐมนตรีจากเพื่อไทยแบบมีเงื่อนไข ไหนจะความไฮบริดที่สามารถพูดคุยเจรจาข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย จนถึงขนาดที่หลายคนคาดว่ายอมกลืนเลือดจับมือกับพรรคที่ไม่เผาผีกันอย่างประชาธิปัตย์ ทำให้มองลึกลงไปในสมการนี้สามารถออกได้ 2 หน้าคือ 1. จับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม หากก้าวไกลไม่ได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. และเพื่อไทย จะก้าวไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน โดยมีก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล และมี ส.ว. บางกลุ่มยกมือให้ ทำให้มีเสียงถึง 376 เสียง แต่สมการนี้ต้องแลกมาด้วยการจัดสรรโควตารัฐมนตรีใหม่ อีกครั้ง และต้องมี ส.ว. ที่มีเจตนารมณ์โหวตให้พรรคอันดับ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่โหวตนายกรัฐมนตรีให้พรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน 2. พลิกสมการ ดึงพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา มาร่วมรัฐบาล เพื่อให้ได้เสียงที่เพียงพอในสภาผู้แทนราษฎร (รวมแล้ว 4 พรรค 262 เสียง) สมการนี้ก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน โดยที่ต้องสลัดพรรคก้าวไกล (และไทยสร้างไทยที่มีแนวโน้มอยู่กับก้าวไกล) ไปเป็นฝ่ายค้าน สูตรนี้เพื่อไทยต้องเจ็บตัวเยอะจาก ทั้ง FC ที่เชื่อว่าเพื่อไทยอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่จับมือกับพรรคอำนาจนิยมเก่าจัดตั้งรัฐบาล และต้องแลกมาด้วยโควตารัฐมนตรี ซึ่งทั้งพรรคพลังประชารัฐและภูมิใจไทยต้องต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีสำคัญๆ อย่างแน่นอน 

หลายคนอาจถามว่าทำไมไม่เอารวมไทยสร้างชาติกับประชาธิปัตย์รวมไปในสูตรนี้ด้วย เป็นไปไม่ได้หรือ คำตอบคือเป็นไปได้ แต่ผมว่าหากเป็นสูตรนี้จริงพรรคเพื่อไทยมีเสียงจากพรรคขั้วประชาธิปไตยเดิมยกเว้นก้าวไกลและไทยสร้างไทย บวกกับพลังประชารัฐและภูมิใจไทย ก็เกินครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลืนเลือดเอาพรรคที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตมาร่วมด้วย 

สูตรนี้ผมคิดว่าไม่คุ้ม หากทำไปจริง เพื่อไทยมีแต่เสียกับเสีย เสียทั้งมวลชนที่สนับสนุน เสียทั้งความไว้ใจจากพรรคขั้วเดียวกัน เสียทั้งความเชื่อมั่นจากประชาชน แลกมากับการเป็นนายกรัฐมนตรี มองไป 4 ปีข้างหน้า หรือการเลือกตั้งครั้งต่อไป สูตรนี้จึงได้ไม่คุ้มเสีย 

สูตรนี้ทำให้เราเห็นว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองนั้นไม่เสมอไป เพราะวิธีการมีมากมายให้ได้ผลลัพธ์ เพราะสามลบหนึ่งอาจได้สองก็ได้ 

  1. พลิกฟ้า พลิกแผ่นดิน ดัน “บิ๊กป้อม” เป็นนายกฯ 

เพื่อไทยสลัดมือจากก้าวไกลและไทยสร้างไทย วิ่งไปจับมือกับพรรคขั้วอำนาจเก่า ดัน พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี บวกคะแนนเสียง ส.ว. สนับสนุน สูตรนี้เรียกได้ว่าอาจสร้างความเจ็บปวดให้กับฝ่ายประชาธิปไตยสุดๆ  และอนาคตของพรรคเพื่อไทยก็ไม่สดใส และใครจะบอกว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพ คิดไว้ได้เลยเป็นไปได้ยาก เพราะนิสัยการนั่งหัวโต๊ะของ พล.อ.ประวิตร มักมีลักษณะใจกว้าง ปล่อยให้ทำงาน ต่อรองกันเองก่อนค่อยมาถึง พล.อ.ประวิตร หากไม่ลงตัว เรียกได้ว่าเก้าอี้รัฐมนตรีจะเหมือนสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เรียกได้ว่าต่อรองเก้าอี้กันมัน เก้าอี้รัฐมนตรีเรียกได้ว่าหมุนกันนั่งจนข้าราชการประจำจำไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้ากระทรวงของตัวเอง ถึงแม้จะการันตีว่าปลอดรัฐประหารเพราะบารมีของ พล.อ.ประวิตร แต่ยามใดที่พรรครัฐบาลเสียงฮึ่มๆ ต้องเจรจาต่อรองกันหัวหมุน จะนำการเมืองไปสู่การเมืองในอดีต ไม่เน้นเดินหน้าทำนโยบายให้กับประชาชน แต่เน้นต่อรองผลประโยชน์ของคนไม่กี่กลุ่มและประชาชนจะไม่ได้อะไรเลย แถมเพื่อไทยจะเจ็บตัวหมดอนาคตทางการเมือง อนาคตข้างหน้าไม่ต้องพูดถึง อยู่หลักสิบแน่นอน 

แต่สังเกตดีๆ ว่าสูตรนี้ผมก็ไม่เอาประชาธิปัตย์มารวมอยู่ดี เพราะหวังว่าจะรีแบรนด์ปรับปรุงตัวเรียกความน่าเชื่อถือคืนมา ส่วนรวมไทยสร้างชาติ หากมี พล.อ.ประวิตร นั่งนายกรัฐมนตรีก็อาจมาเข้าร่วมได้ เพราะหลายคนในรวมไทยสร้างชาติก็ยังให้ความเคารพในตัว พล.อ.ประวิตร อยู่ 

สูตรนี้จึงเป็นสูตรที่ขัดมติชนมหาชนสุดๆ เรียกได้ว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า รัฐบาลจะไร้เสถียรภาพอยู่ได้ไม่นาน เพราะพรรคร่วมด้วยกันเอง รวมถึงจะเจอฝ่ายค้านอย่างก้าวไกล ที่ถนัดเรื่องตรวจสอบ ไหนจะเจอประชาธิปัตย์ในอดีต ที่ผลงานก็ไม่แย่ในเรื่องการตรวจสอบ เรียกได้ว่าสูตรนี้รัฐบาลเจ็บตัว เพื่อไทยหมดอนาคต ก้าวไกลได้หน้าแถมรอได้ เล่นการเมืองยาวๆ ดังนั้น ผู้มีอำนาจจึงต้องพิจารณาดีๆ อย่ามองแค่ฉากทัศน์เบื้องหน้าเท่านั้น 

ประชาธิปไตย สู่ คณาธิปไตย 

เราต้องอย่าทำให้การเลือกตั้งเป็นเพียงพิธีกรรม และประชาชนไม่มีส่วนร่วมอะไร ถ้าหากเราฝืนมติมหาชนผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ไม่ยอมให้พรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล เท่ากับว่า การเลือกตั้งไม่มีความหมาย เป็นเพียงทางผ่านของนักการเมือง และต่อรองผลประโยชน์กันในสภาเท่านั้น โดยไม่เห็นหัวประชาชนสักนิด นี่คือวิธีการที่ผิดในระบอบประชาธิปไตย กำลังจะนำไปสู่ระบอบคณาธิปไตย ที่สนองประโยชน์แค่คนไม่กี่กลุ่มเท่านั้น 

ผู้เขียนขอฝากไปถึง ส.ว. หากต้องการให้ประเทศเดินหน้าไปต่อได้ สมควรอย่างยิ่งที่จะโหวตให้พรรคที่ได้เสียงอันดับ 1 และสามารถรวมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้จำนวนมากที่สุดจัดตั้งรัฐบาล เหมือนเช่นอดีตที่เคยลงคะแนนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และหากกังวลเรื่องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ต้องพิจารณาดีๆ ว่ากฎหมายนี้ให้คุณมากกว่าโทษ หรือหากกลัวกฎหมายนี้จะผ่าน หากดูจริงๆ ผมคิดว่ากฎหมายดังกล่าวยังต้องผ่านอีกหลายวาระ และยากที่จะผ่านด่านทั้งพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย ชั้นกรรมาธิการ และรัฐสภา จึงไม่สมควรนำข้ออ้างดังกล่าวมาอ้าง เพื่อไม่สนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคอันดับ 1 และจะกลายเป็นว่า ส.ว. ที่สวนมติมหาชนผ่านการเลือกตั้งจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่าเป็นศัตรูกับระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดคือประชาชน หากไม่สนและไม่แคร์โปรดจงพิจารณาว่าท่านทั้งหลายนั้นมีชีวิตอยู่ไม่ได้นาน ประเทศย่อมส่งให้คนรุ่นถัดไป รวมถึงลูกหลานของท่านเอง อาจจะถูกกล่าวถึงตัวท่านให้เป็นที่อับอายก็ได้ 

พิธา ไม่ใช่นายกฯ ของด้อมส้ม แต่คือนายกฯ จากระบอบประชาธิปไตย 

วาทกรรมที่ชอบพูดกันว่า พิธาเป็นนายกรัฐมนตรีของ  “ด้อมส้ม” ผู้เขียนไม่เห็นด้วยนัก เพราะว่า ระบอบประชาธิปไตยไทย (ในภาวะปกติ) นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคที่มีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรมาเป็นอันดับ 1 และการจะได้ผู้แทนราษฎรนั้นมาจากเสียงของประชาชนที่ไปเลือกตั้ง การเลือกตั้งคือหัวเชื้อเริ่มต้นในการรังสรรค์ประชาธิปไตย และผลออกมาคือประชาชนเลือกพรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ 1 นี่จึงเป็นฉันทามติของมหาชนที่ส่งให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และด้วยกติกาของประชาธิปไตย ความมีน้ำใจนักกีฬา ต้องยอมรับว่ากระแส พิธา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นมาจริงๆ ลองเทียบระหว่างพิธาลงพื้นที่กับ พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ จำนวนของมวลชน ความสุขของมวลชนที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม ต่างกันลิบลับราวกับฟ้ากับเหว เราจึงควรปล่อยให้เขาจัดตั้งรัฐบาล ได้บริหารไปเสียก่อน หากทำไม่ได้จริง หรือนโยบายไม่ถูกใจ ก็เจอกันเลือกตั้งครั้งใหม่ ให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ไม่พอใจผลงานเลือกตั้งใหม่ก็เปลี่ยนได้ มิใช่อ้างว่าพิธาเป็นนายกฯ ของด้อมส้ม แล้วจะไม่สนับสนุน ไม่ให้เป็น เช่นนั้นคือความคิดคุณขัดต่อความเป็นประชาธิปไตย และกำลังลดคุณค่าของเสียงประชาชน แล้วคุณจะลงเลือกตั้ง อ้างเป็นนักการเมือง เป็นนักประชาธิปไตย อ้างรัฐธรรมนูญได้อย่างไร หรืออ้างเพราะอยากมีตัวตนในโลกที่ประชาธิปไตยได้แสงและคุณหิวแสงแห่งประชาธิปไตยเท่านั้นเอง

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า