fbpx

ย้อนรอยพรรคภูมิใจไทย จากวันใต้ปีก “ทักษิณ”  “มันจบแล้วครับนาย” สู่วันร่วมหอลงโรง

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้เทียบเชิญพรรคภูมิใจไทย เพื่อมาพูดคุยเพื่อปรึกษาหารือ หาทางแก้ไขปัญหาของประเทศ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ได้ตอบรับคำเชิญ นำขบวนแห่ขันหมากเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย โดยมีแกนนำพรรคเพื่อไทยอย่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมรอต้อนรับคณะของพรรคภูมิใจไทย

สำหรับจุดประสงค์ของการมาถึงเรือนชานในครั้งนี้ เป็นการหารือเกี่ยวกับทางออกของประเทศ และการขอเสียงสนับสนุนจัดตั้งรัฐบาล บรรยากาศนั้นก็เป็นไปอย่างชื่นมื่น ตามประสาของคนที่เคยอยู่ร่วมพรรคไทยรักไทยของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร มาด้วยกัน แถมยังเสิร์ฟเครื่องดื่มช็อกมินต์ เครื่องดื่ม Signature ของพรรคเพื่อไทย ให้นายอนุทินและคณะชนแก้วและดื่มกัน 

จากการหารือดังกล่าว นายอนุทินได้สรุปว่า พรรคภูมิใจไทยไม่สามารถทำงานร่วมกับพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ หากยังมี “พรรคก้าวไกล” อยู่ร่วมรัฐบาล โดยไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้ง แต่เป็นเรื่องของแนวทางการทำงานที่ไม่ตรงกัน และได้เรียนเรื่องนี้ให้ทางพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไปพิจารณา และหากแก้ไขได้สำเร็จ ทางพรรคภูมิใจไทยพร้อมช่วยเหลือพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาล

แน่นอนว่า การหารือระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย สร้างความไม่พอใจให้กับผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปไตย โดยเฉพาะผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล และทำให้ถูกมองไปต่างๆ นานา ว่า พรรคเพื่อไทยจะฉีก MOU ทิ้งให้พรรคก้าวไกลไปอยู่ฝ่ายค้าน แล้วตั้งรัฐบาลร่วมกับฝ่าย 10 พรรค หรือ 188 เสียง ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม หากใครยังจำได้ บุคคลในพิธีแห่ขันหมากทางการเมืองเหล่านี้ ต่างก็มาจากรากฐานพรรคการเมืองเดียวกัน คือ พรรคไทยรักไทย ในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี (2544 – 2549) และหากจะไม่พูดถึงหนึ่งในตัวแปรสำคัญในกำเนิดของพรรคภูมิใจไทยอย่าง นายเนวิน ชิดชอบ เลย ก็อาจถือว่าผิดมหันต์ทีเดียว

จังหวัดบุรีรัมย์นับได้ว่าเป็นฐานสำคัญของพรรคภูมิใจไทย และ นายเนวิน ชิดชอบ นักการเมืองผู้เติบโตในจังหวัดบุรีรัมย์ ก็เป็นหนึ่งหัวหอกสำคัญที่เคยสนับสนุนให้พรรคไทยรักไทยชนะทั้งจังหวัดบุรีรัมย์มาแล้ว เห็นได้จากการปรับตัวตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ดีไซน์มาเพื่อฆ่าการเมืองบ้านใหญ่ และระบบอุปถัมภ์ในการเมืองท้องถิ่น โดยดูจากการมาของพรรคไทยรักไทยที่เน้นขายนโยบายมากกว่าบุคคล และประสบความสำเร็จ นายเนวิน ชิดชอบ ก็นำสมาชิกมาเข้าร่วมกับพรรคไทยรักไทย และกลายเป็นมือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในที่สุด

หลังจากการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้พรรคไทยรักไทยถูกยุบ นายอนุทิน ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งนายเนวิน ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไป 5 ปี ทว่านายเนวินก็ยังคงใช้อิทธิพลในการช่วยเหลือพรรคพลังประชาชน ในการเลือกตั้ง ปี 2550 จนกระทั่งมีการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ของนายสมัคร สุนทรเวช และการยุบพรรคพลังประชาชน ในสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก่อนจะมีการตั้ง “พรรคเพื่อไทย” ขึ้น 

เมื่อสถานการณ์ไม่สู้ดี เนวินได้ตัดสินใจนำกลุ่มเพื่อนเนวิน แปรพักตร์เข้าไปร่วมสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวทำให้บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย หรือแม้กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ฉุนขาด ถึงขนาดที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณโทรไปต่อว่าว่า “ไม่สำนึกในบุญคุณ” และนายเนวินก็ได้ตอบกลับไปสั้นๆ ด้วยวลีเด็ดที่รู้จักกันว่า

 “ทุกอย่างจบแล้วครับนาย” หรือ “มันจบแล้วครับนาย”

ต่อมาเมื่อกลุ่มเพื่อนเนวินได้แยกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทย วันที่ 14 มกราคม 2552 ก็ได้เปิดตัว “พรรคภูมิใจไทย” อย่างเป็นทางการ และนำพรรคเข้าร่วมรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ในช่วงที่มีการประท้วงของคนเสื้อแดงในปี 2552 – 2553 มีกลุ่มคนใส่เสื้อสีน้ำเงิน เข้ามาปะทะกับกลุ่มคนเสื้อแดง และยังช่วยสนับสนุนกลุ่มทหารกับตำรวจในการสลายการชุมนุม ซึ่งเสื้อสีน้ำเงินที่ใส่นั้นปรากฏคำว่า “ปกป้องสถาบัน” และ “สงบ สันติ สามัคคี” โดยสันนิษฐานว่า อาจเป็นกลุ่มที่นายเนวินจัดตั้งมา

นับแต่นั้น พรรคภูมิใจไทยก็เข้าไปมีส่วนในการเมืองไทย ทั้งในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลที่พรรคของตนได้เขาไปบริหารด้วย และพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งก็มักจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยในช่วงที่เสียท่าให้กับพรรคเพื่อไทย สมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

มาถึงช่วงการเลือกตั้งปี 2562 พรรคภูมิใจไทยก็ได้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ ในการจัดตั้งรัฐบาล และมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี  โดยนายอนุทินได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนั้นก็ได้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย ทั้งเรื่องของการท้าทายโรคระบาดอย่างโควิด–19 ว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา จนมีคนติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นการฝึกความอดทนกับคนไทยในเรื่องของการ “รอให้เป็น เย็นให้พอ” รวมทั้งการทำให้ใบกระท่อมเสรี และนโยบายกัญชาเสรี ที่ตอนนี้มีร้านขายกัญชาทั่วเมือง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

อาจเรียกได้ว่า พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่พร้อมจะร่วมงานกับรัฐบาลใดก็ได้ หากทำให้พรรคของตนได้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร แต่มาถึงตอนนี้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป จากการที่พรรคก้าวไกลเข้ามามีบทบาทในการเมือง และเป็นหนึ่งใน 8 พรรค รวม 312 เสียง พ่วงด้วยอุดมการณ์ที่มุ่งแก้ไขโครงสร้างทางสังคมที่กดทับประชาชน ซึ่งอาจจะไม่ถูกจริตกับพรรคสไตล์บ้านใหญ่อย่างพรรคภูมิใจไทย 

ความท้าทายใหม่อย่างพรรคก้าวไกลก็อาจเป็นส่วนที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน อย่างที่นายอนุทินได้ไปร่วมสังสรรค์ หารือเรื่องงานการเมืองเหมือนสมัยอยู่พรรคไทยรักไทย กลายเป็นภาพของศัตรูทางการเมืองที่บาดหมางมานาน แต่กลับมาเฮฮากันอีกครั้ง

“กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” อย่างที่เขาว่าจริงๆ

แหล่งอ้างอิง : THE STANDARD 1 2 / workpointtoday / mgronline / prachatai / komchadluek / thematter / voicetv

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า