fbpx

ใครเป็นผู้ที่ตัด Floppy Disk และ CD/DVD ออกจากคอมพิวเตอร์

ยุคนี้การที่เราไม่ใช้ Floppy Disk แล CD/DVD เป็นสื่อบันทึกข้อมูลหลักถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่มีสิ่งที่น่าสนใจคือ ใครคือรายแรกที่ริเริ่ม และเสียงตอบรับเป็นอย่างไร ณ ตอนนั้น เมื่อเทียบกับปัจจุบัน

Floppy Disk

Image: TheCryptoUpdates

เมื่อพอร์ต USB ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1990 โดยบริษัท Intel โดยมี Ajay Bhatt เป็นผู้ริเริ่ม โดยมีจุดประสงค์ที่จะมาทดแทนพอร์ตอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์ที่ตอนนั้นมีมากมายหลายมาตรฐาน เดิมทีวิศวกรของ Intel ได้ลองเลือกสักพอร์ตที่มีอยู่แล้วในท้องตลาดมาสักพอร์ตเดียวเพื่อใช้เป็นมาตรฐานกลาง กลับรู้สึกว่าไม่ตอบโจทย์ เพราะมีขนาดพอร์ตที่ใหญ่ เสียบถอดได้ยาก รับส่งข้อมูลก็ช้าถ้าข้อมูลมีขนาดใหญ่ เพราะมีอีกจุดประสงค์อีกเรื่องคือ ต้องการสามารถใช้เสียบสื่อบันทึกข้อมูลได้ด้วย จึงได้พัฒนา USB ขึ้นมา แต่กว่าพอร์ตนี้ได้ออกสู่ตลาดก็ประมาณปี 1995 แล้ว ซึ่งช่วงนั้นยังไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไหร่

แล้ว USB มาเกี่ยวอะไรกับการทำให้ Floppy Disk เสื่อมความนิยม?

เกี่ยวครับ เนื่องจากช่วงปี 1998 ตอนนั้นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เริ่มใส่พอร์ต USB เข้ามาแล้วเป็นมาตรฐานไม่ใช่ออปชั่นเสริมตัวราคาสูงหรือต้องซื้อการ์ดมาเพิ่มพอร์ตเอง โดยให้อย่างต่ำ 2 พอร์ต แต่ช่วงนั้นก็ยังไม่ได้มาทดแทน Floppy Disk สักทีเดียว แต่เริ่มทดแทนการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ากับคอมพิวเตอร์โดยใช้พอร์ตแบบเดิมบ้างแล้ว เช่น โมเด็ม กล้องดิจิทัล เครื่องพิมพ์และสแกนเนอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ที่มีพอร์ต USB ยังคงให้ Floppy Disk Drive มาอยู่ แล้วยังต้องทำงานรับส่งไฟล์ร่วมกับเครื่องรุ่นเก่าอยู่

จนกระทั่งในปีเดียวกัน Apple ได้ออก iMac G3 โดยเป็นคอมพิวเตอร์ตัวแรกของโลก ที่มีพอร์ต USB แต่ตัด Floppy Disk Drive ออกไปทุกรุ่นในสายการผลิตนี้ บวกกับปีนั้น USB Flash Drive เริ่มวางตลาด และเครื่อง iMac G3 ได้ให้โมเด็ม 56K มาในตัว (ย้ำว่า 56K แต่ในปี 1998 นะครับ) ทาง Apple จึงมองว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ Floppy Disk อีกต่อไป (แต่ยังมี CD Drive นะครับ เพราะสื่อบันเทิงและซอฟต์แวร์ยังขายในรูปแบบนี้กันมาก) เพราะเราสามารถรับส่งไฟล์ได้ผ่านทาง USB และอินเทอร์เน็ต

Image : facebook/LivingComputers

แต่ว่าผลตอบลัพธ์ในช่วงนั้น ก็ถือว่ายังเป็นคอมพิวเตอร์เฉพาะกลุ่ม (แม้ได้กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่มาด้วย คือกลุ่มคนที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์มาก่อน และอยากได้เครื่องที่ต่อเน็ตง่าย ๆ  โดยไม่ต้องไปซื้อโมเด็มเพิ่มและตั้งค่าเอาเอง) โดยคอมพิวเตอร์ยี่ห้ออื่น ๆ รวมถึง PC ประกอบ ยังคงใส่ทั้ง Floppy Disk และ USB มาคู่กันอยู่ แต่ก็ถือว่าเป็นผู้เขย่าวงการคอมพิวเตอร์เพื่อเป็นจุดเปลี่ยนได้เลย จนกระทั่งช่วงหลังจากนี้ก็มีผู้ผลิตบางรายเริ่มทำตามในบางรุ่น แต่จุดประสงค์คืออยากทำให้เครื่องเบาบางขึ้นมากกว่าอย่างเช่น Sony VAIO, IBM ThinkPad X Series ในบางรุ่น

Image : modelrail.otenko

แต่อีกประมาณ 10 ปีให้หลัง ก็มีคอมพิวเตอร์สายพันธุ์ใหม่ (ในยุคนั้น) ออกมานั่นก็คือ Netbook และ Nettop ช่วงปี 2007 เนื่องจากมีแนวคิดที่ว่าตอนนั้น Wi-Fi เริ่มแพร่หลาย และความเร็วอินเทอร์เน็ตแบบบอร์ดแบนด์ เป็นที่นิยมขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีเครื่องที่เจาะตลาดคนเน้นใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นหลักขนาดเล็กออกมา ซึ่งเครื่องเหล่านี้ตัดทั้ง Floppy Disk และ CD/DVD Drive แต่ว่าก็ยังเหมาะกับเน้นเป็นเครื่องที่สองของแต่ละคนเพื่อเน้นท่องอินเทอร์เน็ตมากกว่า และยังมีเครื่อง Thin Client ที่ตัดออกทั้งสองอย่างเช่นกัน แต่เน้นตลาดองค์กรที่เอาไว้ใช้รีโมทเข้าสู่ระบบในเครื่อง Server ซึ่งแนวทางเหล่านี้ทำเหมือนกันทุกยี่ห้อที่ผลิตคอมพิวเตอร์สายพันธุ์นี้ออกมา

แต่ถ้ามองย้อนไปในปี 2005-2006 คอมพิวเตอร์โน้ตบุกขนาดปกติ ก็ตัด Floppy Disk Drive ออกไปแล้วเกือบทุกรุ่น แต่ยังคงมี CD/DVD Drive ถือว่านี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นเป็นวงกว้างมากกว่าการมาของ Netbook, Nettop, Thin Client แต่การตัดออกในเครื่องตั้งโต๊ะเมื่อค้นตามรุ่นปีที่ผลิต พบว่าเริ่มตัดออกในปี 2007 นี่แหละครับ แต่ว่ายังไม่ทุกรุ่น และบางรุ่นยังมีให้ลูกค้าเลือกตอนสั่งซื้อว่าจะเอา Floppy Disk Drive หรือไม่ ส่วนคอมประกอบเริ่มมีร้านจัดสเปกโดยไม่มี Floppy Disk Drive แล้ว (แต่ยังมีขายแยกหากต้องการใช้ซื้อเพิ่มมาใส่เอง) และก็เริ่มเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับผู้ใช้ทั่วไปที่จะไม่เอา Floppy Disk Drive แล้วเพราะปรับตัวมาใช้ USB Flash Drive กันเต็มตัวเนื่องจากความจุเยอะในราคาที่ถูกลง ช่วงนั้น 4GB ราคาหลักร้อยแล้ว ผิดจากก่อนหน้านี้ ความจุหลัก MB ราคาเป็นพัน

CD/DVD Drive

Image : Wikipedia

จากเมื่อกี้ที่พูดถึงเรื่อง Floppy Disk Drive ไปจะพบว่าคอมพิวเตอร์ที่ตัด Floppy Disk Drive ออกไปแล้ว ยังคงมี CD/DVD Drive อยู่ช่วงใหญ่ ๆ นานหลายปี เพราะซอฟต์แวร์และสื่อบันเทิงยังต้องการพื้นที่เก็บจำนวนมาก บวกกับความเร็วเน็ตยังไม่เพียงพอที่จะดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ได้ จึงยังต้องจำหน่ายในรูปแบบนี้อยู่ แม้กระทั่งของละเมิดลิขสิทธิ์ก็ยังต้องจำหน่ายในรูปแบบ CD/DVD เช่นกัน

Image : ebay

อย่างไรก็ตามเราได้ท้าวความว่า Netbook, Nettop, Thin Client คือคอมพิวเตอร์สายพันธุ์แรกที่ตัดออกทั้ง Floppy Disk Drive รวมถึง CD/DVD Drive ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันทุกรุ่น แต่ว่าในปี 2005 ก็เริ่มมีโน้ตบุกขนาดปกติตัด CD/DVD Drive ออกไปอย่างเช่น Toshiba Portege R200

Image : Notebookcheck

จุดประสงค์ที่ตัดออกเพราะต้องการให้เครื่องบางเบา แต่ขนาดเครื่องยังคงหน้าจอใหญ่เหมือนเดิม แต่ว่าช่วงนั้นก็มีการแนะนำว่าถ้าอยากใช้ CD/DVD, Floppy Disk Drive จริง ๆ ก็ไปซื้อ External Drive มาต่อภายนอกเอา จนกระทั่งเหล่า Netbook, Nettop, Thin Client วางตลาดช่วงปี 2007 และยึดแนวทางตัด CD/DVD, Floppy Disk Drive ออกไปทุกรุ่น จนกระทั่งปี 2008 Apple เปิดตัว MacBook Air และประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นโน้ตบุกหน้าจอปกติ บางเบาที่ตัด CD/DVD Drive ออกไป

Image : Apple

แต่ก็มีเสียงวิจารณ์มากกว่ากรณีตัด Floppy Disk Drive ออกไป เนื่องจากสื่อบันเทิงและซอฟต์แวร์ตอนนั้นยังจำหน่ายในรูปแบบ CD/DVD (แม้ตอนนั้นร้านค้าเกมและซอฟต์แวร์ออนไลน์ผ่านการดาวน์โหลดอย่าง Steam ก็มีแล้ว และ Wi-Fi หรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงก็มาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้แพร่หลาย และคำว่าความเร็วสูงสมัยนั้น ก็ยังไม่ได้เร็วพอกับไฟล์ใหญ่มหาศาล จึงทำให้ยังคงต้องดาวน์โหลดนาน ต่างจาก Floppy Disk Drive ที่เน้นไว้โอนถ่ายข้อมูลและมีความจุเพียงแค่ 1.44 MB ช่วงปลายยุค 2000s ถือว่าน้อยไปแล้ว ซึ่งใช้ USB Flash Drive ทดแทนได้สะดวกกว่าจึงปรับตัวได้เร็ว (เสียงบ่นก็จะมีแค่คนที่ยึดติด หรือจำเป็นต้องรับส่งไฟล์ร่วมกับอุปกรณ์เก่า ๆ)

เมื่อเราทำการย้อนดูรีวิวโน้ตบุกทั้งจาก notebookspec.com และจากรายการของบริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด ทาง youtube.com/beartai พบว่าโน้ตบุกแบบทั่วไปช่วงปี 2013 เริ่มไม่มี CD/DVD Drive มาให้มากขึ้น จนปี 2014 จะเริ่มเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบกลายเป็นเรื่องปกติ ส่วนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและ All in One PC พบว่าช่วงปี 2013-2015 หากเป็นรุ่นเน้น Home Entertainment บางรุ่นยังใส่มาให้ ส่วน PC ที่เน้นตลาดองค์กร ก็กำหนดให้ CD/DVD Drive เป็นสิ่งที่เลือกได้ตอนสั่งว่าจะเอาหรือไม่ เมื่อดูรีวิวอย่างอื่นในรายการ “แบไต๋” และ “เดอะรีวิวเวอร์” ไล่ตั้งแต่ปี 2013-2015 พบว่าบวกกับช่วงนั้นบริการ Cloud สำหรับจัดเก็บข้อมูลเติบโตสูง อย่างเช่น Microsoft ได้ปรับตัวบริการ Office 365+OneDrive ยกโฉมใหม่หมดตั้งแต่ปี 2012 ก้าวเข้าปี 2013

อีกทั้ง Google ก็ทำ Chrome OS พร้อมจับมือพันธมิตรออก Chromebook, Chromebox เพื่อเน้นใช้งานบน Cloud รวมถึงเทคโนโลยี Wi-Fi ที่ทำความเร็วได้สูงขึ้นอย่างมาตรฐาน AC ที่มีทั้งย่าน 2.4 GHz, 5 GHz ที่มาในช่วงปี 2014 ปีเดียวกับที่ iMac รุ่นที่เปิดตัวในปีนี้ตัด CD/DVD Drive และมาย้อนดูไทยพบว่าอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์เจ้าแรกในไทยให้บริการในปี 2015 โดย 3BB

วงการเกมและซอฟต์แวร์ และสื่อบันเทิง ได้รับความนิยมในตลาดซื้อขายออนไลน์มากขึ้น ค่ายเกมดัง ๆ มี Store ของตัวเองบวกกับเกมหลาย ๆ ก็มาร่วมลงขายด้วย รวมถึงทางระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ออกสู่ตลาดในช่วงปี 2013 ขึ้นไปก็มี Store ขายแอปและเกมของตัวเองแบบสมาร์ตโฟน และบริการสตรีมมิ่งเพลงและวิดีโอ เริ่มได้รับความนิยม มีหลายบริษัทเข้ามาลงตลาดกันในช่วงนี้ ส่วนแผ่น Blu-ray แม้ได้ชัยชนะเด็ดขาดจากสงครามฟอแมตยุคใหม่ระหว่าง HD-DVD vs Blu-ray แต่ก็กลายมาเป็นสื่อบันทึกสำหรับเฉพาะทางและมีตลาดเฉพาะไป บนเครื่องเล่นสำหรับต่อทีวีหรือเครื่องเล่นเกมคอนโซล ไม่ค่อยให้มากับคอมพิวเตอร์ ด้วยราคาที่ยังคงแพงอยู่ทั้งเครื่องเล่นและแผ่น (แม้ตอนหลังปรับลงมาบ้างแล้ว) แต่อีกเรื่องก็ต้องพูดตรง ๆ เกิดจากระบบกันคัดลอกคอนเทนท์ของ Blu-ray แน่นหนา ตอนนั้นเจาะยาก พวกสายมืดไม่ซื้อเพราะทำการละเมิดลิขสิทธิ์ยาก ดังนั่นก็จึงสรุปได้ว่า หลายสื่อมองว่าเพราะ Apple นี่แหละเป็นตัวฆ่า CD/DVD Drive แบบจริงจัง แต่ทางเรามองว่าอีกปัจจัยเกิดจาก เมื่อสิ่งต่าง ๆ มันเอื้อมากขึ้น ค่ายอื่นก็ทำตาม

อ้างอิง
The floppy disk is dead (and Apple helped kill it) | Engadget
Death of the Computer Optical Drive (lifewire.com)
Why Do New PCs No Longer Have DVD or Blu-Ray Drives Any More? (alphr.com)
Extreme History – USB พอร์ตระดับตำนาน ถูกสร้างเพราะผมงอนเจ้านายเก่า – Extreme IT
Toshiba Portégé R200 – Notebookcheck.net External Reviews
www.notebookspec.com
www.youtube.com/beartai

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า