fbpx

เฟนเดอร์ ธนพล กับ View from the Bus Tour โปรเจคต์เพลงที่ว่าด้วยการเมืองและประชาชน

เราต่างรู้จักเฟนเดอร์-ธนพล จูมคำมูล ในนามฟรอนต์แมนของ Solitude is Bliss วงดนตรีอินดี้ที่ส่งตรงจากนครพิงค์เชียงใหม่กันอยู่แล้ว ซึ่งตัวตนและเพลงของพวกเขาจัดจ้านในระดับการเป็นศิลปินกลุ่มซึ่งมีเพลงที่เจาะหัวใจคนฟังได้มากมายทั้งไทยและเทศ รวมถึงการได้รางวัลการันตีจากเวทีคม ชัด ลึก อวอร์ดส์ ยิ่งตอกย้ำในความเป็นพวกเขาได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

หันหลังกลับมาจากแสงไฟ เฟนเดอร์ก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่ในสังคม ภายใต้ระบอบการปกครองของประเทศๆ หนึ่ง ซึ่งเขาก็เห็นถึงความ “ไม่ปกติ” บางอย่างในสังคม ซึ่งความไม่ปกติพวกนั้นยิ่งถูกแสดงออกมาให้เห็นชัดเรื่อยๆ ผ่านสายตาของเขาที่ออกไปแสดงจุดยืนร่วมกับราษฎรที่จังหวัดเชียงใหม่อยู่บ่อยครั้ง

จากสายตาของเขาเอง ประกอบกับก้อนความคิดจำนวนมาก นำไปสู่การเริ่มต้นโปรเจคต์ส่วนตัวเล็กๆ ของศิลปินเดี่ยวคนหนึ่ง ซึ่งการทำโปรเจคต์ส่วนตัวของศิลปินสักคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแผลกอะไร

เฟนเดอร์กับ View from the Bus Tour ก็เช่นกัน 

เขาเริ่มขีดเขียนถ้อยคำบางอย่างออกมาเป็นเนื้อเพลงและบรรเลงทำนองลงไปโดยมีสารตั้งต้นคือปัญหาบางอย่างของสังคม (และน่าจะทุกอย่างด้วย) ซึ่งหนึ่งในงานที่เราได้ยินจากเขาในโปรเจคต์นี้คือลิ่วล้อ เพลงที่เขาส่งไปร่วมกับโปรเจคต์ 5 ตุลาฯ ตะวันจะมาเมื่อฟ้าสาง ในวาระรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519

เราคุยกับเฟนเดอร์ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการดำเนินกิจกรรมของนักกิจกรรมทางการเมืองของเชียงใหม่ที่ลากยาวกว่าสองสัปดาห์ ฉากทัศน์เล่านั้นทำให้เรื่องราวของเฟนเดอร์ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก ทั้งในฐานะศิลปินที่เชื่อในการใช้เครื่องมือที่จรรโลงสังคมเพื่อสารบางอย่าง

และในฐานะประชาชนที่ต้องการแสดงออกตามกลไกของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

อะไรทำให้คุณเริ่ม Project นี้

ความจริงมันเป็นเหมือนพื้นที่ๆ ทำให้ผมแบบอยากพูดในสิ่งที่ผมอยากพูดได้หลายฟอร์มมากขึ้น  ตามประสาคนที่มีเรื่องจะพูด สายนึงก็จะไปเป็นนักวิชาการ สายนึงก็ไปเป็นนักเล่าเรื่อง ก็คือเป็นพวกเครื่องมือศิลปะทั้งหลาย ผมก็เลยเลือกเป็นดนตรีแล้วก็กลอนเปล่า แล้วก็คิดว่ามันเป็นไดอารี่ที่เอาไว้แบบพ่นความคิดของตัวเองออกไป

แล้วคุณอยากพูดความคิดอะไรลงไปในเพลง ในกลอนเปล่า ในศิลปะของคุณ

ทุกอย่างเลยครับ ทุกอย่างที่ว่านี่ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้นะ แต่หมายถึงแบบที่มันทำให้ผมรู้สึกมากๆ แล้วก็ไม่อยากรู้สึกคนเดียว หรือมันเป็นการเช็คว่ามันมีคนรู้สึกแบบเดียวกันหรือเปล่า หรือบางคนอาจจะไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าเข้าใจ เคยรู้สึกเรื่องพวกนี้ แต่ก็ผ่านมันไป แต่พอเขามาเห็นภาษาของเรา เห็นการเล่าของเรา เห็นการนำเสนอของเรา เขาอาจจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า อ๋อ ก็เคยรู้สึกแบบนี้เหมือนกันนี่หว่า มันเป็นการหาเพื่อนมากกว่า เป็นการหาเพื่อนทางความคิดชนิดหนึ่ง

ซึ่งมันดูเหมือนๆ จะมีวิธีอื่นในการหาเพื่อนทางความคิด แล้วทำไมคุณถึงเชื่อว่าวิธีการนี้มันน่าจะทำให้คุณได้มุมมองหรือวิธีคิดใหม่ๆ

มันไปได้ไกลกว่าแล้วก็ใช้เวลาน้อยกว่า ไม่ใช่ในแง่การผลิตนะครับ แต่ในแง่การส่งสารออกไป การรับสาร 1 ทีมันต้องใช้เวลาเท่าที่เรากำหนดได้ แต่การสนทนาโดยตรงหรือว่าแบบการเขียนบทความ หรือทำงานวิชาการมันค่อนข้างจะต้องดึงแม่น้ำทั้งห้ามาเยอะพอสมควร แล้วผมรู้สึกว่าแพลตฟอร์มนี้มันไม่จำเป็นต้องเข้าไปในทางเดียว หมายถึงว่าแบบไม่ต้องไปที่ Core Idea ของสิ่งที่ผมกำลังจะพูดก็ได้ แต่ว่าเป็นมู้ดแวดล้อม องค์ประกอบแวดล้อม Melody เสียง ความรู้สึก ณ ตอนนั้นนะครับ ผมรู้สึกว่ามันทำให้มีหลายทางครับที่คนที่จะทำให้คนเข้าถึงได้มากขึ้น

ต้นขั้วการทำงานเพลงแบบ View from the Bus Tour คืออะไร

เป็น Non Sense Melody เป็น Non Sense vibes เป็นความรู้สึกเฉยๆ คือผมมักจะจับไม่ทันว่าเรื่องที่มันมากระทบจิตใจมันคือเรื่องอะไร แต่มันจะเป็นความรู้สึกที่มันทิ้งร่องรอยไว้มากกว่า ว่าแบบ เฮ้ย ยังค้างอันนี้อยู่ แล้วมันคืออะไร แล้วค่อยๆ สืบสาวไปทีนึง อ๋อ มันเป็นเรื่องนี้ที่กระทบจิตใจเราแล้ว บริบทแวดล้อมของมันคืออะไรอีกทีนึง ก็ใช้วิธีการเขียนเพลงเป็นการศึกษาต้นสายปลายเหตุของสิ่งที่มากระทบใจอีกทีนึง แล้วก็หาภาษามาค่อยๆ อธิบายมัน แวดล้อมมันไปเรื่อยๆจนกระทั่งมันรู้สึกว่ามันเป็นอารมณ์นั้นเพียวๆ ที่ถูกต้องแล้ว เสร็จแล้วพอได้มู้ดนั้น หมายถึงว่า ถ้ามู้ดนั้นเป็นรูปธรรม ความรู้สึกจากความรู้สึกที่มันอยู่ในหัวผมเฉยๆ ก็เริ่มเป็นเมโลดี้ เป็นมู้ด แล้วก็ค่อยมาหาวิธีการสื่อสารประเด็นที่มันเฉพาะลงไปอีกทีนึงผ่านภาษา

เหมือนไม่ได้เอาประเด็นมาเป็นตัวตั้งใช่มั้ย

ไม่ได้เอาประเด็นมาเป็นตัวตั้ง แต่ยกเว้นงานสองงานหลังที่ผ่านมา ก็ค่อนข้างจะมีประเด็นตัวตั้งอยู่ แต่ส่วนใหญ่ประเด็นตัวตั้งกับ Vibes มันมีขนานไปด้วยกันอยู่แล้วครับ แต่ถ้าพูดถึงอะไรที่มันทำให้ผมดึงความสนใจผมมากกว่า น่าจะเป็นความรู้สึก แล้วผมค่อยมาดูอีกทีว่าอะไรที่มันคู่กันมากับประเด็นพวกนั้น แล้วดึงเอาประเด็นพวกนั้นมาร่วมกันอีกที 

แล้วทำไมถึงใช้ความรู้สึกนำไปก่อน

แน่นอนครับว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าความรู้สึกอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกกลับเป็นสิ่งแรกที่ผม Detect ได้ แล้วผมรู้สึกว่ามันจริง หมายถึงสิ่งที่จริงสำหรับผมคือสิ่งที่ผมรู้สึกกับมันนั่นแหละ แล้วผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมมี Passion กับการที่จะหาประเด็นมาอธิบายความรู้สึกพวกนี้ต่อมากกว่า ถ้าจะแบบว่าผมไปจับประเด็น เอ้ย ประเด็นนี้น่าสนใจ แต่ผมไม่ได้รู้สึกกับมันมาก่อน แล้วผมก็ต้องไปหาความรู้สึกเชื่อมโยงกับมัน อันนี้มันผมคิดว่าทางนี้มันยากกว่า 

คุณเลือกหยิบสารหรือเหตุการณ์หรือสารอะไรมาเล่าในเพลงบ้าง

ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่สนใจส่วนตัวครับแต่มี 2 เพลงหลังนี้ที่จะเป็นการเมืองแบบชัดเจนหน่อย เพราะว่ามันค่อนข้างรุนแรงกับความรู้สึกอยู่ อย่างเช่นเรื่องตอนที่แกนนำ (ชุมนุมราษฎร) โดนขังครั้งแรกแล้วไม่ได้รับสิทธิ์ประกันตัว ผมรู้สึกว่าตอนนั้นแบบสังคมให้ความสนใจไม่มากพอ  มันมีแหละ ซึ่งผมก็โอเค มีแล้วดีใจแล้ว แต่มันควรที่จะต้องได้เยอะกว่านี้สิ แล้วก็มันก็เป็นมวลปัญหาอยู่ในจิตใจอย่างนี้นะครับ แล้วก็ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมไม่ได้เล่นดนตรีอะไรมาก ไม่ได้จับกีตาร์มาเล่นแบบโดยไม่ได้คิดอะไร จับทุกครั้งก็จะมาคิดตลอดว่า กูจะได้อะไรมาจากการจับครั้งนี้บ้าง มันก็เกิดเป็นอารมณ์ที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ก็คือจับแล้วก็เล่นไปเลย แล้วก็โหยหวนออกไปเลย ก็เริ่มมาจากความโหยหวนก่อน แล้วก็มาถามตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกว่าอัดอั้นและโหยหวนขนาดนี้ ก็ได้เป็นเรื่องที่ว่า ค่อนข้างโกรธ ค่อนข้างอยากจะเตือนสติใครก็ตามให้สนใจเรื่องพวกนี้มากขึ้น  หรือไม่ต้องคาดหวังให้ตัวเองต้องลงไปช่วย ไปเป็นแกนนำอะไรขนาดนั้นก็ได้ แต่ช่วยส่งเสียงหน่อย เพราะผมรู้สึกว่าทุกคนยังไงก็ได้รับผลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมก็เลยคิดว่าแบบพูดเล็กๆน้อยๆก็ยังดี ให้มันเป็นเล็กผสมน้อย มันก็เป็นมวลใหญ่ขึ้นมา

ในมวลอารมณ์ของการแต่งเพลงเกี่ยวกับเรื่องการเมือง มันเป็นความรู้สึกแบบไหน หรือว่าคุณต้องการจะสื่อสารอะไร

ผมคิดว่ามันก็ยังไม่เกินนิยามแรกที่ผมทำพื้นที่ View from the Bus Tour ขึ้นมาเท่าไหร่ ก็คือต้องการส่งเสียงนั่นแหละ ต้องการเอาความอัดอั้นตันใจหรือว่าความสงสัยหรือความขุ่นข้องหมองใจอะไรก็ช่างมาจัดเรียงกันให้มันเป็นการเล่าเรื่อง หรือมีวรรณศิลป์อะไรก็ตาม แล้วพวกการเมืองมันก็เป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างจะหมกมุ่นกับมันอยู่แล้ว มันไม่ได้ถึงขั้นแบบต้องไปรู้ Detail เรื่องขั้วอำนาจหรือว่าอะไรขนาดนั้นนะ แต่หมายถึงผมค่อนข้างเองในแง่ของมันเห็นชัดเจนว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามากๆ แล้วผมก็โดนผลกระทบโดยตรงในฐานะที่เป็นคนหาเช้ากินค่ำแล้วก็เป็นคนเล่นดนตรีด้วย ก็เป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่โดนผลกระทบพวกนี้ก่อนเป็นกลุ่มแรก ก็เป็นความอินอยู่แล้วครับ ไม่ได้มีหลักการที่เลือกที่จะพูดเท่าไหร่ เป็นการเลือกที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองหมกมุ่นอยู่แล้วมากกว่า

ใช้เวลากับมันมากน้อยขนาดไหน กว่าจะได้งานแต่ละชิ้นที่คุณคราฟต์มันขึ้นมา

ตอบไม่ได้ล่ะ บางงานก็ใช้เวลาแค่วันเดียวก็มีครับ หมายถึงการแต่งออกมาเป็นเพลงได้จนจบเพลงอะไรอย่างนี้ ไม่นับแบบกระบวนการอัดเพลงเนอะ มีเพลงนึงที่ผมก็ยังทำมันอยู่ ประมาณ อายุประมาณ 4-5 ปีแล้วครับ ก็คือขึ้นโครงไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแต่ยังจบมันไม่ได้สักทีเพราะว่าเป็นปัญหาเรื่องการหาถ้อยคำมาใช้มากกว่า

ทำไมถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น

บางประเด็นมันไม่ได้เป็นเรื่องที่แบบคนเคยพูดกันมาก่อน อาจจะเคยแหละ แต่ผมไม่เคยเห็นตัวอย่าง หรือไม่เคยเห็น Reference หรือเห็นแล้วผมก็รู้สึกว่า ไอ้เหี้ย มันไม่ใช่วิธีของผม ผมต้องการวิธีของผมที่มันบอก Texture Specific ของความรู้สึกของผมจริงๆ อย่างนี้ แล้วมันก็ยังไม่จบสักที ความจริงมันก็ปูมาดีแล้วแหละ แต่ว่าอาจจะด้วยความ Perfectionist ก็เลยอยากให้มันจบ แล้วเราพอใจมากๆ กับมัน แต่ก็เป็นปกติ เพราะในระหว่างนั้นมันก็ยังมีเพลงอื่นๆ ที่เราคิดออกก่อน คิดได้ก่อน ทำเสร็จได้ก่อน ผมก็ไม่ได้รีบมาก ก็ปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นไป

ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 คุณคิดว่าคุณอุทิศตัวหรือว่าลงแรงไปกับโปรเจคต์นี้ไปขนาดไหน

8-9 มั้ง อย่างวง (Solitude is Bliss) เนี่ยน่าจะ 7 มั้งครับ  6-7 

ซึ่งมันควรจะสลับกันนะ

มันมีการแชร์กันระหว่างการทำงาน ก็คือผมแค่เป็นสารตัวนึงในงานของทีมอีกทีนึง แต่อันนี้มันเป็นผมล้วนๆ ผมก็ตอบได้ว่ามันต้องประมาณ 9

คุณเห็นอะไรจากเสียงตอบรับที่โต้ตอบกลับมาจากงานของคุณบ้าง

ผมเห็นว่าตรงนั้นมันสามารถปลอบประโลมใจคนได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับเนื้อหาด้วยแหละ แต่งเนื้อหาการเมืองพวกนี้ มันก็จะมีอารมณ์แบบ ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าดนตรีมันเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ค่อนข้างจะทำให้ผู้คนมีส่วนร่วมได้ง่าย คนสามารถฮัมไปด้วยได้ และมันยึดคนเป็นหนึ่งเดียวกันได้ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน ซึ่งในกรณีนี้ที่แบบมีคนมาคอมเมนต์หรือที่อะไรเขาแบฟังคนเดียว ไม่ได้มาร่วมคอนเสิร์ต หรือไม่ได้ไปร้องในกลุ่มฝูงชน มันก็สามารถบอกเขาได้ว่า ไอ้เชี่ย มันยังมีคนที่รู้สึกร่วมกันแบบนี้อยู่ แค่นั้นเอง

ถ้ามองเสียงตอบรับก้อนเดิม แต่มองด้วยฐานว่ามันเป็นเพลงที่พูดถึงการเมือง มันกำลังบอกอะไร

มันช่วยเพิ่มเพดาน สร้างมาตรฐานใหม่ แล้วก็ขยายวิธีการสื่อสารของยุคใหม่ให้มันเป็น Norm มากขึ้น การพูดในเรื่องที่เมื่อก่อนแค่แต่นิดเดียวก็กลัวกันแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ก็คือแต่ละคนแต่ละฝ่าย ไม่ว่าจะนักวิชาการเอง นักเคลื่อนไหว นักการละครหรือว่านักดนตรีเองก็ช่วยกันดันเรื่องนี้ทีละนิดทีละหน่อย แล้วผมรู้สึกว่ามันทำให้บรรยากาศมันเปิดกว้างมากขึ้นครับ  ที่เราจะแบบว่าจู่ๆ เดินไปแล้วก็รู้แล้วว่าคนนี้พอจะคุยได้ แล้วเราก็สามารถคุยได้เลย ไม่ต้องไปกลัว บางทีเราไปคุยต่อหน้าตำรวจกันด้วยซ้ำเรื่องพวกนี้ คงเป็นบรรยากาศการพูดคุยอย่างเปิดกว้างมากขึ้น

คุณขึ้นไป Perform ร่วมกับนักกิจกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีโอกาสได้พูดคุยกับคนเหล่านั้นบ้างมั้ย

หลังๆ นี้ก็ติดต่อกันเยอะขึ้นครับ คุยส่วนใหญ่ก็จะเป็นคุยกันฉันเพื่อน ไม่ได้เชิงเครือข่ายล่าสุดผมไปดูงานของรามิล (วิธญา คลังนิล-นักเคลื่อนไหวในจังหวัดเชียงใหม่) นั่งตรงหน้าประตูท่าแพที่เขาเล่น Performance ข้ามวันผมก็ไปนั่งเก้าอี้ที่เขาให้คุยด้วย คำถามแรกที่ผมถามเขาก็คือ “กินข้าวหรือยัง” คือไม่ได้มีอะไรเยอะแยะไปกว่านั้นเลย เพราะผมรู้สึกว่าในรายละเอียดก็คือ ผมค่อนข้างเข้าใจเขาไปแล้วแหละว่าเขาทำเพื่ออะไร มันไม่ได้ซับซ้อนเลยครับ แล้วก็มันเป็นความ Respect  ทางการทุ่มเทของเขามากกว่า เราก็ไปบอกว่า นาย Motivate เรามากเลย ไหนความเสี่ยงจะโดนเรื่องคดีต่างๆ นานาอีก ก็ไปบอกความรู้สึกกับเขา 

ส่วนนักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม ส่วนใหญ่ก็จะปรึกษาเรื่องถ้าสมมุติว่าโดนคุกคามขึ้นมาควรจะทำยังไง ก็เป็นการแชร์กันเรื่องอะไรประมาณนี้มากกว่า แล้วก็บางทีก็จะวิพากษ์ประเด็นที่กำลังเกิดขึ้น อย่างล่าสุดก็คุยกันเรื่องประเด็นหอศิลป์กับคณบดีวิจิตร ก็จะเป็นการนั่งคุยกันสัพเพเหระ เรื่องประมาณนี้

เห็นอะไรในการแลกเปลี่ยนบทสนทนากับนักเคลื่อนไหวบ้าง

ผมว่ามันทำให้ผมเบาใจขึ้นเยอะครับ จากปกติ ส่วนตัวผมเองผมก็จะอยู่ในถ้ำ เป็น Introvert แล้วก็จะรู้สึกว่าสิ่งที่เราได้รับมาคือเราเป็นกระทะที่รองรับข้อมูลมาอย่างเดียว ไม่ได้แชร์ออกไป พอเราได้เจอคนที่เขากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ แล้วเราได้คุยโต้ตอบกับเขา บอกความรู้สึกของเรา เขาก็บอกความรู้สึกของเขามา มันทำให้รู้สึกเบาใจขึ้นมา แล้วก็เริ่มวางใจว่าไอ้สิ่งที่กำลังทำอยู่ หมายถึงแบบเท่าที่ทำได้ ไม่นับความคิดความคาดหวัง เท่าที่ทำได้มันโอเคแล้ว แค่ Keep on ต่อไป เป็นความรู้สึกอะไรประมาณนั้น

ในการขึ้นแสดงจุดยืนด้วยการเล่นดนตรีเอง มีความต่างอะไรบ้างมั้ย

น่าจะเป็นเรื่องของการก้าวข้ามความกลัว ก็คือตอนเราไปชุมนุม เราก็จะรู้สึกว่า โอเค เราเป็นหนึ่งในจำนวน นับเป็นจำนวนคนได้ ก็ไม่ได้เป็นเป้าสายตามาก เป็นแบบรวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตายอะไรอย่างนี้ ผมคิดว่าเพื่อนๆ หลายคนที่ผมเคยเจอ ที่เคยคุยมา ช่วงแรกๆ ก็จะประสบปัญหาอย่างนี้ ไปแล้วแบบกลัวโดนคุกคาม หรือว่ากลัวโดนเป็นเป้าที่ทำให้ไม่ว่าจะทางสังคมหรือว่าทางคดีความ ตัวนอกเครื่องแบบที่เขาส่งมาเผื่อไซโคหรืออะไร  ผมคิดว่าได้ก้าวข้ามความกลัวครับ พอมันได้ทำแล้วมันก็รู้สึกว่า อ้าว มันก็ทำได้นี่หว่า หมายถึงว่าตัวเราเองก็ทำได้นี่หว่า แล้วมันก็ทำให้ช่วยสร้างความมั่นใจขึ้นเยอะในการทำงานต่อๆ ไป

แล้วก่อนหน้านี้มีข้อกังวลอะไรมั้ย

น่าจะเป็นเรื่องการคุกคามกับคดีความมากกว่า เพราะค่ายต้นสังกัด (Minimal Records) ก็ไม่ได้ว่าอะไร ตอนที่ยังกังวลเรื่องนี้มากๆ อยู่ ผมไม่ได้มีเพื่อนที่เป็นนักกิจกรรมเยอะขนาดนั้น  แล้วก็ไม่รู้ว่าข้อควรปฏิบัติมันควรจะยังไง ถ้าสมมติว่าเราโดนคุกคามขึ้นมาทันที แล้วมันก็มีรายละเอียดยิบๆ ย่อยๆ เต็มไปหมด แถมเดาไม่ถูกใช่ไหมว่ามันจะมาในรูปแบบไหน ซึ่งมันก็มีจริงๆ แหละ มันมีการไซโคจริงๆ อย่างช่วงก่อนไปยืนหยุดขัง แล้วมันก็มีคนมายืนรออยู่ที่รถเรา เรารู้แหละว่าเขาเป็นนอกเครื่องแบบ ตอนแรกก็ไม่ได้มอง แต่เขายืนมองหน้าเรา เราก็ อ่า ไอ้เหี้ย คือตั้งใจมาเนียน หรือตั้งใจมาไม่เนียนให้กูรู้สึกอะไรบางอย่าง ก็จะหลอนๆ นิดนึงว่าแบบจะตามกูไปถึงบ้านไหม แต่ก็ไม่มีครับ ผมก็เลยคิดว่ามันคือกระบวนการแบบหนึ่ง เขาอาจจะทำจริงๆ เก็บข้อมูลไปจริงๆ แหละ แล้วเขาก็เชื่อในงานของเขา

ถึงตรงนี้ยังกลัวอยู่ไหม

ไม่กลัวแล้วครับ แต่จะมีเรื่องความกังวล เรื่องความยุ่งยาก การจัดการอารมณ์ที่มันปนเปกันอยู่หลายๆ อันมากกว่า แล้วก็เพื่อที่จะทำให้การกระทำที่จะไปเคลื่อนไหวให้มันนิ่งที่สุด แต่ถ้าพูดถึงแบบยังกลัวที่จะคิดจะทำอะไรอยู่ไหม หรือหมายถึงการเคลื่อนไหวที่ผมสามารถทำได้ ผมก็ไม่ค่อยกลัวนะครับ ถ้าทำได้ก็ทำ แต่ถ้าทำไม่ได้ ผมก็รู้สึกว่าผมได้ดึงตัวเองออกมาท่ามกลางที่ที่ทำให้ผม Insecure เกินไป ด้วยความที่นิสัยเป็น Introvert ด้วย มันก็จะมีบางจุดที่ เชี่ย มันเกินไปหน่อยว่ะ รู้สึกว่าคอนโทรลอะไรไม่ได้เลย จะเป็นการจัดการข้างในมากกว่าครับ

เราเห็นคนรุ่นใหม่ออกมาแสดงจุดยืนกันอย่างต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อยๆ ทิศทางการเคลื่อนไหวครั้งนี้ในสายตาของคุณเป็นยังไงบ้าง และคุณรู้สึกยังไงกับมัน

ที่ผมมั่นใจแล้วก็คือว่า เพดานของเราเปลี่ยนไปแบบไม่กลับหลังอีกแล้ว แล้วก็เรื่องแกนนำ ผมว่ามันก็ยังต้องกดดันให้แกนนำชุดแรกที่โดนขังตอนนี้ให้เรียกร้องสิทธิ์ให้เขาประกันตัวให้ได้ แต่ผมเชื่อว่ามันไม่มีทางล้างไปได้ เพราะยังไงเด็กรุ่นใหม่แต่ละปีที่ขึ้นมากำลังเป็นวัยกำลังทำงาน ก็ขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกปีๆ แล้วมันก็จะมีแกนใหม่มาเรื่อยๆ ยังไงก็หยุดไม่ได้ เหมือนที่ทนายอานนท์ (นำภา) ว่าไว้ว่า คุณก็ต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเราให้หมด แล้วคุณก็ไปผสมพันธุ์กันใหม่ แล้วก็ล้างสมองกันใหม่ 

ผมค่อนข้างวางใจครับ ถ้าพูดถึงแนวโน้มทั้งหมดทั้งมวล แต่ถ้าพูดถึงความ Effective  ของการประท้วงอะไรที่ผ่านมา มัน Effective ต่อโครงสร้างโดยตรงไหม ก็ไม่ แต่ผมคิดว่ามันสะท้อนภาพของอนาคตแล้วก็คนที่กำลังจะเข้าไปอยู่ใน จะพูดว่ากระดานเกมก็ได้ ในอนาคตว่าคาแรคเตอร์ วิธีคิด หรืออุดมคติในชีวิตของเขามันจะเป็นแบบไหน เป็นการสะท้อนภาพของทิศทางระยะยาวมากกว่า

มีคนบอกว่า การที่คนมีชื่อเสียงออกมา Call Out จะต้องมีราคาที่ต้องจ่าย คุณคิดว่าตัวเองจ่ายอะไรไปบ้าง

ผมว่าไม่ได้จ่าย เพราะว่าผมรู้สึกว่า การเคลื่อนไหวของผมก็คือการที่ผมออกมาสู้เพื่อเรียกร้องสิ่งที่โดนพรากไปตั้งแต่แรกมากกว่า ก็คือผมไม่ต้องเสี่ยงไม่ต้องอะไร ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

สำหรับคำที่บอกว่าคนมีชื่อเสียงออกมา Call Out แล้วมีราคาที่ต้องจ่าย ก็คือเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่มีสปอนเซอร์เป็นฝั่งนั้น พูดง่ายๆ ก็คือ ยังมีผลประโยชน์ร่วมกันกับฝั่งที่เขา ฝั่งที่มวลชนก็ยังต้องต่อสู้กันด้วยอยู่ แต่ส่วนตัวผมไม่ได้แลกอะไรเลย บางทีผมได้งานเพิ่มเพราะว่าผมแสดงตัวแบบนี้ด้วยซ้ำไป ก็เลยไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมมากเพราะว่าผมไม่ได้เลือกที่จะข้องเกี่ยวกับขั้วอำนาจที่ผมกำลังต่อต้านมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 

ดนตรีมีอิทธิพลกับคุณยังไงบ้าง

ตอนเด็กผมไม่เข้าใจศิลปะ ไม่เก็ตว่าศิลปะมีไว้เพื่ออะไร อาจจะยังไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะทำให้รู้สึกว่าเครื่องมือทางศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นแขนงไหน มันเป็นช่องทางที่ดีเยี่ยมในการระบายออก ในการแสดงประสบการณ์ ความคิดอะไรบางอย่าง ดนตรีเป็นอย่างแรกครับ เป็นศฺลปะขนานแรกที่ทำให้ผม Appreciate ชีวิตมากขึ้น ชีวิตที่ว่านี่ไม่ได้ตั้งแต่แรกสุด ก็ไม่ได้นับว่าชีวิตทั้งชีวิตเลยอะไรอย่างนี้นะ แต่หมายถึงแบบผมสามารถ Enjoy กับอากาศได้ ผม Enjoy กับความเศร้าได้ มันอาจจะเป็นคำที่แปลกหน่อยแต่หมายถึงว่า เพลงเศร้าที่เขาขายได้เยอะๆ ทั้งหลาย แทนที่จะทำให้คนโศกแล้วก็ดาวน์ไปเรื่อยๆ ก็ทำให้คนแบบสามารถล่องไปกับความโศกเศร้านั้นจนกว่าจะผ่านมันไปได้

ดนตรีสำหรับผมคือเครื่องมือปลอบประโลม และเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ได้ทั้งพูด ทั้งฟัง ได้พูดก็คือเราได้พูดออกไปใช่ไหม ได้ฟังก็เคยได้ฟังคนที่เขาได้ฟังเราแล้วมีความรู้สึกอย่างไรกับมัน บางทีเราเจอแฟนเพลงหรือคนที่เขาเพิ่งได้ฟังเราครั้งแรกแล้วเขาไม่มีโอกาสคุยกับเรา เขาก็คุยกับเราเลยว่า Value ของความรู้สึกที่เขาได้รับจากการที่ได้ฟังเพลงของผมมันเป็นยังไง แล้วผมก็รู้สึกว่ามันเหมือนกับตอนที่ผมได้ฟังเพลงคนอื่นมาแล้วทำให้ผมรู้สึก Appreciate กับสิ่งที่ผมประสบมาในชีวิต 

แล้วถ้ามองในมิติของการเคลื่อนไหวทางการเมือง คนบอกว่าดนตรีมันเหมือนเป็น Soft Power อย่างหนึ่งเหมือนกัน ดนตรีมันมีผลยังไงบ้างกับกระบวนการเคลื่อนไหวในครั้งนี้

ผมคิดว่าดนตรีมันรวมผู้คนได้ รวมความรู้สึก รวมความหวัง รวมความรู้สึกเศร้า รวมความรู้สึกในการเป็นสังคมมนุษย์ (หยุดคิด) ผมกำลังคิดอยู่ว่ามันจะขยายความด้วยคำพูดไหนได้อีก แต่ผมรู้สึกว่าหลักๆ มันคือเรื่องการรวมใจนี่แหละ ซึ่งการรวมใจที่ว่านี่ก็แล้วแต่ว่าจะเอาไปสมาทานให้กับขั้วการเมือง หรือว่าขั้วไอเดียคิด ชีวิตแบบไหนอีกทีนึง ซึ่งถ้าใช้ถูกที่ถูกเวลาผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่มันมีพลังสูงมาก ทั้งแบบปลอบประโลมใจคนได้ ทั้งสร้างความฮึกเหิมได้ ทั้งสร้างความ สามารถลดความรู้สึกโดดเดี่ยวลงไปได้

ผมยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่ามันมีเพลงไหนที่ฟังแล้วทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวบ้าง ก็มีแต่เพลงที่เอาไว้ฟังตอนโดดเดี่ยวแล้วรู้สึกดีกับการโดดเดี่ยวมากขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้โดดเดี่ยวหนักไปกว่าเดิม มันคงเป็นฟังก์ชันนี้ล่ะครับ คือการรวมใจคนให้รู้สึกว่าเรายังมีกันและกันอยู่ แล้วก็มีคนที่คิด เชื่อ แล้วก็คาดหวังไปกับชีวิตในอุดมคติเดียวกันอยู่

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า