fbpx

ตรี ภรภัทร จากเด็กขี้อายผู้เคยเกเร สู่การยืนอยู่แถวหน้าของช่องวัน 31

ถึงตอนนี้ใครที่เป็นแฟนของช่องวัน 31 คงต้องคุ้นเคยกับใบหน้าของตรี-ภรภัทร ศรีขจรเดชา ในฐานะพระเอกที่ทำให้คุณต้องติดตามงานของเขาอย่างไม่คลาดสายตามาแล้ว 

ไม่ว่าจะบทคอเมดี้ ดราม่าเชือดเฉือน หรือแอ็กชั่น เหล่านี้คือผลงานที่พิสูจน์ความสามารถจนเขาสามารถเป็น “พระเอก” ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และก็เป็นอีกครั้งที่ช่องวัน 31 จัดสรรให้เรากับตรีได้คุยกันในห้องซ้อมเต้นบนบรรยากาศสบายๆ ที่ตรีเปิดใจเล่าเรื่องราว “หลังบ้าน” ในชีวิตของเขา

หนุ่มหน้ามนคนนี้เคยอยู่ในจุดที่ชีวิตเป็นเด็กเกเรห้าวเป้งจนต้องเข้าไปอยู่โรงเรียนประจำ ก่อนจะย้ายเขตคามไปอยู่อีกซีกโลกจนเขาเติบโตและเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จนมาสู่การเป็นนักแสดงที่ต้องต่อสู้แบบที่ไม่มีทางลัดใดๆ รวมถึง “เวลากามเทพ” ละครเรื่องล่าสุดที่เขาภูมิใจทั้งการเป็นตัวละครในเรื่อง และเนื้องานในการแสดงของเขา

และเขาคนนี้ก็เชื่อว่า บรรทัดฐานของความดังไม่มีอยู่จริง เพราะยังไงเขาก็เชื่อในการทำหน้าที่นักแสดงให้ดีที่สุด

ให้ดีที่สุด

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

ขออนุญาตถาม ทำไมถึงสูงขนาดนี้ (186 เซนติเมตร)

มันสูงของมันเอง เราเป็นคนไม่กินนม แต่แม่ให้กินแคลเซียม บวกกับจัดฟัน ก็เลยดูผอมและสูง คือจาก ม.3 – ม.4 แค่ปีเดียวสูงขึ้นมา 20 กว่าเซนติเมตร เยอะมาก 

เลยเป็นเหตุผลที่หันมาดูแลตัวเองใช่ไหม

ไม่เลยครับ คือพอ ม.ปลาย ทุกคนก็เริ่มห่วงหล่อเนอะ เพราะมีสาว กลับบ้านก็จะมีสาวจากโรงเรียนอื่นๆ โรงเรียนผมเป็นชายล้วน นานๆ ทีกว่าจะเจอผู้หญิง ก็เลยเริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น เริ่มห่วงหล่อ เริ่มเลือกเสื้อผ้าเองแล้วครับ 

คุณดูแลตัวเองเรื่องการแต่งตัวอย่างไรบ้าง

เราก็แต่งตัวเป็นอยู่นะ ก็ดูจากในทีวีนั่นแหละ ดูจากไอดอลต่างๆ สมัยนั้นก็เป็นพี่เป้ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) ใส่ Dr. Martens กางเกงขาเดฟ เสื้อยืด เราก็เลือกว่าอันไหนแมทช์ อันไหนไม่แมทช์

ลองเล่าวีรกรรมในวัยเด็กให้ฟังหน่อย

ตอนนั้นอยู่โรงเรียนประจำ เด็กๆ ก็เป็นคนขี้อาย ตัวอ้วนคอเป็นชั้นเลย ดำ ไม่ค่อยชอบเวลาพรีเซนต์หน้าห้อง ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ไม่ชอบให้ใครมาสนใจ ก่อนหน้านั้นออยู่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาครับ และก็ย้ายมาโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนตอน ม.3 พอย้ายมาก็เริ่มโตขึ้น เริ่มไม่ได้อยู่ในกรอบ เพราะตอนเรียนโรงเรียนประจำอยู่ในกรอบเยอะ เราเริ่มเห็นแสงสี เห็นสังคม เห็นเพื่อน เห็นรถไฟฟ้า เห็นนู่นเห็นนี่ ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไป 

มีช่วงหนึ่งที่คุณติดเกมใช่มั้ย

เด็กๆ ครับ ติดเกมมาก เล่นทั้งวันทั้งคืน ไม่เรียนหนังสือ ก็เลยโดนส่งไปเรียนโรงเรียนประจำ 

มีวีรกรรมอื่นนอกจากติดเกมไหม

เพราะติดเกมเลยได้ไปอยู่โรงเรียนประจำ หลังจากนั้นก็เป็นเด็กดีแหละ เพราะโดนกดเยอะ ต้องเข้านอนสามทุ่ม ตื่นตีห้าครึ่ง เข้านอนให้เป็นเวลา เก็บเสื้อผ้าเก็บเตียง มีห้องอ่านหนังสือ กลับไปเรียนพิเศษ เป็นแบบนั้นกว่า 2 ปี แต่ก็ดีขึ้นนะ เกรดเฉลี่ยก็ 3.80 เยอะนะ แต่พอ ม.3 กลับมาอยู่กรุงเทพคริสเตียน อย่างที่บอก เห็นโลกมากขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น เกรดมันก็ตกลงมาเรื่อยๆ เริ่มเกเร โดดเรียน ตีรันฟันแทง ไปเที่ยว แกล้งเพื่อนแกล้งครู เต็มไปหมดครับ ถ้าเป็นห้องก็คือห้องบ๊วยอะ พอถึงวันหนึ่งเราก็คิดได้ จบ ม.6 ก็เบื่อ เลยขอแม่ไปเรียนเมืองนอกปีหนึ่ง กลับมาโตขึ้นแหละ มีความคิดที่ดีขึ้น แต่ก็ยังเป็นเด็กเกเรอยู่ แต่พอเข้ามาในวงการบันเทิง บวกกับเราต้องเรียน บวกกับอายุที่มันโตขึ้นเรื่อยๆ เห็นสังคม เห็นชีวิตมากขึ้น มันก็เปลี่ยนไปเองเลย

แล้วพอย้ายไปเรียนที่อังกฤษ มันเป็นยังไงบ้าง

ดีครับ สนุก ตอนนั้นเป็นช่วงอายุ 18 เราอาจจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องอนาคตเยอะ อยากทำอะไรก็ทำ ตอนนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็ไปเรียน ตั้งใจเรียนจนพูดได้ และก็ได้ใช้ชีวิตมากขึ้น ได้เจอเพื่อนที่อายุต่างกัน ได้เจอเพื่อนหลากหลายประเทศ ได้เรียนรู้การเอาตัวรอด ก็สนุกดี ไม่ต้องคิดอะไรเลยครับ ไม่ต้องคิดอะไรเลยจริงๆ ตอนเรียนก็เรียนอย่างเดียว ไม่ต้องคิดว่าอนาคตจะต้องทำอะไร ไม่ต้องคิดว่ากลับมาจะต้องทำอะไร อาจเพราะเป็นเด็กอายุ 18 อยู่ด้วยมั้งครับ

ได้อะไรจากการไปเรียนที่อังกฤษ 1 ปี

โตขึ้นครับ ดูแลตัวเองได้ เอาตัวรอดในสังคมได้ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น และก็การปรับตัว

ก่อนที่จะเข้าวงการบันเทิง อยากเป็นอะไรมาก่อนไหม

ไม่อยากเป็นอะไรเลยครับ ไม่มีความคิด

ไม่อยากเป็นอะไรเลยเหรอ

ก็เหมือนเวลาถามเพื่อน ‘เฮ้ย อยากเป็นอะไรวะ’ ‘ไม่รู้ว่ะ’ ทุกคนก็จะเป็นเหมือนกันหมด คือเรียนให้จบก่อนเลยอันดับแรก

แต่ก็ไม่ได้มีความคิดว่าอยากเข้าวงการบันเทิง?

ไม่มีครับ ผมเรียนนิเทศศาสตร์ แต่ตอนนั้นคิดแค่ว่าให้เรียนให้จบก่อน นิเทศศาสตร์ก็เป็นอะไรที่คนอย่างผม รุ่นอย่างผมที่คิดไม่ค่อยออกว่าจะเรียนอะไร ก็เลยไปลงนิเทศศาสตร์ เพราะคิดว่ามันน่าจะง่ายและจบเร็วที่สุด 

แล้วอะไรที่เป็นจุดหักเหที่ทำให้คุณเข้าสู่วงการบันเทิง 

ตอนนั้นเรียนมหาลัยฯ อยู่ เป็นเด็กเกเร ไม่เรียนบ้าง โดดเรียนบ้าง และก็มีพี่ต๋อนที่ดูแลอยู่ เหมือนเขาเห็นรูปก็เลยเรียกมาที่ช่องแค่นั้น และก็ได้มาเป็นนักแสดงเลย วันแรกที่เข้ามาที่ตึกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรครับ (หัวเราะ) เขาถามว่าสนใจมั้ย เราก็แค่รู้สึกว่ามีคนเห็นเรา แต่ก็ยังงงๆ อยู่

ช่วยเล่าถึงการเรียน Acting ให้ฟังได้ไหม

ก่อนหน้านั้นเราเคยเรียน Acting มาแล้ว แต่ไม่ใช่ของที่นี่ เรียนแบบปรับบุคลิกภาพ ไม่ได้เรียนเยอะ แต่พอมาเรียนจริงๆ คลาสแรกที่เรียน ๆ กับพี่เบน (เรวิญานันท์ ทาเกิด) ที่เล่นหัวใจศิลา กับสงครามนางงาม เราเห็นเขาในทีวีก่อน พอมาเจอตัวจริง เราก็แบบ ‘ได้เจอดารา ได้อยู่ใกล้ดาราด้วย’ (หัวเราะ) ก็ตื่นเต้น แต่ก็ยังงงๆ อยู่ว่าเขาให้ทำอะไร แบบฝึดหักแรกก็ประมาณ 5 ปีที่แล้ว นึกไม่ออกแล้ว เพราะว่ามันนานมากครับ แต่ว่าจำได้อย่างหนึ่ง คือทุกครั้งที่มาเรียนเราต้องมาเล่าประการณ์ที่เราจำได้ เป็นความทรงจำที่ดี หนึ่งครั้งต่อหนึ่งอาทิตย์ ให้เพื่อนในห้องฟัง แต่ก่อนเราก็พูดไม่ได้แบบนี้หรอก พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง พอเขาถามเป็นไง เราก็ตอบ ‘ดีครับ’ แต่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าดีอะไร

จำตอนที่เล่นละครครั้งแรกในกองถ่ายได้มั้ย

เกร็ง มือสั่น ยังจำได้ถึงทุกวันนี้เลย คือมือเย็นไปหมด คนก็เยอะ ตอนซ้อมก็เริ่มสั่นละ พอ 5-4-3-2 คือพูดไม่รู้เรื่องเลย พูดอยู่ประมาณ 3 คำมั้ง ‘สวัสดีครับคุณย่า’ พูดนิดๆ หน่อยๆ แต่ว่าเกร็งมาก เกร็งจริงๆ ท่องบทมาตั้งนาน พอ Action ปุ๊บลืมบท แรกๆ คือตื่นเต้น ทีมงานก็เยอะ 10 – 20 กว่าคน ที่จับจ้องกับสายตาเรา มองเรา นี่ยังไม่รวมตรงมอนิเตอร์อีกนะ ยิ่งเราเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรแบบนี้ แต่เราต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ แม่ตุ๊ก (ดวงตา ตุงคะมณี) ก็สอนเยอะครับ ให้ผ่อนคลาย ให้ Relax เหมือนเราคุยกันนะ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องเกร็ง 

คุณเล่นละครเรื่องแรกเป็นพระรอง การอยู่ใกล้กับนักแสดงหลักเป็นอย่างไรบ้าง

โห เกรงใจเขามากเลยตอนนั้น (หัวเราะ) มองย้อนกลับไปคือเกรงใจเขามากเลย เราเล่นไม่ดี เล่นคนเดียว เล่นแบบไม่ส่งให้ใครเลย เล่นผิด ก็ไปเสียเวลาเขา แต่เขาก็ไม่เคยโกรธเลยนะ ทั้งพี่บี้ (สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว) และพี่เอสเธอร์ (สุปรีย์ลีลา)  ทุกคนต่างให้กำลังใจหมด สอนตลอดว่าไม่เป็นไรๆ เอาใหม่ๆ แต่ก็มีความตึงจากผู้กำกับอยู่ ตอนนั้นพี่หวอ (วรวิทย์ ขัตติยโยธิน) กำกับ ก็โดนว่าเยอะเหมือนกัน เราก็ใหม่ด้วย เล่นผิด ยับเลย พอเขาว่า เราก็เกร็งอีก แต่ก็ต้องทำให้ได้ครับ

หลังจากละครเรื่องแรก คุณก็ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่มาเรื่อยๆ

หนักครับ อีกเรื่องคือสายรักสายสวาท พี่ปุ๊ย (ผอูน จันทรศิริ) กำกับ โดนสารพัด โดนว่าตลอด แต่แกรักแหละ แกก็เลยดุ แต่ด้วยความที่เราก็ยังเด็ก เราไม่เข้าใจว่าทำไมเราทำนู่นทำนี่ก็ผิด มีความนอยด์ มีความเครียด เลยโดนส่งไปเรียน Acting ไปเคลียร์ Mindset ใหม่เลย แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

ละครหลายๆ เรื่องที่คุณได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ มักจะเป็นละครที่มีนักแสดงรุ่นใหญ่อยู่ด้วย

เราเป็นนักแสดงหน้าใหม่ด้วยแหละครับ เขาเลยให้เราไปลองนู่นลองนี่ด้วย Character ที่ได้รับก็แตกต่างกันไป เหมือนไปเจอผู้ใหญ่ก็จะได้คำแนะนำที่ต่างกัน ได้เจอครูคนละครู

ได้เรียนรู้อะไรจากโอกาสแบบนี้ ในขณะที่คนอื่นไม่ค่อยจะได้

ไม่จริง (ลากเสียง) ก็ได้กันหมดนั่นแหละ เด็กๆ รุ่นใหม่ รุ่นเดียวกับผมก็ได้กันหมดทุกคน แต่ถ้าถามว่าได้รับอะไร มันได้อยู่แล้ว ได้จากการที่เราเจอเขา เราก็สังเกตว่าเขาเล่นยังไง ประสบการณ์มันสั่งสอนให้คนเก่งขึ้นอยู่แล้วครับ เวลาเจอนักแสดงคนอื่น เราก็แบบ ‘เฮ้ย เล่นแบบนี้ได้ด้วยเหรอ’ ‘ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ’ ‘ตีความแบบนี้ได้เหรอ’ คำว่าการแสดงมันเป็นศิลปะอยู่แล้ว มันไม่มีคำจำกัดว่าถูกหรือผิด มันอยู่ที่ว่า ‘พอดีรึเปล่า’ มากกว่า

คิดว่านักแสดงต้องรับได้ทุกบทบาทรึเปล่า

ได้ครับ มันก็อยู่ที่ว่าเราถูกกับบทบาทไหน เขามอบหมายให้เราเล่นบทบาทไหน เขาเชื่อใจเราแค่ไหน สำหรับผม ผมไม่ติดหรอก ผมเล่นได้ทุกบท เพราะการเป็นนักแสดงมันต้องเล่นได้ทุกบทอยู่แล้วแหละ มันอยู่ที่เราเชื่อ และสนุกกับสิ่งที่เราทำได้มากแค่ไหน

คุณได้รับอิทธิพลทางการแสดงมาจากใคร หรือมีไอดอลไหม

หลายคนครับ ฝรั่งก็หลายคน อย่างเช่นโรเบิร์ต แพททินสัน ที่เล่น Twilight หลายเรื่องที่เขาเล่น คาแรกเตอร์ก็เปลี่ยนไป หรือคริสเตียน เบล แต่ละบทบาทที่เขาได้รับคือมันน่าเชื่อถือและจริง แต่เราเข้าใจว่าเขาสามารถเป็นได้ เพราะด้วยหลายๆ อย่างของเขา สิ่งแวดล้อม ความทุ่มเท พอเราได้เห็นเขา เราก็อยากจะได้เล่นแบบเขาบ้าง อย่างเกาหลีก็มีครับ ที่เราดูแล้ว ‘เท่ว่ะ’ ‘อยากเป็นแบบคนนี้’ คือมันน้อยนะ ที่เวลาเราดูแล้วเราอยากเป็นแบบผู้ชายคนนี้ เวลาเล่นละครเราก็อยากเล่นแบบที่ผู้ชายดูแล้วเขาก็ชอบเราได้ อยากเป็นแบบเรา

มีนักแสดงคนไหนที่คุณคิดว่าเป็นที่สุดแล้ว หรือคิดว่าเป็นต้นแบบให้เราทางการแสดงได้

(คิด) มันก็มีหลายคนนะ พี่วิลลี่ (แมคอินทอช) พี่ดอม (เหรตระกูล) ผู้หญิงก็มีพี่มารี (เบิร์นเนอร์) ก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นไอดอลเรา พี่แหม่ม (คัทลียา แมคอินทอช) ด้วย ทุกคนมีประสบการณ์และเก่ง แต่ละคนก็จะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไป เราก็ต้องศึกษา ของอย่างนี้มันถามแล้วไม่เข้าใจหรอกครับ มันต้องศึกษา อย่างถามว่าเล่นยังไง เราก็ตอบไม่ได้หรอก มันต้องศึกษา ทุกอย่างมันมาจากหลายอย่างในตัวเอง ต้องบาลานซ์และจัดระเบียบมันออกมาให้ได้ อย่างละครที่กำลังจะออกอากาศอย่างเวลากามเทพ ก็ Workshop กันหนักมากครับ

หนักยังไง

โดนรื้อหมดเลยครับ วิธีการเล่น ความเข้าใจในการเล่นละคร ตัวบท ตัว Character เราต้องมาทำงานร่วมกันในแบบที่เป็นทีมมาก ๆ อย่างที่บอกตอนแรก คือผมโดนรื้อวิธีเล่นหมดเลย เราอาจติดการเล่นละครแบบการละครด้วย คือ บางทีเราไม่ต้องจ้องตากันตลอดเวลาก็ได้ เมื่อก่อนเราอาจคิดไปเองว่าคนดูอาจจะไม่เห็น กลัวคนดูไม่รู้ แต่เราลองเปลี่ยนให้มันทันกับคนสมัยนี้บ้าง ปรับบท ถึงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรับจ้างแต่งงาน แต่ตัวบทที่เรานำเสนอ มันไม่ Cliché ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราทำกันใหม่ Workshop กันใหม่ คำพูดในบท เราก็ลองพูด ลองหาว่ามันเชยไหม มันได้ไหม เราทำงานกันในทุก ๆ ภาคส่วนครับ

การพัฒนาตัวเองสำคัญอย่างไรต่อชีวิต

เก่งขึ้นครับ การพัฒนาตัวเองคือต้องพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีเนอะ ถ้าถามว่าพัฒนายังไง ผมว่าเรามีประสบการณ์มากขึ้น เราเข้าใจในอินเนอร์ของตัวละครมากขึ้น เข้าใจแก่นของตัวละครมากขึ้น เข้าใจว่ามิติของละครมันสามารถทำอะไรได้มากมาย จนเราเล่นแล้วเรารู้สึก Relax เป็นตัวละครมากขึ้นแบบที่เราไม่ต้องบังคับว่าเราเป็นตัวละคร รู้สึกเปิดมากขึ้น บาง Dialogue หรือคำพูด ที่เรารู้สึกว่าพูดแล้วไม่มีความหมาย เราก็ไม่พูด เราไม่ต้องพูดทุกอย่าง บางครั้งคนดูเขารู้อยู่แล้วว่าเรากำลังเจออะไร

ถ้าถามว่าเก่งขึ้นได้ไง ก็คือโตขึ้นแล้วเข้าใจโลกมากขึ้นดีกว่า สนุกกับการได้เป็นตัวละครมากขึ้น เข้าใจ Partner หรือผู้ร่วมแสดงมากขึ้น รู้จักการให้มากขึ้น รู้จักการรับการส่งกันมากขึ้น รู้จักการแบ่งปัน ไม่ใช่เล่นคนเดียว

เคยดูละครที่ตัวเองเล่นมั้ย

เคยครับ แสดงเสร็จเราก็ดูตลอด ทุกครั้งที่ถ่ายเราก็เช็คเทปตลอด แต่มันก็จะไม่เหมือนตอนที่เขาร้อยมาเสร็จหมดแล้วเนอะ เรามองย้อนกลับไปแต่ละเรื่อง เราก็อยากไปแก้ไขที่เราเห็น แต่มันก็แก้ไม่ได้ มันก็เป็นประสบการณ์ ๆ หนึ่งที่เรายอมรับกับภาพที่มันออกไป แต่มันไม่ใช่ไม่ดีนะ แค่เรามองย้อนกลับเราสามารถแก้ได้ เรารู้ว่าข้อบกพร่องมันคืออะไร ณ ตอนนั้นคือมันดีแล้ว แต่ช่วงนี้ถ้าเรามองกลับไป คือมันดีได้กว่านี้

การแสดงคือการที่เราต้องเรียนรู้กับประสบการณ์ใช่มั้ย

แน่นอนครับ ประสบการณ์จะสั่งสอนให้คุณเก่งและโตขึ้น การเป็นนักแสดงมันต้องอาศัยความรู้รอบตัว เราต้องทำเป็นหลายๆ อย่าง และมี Sense ในการเอาตัวรอด

สำหรับคุณแล้ว ความดังเป็นบรรทัดฐานของความสำเร็จไหม

ก็ด้วยครับ แต่มันไม่ได้การันตีว่าเราทำงานอาชีพนี้แล้วมันเก่ง หรือความดังเป็นตัวชี้ว่าคุณเก่ง ก็ไม่ใช่ ผมว่าการทำให้คนชอบ และนำเราไปเป็นแบบอย่าง เป็น Passion เป็นไอดอลในการใช้ชีวิต ผมว่าอันนี้มันคือความสำเร็จนะ เรามอบความสุขให้เขา หรือมอบข้อคิดดีๆ อันนี้คือความสุข ส่วนความดังอาจเป็นผลลัพธ์ที่ตามมา 

แสดงว่าคุณภาพสำคัญกว่า

ใช่ครับ คุณภาพสำคัญกว่า  ถ้าเราไปตีความที่ผลลัพธ์ ก็เหมืนคุณเล่นละครแล้วไปบังคับให้ตัวเองร้องไห้ คุณไปห่วงว่าจะร้องหรือไม่ร้อง แต่ระหว่างทางคุณไม่ได้คิดถึง ไปคิดถึงตอนจบแล้วว่าอยากจะร้องไห้ มันก็จะร้องไห้แบบอยากจะร้องไห้ ไม่ได้ร้องไห้แบบผ่านเรื่องราวมา

แฟนคลับส่งผลกับคุณอย่างไร

ดีนะ ลึกๆ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าผลงานที่เราทำไป หรือเราลงโพสต์แล้วมีแฟนคลับให้กำลังใจ มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขขึ้น ทำให้จิตใจเราดีขึ้น อย่าน้อยเรามีคนข้าง ๆ อยู่ เราทำอะไรไปอย่างน้อยเขาก็จะซัพพอร์ตเรา มันเป็นสิ่งที่ดีมาก

ในบรรดาละครที่เคยเล่นมีเรื่องไหนที่คุณชอบตัวละครมากที่สุด

เรื่องนี้แหละครับ เวลากามเทพ

เพราะอะไร

ด้วยความโมเดิร์นด้วยมั้ง มันใหม่ มันมีความวัยรุ่น มีความแสบ ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง มีหลากหลายอารมณ์ มีทั้งการโทษตัวเอง โทษคนอื่น ความโกรธตัวเอง ความรัก ความรักที่มันฉ่ำ ๆ มีการประชดประชัน การโหยหา มี Need มี Love & Sex มันได้อะไรหลาย ๆ อย่าง

เป้าหมายในวงการบันเทิงของคุณคืออะไร

(คิด) ก็อยากให้วันหนึ่งมีคนการันตีกับผลงานที่เราทำไป มันทำให้เขามีความสุข ทำให้เราได้รางวัลด้วยก็ดีนะ แม้มันไม่ได้เป็นเป้าหมายที่ชัดขนาดนั้น แต่ก็แอบหวังนิดนึง จริง ๆ ก็ไม่แอบหวังหรอก มันก็เป็นเป้าหมายเล็ก ๆ ของเราแหละ ว่าถ้าได้ก็คงจะดีเนอะ คงเป็นการการันตีว่าเราสำเร็จกับงานสาขานี้ อย่างน้อยเราก็ประสบความสำเร็จแล้ว เราเล่นละครดี จนคนเชื่อ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราภูมิใจ

แต่ถ้าเป้าหมายจริงๆ ก็คือคนดูมีความสุข มอบความสุขให้คนดู มอบสิ่งคนอยากจะดู มอบความบันเทิงให้กับเขา มอบการเป็นอย่างที่ดี และตัวอย่างที่ไม่ดีในละคร อะไรดีหรือไม่ดีคนดูน่าจะพิจารณาได้ เพราะตัวละครมันก็ไม่ได้ดีไปซะหมด เพราะละครยังไงก็คือละคร เราจะพยายามทำออกมาให้มันจริงที่สุด ไม่ใช่การเล่นละคร แต่เป็นการนำเสนอชีวิตของคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกแบบนี้ กำลังเจอแบบนี้ และจะก้าวผ่านอุปสรรคแบบนี้ไปได้อย่างไร

มีอะไรที่รู้สึกว่าทำผิดพลาดแล้วอยากกลับไปแก้ไขไหม 

(คิด) ไม่มีครับ ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำพลาด ไม่ได้รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่ได้รู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่มีเป้าหมายว่าจะเป็นอะไร ไม่ได้โกรธเลย มันก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่มีความสุข ถึงแม้มันจะไม่ได้มีอนาคตรองรับ ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่คนปกติเขาทำ ครอบครัวคนอื่นทำ เด็กคนอื่นทำ ว่าจะมีเป้าหมาย มีอาชีพรองรับ ประสบความสำเร็จแบบนู้นแบบนี้ แต่เราก็ภูมิใจและสนุก และก็มีเพื่อน ที่ดี ถึงไม่ได้พากันเรียนหรืออะไร แต่อย่างน้อยมิตรภาพมันก็ดี เราเลยไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี และแข็งแกร่งขึ้นเพราะเราโตมาแบบนั้น 

เรียนรู้อะไรจากการใช้ชีวิตมา 27 ปี

โลกมันโหดร้าย (หัวเราะ) โลกมันขมนะ ยิ่งโตยิ่งขม รสชาติหวานก็จะหายไป ก็สู้ครับ ผมว่าชีวิตเราต้องสู้ แล้วก็ดำเนินต่อไปอย่างระมัดระวัง ตอนเด็กๆ เราอาจจะไม่ได้ระมัดระวัง ไม่มีแบบแผนในการใช้ชีวิต แต่โตมาเราควรจะมีแบบแผน วางเป้าหมายในชีวิต ดำเนินชีวิตยังไง ถามว่าเสียใจไหม มันก็ไม่เสียใจหรอก แต่ก็มีโทษตัวเอง ว่าตัวเองน่าจะดีกว่านี้ ถ้าเราทำแบบนี้เป็นเราน่าจะดีกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้โกรธตัวเองหรอก เริ่มตอนไหนก็เท่ากันแหละ อยู่ที่ความพยายามมากกว่า

เติบโตอย่างไรอย่างไรบ้างตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้

ทรหดดีนะ แล้วก็ซ่าดี สู้ดี ขมๆ ต้องให้คำนี้เลย ขมๆ และก็หล่อหลอมให้เราเป็นคนแข็งแกร่ง ชีวิตก็ไม่ได้สวยหรู ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ลำบากดีครับ

หลายๆ อย่างที่คุณได้มาในชีวิตเกิดขึ้นจากธรรมะด้วยไหม

ก็ส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ธรรมะมีไว้เยียวยาจิตใจดีกว่า ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะต้องเป็นธรรมะทั้งหมด เพราะเราเป็นฆราวาส เราเป็นคน เราจะมาถือศีลแบบพระไม่ได้หรอก แต่เราต้องรู้ว่าผิดชอบชั่วดีคืออะไร ความถูกต้องความผิดคืออะไร ธรรมะเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราสงบขึ้นมากว่า เวลาเรามีเรื่องเครียด เรื่องทุกข์ เราก็เข้าห้องพระ นั่งสมาธิ สวดมนต์ อยู่กับตัวเอง

สวดมนต์ทุกวันเลยไหม

ไม่ทุกวันครับ อาทิตย์หนึ่งอย่างน้อยจะต้องสวดอยู่แล้ววันหนึ่ง เพราะมีวันพระ แต่ก็แล้วแต่วัน ถ้าวันนั้นรีบก็ไม่ได้สวด หรือถ้าวันนั้นมีอารมณ์อยากสวดก็สวดครับ ทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ครับ

วงการบันเทิงสอนอะไรคุณบ้าง

สอนให้โตขึ้นครับ สอนการอยู่ร่วมกับคนอื่น และก็อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว เพราะว่าสิ่งหนึ่งเลยคือ เวลาเราฟัง เราควรจะรับฟังจริงๆ แล้วอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อะไรถูกหรือไม่ถูก เราค่อยมาพิจารณากับตัวเราเอง อะไรดีค่อยเอามาปรับใช้หรือแก้ไข

ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดง นึกออกมั้ยว่าคุณจะทำอาชีพอะไร

ไม่ออกครับ อยู่บ้านมั้งครับ อยู่บ้านเฉยๆ (หัวเราะ)

ไม่มีอาชีพในหัวเลยใช่ไหม

ไม่มีครับ ไม่รู้เลย เล่นเกมมั้ง แคสเกม เล่น Crypto รึเปล่า อันนี้ไม่รู้ ไม่รู้จริง ๆ ครับ เพราะอย่างที่บอกเด็ก ๆ ก็เด็กแสบเนอะ เขาอาจจะมีเป้าหมายอยู่แล้วแต่เด็ก สิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ผมอาจจะยังหาสิ่งที่ตัวเองชอบไม่เจอตั้งแต่ตอนนั้นน่ะครับ ถามว่าการแสดงชอบไหม เราไม่ได้ชอบมันตั้งแต่แรก เราเพิ่งมาชอบและรักมันตอนหลัง ถ้าถามว่าไม่ได้ทำการแสดงแล้วทำอะไร ก็คงอยู่บ้าน อาจจะทำอะไรก็ได้ แต่มันไม่ได้มีเป้าหมายว่า ‘ต้องเป็นหมอนะ’ ‘ต้องเปิดร้านอาหารนะ’ ‘ต้องเป็นเจ้าของโรงแรมนะ’ อะไรแบบนั้น

ฝากละครเรื่องล่าสุดของคุณหน่อย

ก็ขอฝากละครเวลากามเทพ ด้วยนะครับ ไม่ผิดหวังและสนุกแน่นอน ครบรสทั้งโรแมนติก ดราม่า คอมเมดี้ ให้คุณผู้ชมได้เพลิดเพลิน และมีความบันเทิงไปกับละครเรื่องนี้แน่นอนครับ ฝากละครเรื่องนี้ด้วยครับ ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.20 น. ทางช่องวัน 31 ครับ เริ่มตอนแรก 23 มีนาคมนี้นะครับ ขอบคุณครับ (ยิ้ม)

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า