fbpx

สามก๊ก ตอน “สุมาหนู” บนทางแพร่ของ 2 ป. 

ปี่กลองเลือกตั้งได้ดังขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว หลังจากนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ “ลุงตู่” ของเราประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ปฏิเสธไม่ได้ว่า สปอร์ตไลท์ ต่างจับจ้องไปที่พรรคพลังดูดที่มาแรงอย่าง “พรรคภูมิใจไทย” และหัวหน้าพรรคอย่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล”  

ปฏิเสธไม่ได้ว่า แสงไฟที่ส่องนี้ ส่องอย่างร้อนแรง จนไปสะกิดต่อม หรือส่งแสงแยงตาไปทิ่มแทงผู้มีอำนาจ ทำให้เกิดความระแคะระคาย ความสงสัย จนต้องหาวิธีการสกัดดาวรุ่งต่างๆ นาๆ 

เป็นธรรมดาของการเมือง เมื่อเด่นมากจึงเป็นภัย ถึงต้องออกมาสกัดขา ซัดให้ล่วง ไม่งั้นอาจแซงหน้า เข้าโค้งขณะเลือกตั้ง แล้วจะคุมยากก็เป็นได้ 

แหม่เหตุการณ์แบบนี้แฟนๆ สามก๊ก คุ้นไหมครับ ว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้ เคยขึ้นในวรรณกรรมสามก๊ก ที่นักการเมืองต่างอ้างตำรับตำรานี้ มาพูด มาใช้ ยกวาทกรรมเด็ด เปรียบเทียบการเมืองจนมีเล่าป้อมอย่างที่ ผ่านๆ มา 

หากมีเล่าป้อมนั้น การเมืองไทย ณ ขณะนี้ก็ต้องมีสุมาอี้ และคนที่เหมาะกับเป็นสุมาอี้ที่สุด ณ ตอนนี้คงไม่พ้น “เสี่ยหนู อนุทิน” ที่เราจะนิยามเขาว่า “สุมาหนู”  

เพราะอะไรถึงเป็น สุมาหนู ก็เพราะว่า เอาเข้าจริงแล้ว วุยก๊ก ภายหลังสถาปนา และเปลี่ยนมือจาก โจโฉ ถึง โจผี ผู้เป็นบุตรชาย มีอำนาจล้นเหลือถึงขนาด ปลดฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่นอย่าง “พระเจ้าเหี้ยนเต้” ลงและสถาปนาราชวงศ์ของตนเอง ปกครองแผ่นดินและเป็นก๊กที่ใหญ่ที่สุด ในบรรดาสามก๊ก 

ตัวละครหนึ่งในวุยก๊กที่สำคัญ ก็คือสุมาอี้ บุตรชายของสุมาฮอง ขุนนางแห่งราชวงศ์ฮั่น ตระกูลสุมา เป็นตระกูลที่สำคัญของราชวงศ์ฮั่น ซึ่งบังเอิญ สุมาหนูของเรา ก็เป็นลูก ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาจจะเทียบได้ว่าเป็นคนตระกูลการเมือง ที่มีบิดาเป็นผู้ปูทางให้เช่นเดียวกัน (และบังเอิญยิ่งกว่า ชวรัตน์ บิดาของ อนุทิน มีชื่อเล่นว่า “จิ้น” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับราชวงศ์ จิ้น ที่ลูกหลานของสุมาอี้สถาปนาปกครองประเทศจีนอีกด้วย) 

แต่กระนั้นด้วยความระแวงของคน สกุลโจ มักระแวงผู้ที่มีความคิดความอ่าน รวมถึงคนที่มีอิทธิพลทางการเมือง โดยเฉพาะ สุมาอี้  ถูกระแวง ถึงขนาดที่โจโฉหรือโจผีจะจากไป ก็มักบอกให้ทายาทของตนคอยระวังสุมาอี้อยู่เสมอๆ 

แหม่ ไม่ให้ถูกระแวงได้ยังไง เป็นผู้ที่ยันทัพของขงเบ้ง สู้กับ “มังกรหลับ” อย่างสูสี มีลูกน้องมือซ้ายมือขวา  ละเป็นที่เคารพและชื่นชมในวุยก๊กไม่น้อย 

คราวนี้สุมาอี้ก็ซวยนะสิครับ มีแต่คนระแวง แถมมีคนคอยกระซิบข้างหูผู้มีอำนาจให้ระแวงตัวเองอยู่เสมอๆ ด้วย ถึงขณะโดนปลดจากตำแหน่งตัดอิทธิพลทางการเมือง รวมถึงโดนโยกจากตำแหน่งในการควบคุมกองทัพ ให้ไปเป็นตำแหน่ง ราชครู ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีทั้งอิทธิพลทั้งการเมืองและการทหาร 

แต่ด้วยความเยือกเย็น รอจังหวะรอเวลา แกล้งป่วยบ้าง เก็บคม ซ่อนหาง จนในที่สุดสามารถรุกรบ ทำการคุมฮ่องเต้สกุลโจ ปูทางให้ลูกหลาน จนสามารถสถาปนาราชวงศ์จิ้นภายใต้สกุล สุมา ได้ในที่สุด 

และเราหันกลับมามองที่ “สุมาหนู” เส้นทางการเมือง ณ ขณะนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก “สุมาอี้” สักเท่าไหร่ เพราะ ขณะนี้เรียกได้ว่าในขั้วรัฐบาล สุมาหนู กลายเป็นขั้วที่น่ากลัวและน่าจับตามากที่สุด สามารถดูด ส.ส.ไม่ว่าจะเป็นทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน มาไว้ในพรรคจำนวนมาก ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ระหว่างการะป็นรัฐบาลก็ดูด ส.ส.เป็นจำนวนมากจากหลายๆ พรรค และก่อนการเลือกตั้งก็มี ส.ส.จากหลายพรรค เตรียมย้ายสังกัดลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคภูมิใจไทย 

 การหาเสียงมักชูนโยบายทำได้จริง (ตามคำอ้าง ที่ว่า “ภูมิใจไทย พูดแล้วทำ”)  เขย่าท้องถิ่น ในเรื่องกระจายอำนาจ เพิ่มเงินให้ อสม. อสส. ทุ่มเงินและสลทรัพยากรให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เต็มที่ในกาสู้ศึกเลือกตั้งที่จะมาถึง 

ถึงขนาดที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ก๊ก สุมาหนู จะได้ ส.ส.70-100 คน แน่นอนว่าถ้าได้ตัวเลขนี้จริงย่อมต้องเป็นพรรคที่เนื้อหอม เมื่อใกล้จัดตั้งรัฐบาลหลายพรรคหลายพวกต้องตามจีบอย่างแน่นอน 

และหากมีตัวเลขนี้จริงก็ย่อมต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญๆ ได้ไม่ยาก 

เรียกได้ว่ากลายเป็นขุมพลังที่น่ากลัว น่าจับตา ทำให้เมื่อใกล้หน้าศึกเลือกตั้งใกล้เข้ามา ย่อมถูกเตะสะกัดขา ไม่ว่าเรื่องกัญชา ที่ ชูวิทย์ ออกมาต่อสู้ ในทำนองไม่ให้เลือกพรรคกัญชา และประกาศลั่นว่าจัทำใหภูมิใจไทยได ส.ส.น้อยที่สุด เรื่องโครงการรถไฟฟ้าโดนเตะห่วงไม่ให้ดำเนินโครงการได้ เพื่อไม่ให้พรรคภูมิใจไทยเคลมผลงานได้เยอะก่อนศึกเลือกตั้ง หรือเรื่องครอบครองที่ดินของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ตลอดจน ศักดิ์สยามถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ กรณีที่ถือหุ้นใน หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่ผุดออกมาเป็นดอกเห็ดแบบไม่ทันตั้งตัว 

การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร คนเล่นงานมักซ่อนอยู่ในเงามืด ขณะที่ สุมาหนู โดดเด่นอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลท์ 

แต่สังเกตพฤติกรรมของ สุมาหนู ให้ดี ดูไม่กังวล และเดินหน้าปราศรัยหาเสียงอย่างคึกคัก ปล่อยการเมืองในทำเนียบให้เดินไปโดยไม่สนใจ อยู่ลักษณะ “นิ่งสงบ สยบเคลื่อนไหว” เหมือนกับสุมาอี้ที่เมื่อรู้ว่าภัยมาถึงตัว หรือในบางครั้ง สามารถทำตัวอยู่ในลักษณะ เหยียบเรือสองลุง โผล่กินข้าวกับคนนู้น คนนี้ทีได้อย่างลงตัว เป็นท่าทีที่สงบไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่าทางการเมือง รอจังหวะลงมือทีเดียว 

ภาวการณ์ครั้งนี้ จึงขึ้นอยู่กับความนิ่ง ไม่ไหวติงของ สุมาหนู หากนิ่งได้ดีมีแต้มต่อ หากหมดความอดทนเมื่อไหร่ก็จะต่างกับสุมาอี้ เพราะการเมืองไทยหากผลีผลามเกินไป ณ ขณะนี้ อาจจะพลาดท่าถึงขนาดถูกตัดสิทธิและยุบพรรคได้ทุกเมื่อ 

เห็นไหมละครับเพื่อนๆ การเมือง ณ ขณะนี้ห้ามกะพริบตา เพราะอยู่ดีๆ ใครบางคนอาจพลาดท่าได้ อยู่ดีๆ อาจมีคดีๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ออกมา ใครจะไปรู้ตัว เพื่อนๆ ละครับคิดเห็นอย่างไร ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อย เพราะ The Modernist เชื่อว่า ทุกความคิดเห็นล้วนมีผลต่อสังคม 

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า