fbpx

เรื่องราวตั้งแต่ก้าวแรกของการเดินทาง จนถึงตอนนี้ของ Television off

ในช่วงที่ปีที่แล้วสถานการณ์โรคระบาดทำให้ทุกคนต้องกักตัวเองอยู่ในบ้าน เวลาในแต่ละวันที่ผ่าน ๆ ไปของตัวผู้เขียนที่หมดไปกับการเรียนออนไลน์ ปั่นงานวิจัยจบ ดูหนัง และที่ขาดไม่ได้คือการฟังเพลงผ่านแอปสตรีมมิ่ง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผมได้จดจ่ออยู่กับงานที่ทำมากขึ้น เพราะในทางหนึ่งมันคือการตัดขาดจากโลกภายนอก

วันหนึ่งระบบ Algorithm ของแอปสตรีมมิ่งเพลงเจ้าที่ผมใช้มันเป็นประจำเปิดเพลงหนึ่งเพลงขึ้นมา เพลงนั้นทำให้ผมต้องหยุดทุกกิจกรรมที่ทำทุกอย่าง เพื่อที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าเพลงที่กำลังเล่นอยู่นี้ใครเป็นคนร้อง

ในวันที่ฟ้าดูประหลาดไป (ไม่เหมือนเดิม)
เมื่อวานที่แหงนมองดูอบอุ่นกว่านี้ (กว่าวันนี้)
ทำไมเมฆขาวดูไม่สดและใส (ฟ้าสีคราม)
เมื่อวานที่แหงนมองยังอบอุ่นในหัวใจ (ในหัวใจ)

นี่คือเพลงที่ผมได้ฟังในวันนั้น ชื่อเพลงว่า ฟ้าประหลาด เป็นเพลงจากศิลปินกลุ่มหน้าใหม่ในนาม Television off ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน นำโดย เฟิร์ส-นัฐวุฒิ จำจด (นักร้องนำ), โชค-ศุภโชค ฐิติทิพยะ (กีตาร์), ลาภ-ศุภลาภ ฐิติทิพยะ (กีตาร์) และ โบ๊ท-จีรวัฒน์ อินทรพิทักษ์ (เบส) 

วันนี้เรามีนัดพูดคุยกับพวกเขาที่ออฟฟิศ Smallroom ซึ่งน่าเสียดายที่วันนั้นโบ๊ทป่วย เราจึงได้สัมภาษณ์กับพวกเขาเพียงสามคนที่เหลือ ซึ่งเรื่องราวที่พวกเขาถ่ายทอดก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด เพราะมันคือชีวิตในการทำงานเพลงร่วมกันตลอดมาที่พวกเขาต่างมีเรื่องราวที่น่าสนใจระหว่างกันมากมาย loans-cash.net

และมากไปกว่านั้นช่วงที่เราไปสัมภาษณ์ยังเป็นวันแรกที่พวกเขาจะปล่อย Single เพลง แค่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ | Aight อีกด้วย รวมไปถึงเดือนหน้า ในวันที่ 3 กันยายนที่จะถึงนี้ พวกเขาทั้ง 4 คน รวมถึงเพื่อนร่วมค่ายอีก 5 ศิลปิน จะร่วมกันโชว์บนเวทีคอนเสิร์ต Punch Kicks หรือคอนเสิร์ตที่รวบรวม 6 ศิลปินหน้าใหม่ของค่ายมาทำโชว์ของตัวเองทั้งกระบวนการ ที่ไม่ใช่แค่การเตรียมโชว์ดนตรี แต่ได้ร่วมเตรียมงานในฝ่ายแสง สี เสียง Visual Effect ทั้งหมดบนเวทีอีกด้วย

มาร่วมรู้จักพวกเขาให้มากขึ้นจากเรื่องราวที่เราพุดคุยกับเขากัน

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

ทั้ง 4 คนมาทำเพลงร่วมกันได้อย่างไร

ลาภ : จริงๆ ก็เป็นโชคกับลาภที่ทำเพลงด้วยกันก่อน เล่นดนตรีด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะอยู่ด้วยกัน ผมตีกลอง ส่วนโชคจะเล่นกีตาร์
โชค : ตอนนั้นเราสองคนเล่นวงโรงเรียนทั่วไปเลยครับ พอเข้าช่วงมหาวิทยาลัยก็ทำเพลงด้วยกัน 
ลาภ : ทำไปสักพัก ด้วยอารมณ์พี่น้องทำงานด้วยกัน มันมีบางครั้งที่สักพักก็เบื่อ แล้วก็ตีกันบ่อย ด้วยความที่เราเป็นพี่น้องเราจะไม่ค่อยเว้นระยะห่างกันมาก 
โชค : ก็เลยอยากลองที่จะเปลี่ยน หาคนใหม่ๆ มาบ้าง เพราะจะได้เปลี่ยนการทำงานก็เลยมาเจอเฟิร์สที่กำลังเมาอยู่
เฟิร์ส : ใช่ครับ ตอนนั้นไปเจอกันที่ร้านเหล้า
โชค : ที่จริงผมเป็นเด็กเสิร์ฟ เห็นมันนั่งร้องเพลงอยู่
เฟิร์ส : ไม่ใช่อะไรหรอก คือเมาแล้วคุยกัน ตอนนั้นผมอะเรียนดนตรี ลาภก็บอกว่ามีวง เราก็คุยกันว่าน่าจะประมาณเดียวกันก็เลยลองดู
โชค : ส่วนโบ๊ทก็รู้จักกันอยู่แล้ว ก็เลยได้มาทำวงด้วยกัน

แนวดนตรีที่เล่นในช่วงแรกเป็นแนวไหน มีกลิ่นอายของ Television off ในปัจจุบันหรือไม่

เฟิร์ส : ไม่เลยครับ อย่างเพลงแรกที่ปล่อยมามัน Dream Pop มาก แล้วพอทำไปทำมาเพลงหลังๆ รู้สึก Post ขึ้น หลังมาก็จะมีความเป็น Post หน่อย
ลาภ : จะมีความ Pop Rock หน่อยครับ จริงๆ ตอนทำเราก็ไม่ได้คิดหรอกว่าอยากเป็นแนวอะไร พอทำๆ มาแล้วมันเป็นแบบนี้ครับ แล้วค่อยมาหาอีกทีว่าเราเป็นแนวอะไร

ในช่วงแรกของการทำวง แบ่งพาร์ตการทำวงกันอย่างไร

โชค : ถ้าในชุดแรกจะเป็นโชคเขียนเนื้อกับทำนอง แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยฟิกซ์
เฟิร์ส : แต่ละเพลงจะไม่เหมือนกันเลย
ลาภ : ใช่ ใครคิดอะไรออกก็โยนมา ไม่ได้มีระบบในการทำ
เฟิร์ส : แต่หลักๆ โชคกับลาภจะเป็นคนทำ เช่นขึ้นดนตรีหรือโครงมาแบบนี้
ลาภ : อาจจะเพราะอยู่ด้วยกัน มันก็เลยเริ่มง่ายกว่า
เฟิร์ส : พอได้โครงเป็นชิ้นเป็นอันก็ไปรวมกัน ไปดูกันว่าอันไหนชอบ อันไหนจะแก้อะไร อันไหนจะเพิ่มอะไร ก็ค่อยไปคุยกัน
โชค : วงจะค่อยๆ เริ่มทำตั้งแต่นับ 1 จะไม่ค่อยทำรวมกันเพราะว่าผมเชื่อเพลงมันต้องขึ้นมา 80% มันจะถึงมา Brainstorm กันได้
ลาภ : เพราะว่าถ้าเริ่มจากหลายๆ คนมันจะยาก เหมือนหลายๆ คนมารวมกันวาดรูปรูปเดียว มันก็จะยากๆ หน่อย

อย่างเพลงฝันที่ไม่ปลอดภัย มันมีจุดเริ่มต้นเป็นมาอย่างไร

โชค : คือจริงๆ เพลงนี้ไม่ได้ตั้งใจเล่าเรื่องเกี่ยวกับความฝัน มันเป็นเรื่องเวลาผมเครียด ผมจะชอบง่วงนอน เลยเอามาแต่งว่าเราชอบหนีปัญหา เครียดปั๊บจะนอนเลย แต่พอตื่นมาปัญหาก็ยังอยู่ 
ลาภ : มันเป็นเหมือนอาการคนที่เจอแรงกดดันหรือเครียดมากแล้วร่างกายมันจะสั่งให้เราไปนอน 
โชค : ซึ่งพอเราเครียดมากๆ เราจะนอนจนไม่อยากตื่น คือแบบนอนซมอยู่อย่างนั้นทุกวันก็เลยเขียนไปท่อนหนึ่งว่า “ตื่นขึ้นมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน” เพราะว่ามันเหมือนเดิมเราแค่หนีปัญหา

อุปสรรคในช่วงที่ทำวงด้วยกันคืออะไร เพราะช่วงนั้นแต่ละคนก็ยังทำงานประจำกันอยู่ด้วย

โชค : มีช่วงที่ทำงานประจำ ก็ไม่ค่อยเป็นอุปสรรคเท่าไหร่ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศ
ลาภ : แต่พอปล่อยเพลงแรกมา โควิดก็เข้ามาเลย
โชค : ก็มายาวถึงทุกวันนี้เลย แต่ตอนนี้มันค่อนข้างจะผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว 
ลาภ : แต่ก็ยังเป็นแบบนี้ยาวจนเราปล่อยเพลงที่ 3 ที่ 4 แล้วก็ยังไม่หายสักที
เฟิร์ส : แต่ถ้าพูดถึงความลำบากจริงๆ มันน่าจะเป็นพวกเรื่อง Budget ของเรามากกว่า
โชค : ใช่ เรื่อง Budget ตอนนั้นเป็นปัญหามาก เพราะเราไม่ได้มีค่ายเพลงด้วย
เฟิร์ส : เพราะตอนนั้นเราพึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ กันเลย แล้วก็บางคนไม่มีตังค์ก็ทุบหม้อข้าวจริงๆ 
โชค : มันมีปัญหาเรื่องที่แบบเราทำวงใหม่ๆ เรายังไม่เห็นเส้นทางข้างหน้าว่ามันจะชัดหรือเปล่า เราก็จะขี้เกียจ ด้วยอารมณ์ที่ว่าเดี๋ยวค่อยทำ มันยังดูไม่ค่อยจริงจังในช่วงนั้น ซึ่งตอนนี้มันเป็นอาชีพแล้ว เราเลยต้องขยันกันมากขึ้น

ทำไมต้องชื่อ Televison off ก่อนหน้านั้นมีชื่ออื่นหรือไม่

เฟิร์ส : มีครับ ลาภจำได้ป่ะ
ลาภ : ตอนแรกจะหาชื่อวงพยางค์เดียวแบบวง Dept อะไรแบบนี้
เฟิร์ส : เคยคุยกันว่าชื่อพยางค์เดียวคนน่าจะจำกันง่าย แล้วก็พยายามตั้งเป้าจะให้เป็นพยางค์เดียว จำได้ว่าไปนั่งร้านเหล้าก็พยายามพูดชื่ออะไรที่มีในใจ
ลาภ : เราก็นั่งล้อมวงกันแล้วก็พยายามพูดคำเท่ๆ ออกมาพยางค์เดียว แต่จำไม่ได้แล้ว
เฟิร์ส : อะไรนะที่ต้องบอกว่าเป็นคำนาม (หัวเราะ) 
ลาภ : จริงๆ คำว่า Television มันเหมือนคำว่า Radiohead เรารู้สึกว่าคำว่า Television มันเก่าก็ได้ ใหม่ก็ได้ มันร่วมสมัยดี เป็นคำที่แบบเท่ดี
เฟิร์ส : พอพูดมาปุ๊บเราก็แบบเออ..
ลาภ : ผมก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมต้องมีคำว่า off ลงท้าย คือว่าคำว่า Television มันมีชื่อวงแล้วไง เติมคำว่า off ไปจะได้ไม่เหมือนเขา
เฟิร์ส : แต่รู้สึกว่า off มันเท่กว่า on นะ (สมาชิกทุกคนหัวเราะ)
โชค : Television off , Television on ซึ่งเราก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับทีวีสักอย่าง (หัวเราะ) ไม่ได้มีความหมายกับชื่อนี้เลยแค่พูดขึ้นมามั่วๆ เฉยๆ แล้วก็ได้เป็นชื่อวงออกมา

คิดว่าเพลงอะไรที่ทำวงเป็นที่รู้จักมากขึ้น และคิดว่ามันเป็นแบบนั้นได้เพราะอะไร

ลาภ : ภาพทรงจำครับ ถ้าเป็นเรื่องหลักๆ ก็คือแนวเราชัดขึ้น แต่ว่ามันเป็นด้วยเรื่องของความสม่ำเสมอด้วยแล้วมันมาตกที่เพลงนี้พอดี เราปล่อยเพลงที่ 1, เพลงที่ 2, เพลงที่ 3 ก็พอเพลง 3 คนก็เริ่มรู้จักเยอะขึ้นพอดี
เฟิร์ส : อย่างเพลงฝันที่ไม่ปลอดภัย มันเป็นได้แง่ของการรู้จักในโซเชียลที่ดีขึ้น แต่สำหรับผมมองว่าเพลงที่ทำให้คนรู้จักคือ ให้เธอหายไป เพราะว่าทำให้คนที่ไม่ใช่แค่กลุ่มนี้ที่ได้ยินวงเรา (เพลงให้เธอหายไปปล่อยในช่วงที่วงได้เป็นศิลปินในค่าย Smallroom แล้ว – ผู้เขียน) 

ถ้าย้อนกลับไปการทำวงดนตรีในช่วงที่ยังอิสระอยู่ แล้วถ้าเกิดมันไม่ประสบความสำเร็จแล้วตอนนี้แต่ละคนจะทำอะไรกันอยู่

ลาภ : ก็น่าจะยังไม่ลาออกจากงาน แต่ยังทำเพลงกันอยู่เหมือนเดิมนะ ผมเคยคุยกับโชคเรื่องนี้สมัยตอนที่ยังทำวงเก่าเป็นเพลงฝรั่งเลย คุยกันว่าแบบก็จะทำไปเรื่อย ๆ 
เฟิร์ส : ทำเป็นแบบ Hobby
ลาภ : อาจจะไม่ได้จริงจัง ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าต้องมีชื่อเสียง แต่ว่าพอมันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้มันก็เริ่มคิด แต่ตอนนั้นเพลงปล่อยออกมา 2-3 พันวิว เราก็ไม่ได้คิดอะไร
เฟิร์ส : ส่วนผมก็น่าจะทำธุรกิจอะไรสักอย่าง หาอะไรทำ ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ)

การที่วงเติบโตในช่วงที่โควิดมันระบาดหนักมาก มันส่งผลกระทบยังไงบ้างต่อ Television off

เฟิร์ส : ผมรู้สึกว่าวงผมถ้าไม่โดนโควิด เผลอๆ อาจจะไม่มีใครรู้จักก็ได้ พอโควิดมา แล้วคนมันได้อยู่บ้าน ได้เล่น Social มากขึ้น มันมีโอกาสที่จะได้เห็น ถ้าเกิด ณ วันนั้นคนส่วนใหญ่ทำงานกัน ก็อาจจะไม่เห็นวงเรามากขนาดนี้
ลาภ : ผมคิดว่าถ้าไม่มีโควิด เราจะมีโอกาสได้ไปเล่นมากขึ้น
โชค : มันจะมีความเจนสนามมากขึ้น 
ลาภ : คือเราไม่มีงานจนมาถึงเพลงที่ 3 เลยถึงเพิ่งจะมีงาน

เพลงของ Television off มักจะเป็นเพลงที่พูดถึงช่วงเวลา อย่างเพลงฝันที่ไม่ปลอดภัย , ให้เธอหายไป มันจะมีคำนามเป็นตัวตั้งและมีคำขยายความเรื่องของสถานการณ์เวลาตามหลัง คิดว่าอะไรทำให้เพลงเหล่านี้มีคนฟังมากขึ้น

ลาภ : เพราะว่ามันเศร้า มันอกหักด้วยล่ะ คนที่เขามีความสุขมากๆ เขาคงไม่ฟังเพลง คนที่เขาฟังเพลงมากๆ อาจจะเพราะเขาอกหัก
โชค : แล้วที่มันเกี่ยวกับเรื่องของช่วงเวลาในอดีต เพราะว่าผมเคยลองนะแบบแซดๆ อะไรมาแล้วแต่งเพลง มันไม่เสร็จ ต้องปล่อยทิ้งไว้ เพราะเวลาผมเครียดผมจะไม่ทำอะไรเลย อย่างฝันที่ไม่ปลอดภัยก็จะหลับอย่างเดียว ต้องปล่อยให้มันผ่านไปก่อนถึงจะมานั่งเขียน

แล้วทำไมมักพูดถึงช่วงเวลา

เฟิร์ส : ผมว่าแต่ละคน ผมรู้สึกเขาก็มีทั้งดีและแย่ในที่ผ่านมา (หัวเราะ) 
โชค : แต่ของผมอย่างที่บอกไปเลย ผมไม่ชอบทำอะไรที่มัน ณ ปัจจุบัน อย่างเรื่องอะไรเศร้าๆ ก็เลยต้องยกเรื่องในอดีต ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องในอดีตที่เอามาเขียนเพลง

แล้วทำไมมันถึงประสบความสำเร็จในแง่ของคนฟังที่เพิ่มมากขึ้น และมีคนรู้จักมากยิ่งขึ้น

เฟิร์ส : จริง ๆ ผมว่ายังไม่ประสบความสำเร็จนะ (หัวเราะ)
โชค : ผมว่ามันเป็นเพราะปัจจัยอื่นด้วยนะ เพราะเมโลดี้หรือทำนอง 
ลาภ : อาจเพราะว่าเพลงมันไม่ได้เข้าใจยาก มันก็ยังเป็นเรื่องที่อยู่ใน Common sense ที่เข้าใจได้อยู่ 

คิดว่ามันมีเรื่องของประสบการณ์ร่วมของคนฟังด้วยหรือไม่

เฟิร์ส : ผมว่ามีส่วน เพราะอย่างการฝัน ทุกคนมันฝัน ซึ่งผมก็เชื่อว่าทุกคนแม่งฝันไม่ดีบ้างล่ะ หรือฝันไม่ปลอดภัยบ้าง เพราะทุกคนมันต้องนอนเลยฝัน (หัวเราะ) 

อยากให้พูดถึงช่วงเวลาที่แย่หรือดีของวง ในช่วงที่ผ่านมามันมีเหตุการณ์ไหนบ้าง

โชค : ถ้าตอนที่ Happy มาก ๆ ก็เซ็นสัญญากับค่าย เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่คาบเกี่ยวระหว่างที่วงกำลังปล่อยเพลงภาพทรงจำ ก็ถังแตก คือถ้าไม่เซ็นค่ายในตอนนั้นจะเป็นช่วงที่เราต้องรออีก 3-4 เดือนกว่าจะกลับมาปล่อยเพลง พอได้เซ็นค่ายแล้วเหมือนปัญหาทั้งหมดได้ถูกแก้ มีคนมาออกตังค์ให้ ก็เลยเป็นช่วงที่ Happy ที่สุด
เฟิร์ส : แล้วก็ Happy อีกอย่างก็คือสิ่งที่เราทำมาสามารถเลี้ยงชีพได้
ลาภ : ตอนเงินออกบิลแรกคือซื้อกระจุยเลย
เฟิร์ส : มันอาจะไม่ได้เยอะมาก แต่มันก็ฟินอ่ะ รู้สึกว่าสิ่งนี้มันก็เลี้ยงชีพเราได้นะ

แล้วช่วงที่แย่ล่ะ

โชค : ช่วงที่แย่ ผมคิดให้ตอนโชว์แรก
ลาภ : มันก็มีทั้งดีและแย่ แต่โชว์แรกมันเป็นการที่เตรียมตัวได้ไม่พร้อม เราเตรียมตัวได้ไม่ดี มันก็เป็นอาการทั่วไปของวงทั่วไป แต่ถ้าแย่มากๆ ยังไม่มี อาจจะเพราะว่าเป็นวงหน้าใหม่ด้วย
เฟิร์ส : เวลายังน้อยอยู่
ลาภ : คือตอนนั้นเราไม่รู้ว่าการไปขึ้น Stage มันต้องมีอะไรบ้าง ด้วยการที่ผมกับโชคหรือหลายคนไม่ได้เรียนดนตรีมา 
เฟิร์ส : ซึ่งเรียนคณะอะไรมาก็ไม่ได้เกี่ยวกับดนตรี พอมันต้องขึ้นไปเล่นมันก็มีความกดดัน
ลาภ : ผมยังไม่รู้เลยว่าเวลาเสียบหูฟังเขาต้องอะไรเสียบอะไรบ้าง คือไม่รู้เรื่องอะไรเลย
โชค : แล้วมันแย่อย่างหนึ่งคือเวทีแรกที่เราขึ้นไปเล่น เราไม่ได้ขึ้นไปเล่นแบบไม่มีคนรู้จัก เรามีฐานคนฟังประมาณหนึ่งแล้ว คนเขาก็คาดหวังในตัวเรา แต่ว่าเรามาถึงจุดนี้แล้วแต่ของเรายังไม่พร้อมเลยเรายังไม่มีประสบการณ์เลย มันก็กดดันเรา
เฟิร์ส : ใช่ โครตกดดันเลย

ถ้าจะให้พูดถึงการทำงานในช่วงที่เรายังทำอิสระอยู่ การทำงานในตอนนั้นมันเป็นอย่างไร

เฟิร์ส : ผมว่าจริงๆ แล้วแทบไม่ต่าง
โชค : ในเรื่องกระบวนการคิดไม่ต่าง แต่ว่าเรื่องเวลาหรืออะไรพวกนี้พอมาอยู่จะค่อนข้างเป็นระบบกว่า ถ้าทำกันเองป่านนี้เพลงยังไม่ปล่อยเลยครับ
เฟิร์ส : มันจะไม่มีเดธไลน์ให้ตัวเอง แต่ที่นี้จะต้องมีเดธไลน์

เป็นมาอย่างไรถึงได้มาอยู่ที่ Smallroom 

เฟิร์ส : เหมือนพี่รุ่งเขาน่าจะไปได้ยินเพลงเราจากใน Youtube ประจวบเหมาะกับที่ผมกับเบนซ์–ภวัต โอภาสสิริโชติ วง Dept รู้จักกันพอดี พี่รุ่งเขาเลยติดต่อผ่านเบนซ์มาบอกว่าชอบเพลงนะ อยากให้ลองเข้ามาคุยหน่อย เอาเพลงที่เหลือเข้ามาให้ฟังหน่อย
ลาภ : ตอนนั้นงงมาก ยังเป็นวงละอ่อนไม่รู้เรื่องอะไร ผมยังไม่รู้จักพี่รุ่งเลย (หัวเราะ) ว่าเขาคือใคร

ต้องปรับตัวเยอะมั้ยที่ต้องมาทำงานในระบบของค่ายเพลง 

ลาภ : ผมว่าถ้าเยอะจะเป็นเรื่องเทคนิคมากกว่า เพราะว่าถ้าความเป็นวงที่นี่เขาจะค่อนข้างอิสระ พวกเรื่องเทคนิคการอัดเสียงจะเป็นระบบมากขึ้น
โชค : เรื่องหลังบ้าน
เฟิร์ส : เรื่องโปรดักชั่น การถ่ายรูปหรือ MV อะไรแบบนี้

แล้วมีโอกาสได้แชร์เทคนิคเรื่องการเขียนเพลงหรือดนตรีกับศิลปินวงอื่นบ้างมั้ย

เฟิร์ส : น่าจะเป็นช่วงโควิด เลยได้เจอไม่กี่วงเอง (หัวเราะ) มันจะมาที่ค่ายแบบคาบเกี่ยวกันน้อยมาก แทบจะไม่ได้เจอใครเลย ประกอบกับพี่ๆ วงอื่นๆ เขาก็ไม่ได้เข้ามาในช่วงที่เรามาด้วย

ภาพจำของแต่ละคนที่มีต่อ Smallroom เป็นอย่างไรบ้าง

เฟิร์ส : สำหรับผมก็คือ เพลงแปลกๆ แต่ Pop นะ เป็นวงแปลกๆ พอฟังแล้วน่าจะมาจาก Smallroom อย่างช่วงนั้นที่ฟังก็มี Tattoo Colour, Lemonsoup, Slur ก็ฟังพอฟังแล้วมันรู้สึกแปลกจากแมสที่เคยฟัง
โชค : ของผมน่าจะเป็นความเก๋าครับ เหมือนแบบเขาอยู่มานานมีขึ้นมีลงเยอะมากเลย แต่ว่าก็ยังอยู่อย่างนั้นอ่ะครับ แล้วก็ชัดเจนเหมือนเดิมด้วย
ลาภ : ของผมก็เป็นคล้ายๆ เฟิร์ส น่าจะเป็นค่ายเพลงอินดี้แทบจะไม่กี่ค่ายในเมืองไทยที่เป็นคนบุกเบิกหลายๆ อย่าง ก็เป็นเรื่องที่ดีที่ประเทศไทยมี Scene ดนตรีแบบนี้ เพราะว่าพอเริ่มฟังอินดี้ก็ต้องไปเริ่มฟัง Smallroom เก่าๆ ทำให้รู้ว่าสุดมาก
เฟิร์ส : เมื่อก่อนสุดมาก นอกกรอบสุดๆ 

ถ้าให้ยกตัวอย่างศิลปิน หรือผลงานของ Smallroom ที่ทำให้รู้สึกว้าวเลย แต่ละคนจะยกให้ผลงานไหน หรือศิลปินคนไหนบ้าง

โชค : เมื่อก่อนจะชอบเพลงในรวมชุด Smallroom รวมอัลบั้มแรกครับ แฟชั่นโชว์ก็คือของพี่รุ่ง
เฟิร์ส : ญารินดาก็เท่
ลาภ : ชอบวง Goose 
เฟิร์ส : ผมเพิ่งมารู้ว่าเพลงบุ๋ง ของมารีญา (มารีญา พูลเลิศลาภ) ก็เป็นของ Smallroom ผมมาฟังแล้วแม่งเท่ดี ซึ่งมองตอนนั้นใครจะกล้าทำเพลงแบบนี้

อะไรคือสิ่งที่ Smallroom อนุญาตให้เราทำ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นค่ายอื่นอาจจะไม่ให้เราทำ

เฟิร์ส : ผมว่าน่าจะเพลง เพราะว่าตอนที่มาคุยตอนนั้นเราก็บอกว่าเราทำงานกันอย่างไร แล้วเขาก็ไม่ได้ติดขัดอะไรกับการทำงานที่เราเสนอไป แต่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าค่ายอื่นเป็นอย่างไร เพราะผมก็ไม่เคยอยู่ค่ายอื่น
ลาภ : อย่างหนึ่งคือตั้งแต่อยู่ที่นี่มา ผมไม่ได้รู้สึกถึงการแข่งขันเลยนะ ไม่ได้มีความรู้สึกนั้นเลย ต่างคนก็ต่างทำงานของตัวเอง

ความรู้สึกที่ชัดที่สุดในการทำงานที่ Smallroom คืออะไร ถ้าไม่ใช่การแข่งขัน

เฟิร์ส : ความรู้สึกชิล และอบอุ่นครับ ชิลในที่นี้ไม่ใช่การปล่อยตามสบายนะ มันก็ชิลในเรื่องแบบพวกผมสามารถนั่งคุยกับพี่รุ่งได้ ผมรู้สึกว่าที่อื่นผู้บริหารคงไม่มานั่งคุยกับศิลปิน ได้คุยกับพี่ๆ ทุกคน มันไม่ตึง และไม่ได้รู้สึกกดดัน
โชค : เหมือนเราใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น ถ้าเทียบกับตอนที่ยังไม่ได้อยู่ค่ายเราก็ทำอะไรก็สามารถทำได้เหมือนเดิมเลย

ค่ายได้กำหนดทิศทางของวง หรือการทำเพลงในสิ่งที่ค่ายต้องการหรือเปล่า

เฟิร์ส : ค่ายไม่ได้กำหนดครับ แต่ว่าคุยกันเฉยๆ แบบว่าวงอยากได้ประมาณไหน
ลาภ : คือเขาก็จะมอง ช่วงแรกๆ เขาก็จะไม่บรีฟอะไรเลย แบบว่าปล่อยเราเลย แต่ว่าเขาก็จะมองว่าเราไปทางไหนและก็คอยส่งเรฟมาว่าประมาณนี้ดีมั้ย แค่แนะแนวทางเฉยๆ 
เฟิร์ส : ใช่ครับแนะแนวเฉยๆ ไม่ได้ตีกรอบว่าอันนี้ดีนะ 
โชค : ถ้าไม่เอาก็คือไม่เอา

อย่างเพลงที่จะปล่อยเร็วๆ นี้ (แค่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ | Aight) พี่รุ่งได้มีการตีกลับให้ไปแก้อะไรหรือเปล่า

โชค : เพลงนี้แก้แค่ครั้งสองครั้งเองครับ
เฟิร์ส : เหมือนไม่ได้แก้ด้วย เขาให้ไปเพิ่มว่าอยากได้ยินแบบนี้ในเพลงนี้เฉย ๆ เขาก็บอกมาว่าอยากได้อะไร
ลาภ : ซึ่งเราก็ลอง แล้วคิดว่ามันดีก็เอา

แล้วคิดว่าผลลัพธ์มันดีขึ้นหรือเปล่า

เฟิร์ส : ดีขึ้นครับ ถ้าเทียบกับอันแรกก็คนละโลกเหมือนกัน
ลาภ : เพิ่มแค่นิดเดียว แต่มันดีมาก ที่จริงเพลงนี้มันเรียบมากเลยนะ แค่บาร์เดียว ท่อนเดียว
โชค : พี่รุ่งแค่โทรมาบอก “โชคพี่ว่าเพิ่มกลองแล้วก็ทำเสียง จะจึ้งๆๆ” (หัวเราะ) ผมก็เลยโทรหาเพื่อนบอกว่าพี่รุ่งให้เพิ่ม จะจึ้งๆๆ แบบนี้มันคืออะไรวะ (หัวเราะ) 
เฟิร์ส :  แล้วตอนนั้นทุกคนในวงก็งง จะจึ้งๆๆ คืออะไรวะ 
ลาภ : ก็เลยลองไปใส่ดู เห้ย ได้นี่หว่า (หัวเราะ)
เฟิร์ส : เป็นจังหวะกลองเฉยๆ ที่พี่เขาคิดในหัว
ลาภ : แล้วก็เพิ่มแค่จุดเดียวในเพลง ซึ่งเพลงมันเปลี่ยนไปเลยทั้งเพลง
เฟิร์ส : ซึ่งพอเราเปลี่ยนกลองก็ตามกลอง ทุกอย่างก็ตามมาเอง

พอได้มารู้จักพี่รุ่ง เขาเป็นคนยังไงในสายตาเราบ้าง 

เฟิร์ส : ผมว่าแกใจดี น่ารัก แต่อย่างเวลาผมไปถามพี่ที่อยู่มาก่อนเขาบอกว่าพี่รุ่งเมื่อก่อนไม่ได้แบบนี้นะ ซึ่งผมก็มาเจอแกเวอร์ชั่นนี้แล้วผมก็นึกภาพเวอร์ชั่นเก่าไม่ออก เขาบอกพี่รุ่งดุ บ้าพลังคือบ้างาน
โชค : ผมว่าแกเป็นคนทำงานเดือดมากเลย บางทีเที่ยงคืนโทรมาบรีฟงาน
เฟิร์ส : อย่างบางทีจะโทรไปแกล้งแกตอนตี 1 ผมโทรไปหาโชคถามว่าแกหลับยัง สักพักแกโทรมาหา (หัวเราะ)
โชค : บางทีตอนตี 1 โทรมา “โชคคอลได้มั้ย” ก็ต้องได้แล้วตอนนี้ครับ (หัวเราะ)

มีเรื่องอะไรบ้างที่พี่รุ่งแนะนำแต่ละคน

โชค : ถ้าของผมก็ตอนที่เขาแนะนำวง เขาบอกว่าต้องพยายามให้เป็น Someone ให้ได้อย่าเป็นแค่ Anyone เราต้องทำตัวให้ทุกคนจำได้ ตอนนี้ก็พยายามอยู่ไม่รู้ต้องทำอะไรเหมือนกัน
เฟิร์ส : ของผมส่วนใหญ่เขาจะด่าผมมากกว่า เขาอยากให้ผมเป็น Entertainer มั่นใจในโชว์ เวลาทำโชว์ก็อยากให้มั่นใจปลดปล่อยตัวเองออกมา
โชค : เพราะปกติมันเป็นคนเฮฮา
เฟิร์ส : ซึ่งบางทีพี่เขาก็บอกไม่ต้องก็ได้ ก็นั่นแหละเขาอยากให้ผมมั่นใจ ซึ่งเวลาโชว์บางทีผมก็ประหม่า พอเป็นแบบนี้ผมก็เลยต้องกินน้ำเยอะ 
ลาภ : เวลามันประหม่าแล้วต้องเล่นโชว์หนึ่ง 9 เพลง แม่งไม่หยุดเพลงเข้าช่วงพูดเลย เล่นแต่เพลงต่อกันยาวๆ
เฟิร์ส : คือในหัวมันไม่รู้จะพูดอะไร แรกๆ นะเราก็แบบเขินด้วยมั้งตอนนั้น
ลาภ : เรื่องประทับใจที่อยู่ Smallroom อีกเรื่องคือตอนที่เฟิร์สไปเล่นกับคนดู ผมประทับใจมาก วันที่มึงวางกีตาร์แล้วไปเล่นมุกกับคนดู
เฟิร์ส : ตอนนั้นกูเมา (หัวเราะ) ก็เลยแก้ด้วยการก่อนเล่นก็ต้องกินด้วยแบบจิบเอา

ไอดอลในการเล่นดนตรีของแต่ละคนเป็นใครกันบ้าง

เฟิร์ส : ผมก็ชอบทุกคนนะ แต่คนที่ทำให้ผมเล่นกีต้าร์ไม่ใช่ดิ ทำให้ผมชอบดนตรี อัสนี-วสันต์ ตอนนั้นผม ป.4 มั้งแล้วคนขับรถตู้รับส่งโรงเรียนเขาชอบเปิดอัสนีฯ คอนเสิร์ตร่ำไรก็เปิดอยู่แบบนั้นแล้วผมก็ดูจนแบบว่ากลายเป็นผมชอบไปเลย เหมือนบังคับฟัง บังคับดู หลังจากนั้นเลยขอพ่อเรียนกีต้าร์โปร่ง ส่วนศิลปินต่างประเทศผมไม่ได้มีคนที่คลั่งมากแต่ก็ฟังได้เรื่อยๆ แนวที่ฟังก็ฟังป๊อบ เมทัลทั่วไปเลย
โชค : ของผมถ้าตอนนี้ไม่ใช่ในแง่ของดนตรี ผมชอบ Joji เพราะว่าชอบ Production เขา ชอบ MV เขาจะมีความสุดโต่งของเขาที่มันแปลกๆ แต่เท่ ก็เลยอยากทำอะไรที่มันแปลกๆ บ้าง
ลาภ : อยากของผมในไทยผมชอบ The Richman Toy เพราะว่ามันแปลกและก็มันคมดี พวกเขาเป็นวงที่ทำเพลงในแนวที่มันไม่น่าจะดังแต่สามารถทำให้เป็น Poppular Music ได้ เขามีความเป็นป๊อบเซนส์ที่ดีมากเลยทำเพลงที่ดีออกมาได้ตลอด

ในคอนเสิร์ต Punch Kicks เราจะเห็นอะไรจากโชว์ของ Television off

เฟิร์ส : น่าจะเห็นโชว์ที่ผ่านการคิดที่เป็นรูปแบบมาแล้วว่า แสงต้องแบบนี้ที่ผ่านการคิดของ Show Director ก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน จนพี่รุ่งมาคุยว่าอยากให้วงมีนะ อยากให้ทุกวงใน Smallroom มี ซึ่งมันก็ยากในตอนแรก แต่พอคุยไปคุยมาก็มันก็เป็นไปได้
ลาภ : ก็อาจจะเป็นโชว์ของเฟิร์สในเวอร์ชั่นที่เมาแล้ว ซึ่งจะเมาไวน์ด้วยรอบนี้
โชค : ผมว่าน่าจะเป็นเพลงเร็ว เหมือนที่ผมบอกว่าวงจะทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว 
ลาภ : แล้วอย่างเพลงเร็วเพลงนี้มันจะเหมือนเพลงที่ไม่ได้มาจากวงด้วย เพราะว่ามันเร็วด้วยแหละ
เฟิร์ส : คือเราไม่ได้รู้สึกว่านี่คือ Television off แต่คนอื่นอาจจะไม่รู้เหมือนกัน
ลาภ : อย่างบางทีเราทำแล้วเราก็ไม่รู้หรอก
โชค : ก็เพลงเร็วเพลงนี้ที่จะเล่นบนเวทีก็เป็นหนึ่งเพลงที่มาจากอัลบั้มใหม่ด้วย

พอจะพูดถึงอัลบั้มใหม่ได้หรือไม่ว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร

ลาภ : ตอนนี้เค้าโครงมันก็ยังไม่ได้ชัดเจนมาก แต่ว่าเราเริ่มคุยกันแล้วว่าจะไม่เหมือนอัลบั้มก่อนมาก
โชค : ดนตรีมันจะไม่เหมือนกันทุกเพลง อย่างเพลงนี้เราอยากใส่ซ่าๆ เพลงนี้ใส่โอลดี้ มันจะหลายอย่างด้วย
ลาภ : มันแทบกลายเป็นรวมมิตรสลัด แบบเราไปฟังเพลงนี้มาเราชอบเราเลยทำแบบนี้ ซึ่งมันแทบจะมีทุกแนว

มันจะเพลงที่ให้อารมณ์ภาพจำแบบฝันที่ไม่ปลอดภัย หรือฟ้าประหลาด ในอัลบั้มนี้ด้วยหรือเปล่า

ลาภ : ไม่แน่ใจเลย
เฟิร์ส : ผมเชื่อว่าทุกเพลงวงคิดไม่เหมือนกัน แต่ว่าทรงมันก็จะประมาณนี้
ลาภ : พวกผมก็ไม่ได้สุดโต่งขนาดนั้น
เฟิร์ส : มันจะมีทรงประมาณแบบนี้ที่ทุกคนน่าจะจำได้ ต้องฝากติดตามกันด้วยครับ

อัลบั้มใหม่นี้ทำไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์

ลาภ : อยู่ในขั้นที่จะทำอยู่ ตอนนี้ขึ้นโครงไว้ 4 เพลง
เฟิร์ส : ประมาณ 80 แต่เต็ม 20,000% นะ
โชค : บางเพลงมีแต่จังหวะกลอง
เฟิร์ส : ผมว่าถ้าเนื้อร้องกับเมโลดี้มันได้ ผมว่าดนตรีมันไม่นานหรอกฃ
ลาภ : ติดอย่างเดียวขี้เกียจ

แฟนๆ จะได้ฟังช่วงไหน

ลาภ : ไม่เกินกลางปีหน้า (หัวเราะ)
โชค : เพราะว่าจริงๆ อย่างการปล่อยเพลงของวงใน Smallroom ปีนึงไม่เกิน 4 เพลง แล้วเรากะจะทำอัลบั้มเต็มก็น่าจะ 10 เพลงน่าจะมีสิ้นปีหน้า
เฟิร์ส : แต่ระหว่างนั้นก็น่าจะมีปล่อยมาให้ฟังเรื่อยๆ 
ลาภ : มันเป็นช่วงที่เราอยากเปลี่ยนการทำงานของวงใหม่ด้วย ปกติเราจะส่งเดโม่แล้วก็ปล่อยทีละ 3 เดือน 4 เดือน ผมอยากจะลองทำทั้งอัลบั้มเลยแล้วเลือกปล่อยจะได้ไม่ต้องมาไฟรนตูดทำส่ง

ถ้าให้เลือกเพลงของศิลปินใน Smallroom มา Cover จะเลือกเพลงอะไร

เฟิร์ส : ผมมีในใจอยู่แล้วแต่ว่าวงมันไม่เอานะ (หัวเราะ) ของผม Heroes ของ ญารินดา
ลาภ : มึงทำเองเลย (หัวเราะ) ของผมชอบธิดาประจำอำเภอ ของ The Richman Toy ชอบเนื้อเพลงมาก
โชค : ของผมอยากทำ สิ่งดีดี ของ Goose แต่ผมทำไปแล้ว แต่ผมอยากทำอีก อยากทำให้มันเสร็จเพราะมันยังไม่เสร็จ

ทั้ง 3 คนมองวงการเพลงในปัจจุบันเป็นอย่างไร

เฟิร์ส : ผมว่าก็เติบโตดีครับ (หัวเราะ)
โชค : ผมว่ามันกำลังจะเปลี่ยนเทรนด์แล้วอีกสัก 2-3 ปี เพราะว่าตอนนี้วงที่เกิดขึ้นมาใหม่มันจะเหมือนๆ กัน แล้วสักพักมันจะมีอะไรที่เปลี่ยนเทรนด์ไปเลย ก็ไม่รู้ว่าจะถึงเวลาตายของเราหรือเปล่าตอนนั้น เราอาจจะอยู่ไม่ได้แล้ว
ลาภ : เราว่าช่วงนี้แบบถ้ามองในองค์รวมไม่มองเรื่องแนวผมว่ามันเป็นช่วงที่แบบเป็นยุคทองของนักดนตรีอินดี้มาก แพลตฟอร์มมีให้ปล่อยเพลงได้อิสระ ไม่ต้องไปวิ่งเต้นหาคนปล่อยเพลงให้เรา เราสามารถทำเองได้เลย แล้วมันได้รับผลประโยชน์ที่ผมมองว่าดี ก็ไม่ได้แย่ ก็มันหาช่องทางได้ดีกว่า
เฟิร์ส : ถ้าวงไหนมี Budget หรือว่าบ้านรวยผมว่าฉลุยแน่ๆ ถ้าทำเพลงดีอีกก็ยิ่งไปไกล
ลาภ : อุปกรณ์เดี่ยวนี้ถูกด้วยครับ แค่ไม่ถึงหมื่นก็ทำเพลงดีดีได้แล้ว 

ในตอนนี้มอง Television off เป็นวงดนตรีแนวไหน

โชค : แนวป๊อบร็อคครับ 
เฟิร์ส : ผมว่าก็ป๊อบล่ะ
ลาภ : เป็นป็อบแหละ แต่เพิ่มอะไรด้านหลังมา

คิดว่าในตอนนี้เทรนด์ที่เราจับอยู่ คิดว่ามันมีโอกาสที่มันจะเป็นฟองสบู่แตกหรือไม่

โชค : มีมาก
เฟิร์ส : เหมือนที่โชคบอกว่าเทรนด์ ผมว่าแล้วแต่ช่วงคนฟังจริงๆ อย่างวงผมกับ Dept ผมรู้สึกแปลกใจเพราะคนฟังส่วนใหญ่กับเป็นเด็กมัธยมเยอะมาก ซึ่งแปลกใจเหมือนกันเดี่ยวนี้วงการดนตรีมันมีเด็กที่ให้ความสนใจต่อวงการอินดี้เยอะมาก
โชค : อย่างงาน Cat มีเด็กประถมมาขอถ่ายรูปแบบแม่พามา
เฟิร์ส : เห็นเบนซ์ (วง Dept) เล่าให้ฟังว่าลูกของพี่เต๋า สมชาย มาขอถ่ายกับมันแล้วพี่เต๋าก็บอกว่าขอบคุณที่เป็นความสุขให้ลูกผม เต๋า สมชาย อ่ะเออ (หัวเราะ)

แล้วพอเทรนด์คนฟังมันเปลี่ยน ในฐานะคนทำดนตรีต้องรู้สึกอย่างไร

เฟิร์ส : ด้วยสมัยนี้ทุกอย่างมันเร็ว ผมว่ามันเลยเข้าถึงได้ง่าย
ลาภ : ผมว่าเด็กสมัยนี้ฟังเพลงกันเยอะมาก 
โชค : เยอะและหลากหลายมาก เพราะว่ามันไม่ได้ฟังเพลงจากสื่อเดียว 
ลาภ : และถ้าในยุคที่เรายังเป็นวัยรุ่นกันอยู่ช่วงนั้นมันจะเป็นยุคของเพลงร็อคกันอยู่ 
โชค : พึ่งมาเปลี่ยนเป็นแนวเรามา 2 ปี

แล้ววันข้างหน้าแฟนคลับจะมีโอกาสได้เห็น Television off เปลี่ยนเทรนด์ไปอีกทางนึงมันจะมีโอกาสหรือไม่ และคิดว่าเทรนด์นั้นมันจะเป็นอะไร

ลาภ : มันเปลี่ยนครับ แต่ว่ายังไงสุดท้ายผมก็ยังรู้สึกว่ายังอยากให้มีสัดส่วนของป๊อบอยู่ แค่รู้สึกป๊อบมันก็มาป๊อบปูล่ามันเป็นอะไรที่ easy listenning 
เฟิร์ส : ใช่ ผมคิดเหมือนลาภเลย ป๊อบ มันมาจาก ป๊อบปูล่า จริงๆ แล้วเมทัลมันก็ป๊อบได้ อย่างฟังกี้มันก็ป๊อบปูล่าได้ 
ลาภ : มันเป็นซีนดนตรีในช่วงนี้มันเป็นป๊อบอินดี้มากกว่าครับ มันก็เลยกลายเป็นป๊อบไปอย่างเมื่อก่อนอาจจะเป็น Potato ก็ได้
เฟิร์ส : ป๊อบ Potato เฮ้ย นั่น ปั๊บ Potato (หัวเราะ)

แฟนคลับจะมีโอกาสจะได้ฟังเพลงของ Television off ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษหรือเปล่าในอนาคต

เฟิร์ส : จริงๆ ก็มีอยู่ท่อนหนึ่งนะ (หัวเราะ)
โชค : ต้องบอกให้เฟิร์สยอมร้องก่อน
ลาภ : พร้อมทำมากใช่มั้ยโชค
โชค : คือมันง่าย แต่งเพลงอังกฤษง่ายกว่าเพลงไทยนะ มันไม่มีวรรณยุกต์แล้วก็ให้ Daniel มาปรับแกรมม่า จบ
เฟิร์ส : ผมก็ไม่ชัวร์เหมือนกัน แต่ไม่แน่
ลาภ : แต่เฟิร์สร้องอังกฤษเพราะนะ 
เฟิร์ส : เรื่องอนาคตก็ไม่แน่ไม่นอนเหมือนกันครับ
ลาภ : รอพี่รุ่งสั่งผมทำเลย
โชค : ต้องเป็นคำสั่งเฟิร์สถึงจะยอม
เฟิร์ส : ตอนนี้ยังไม่พร้อมครับ (หัวเราะ)

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าอินดี้กับแมสมันใกล้กันมากและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ละคนมีความเห็นกันอย่างไร

ลาภ : ไม่รู้สิ ถ้ามองเป็นเพลงคือเอาเพลงสมัยนี้ไปเปิดให้ผมในอดีตฟังมันจะแปลกไปหรือปกติ 
โชค : ผมว่าในตอนนี้อะไรที่อธิบายคำว่าอินดี้นะ ฟังเข้าไปลึกๆ พวกองค์ประกอบดนตรีหรือวิธีทำงานอะไรพวกนี้มากกว่า เพราะในตอนนี้พวกดนตรีแมสเขาจะมีวิธีทำเพลงที่แบบรู้เลยว่ามาจากที่นี่นะ แต่ว่าอินดี้มันจะมีเอกลักษณ์ของแต่ละวงสูงมาก 

ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเทรนด์ในอีก 2 ปีจะเปลี่ยนไป วงอาจจะตายก่อนก็ได้ อยากให้ลองมองไปถึงจุดนั้นว่าถึงตอนนั้นแล้ว Television off จะไปข้างหน้าต่อยังไง

โชค : ไม่มีทางรู้ได้ เพราะว่าวงมันจะพัฒนาตัวเองไปยังไง สมมติสิ่งที่เราพัฒนาไปถึงแล้วมันเข้าไปอยู่ในช่องนั้นก็ดี เราก็ยังอยู่ต่อได้ แต่ว่าถ้าเราจะฝืนเปลี่ยนมันก็มีหลายวงมากที่พยายามจะเปลี่ยนให้ทันวัยรุ่น แล้วแม่งก็ตายเพราะมันดูฝืน มันอยู่ไม่ได้ แต่ว่าวงที่เขายังอยู่ได้ก็ยังอยู่ได้ตลอดไปและเขาไม่ต้องพยายามด้วย
เฟิร์ส : สำหรับผมเชื่อว่าวงจะพัฒนาไปโดยที่บางที่คนในวงอาจจะไม่รู้ด้วย มันอาจจะเปลี่ยนไปตามเพื่อให้อยู่รอด ผมเชื่อนะแต่เราไม่รู้อนาคต เหมือนสัตว์ที่แม่งวิวัฒนาการแล้วแม่งยังอยู่รอด
ลาภ : เราอาจเปลี่ยนไปเอง แต่เราแค่ไม่รู้ตัวก็ได้
เฟิร์ส : เราอาจจะไม่รู้ว่าเปลี่ยนก็ได้
ลาภ : ผมว่ามันอาจจะไม่ได้ตายสนิท แต่ดนตรีอินดี้มันอาจเป็นดนตรีรองของวงการเพลงไทยก็ได้

มีอะไรที่อยากจะบอกแฟนคลับที่สนับสนุนมาตั้งแต่วันแรก แต่ยังไม่เคยได้บอกหรือไม่

ลาภ : ต้องบอกว่าขอบคุณทุกๆ คนมากๆ ครับ ถ้าเป็นผมเห็นวงมาตั้งแต่วันแรกมันยังแบบไม่เป็นรูปไม่เป็นร่าง
โชค : มันมีคนตามตั้งแต่วันนั้นครับ ตอนที่เพลงยังหลักร้อยวิวแล้วเราจำเขาได้ทุกคน ทุกวันนี้เขาก็ยังตามอยู่เราก็ยังเห็นเขาอยู่เรื่อย ๆ 
ลาภ : ผมจำได้หมดว่าใครบ้าง ถ้าแบบเป็นคนที่ตามตั้งแต่แรก 
โชค : รู้สึกขอบคุณมากที่ตามมาตั้งแต่วันแรก
ลาภ : เขาอาจจะเห็นอะไรในตัวเราที่เราอาจจะไม่ได้เห็น ยังไงก็รู้สึกขอบคุณมาก
เฟิร์ส : คือผมเชื่อว่าศิลปินหรือคนทำเพลงทุกคนก็อยากให้คนได้ฟังเพลง แล้วเพลงมันทำมาเพื่อให้คนฟัง พอมันมีคนฟังเราก็รู้สึกว่าดี

แล้วในตอนนี้อยากแฟนคลับจดจำพวกคุณในฐานะศิลปินอย่างไรบ้าง

โชค : ของผมง่ายๆ เลย อยากเท่แค่นั้นเลย (หัวเราะ) อยากจะทำอะไรก็เท่เหมือนที่ผมบอกว่าชอบ Joji เขาทำอะไรก็เท่ ใน MV เขาทำอะไรบ้าๆ ติ๊งต๊อง แต่เขาก็เท่อยู่ดี อยากเป็นแบบนั้น
ลาภ : ถ้าผมนะ ผมอยากเป็น Someone ผมอยากโตไปมีลูก แล้วลูกไปเสิร์ชผมใน Google แล้วเจอผมได้ ไม่ใช่เป็นแค่วงดนตรีวงหนึ่งเล็ก ๆ ในลีคนี้เฉย ๆ 
เฟิร์ส : จริงๆ ผมว่าทุกคนมันก็อยากเท่นะ 
ลาภ : แต่เท่อย่างเดียวไม่ได้ต้องเป็น Somebody ด้วย ผมยังอยากให้ในอีก 10 ปี ข้างหน้ามีแผ่นของเราวางขาย ยังถือว่าเป็นของ Rare อยู่หรือว่ามีคนที่รู้จักไม่ใช่เป็นแค่แผ่นหางแถวในกล่อง ไม่มีคนรู้จัก

การเป็น Somebody ในฐานะวง แล้วคิดว่าในแต่ละคนในวงควรจะเป็น Somebody ด้วยหรือไม่ คิดว่าอยากจะเป็นแบบนั้นหรือไม่

เฟิร์ส : ผมคิดว่าถ้าเป็นได้ก็ดี
ลาภ : เป็นได้ก็ดี แต่ไม่ได้พยายามทำ
โชค : ไม่ได้อยากฝืน เพราะมันจะแปลกๆ 
ลาภ : ผมไม่อยาก represent ตัวเองเยอะ อยากให้วงไปด้วยกัน แต่ถ้าวันหนึ่งเฟิร์สจะอยากไปเล่นหนังหรือไปทางหล่อจัดๆ อะไรแบบนั้นมันก็เป็นเรื่องดี ส่งผลดีต่อวงด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้อยากผลักดัน
เฟิร์ส : ตอนนี้ผมมองกลับไปว่าตรงนั้นมันเป็นเราได้มากแค่ไหน ผมรู้สึกว่าทุกคนไม่สามารถเป็นตัวเองได้ 100% ถ้าต้องทำวงดนตรี มันก็ Weight กันว่าผมอาจจะ 20% โชคกับลาภอาจจะ 40% 40% โบ๊ทอาจจะ 0.1 % ไม่ใช่ หยอกๆ (หัวเราะ) แต่ผมว่ามันต้อง Weight กัน มันไม่สามารถเป็นตัวเองได้ 100% ซึ่ง 100% ของผมอาจจะไม่ใช่แบบนี้ก็ได้
โชค : ผมว่าถ้าเป็นตัวเองหมดน่าจะเละเทะอยู่ แบบติสท์จัด

อะไรคือสิ่งที่ Television off จะทำในพาร์ตถัดไป

ลาภ : ผมพยายามจะเปลี่ยนพฤติกรรมการฟังเพลงด้วย และก็เริ่มฟังวงอื่นให้มากขึ้นเพราะผมรู้สึกว่าวงมันจะไม่พัฒนาถ้าแบบเราไม่มองข้างนอกบ้าง
โชค : แล้วก็ถ้าเราไม่ Play safe เราน่าจะสุดทางมากขึ้น
ลาภ : ที่เราชอบ Play safe เพราะกลัวว่าเดี๋ยวไม่มีคนฟัง ตอนแรกผมก็โอเคเห็นด้วย แต่ทำไปทำมาผมเริ่มเบื่อล่ะ ขนาดคนทำยังเบื่อ คนฟังก็น่าจะเบื่อด้วย เราก็ต้องพัฒนาตัวเองกันต่อไป

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า