fbpx

หลังบ้านความสำเร็จในการปั้นรายการให้ดัง ปั้นคอมมูน LGBTQ+ ให้ต๊าชของเต้ กันตนา

ตั้งแต่การเข้ามาบริหารงานโดยทายาทรุ่นสามของบริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทสื่อครบวงจรอายุ 70 ปี เราจึงได้เห็นความ “แตกต่าง”​ ในการนำเสนอคอนเทนต์ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น มีลีลาที่หวือหวามากขึ้น แต่ยังได้รับความนิยมอย่างเหนียวแน่นจากฐานแฟนเดิม และแฟนรุ่นใหม่

ไม่ต่างจากคอนเทนต์ที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตที่รุ่นคุณพ่อ และรุ่นคุณปู่ทำเอาไว้

เต้-ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก คือหนึ่งในสองพี่น้อง “รุ่นสาม” ที่เขียนภาพกันตนายุคใหม่ด้วยคอนเทนต์บนหน้าจอทีวีและออนไลน์จนเป็นที่พูดถึงในความแซ่บตรงจริตผู้ชม ความสนุกจนผู้ชมและโลกโซเชียลต้องจดจ่อรอชม การยกระดับคอมมูนความหลากหลายทางเพศให้อยู่ในพื้นที่ซึ่งกว้างกว่าเดิม และการ “ต่อยอด” ​หาความเป็นไปได้ในการเล่าเรื่องผ่านวิถีทางใหม่ๆ 

ไม่ว่าจะเป็น The Face Thailand ที่มีเสียงเรียกร้องอยากให้กลับมาทำใหม่ หรือ Drag Race Thailand ที่ทั้งแซ่บ มันส์ และช่วยกรุยทางให้ Drag Queen Community เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย นี่ก็ฝีมือคุณเต้ทั้งนั้น

รวมถึงโปรเจคต์ที่เราในฐานะเนิร์ดทีวีชอบมากๆ แต่อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จในวงกว้างอย่าง Gossip Girl Thailand ซีรีส์ที่ยกระดับโปรดัคชั่นการถ่ายทำให้ไปไกลกว่าซีรีส์ไทยธรรมดาๆ หรือรายการข่าวบันเทิงเชิงลึกลิขสิทธิ์ระดับโลกอย่าง ET Thailand 

นี่ก็คือฝีมือคุณเต้อีก

เรานัดคุณเต้ที่ออฟฟิศกันตนา เพราะวันนี้เราจะคุยกันถึง “หลังบ้าน”​ รายการใหม่หลังห่างหายจากการโปรดิวซ์มาหลายปีอย่าง Face2Face Thailand Makeover Reality ที่จะพา 8 คนดังมา “เปลี่ยน” บางสิ่งอย่างในตัวเองให้ดีขึ้นผ่านเรื่องราวในใจ ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นคุณค่าของความ “สวย”​ ที่จะช่วยให้เราได้รักและเห็นคุณค่าในตัวเองมากยิ่งขึ้น

และเรื่องราวการเป็นทายาทรุ่นสามของบริษัทที่ผ่านกาลเวลามากว่า 3 อายุคน ซึ่งองค์ความรู้จากการเป็นทายาทกันตนา และการต่อสู้กับความเหนื่อยยากในใจของคุณเต้ 

ทำให้กันตนาในยุคใหม่เป็นบริษัทสื่อที่ยังยืนหยัดได้อย่างสง่างาม

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

ก่อนหน้านี้คุณหายไปไหนมา

ย้อนไป 5 ที่แล้วเนาะ ก็ทำงานเยอะมาก ก็รู้สึกว่างานเยอะ แล้วก็หมดไฟที่เขาเรียกกัน (หัวเราะ) พลังหมดก็หยุดทำงาน ไปเติม ไปรักตัวเองก่อนนิดนึง ตัดสินใจว่าขอพักเบรก ไปเริ่มออกกำลังหาย จริงๆ แล้วไม่ได้คิดว่าจะมาทางออกกำลังกายอย่างจริงจังขนาดนี้ ก็ลองไปดูเพราะว่าเป็นเมมเบอร์มันทุกที่มาตลอดเลย ตั้งแต่เด็กจนโตนี่เป็นเมมเบอร์ที่ละวัน (หัวเราะ) ก็เอาไปใช้สวยงาม ถ่ายรูป แต่ว่าครั้งนี้ตั้งใจมากว่า เอ๊ะ ลองดูสิว่าจะทำอะไรเพื่อตัวเอง แล้วก็ให้เวลากับตัวเองให้มากที่สุดน่ะครับ ให้เวลา แล้วก็เสียสละเวลาให้กับตัวเอง มากกว่าเสียสละเวลาให้กับงาน หรือกับสิ่งที่ไม่จำเป็นครับ เพราะว่าเราให้คนอื่นจนเยอะแล้ว ก็เริ่มจาก 3 เดือนก่อน แล้วก็เป็น 6 เดือน ปรากฎว่ามันสนุก เพราะว่ามันเห็นรูปร่างตัวเองที่มันเปลี่ยนไป มันมีกำลังใจที่มันจะไปต่อ งั้นขอต่อไปอีก ก็ทำอีกเป็น 1 ปี จาก 1 ปี ก็เป็น 2 ปี จาก 2 ปี ตอนนี้ทำมา 5 ปีแล้ว แล้วตื่นทุกวัน แบบตี 4 ตี 5 6 โมงถึงที่ฟิตเนสแล้ว คือเป็นโรคจิตไปแล้ว (หัวเราะ มันติดไปแล้วอะ แล้วก็เป็นวินัยที่เพิ่งรู้ตัวเองเหมือนกันว่าเป็นนักสู้ที่แบบ ติดกับวินัยนี้มาก แล้วก็ชอบไปเลย เพราะว่าทำให้ตัวเองรู้สึกดีทุกๆ วัน ก่อนที่จะเริ่มต้นทำงานในแต่ละวัน มันมีพลังอะไรบางอย่าง

แล้วถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่คุณทำงานเยอะๆ คุณมีสารตั้งต้นในการคิดงานหรือประยุกต์คอนเทนต์อย่างไรให้ออกมาถูกใจผู้ชม

คือจริงๆ พี่เต้ต้องบอกว่า 15 ปีที่กลับมาจากต่างประเทศ หน้าที่ของพี่เต้คือดูคอนเทนต์ แล้ว Content is King แต่คอนเทนต์ที่ฝั่งที่พี่ดู มันเป็น International format เพราะฉะนั้นการดูก็คือ ดู ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในระดับโลก เพราะฉะนั้นพี่เต้จะถือว่า 50% เชื่อถือได้ อีก 50% พี่เต้จะต้องมานั่งทำให้มันเหมาะสำหรับคนไทย อันนั้นคือสูตรที่พี่เต้เป็นสารตั้งต้น และมานั่งใช้สูตรละครของฝั่งไทยผสม คือถ้ามีทางละครเมื่อไหร่ เสร็จพี่เต้ ลองดู The Face สิ เอาผู้หญิงมารวมกันอะ ยังไงก็มีทางละครใช่มั้ย Drag Race ยังไงก็มีทางละคร มันคือประสบการณ์ที่พี่เต้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กที่โต้ขึ้นมาในครอบครัวที่เป็นครอบครัวบันเทิงด้วย แล้วพอไปเจอ Format ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก มันไม่ได้ยากที่จะตัดสินใจซื้อ แต่ซื้อแล้วเราต้องมาทำให้มันเป็นไทย ทำยังไง อันนั้นอีกที่ 50% ซึ่งถ้าพี่เต้มองไม่ออก พี่เต้ไม่ซื้อ 

จริงๆ พี่เต้เคยซื้อ The Real Housewives ไว้นะ แต่ว่ายังไม่ได้ทำ เพราะว่าอันนี้มีทางละครสูงมาก ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสทำหรือเปล่า แต่ว่าเคยได้ แต่อย่างบาง Format ที่ไม่ได้จองเอาไว้ ก็หมายความว่าคุณเต้ไม่เห็นทางละคร คือไม่เห็นว่าตัวเองทำ แล้วจะออกมาสนุกได้

คอนเทนต์สูตรสำเร็จในวิธีคิดของคุณคือ ทุกอย่างต้องสามารถเล่าเรื่องเป็นละครได้?

ต้องมาทางละคร

อธิบายเพิ่มหน่อย

มีทางละครหมายความว่า มี Entertainment Value สูง ดูแล้วสนุก ดูแล้วเข้าถึงได้ ดูแล้วเข้าใจง่าย ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะใส่คุณค่าอะไรเข้าไปในนั้น แต่จริงๆ แล้วคือ ดูไปแล้วเนี่ย ไม่ต้องคิดอะไรเลย ก็เข้าใจได้ ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง นั่นคือทางละคร แต่ว่าที่พี่เต้มักจะใส่ลงไปในแต่ละซีซั่นคือ เรื่องที่อยู่ในใจของคุณเต้เสมอ นั่นก็คือเรื่อง LGBTQ+ เสมอ เพราะฉะนั้น คือหยอดไปตั้งแต่ The Face หรือ Drag Race อันนั้นคือใส่ไว้เอง อันนั้นคือเป็น Message ที่ใส่เอาไว้ เพราะว่ามันไม่ได้มีเวทีกลางสำหรับ LGBTQ+ 

ในฟีดแบคที่ตอบกลับมา เช่น แคนดี้ (กุลชญา ตันศิริ-ผู้ชนะ The Face 5) หรือว่าการมี Drag Race Thailand ขึ้นมา แล้วได้รับเสียงตอบรับที่ดี นอกจากสร้างความตระหนักถึง LGBTQ+ แล้ว ยังสร้างตัวตนให้ Drag Community ด้วย เรื่องนี้บอกอะไร สำหรับกระแสที่ดีที่ได้รับ

จริงๆ พี่เต้อยากให้มองถึงว่า ความเท่าเทียมกันของ LGBTQ+ พี่เต้ไม่ได้สร้างวันเดียวให้แคนดี้ (ชนะรายการ The Face) มันเริ่มตั้งแต่ The Face 3 ที่ให้ Transgender สามารถแข่งพร้อมๆ กับผู้หญิง แล้ว The Face 4 พอเป็น All Star ปุ๊บ พี่เต้เริ่มให้ผู้ชายเข้ามาประกวดเข้ากับผู้หญิงพร้อมกัน และมี Transgender แล้วพอ The Face 5 มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และ Transgender แปลว่าเวทีนั้นน่ะ มันเป็นเวทีที่เท่าเทียมกัน และเป็นเวทีที่มีทุกเพศทุกวัยจริงๆ มันไม่ได้แบ่งว่าเป็นเวที Transgender หรือเวทีผู้หญิง เวทีผู้ชาย มันใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี พี่เต้อยากให้มองถึงจุดนั้นมากกว่าที่จะให้มองว่าโอเค แคนดี้ก็เหมาะที่จะชนะ แล้วปีนั้นเขาก็สมควรที่จะชนะจริงๆ แต่ว่ามันมีเส้นทางของเขาที่ปูมาด้วย 

แล้วก็ในระหว่างทาง ก็หยอด Drag Race เข้าไปอีกด้วย เพราะก็มี Transgender คนแรกของโลกที่ได้ตำแหน่ง ซึ่งพี่เต้รู้สึกว่า พี่เต้ภูมิใจในสิ่งนี้ ที่นำเสนอได้ว่า พี่เต้สู้กับ RuPaul (Charles-เจ้าของลิขสิทธิ์ RuPaul’s Drag Race) ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยว่าให้มี Transgender เข้าแข่งขัน ให้มีคนที่มีหน้าอกเข้าแข่งขันด้วยนะ กลายเป็นว่าตอนนี้ทำเองหมดแล้วหนิ หลังจากประเทศไทยทำ นั่นก็ถือว่าคุณได้สู้กับยักษ์อะ แล้วก็ (คิดนาน) บังเอิญมันมันหมดแรงไปพักนึง ตอนนี้เริ่มกลับมาใหม่แล้ว ก็เลย (คิด) อยากบอกให้รู้ว่า มันไม่ใช่ทีเดียวแล้วมันได้เลย มันต้องมีอีก แล้วต้องอาศัยอีกหลายๆ คนอีก

แล้วนอกจากที่คุณเป็น LGBTQ+ และผลิตคอนเทนต์เพื่อ LGBTQ+ คุณมองยังไงกับ Community ที่เป็น Entertainment

ก็มองว่าคงห่วยแตกอะ ไม่ได้เรื่องเลย แล้วก็ล้าหลัง คือเห็นเราเป็นตัวตลกยังไง ก็ยังอย่างนั้นอยู่ ยังไม่ได้ให้คุณค่ากับเรามากเท่ากับตัวเอง ใช้คำว่าเรานะ ละครก็ยังดูถูก เหยียดหยามเรา ให้เราเป็นตัวตลกอยู่ในหลายๆ เรื่อง เดี๋ยวนี้ยังดีขึ้นนะ แต่ก่อนนี้ตลกคาเฟ่นี่เอาไม้จิ้มก้นเรา แล้วก็ (คิด) มีอาชีพเป็นกะเทย อะไรแบบนี้ เรารู้สึก Against มากเลย เรารู้สึกไม่ถูกต้อง อันนี้เรารู้สึกว่า Discriminate ถ้าเราทำอย่างนั้นกับเพศของคุณบ้าง คุณจะรู้สึกยังไง เพศสภาพมันไม่ได้ควรจะต้องมาเป็นสิ่งที่ตลกในประเทศที่เจริญแล้ว โดยวัฒนธรรม โดยรากเหง้าเลยเนี่ยแค่ศิลปินก็ให้คุณค่าน้อยแล้ว เราเป็นประเทศที่ไม่ให้คุณค่ากับคนที่เต้นกินรำกิน สื่อศิลปินอะ แล้วคิดดู LGBTQ+ จะเหลือหรอ แล้วยิ่งทำตัวให้เขามานั่งดูถูกอีก ก็ยิ่งนึกว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แลเป็นสิ่งที่น่าทำ ซึ่งเดี๋ยวนี้มันน้อยลงมากแล้วนะ แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง ก็ถ้าถามว่าคิดว่ายังไง คิดว่ามันห่วย แล้วมันควรจะมีคนที่พูดความจริงอะ แล้วก็สู้ว่าไม่ควรจะมีอีก

คุณเคยพูดว่า “กันตนาคือผู้มาก่อนกาล” ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ

จริงๆ พูดมาตลอดว่าเป็นคนไม่ชอบ-ไม่เคยเป็นผู้ตามใคร เป็นผู้นำมาตั้งแต่เด็กในทุกเรื่อง เพราะว่าถูกหล่อหลอมให้เป็นแบบนั้น มันก็เลยเป็นธรรมชาติของเรามากกว่า ไม่ได้มีเหตุผลที่จะเหนือไปกว่านั้น บางทีก็จะนำไปกว่านิดหน่อย (หัวเราะ) บางทีก็ไม่ดี ก็มีข้อเสียเหมือนกัน โชคดีที่เราเป็นรุ่นที่สาม รุ่นที่สองเขาเลยดึงเราไว้เยอะพอสมควร ไม่งั้นเราจะไปไกลกว่านี้

แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางคอนเทนต์อาจไม่ได้เป็นดั่งที่คาดการณ์ไว้ คุณมีวิธีฟื้นฟูจิตใจตัวเองยังไงบ้าง

ไม่มี ไม่เคยผ่านจุดนั้นเลย เพราะว่าทำเต็มที่ทุกอย่าง พอทำเต็มที่ทุกอย่างปุ๊บ มันรู้แล้วว่าเต็มที่แล้ว แต่ว่าไม่ได้อย่างใจสักอย่าง คือว่าไปยืนอยู่หน้ากอง “อันนี้ต้องอย่างนี้!” “มันต้องเพิ่มตรงนี้อีก!” ต้องอย่างนี้ อันนี้ไม่หาย คือ Perfectionist อะเป็น แต่ที่ว่า ออกไปแล้วไม่ดัง ไม่ดีเท่าเดิม พี่เต้ไม่เป็น พี่เต้เห็นหมดมาตั้งแต่เด็กแล้ว คือวงจรที่แบบเกิดแก่เจ็บตาย เกิดดังและดับ ดับแล้วเกิดใหม่ เกิดแล้วดับใหม่ คือรู้หมดแล้ว ไม่ยึดติด 

อย่างเช่นว่าที่ Gossip Girl Thailand ต้องรื้อแล้วถ่ายใหม่ทั้งหมด มันแข่งกับเวลามากเลยนะ

ใช่ เพราะว่าพอทำปุ๊บแล้ว มันรู้ตัวก่อนว่าอย่าเอาออกเลย รีบเอากลับมาแล้วทำใหม่หมดดีกว่า ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นตัวเองไม่กดดัน เพราะบอกแล้วว่าอย่า (หัวเราะ) เตือนแล้ว เตือนแล้วไม่ฟังเราเอง แต่ว่าก็ชิวๆ สุดท้ายน้องชาย (เต๊นท์-กัลป์ กัลป์จาฤก) ก็มาช่วย มาช่วยทำ ก็เร่งทำกัน นดีกว่าต้นฉบับอะ แต่เพียงแต่ว่ามันทำได้แค่ซีซั่นเดียว น่าเสียดาย เงินทุนมันมาได้แค่นั้น

จุดเริ่มต้นของโปรเจคต์ Face2Face Thailand คืออะไร

ช่วงที่ไปออกกำลังกายก็เจอมาดามนุ้ย (ณัชชา กิจจริยภูมิ) นี่แหละ เพราะว่ามีเทรนเนอร์คนเดียวกัน แล้วเทรนเนอร์ก็เห็นเราสองคนมีนิสัยคล้ายๆ กันเลยแนะนำให้รู้จักกัน ก็โทรคุยกันประสาคนที่สนใจการออกกำลังกายเหมือนกัน แล้วพี่เต้ก็ไปปรึกษาเรื่องปลูกผม เพราะทราบว่าที่นี่ (Vdesign Clinic) ปลูกผมดีที่สุด เราก็ไม่รอให้อายุเยอะกว่านี้แล้วค่อยทำ พี่เต้เป็นคนทำเลย คืออยากให้ตัวเองแข็งแรงที่สุด แล้วเมนเทนทุกๆ ขั้นตอนไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอกับน้องนุ้ยก็บอก “พี่เต้ นุ้ยมีงบเท่านี้ ทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรกันดี” “พี่เต้อยากทำอะไร ทำเลย” เราก็ เฮ้ย เอาจริงดิ ทำเลย ก็ ร่างตัวเองก็ทำ เสร็จแล้วเราก็เหลือ เราก็ (คิด) ไม่ได้เป็นคนแบบ (คิด) เก็บเอาไว้ทำคนเดียวนะ (หัวเราะ) เราก็เผื่อแผ่ดีกว่า เราก็เอามาทำรายการนี้เพื่อที่จะบอกว่าความสวยจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป 

การแชร์เรื่องนวัตกรรมเนี่ย มันเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย ต่อไปนี้ความสวยมันไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายด้วย การดูดีเนี่ย มันเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญ แล้วก็เป็นเรื่องที่ควรจะให้ความสำคัญตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่ด้วย คือรีบสวยตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้นานเกินไปก็จะดี แล้วรายการนี้ก็เลยเป็นที่มาของการที่เราจะบอกว่า ความสวยเนี่ย มันเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว มันเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ แต่เราจะทำยังไงให้คนเชื่อ แล้วคนดูแล้วสนุก เพราะว่ายังไม่เคยมีรายการประเภทนี้มาก่อน แล้วมันไม่ใช่รายการเรียลลิตี้แบบแข่งขัน เพราะฉะนั้นเราก็เลยคิดว่า เซเลบริตี้ที่มาดามนุ้ยดูแลอยู่มีใครบ้าง หรือที่พี่เต้รู้จักแล้วดูแลตัวเองอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว แล้วเชื่อใจกัน เราก็มาชวนเขามาทำโปรเจกต์นี้ เป็นโปรเจกต์เล็กๆ คืออยากทำอะไร บอก แต่มีข้อแม้คือ ต้องออกทีวีให้ด้วยนะ (หัวเราะ) ก็เป็นโปรเจกต์นี้ขึ้นมา ได้มา 8 ตอน 8 เซเลบริตี้ ที่มาเป็นเดบิวต์ซีซั่นแรกของ Face2Face Thailand ในวันนี้ 

ในวันที่คุณเจอมาดามนุ้ย คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้มาดามนุ้ยเชื่อใจจนได้ร่วมงานกัน และกลายเป็น Face2Face Thailand

อยากให้ไปถามมาดามนุ้ย (หัวเราะ) เพราะพี่เต้ก็ยังประทับใจมาดามนุ้ยอยู่ทุกวันนี้ว่า ทำไมเขาถึงได้ประทับใจในตัวพี่เต้มากในวันนี้นะ เพราะเหมือนเขาติดตามบริษัทกันตนา และผลงานของพี่เต้มาโดยตลอดอยู่แล้ว ว่ามีความน่าเชื่อถือ แล้วก็มีสีสัน แล้วก็เหมาะกับการถ่ายทอดเรื่องที่เขาอยากจะเล่า ก็คือเรื่องความสวยงาม คืออยากจะถ่ายทอดให้มันสนุกด้วย เขาก็เลยมาเจอแบบขั้วเดียวกัน คุยปุ๊บ เขาเป็นคนใจถึงด้วย แล้วก็เชื่อถือเครดิตของบริษัทกันตนา ซึ่งมีมา 70 ปี อยู่แล้วด้วย

ภาพรวมของ Face2Face Thailand ที่นอกจากจะได้เรียนรู้เรื่องของเซเลบริตี้ผู้ร่วมรายการแล้ว รายการจะมีอะไรให้ชมอีกบ้าง

คืออย่างนึงเลย เราจะเห็นว่าเซเลบริตี้ทุกคนน่ะสวยอยู่แล้ว ทำไมต้องทำอีก หรือว่าทำจนเราไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอม แต่จริงๆ เราอยากจะบอกว่า ทุกๆ คน มีปมด้อย ทุกๆ คน มองตัวเองไม่เหมือนกับที่คนอื่นมองตัวเองหรอก คนเรามองตัวเองปุ๊บ มันจะมีจุดที่มองแล้วรู้สึกว่า ตรงนี้ฉันไม่ชอบเลย ตรงนี้คนไม่ชอบเลย แล้วอยากจะแก้ แล้วสมัยนี้มันมีวิธีแก้โดยเร็ว แล้วไม่เจ็บ แล้วก็แก้ได้ถูกจุด แก้แล้วทำงานได้เลย แก้แล้วก็รวยขึ้นด้วย สวยขึ้นด้วย ปังขึ้นด้วย ทำไมจะไม่ทำ นวัตกรรมเป็นเรื่องใกล้ตัวด้วยแล้วเนี่ย ทำไมจะไม่ทำ เราถึงได้ Research มา หาข้อมูลมาให้ แล้วเราเอามาให้ดูว่า นี่ไง เขาทำกันแบบนี้

อยากให้เล่าถึงการทำร่วมกับโรงพยาบาลวิภาวดีในรายการนี้

ดีมาก เข้ากันได้ง่ายมาก เหมือนพี่น้องกันเลย ทำงานแบบราบรื่นทุกอย่าง เป็นไปได้ 100% เต็ม อาจจะมีซีซั่นสองต่อไป

จากแท็กไลน์ “ความสวยเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้” ถ้าเชื่อมโยงกับการดูแลตัวเอง ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ

เพราะว่าถ้า 60 แล้ว คุณเต้ดูแลตัวเองไม่ได้ คุณเต้จะไม่ออกมาให้ใครเห็นอีกต่อไป (หัวเราะ) คือเราเป็นคนเกิดในวงการบันเทิงแหละ เราดูในกล้อง เรารู้ว่ามันไม่ไหวแล้วน่ะ อย่าให้ออกมาอีกเลย เราก็เลยเริ่มดูแลตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ คือขอ Staffed ไว้ที่ตอนนี้ให้ได้เร็วที่สุด เพราะว่าเราอยากมีความสุขกับการให้ชีวิต อยากแข็งแรง แล้วอยากมีความสุขในบั้นปลายของชีวิต ให้เกษียณแล้ว เล่นสกีได้ แล้วมีแฟนเด็กได้ ไม่อายเขาอะ (หัวเราะ)

พูดถึงการเติบโตตั้งแต่เด็กจนโตมาอายุ 40 คุณรู้สึกมั้ยว่าตัวเองเติบโตขึ้นจากวันนั้นถึงวันนี้

รู้สึกมาก ก็คือแก่ขึ้นน่ะ แต่ว่ามองโลกเปลี่ยนไป แล้วก็รู้สึกว่ารักประเทศไทยมากขึ้น รักครอบครัวตัวเองมากขึ้น แล้วก็รักหน้าที่ตัวเองมากขึ้น ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่เอาเลย ตอนนี้กลับมาเข้าใจว่าอะไรคืออะไร แล้วก็รู้แล้วว่า นี่แหละคือสิ่งที่เราเกิดมาเพื่อมัน

มีบทเรียนอะไรที่จำได้จากครอบครัวบ้าง ในการบริหารกันตนาในยุคใหม่แล้วเอามาปรับใช้

อดทน (หัวเราะ) เก็บตังค์ให้ได้ก่อนแล้วค่อยยิ้ม (หัวเราะ) อย่าเพิ่งคิดว่าทุกอย่างเป็นชัยชนะ จนกว่าจะสำเร็จถึงขั้นขีดสูงสุด คือเก็บตังค์ให้ได้ครบทุกสตางค์ก่อน แล้วค่อยยินดีกับมัน แล้วก็อดทนและซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์กับลูกค้า ลูกค้ากับของเราที่ดำเนินธุรกิจมาด้วยกัน แต่ว่าที่สำคัญเลยคือว่า อดทน และไม่มีเรื่องกับใคร พยายามไม่มีเรื่องกับใคร ไม่โกรธ แต่เป็นคนเหวี่ยงตลอดเวลา (หัวเราะ) แต่ไม่โกรธกับใคร พยายามไม่มีศัตรู ไม่โกรธใคร

ในช่วงที่เบรคไปพักใหญ่ๆ แล้วกับมาลุยงานเต็มที่ บทเรียนหรือสิ่งที่เรียนรู้จักการพักคืออะไรบ้าง 

เรียนรู้ว่ารักตัวเอง และสามารถรักคนอื่นได้มากขึ้น มันเป็นธรรมชาติเลย เรานึกว่าเรามีความรักให้คนอื่นอยู่ตลอดอยู่แล้วเนี่ยมาโดยตลอด เรานึกว่าเรามีแต่ให้ๆๆๆ แต่ที่แท้จริงๆ แล้วเนี่ย เราให้โดยที่เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราให้นั้นน่ะ มันมีค่ามากน้อยแค่ไหน พอเรารักตัวเองแล้วปุ๊บ เรารู้แล้วว่า อ๋อ เฮ้ย มันมีค่ามากกว่านั้น บางทีเราควรจะเก็บไว้บ้าง แล้วให้เท่าที่ให้ได้กับคนที่เราควรจะให้ ไม่ใช่ให้ไปหมด ก็รักตัวเองแล้วดีนะ รักตัวเองแล้วจะได้เผื่อพอมีแฟนคราวหน้า จะได้ไม่เจ๊ง (หัวเราะ)

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า