fbpx

“ไม่ต้องมาบอกว่าลงแล้วจะชนะ ผมไม่ได้อ่อนทางการเมืองขนาดนั้น” – ศิธา ทิวารี

หลังการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจบลงได้ 2 สัปดาห์ เราเดินทางไปหา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตผู้สมัครจากพรรคไทยสร้างไทย ที่หลังจากจบการเลือกตั้ง ก็ได้รับฉายาจากโซเชียลว่า ‘แดดดี้ศิธา’ ที่แม้ไม่ชนะตำแหน่งผู้ว่าฯ แต่ก็ชนะใจคนรุ่นใหม่ไปเต็มๆ จากเดิมทีเมื่อ 2-3 เดือนก่อนคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักเขา ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่คนรุ่นใหม่อยากจะรู้จัก

ศิธา ทิวารี หรือหากใครสนิทกับเขาก็จะเรียกอย่างเป็นกันเองว่า ‘พี่ปุ่น’ แต่งตัวในวันนี้ด้วยเสื้อยืดกีฬาสีดำ มาดทะมัดทะแมง บรรยากาศสบายๆ สีหน้าผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่งแต่ยังเปี่ยมไปด้วยความเข็มแข็ง  นี่คืออีกโหมดหนึ่งของเขาที่เราไม่เคยเห็นเลยในเวทีดีเบตตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา วันนี้เราขอพักเรื่องหนักๆ อย่างนโยบาย หรือปัญหาเชิงโครงสร้างไว้

แต่สิ่งที่เราอยากรู้ก็คือ ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไร และเขาได้เรียนรู้อะไรจากการเดินทางในแต่ละช่วงบ้าง

อยากเป็นนักบิน

ตอนนั้นบ้านอยู่ซอยกิ่งเพชร น่าจะสัก 6-7 ขวบ แล้วช่วงวันเด็ก ในงานสวนสนาม มันจะมีเครื่องบินมาบิน เป็นเครื่องบินแบบที่เราเห็นกันในหนัง บินกันมา 5-6 ลำแล้วก็ปล่อยควันเป็นสีธงชาติ เฮ้ย มันมีแบบนี้จริงๆ ด้วยหรอ เราเคยเห็นแค่จากในหนังหรือการ์ตูน แล้วจากนั้นก็เข้าโรงเรียนเซนต์ดอมินิก เป็นโรงเรียนชายล้วน เด็กมันก็เล่นโมเดลเครื่องบินกัน เราก็ชอบ มันจะมีเพื่อนคนนึงที่เป็นเซียนโมเดลเครื่องบิน พวก Tamiya เต็มบ้านเลย คือเขามีเป็นร้อยลำเลย แขวนเต็มบ้าน ผมเองน่าจะมีแค่ 3 ลำ ก็ไปเรียนรู้กับเพื่อนคนนี้ในการต่อโมเดล แล้วมันฝังใจมาตั้งแต่ว่าอยากเป็นกัปตัน อยากขับเครื่องบิน

พอโตขึ้นมารับรู้ว่ามันมีโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายเรืออากาศ ก็อยากเข้า เลยไปกวดวิชาที่โรงเรียนอโนชา แถวถนนหลานหลวง ตอนนั้นดังมาก เด็กเข้าเตรียมทหารได้เยอะมาก แต่ก็เฮี๊ยบมาก คือเริ่มเรียนกันตั้งแต่ 5-6 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่มทุกวันก็ต้องนั่งรถเมล์ไปเรียนทุกวัน แล้วเข้าเรียนช้านี่ตีด้วย ขาดเรียนก็ต้องแจ้ง เหมือนโรงเรียนประจำเลย 

ปรากฏว่าปีนั้นโรงเรียนเตรียมทหารยกเลิก เปลี่ยนระบบคือไปรับคนที่จบมส.5 เราเรียนกวดวิชาจบแล้วก็ยังเข้าไม่ได้ ก็เลยไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดม ก็เลยได้เรียนทั้งเตรียมอุดมและโรงเรียนเตรียมทหารเลย ก็เลยไปเรียนเตรียมอุดมอยู่ 2 ปี เรียน ตอนนั้นผู้ว่าฯ ชัชชาติ (ชัชชาติ สิทธิพันธุ์) ก็เข้ามาด้วยหลังผมปีนึง ก็เห็นหน้ากัน จำได้เพราะเป็นฝาแฝด (หัวเราะ) แล้วก็มี จิ๊บ (วสุ แสงสิงแก้ว) ที่เป็นนักร้องเพลง รด.เด็กไทยหัวเกรียน เขาเข้ามาก็โดนทักว่าหน้าเหมือนปุ่นเลย ก็จะมีผมที่โดนทักว่าหน้าเหมือนจิ๊บ ส่วนฝั่งชัชชาติก็หน้าเหมือนกับอีกคน เพราะเป็นฝาแฝด

สู่รั้วโรงเรียนทหาร

โห ชีวิตเปลี่ยนเลย ไม่เคยรู้เลยว่าพอเข้าไป มันจะมีระบบซ่อม ระบบรุ่นพี่ลงโทษ กูมาเรียนทำไมวะเนี่ย สมัยนั้นโซเชียลมันยังไม่มี ก็นึกว่าเข้าไปเรียนมันจะเท่ๆ แต่กว่าจะฝึกให้เป็นระเบียบได้นี่ยาก ตอนผู้ปกครองมาส่งหน้าประตู  ตอนนั้นโรงเรียนเตรียมทหารยังตั้งอยู่ตรงพระราม 4 พอผ่านประตูไป ผู้ปกครองยังเกาะรั้วอยู่เลย เขาจะให้เราใส่ของไว้ในถุงทะเล แล้วก็สั่งหมอบ ให้คลานเข้าโรงเรียน เละตุ้มเป๊ะตั้งแต่วันแรกเลย โดนวิดพื้นบ้างอะไรบ้าง ปวดทั้งตัวเลย ไม่เคยรู้มาก่อน แต่มันจะมีศัพท์ทหารว่า “มานะชาย” คือถึงเวลาก็ปล่อยไหลไป คือเดือนแรกไม่ได้กลับบ้านเลย ก็นึกว่าได้กลับทุกอาทิตย์ ชีวิตก็หัวเกรียนสามด้าน ตี 5 ต้องตื่น ตอนเช้าและก่อนนอนต้องวิ่ง บ้างคนก็หนี ปีนรั้วออก ไม่กลับมา ก็เหมือนๆ กับหนีทหารแหละ พอ 1 เดือนกลับบ้านมันเหมือนเป็นคนละคนเลย ใครเคยอ้วนก็ผอม หุ่นดี พูดจาเป็นคนละคนเลย

เตรียมทะยานฟ้า

หลังจากจบเตรียมทหารก็ไปต่อโรงเรียนนายเรืออากาศ เขาก็จะปลูกฝังเรื่องการบิน ทำให้เราเข้าใจเรื่องการบินมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงปี 4-5 ก็จะให้ฝึกเครื่องบินร่อน ตอนนั้น Top Gun เข้า ซึ่งเป็นช่วงปีที่เริ่มได้บินแล้ว กำลังพีคเลย ผมดูไป 7 รอบ มันตื่นเต้นมาก เวลามีคนอยากจะไปดู เราก็พาไป แล้วเราก็ดูซ้ำๆ  นี่ Top Gun ภาคสองมานี่ผมก็ดูไปสอง 2 รอบแล้ว พอดูหนังแล้วเราก็รู้สึกว่ายังไงก็ต้องเป็น Fighter ให้ได้ เป็นจังหวะที่เครื่องบิน F-16 เข้ามาเมืองไทยพอดี ซึ่งมันเป็นความใฝ่ฝันของเด็กที่มันใกล้เกินเอื้อมมากๆ เขาจะให้พวกนักบินอาวุโสที่ประสบการณ์การบินสูงๆ ขับ แต่ผมอยากบินมาก ตอนไปโรงเรียนการบินก็มีการสัมภาษณ์ เขาก็ถามว่าอยากบินอะไร คนอื่นๆ ก็บอกว่าอยากบินอะไรก็ได้ แต่ผมบอกว่าอยากบิน F-16 คนสัมภาษณ์เขาก็แบบ ไอ้นี่หมอกล้าเว้ย เพราะคนอื่นไม่มีใครกล้าพูดเลย 

ตอนสอบที่สถาบันเวชศาสตร์การบินกองทัพอากาศ มันจะมีการทดสอบ Aptitude test คือดูความสมบูรณ์ของคน คือคุณเป็นจีเนียสก็อาจสอบตกได้นะ ความฉลาดมันก็เรื่องนึง แต่ว่าความ Realistic ความ Logic ความสมเหตุสมผล และการไม่หลอกตัวเองมันเป็นคะแนนหมด ข้อสอบ 600 ข้อให้เราทำภายในชั่วโมงครึ่ง ถ้าเราอ่านแบบคนปกติทำ เราจะทำได้สัก 100 กว่าข้อก็หมดเวลาแล้ว เพราะมันถามเยอะมาก แล้วถามแบบ “อยู่บ้านฉันชอบ…” แล้วให้ดูว่าเราตอบว่าอะไร มันก็จะมีให้เลือกตอบดูหนัง นอน อยู่เฉยๆ หรือ “ฉันรู้สึก… กับพ่อแม่” คำถามง่ายๆ เลย แต่พอถามไปเรื่อยๆ มันจะเริ่มมีคำถามใกล้เคียงแบบเดิมแล้ว “อยู่บ้านฉันชอบ…” เราก็ไม่เข้าใจ แต่ต้องตอบไปตามที่เราคิด ซึ่งถ้าเกิดเราไม่ Real เราจะแบบ เฮ้ย กูตอบอะไรไป แต่จะไปเปิดดูมันก็ไม่ทันแล้วไง แล้วพอตอบไม่เหมือนกันก็กลายเป็นว่าคุณมีความขัดแย้งในตัวเอง เขาก็จะหักคะแนนไปเรื่อยๆ เท่าที่พอทราบคือประมาณว่าเขาจะเอาคำตอบข้อ 1 มาสัมพันธ์กับข้อ 120 หรือข้อ 360 แล้วเราจะตอบยังไงให้อยู่ใน Pattern ของคนปกติ ลึกลับมาก คนก็น่าจะทำได้ 200-300 ข้อ เขาก็จะดูว่าคุณทำได้ในเกณฑ์ที่กำหนดไหม ความคิดคุณพรั่งพรูออกมาตามธรรมชาติไหม หรือคุณเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ หมกหมุ่นไหม

แล้วมันจะมีทดสอบแยกประสาท เช่น ถามว่า 1+1 ได้เท่าไร ขณะที่เราตอบเขาก็จะเคาะโต๊ะไปเรื่อย แล้วก็ถามไปเรื่อย พ่อชื่ออะไร นามสกุลอะไร ไหนสะกดชื่อสิ สะกดเป็นภาษาอังกฤษ เวลาเราคิดเขาก็จะเคาะ ต๊อก ต๊อก ต๊อก ให้เราแยกประสาท เอ้า ไหนลองสะกดนามสกุลตัวเองจากหลังมาหน้าสิ ซึ่งโคตรยาก แล้วตรวจร่างกายนี่ละเอียดมาก ยิ่งกว่าสมัครนางงาม ตรวจทุกส่วน ดูหมดว่ามีอะไรผิดปกติ แล้วมันสอบทั้งวันนะ กลับบ้านนี่คือสลบเลย

พอเข้าไปเป็นนักบิน การบินต่างๆ มันจะไม่มีอะไรที่ยากเกิน คือง่ายๆ เล่นเกมยังยากกว่า เล่นเกมมันยังพลาดตายได้ แต่เครื่องบินคนต้องมั่นใจว่าทำแบบนี้แล้วจะไม่พลาดไม่ตาย นอกจากว่าจะไปทำภารกิจ ใช้อาวุธ สู้ข้าศึก อันนี้ถือว่าเป็นการรบ มันก็อีกแบบ การบินมันเลยสอนให้ต้อง Realistic อยู่กับโลกของความเป็นจริง ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองเนี่ยอันตรายต่อชีวิต หรือคิดแบบ Conservative มากไปภารกิจก็ไม่สำเร็จ มันก็ต้องบาลานซ์ 

และมันสอนอีกว่าถ้าไปแล้วเราไม่ได้กลับมา แต่ถ้าทำแล้วมันคุ้มค่าสำหรับภารกิจของเรา เราต้องทำ ถ้าให้เราไปทิ้งระเบิดแล้วเรามัวคิดว่ามันเสี่ยงมากเลย เหมือนใน Top Gun เลย ผมไปแล้วจะรอดกลับมาหรอ ตอนไปเขาก็จะบอกเลยว่าถ้าไป 10 ลำ โอกาสรอดกลับมาคือ 2-3 ลำ ทุกคนก็ต้องไป และพยายามทำให้ตัวเองเป็น 2-3 ลำที่รอดกลับมา มันต้องเอาวัตถุประสงค์และภารกิจเป็นตัวตั้ง แต่ถ้าเอาภารกิจเป็นตัวตั้งและตาย แต่สิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียเราก็ไม่ทำ และสมมติมีสภาพอากาศไม่ดี แล้วด้วยความมานะชายของทหาร ก็จะพูดแบบว่า เฮ้ย กลัวเหรอ นักบินก็จะ เออ กลัว เพราะถ้าเราตาย เราไม่ได้ตายคนเดียว คนข้างหลังเดือดร้อน ทรัพยากรเป็นร้อยเป็นพันล้านต้องเสียหาย เพราะฉะนั้นนักบินจะไม่ทำอะไรที่รู้สึกว่าทำไปแล้วไร้ประโยชน์ 

จากนักบิน สู่นักแสดง?

คือ แซม (ยุรนันท์ ภมรมนตรี) เขามาแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องผม ผมเป็นพ่อสื่อ และแซมเล่นละครเรื่องหนึ่ง (ความรักสีดำ, 2538) เขาเป็นพระเอก และจินตหรา (จินตหรา สุขพัฒน์) เป็นนางเอก ในบทก็จะมีนักบินไปรบแล้วสูญหายในสงครามเวียดนาม แล้วก็เป็นแฟนกับจินตหรามาก่อน จินตราก็ตั้งท้องลูก แต่พ่อแม่ก็กีดกั้น แล้วพอแฟนเก่าหายสาบสูญ แซมเขาก็รับบทเป็นกึ่งๆ 18 มงกุฎ ฟีลแบบแบดบอยแต่มารักจริง แล้วแซมก็รับลูกคนนี้มาเลี้ยงเหมือนเป็นลูกตัวเอง แล้วไอ้คนที่ต้องมาเล่นเป็นแฟนเก่าจินตหรา เขาก็ต้องหานักแสดง แต่พอจะเอาดาราทั่วไปมามีลูกกับจินตราแล้วแซมเอาไปเลี้ยง มันก็ไม่ได้ เอาเป็นดารารับเชิญดีกว่า เพราะถ้าเป็นดาราเบอร์โตๆ แล้วให้บทนิดเดียว มันก็ไม่มีใครมาเล่น ไม่สมศักดิ์ศรี แล้วแซมก็บอกว่า ไม่ต้องไปหาเลย แล้วเป็นนักบินจริงๆ ด้วย พอทีมงานเข้าเห็นตัวผมปุ๊ป เขาก็บอก เออ นี่แหละใช่เลยๆ 

ถ้าถามว่าเรียนรู้อะไรจากการเป็นนักแสดงบ้าง ไม่ได้เรียนรู้เลยครับ ง่ายๆ เลย แค่เดินมาเปิดประตูผมใช้ไป 20 เทคแล้ว มันทำไม่เป็น นักแสดงเนี่ยเขาถูกฝึกมาเลย 1 2 3 แอคชั่น เป็นอีกคนไปเลย แต่คนที่เป็นทหารมาก่อน  มันจะมีการฝึกในวิชา ‘การบรรยายสรุปทางทหาร’ เวลาขึ้นไปพูดมันต้องเป็นการบรรยายสรุป เป็นการแนะแนว ไม่ให้ยิ้ม ยิ้มไม่ได้ ใครยิ้มเขาจะทำโทษเลย ต้องจริงจัง แต่ซึ่งผมก็จะติดตรงนี้มาก จริงๆ ตอนเป็นโฆษกรัฐบาลเหมือนกัน เวลาแถลงข่าวก็จะคนก็จะมองว่าดุ ซึ่งจริงๆ ไม่ได้ดุไง พอตอนเล่นละครก็ยากมาก เมื่อก่อนแค่ถ่ายรูป ให้ยิ้มก็ไม่เป็นแล้ว จะให้ยิ้มกับใคร อ่อ ยิ้มกับกล้อง แล้วกล้องมันเป็นใคร แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเข้าใจ เริ่มรู้แล้ว 

นายทหารประชาธิปไตย

คาแรคเตอร์ทหารคือต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา สั่งให้ไปตายคือต้องไป ยิ่งทหารบกจะยิ่งหนัก แต่ทหารอากาศยังเถียงกันได้ สามารถใช้เหตุใช้ผลคุยกันได้ จะอยู่ในโหมดของการ Discuss และการระดมสมอง เฉพาะนักบินก็แทบจะเป็นแบบนี้ 100% จะไม่มีการมาสั่งว่าต้องทำนู่นทำนี่ แต่ถ้าเห็นพ้องต้องกันแล้ว และมอบหมายให้ใครเป็นหัวหน้าหมู่ ทุกคนจะให้ความเคารพและยอมทำตาม ซึ่งมันเคยมีเครื่องบินบินเกาะหมู่กันไป 3 ลำ แล้วชนเขาก็ชนพร้อมกันทั้ง 3 ลำ เป็นจุดเลยนะ 3 จุดยังเห็นอยู่เลยในปัจจุบัน ตรงภูเขาที่โคราช ตอนนั้นมีปัญหาสภาพอากาศ ซึ่งจะมีลำนึงเป็นหัวหน้าหมู่ ซึ่งอีก 2 ลำก็ตามหัวหน้าหมู่ แล้วพอเข้าใกล้เมฆนี่ยิ่งต้องเกาะกันใกล้มากๆ ปีกนี่จะขี่กันเลย แต่ด้วยความผิดพลาดก็เลยเกิดเหตุขึ้น

แต่การเป็นนักบินมันสอนให้เรามีวินัย รู้จักคิด รู้จักพูดอะไรที่มันสมเหตุสมผล ซึ่งวัฒนธรรมแบบนี้ก็ส่งผลทำให้ทหารอากาศเป็นมีความเป็นทหารประชาธิปไตย อย่างตอนมีรัฐประหาร ทหารอากาศก็ไม่พอใจหรอก แต่ก็มีบางส่วนต้องทำตามคำสั่ง รัฐประหารในอดีตเวลาเกิด มันไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจหมู่ทหารเลย แต่เป็นการตัดสินใจของคนคนเดียว จะชั่ววูบหรือวางแผนมาแล้วก็ไม่รู้ แต่มันไม่ใช่ว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน

ก้าวเข้าสู่สนามการเมือง

แต่ก่อนผมเป็นคนที่แทบจะไม่สนใจการเมืองเลย ตอนเป็นนักบินก็แทบไม่ได้อ่านข่าวการเมือง ก็มองดูแค่ข่าวพาดหัวอะไรที่ดราม่า รู้แค่ที่คนทั่วไปควรจะรู้ แล้วตอนปี 2543 ผมได้ทุนเรียนที่ยุโรป มันก็ไปได้ทุกที่ วันนึงก็ไปที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอากาศที่อังกฤษ แล้วเขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับนายกทักษิณ ชินวัตร ตอนนั้นนายกทักษิณไปงานที่คุณพลอยไพลินไปเล่นคอนเสิร์ต ก็มีทูลกระหม่อมฯ เสด็จ คนไทยก็จะตามไปดูกันเยอะ ตอนนั้นนายกทักษิณแกกำลังตั้งพรรคไทยรักไทย แกก็ไปทานข้าวบ้านเพื่อน พอจัดโต๊ะเสร็จ มันก็ว่างที่นึง ตอนนั้นในหมู่นักเรียนไทยเราอาวุโสสุด เขาก็เลยบอกให้เราไปนั่งทานด้วยกัน ก็นั่งเกร็งๆ แกก็ไม่ได้สนใจเรานะ แกก็คุยกันไปกับเพื่อนแก  ก็นั่งฟังแกพูดไป 

ก็นั่งฟังไปสัก 3 ชั่วโมงมั้ง แล้วแต่ละเรื่องที่แกพูดเราก็รู้สึกว่า เฮ้ย มีคนคิดขนาดนี้เลยหรอ แกรอบรู้มาก พูดเรื่องเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต อีกหน่อยประเทศและโลกนี้ต้องเป็นยังไง แล้วแกพูดสิ่งหนึ่งที่เราจำไม่มีวันลืม แกพูดว่า แบบเรียนของเด็กไทยเนี่ย ให้ท่องจำว่านักบินอวกาศ 3 แรกของโลกคือใคร ไปดวงจันทร์วันที่เท่าไร แล้วเด็กไทยก็จำไปทำข้อสอบ ถ้าเด็กไทยมัวแต่ทำแบบนี้จะไปแข่งขันกับใครที่ไหนบนโลกได้ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในอนาคต คุณสามารถค้นหามันได้แค่กดจอทีเดียวก็รู้แล้ว เป็นประโยคธรรมดาๆ แต่ 23 ปีที่แล้วมันไม่มีคนคิดขนาดนี้ ในเวลานั้นคอมพิวเตอร์มันยังเป็น 386, 486 อยู่เลย เครื่องใหญ่ๆ ราคาสองสามแสน หน่วยความจำยังเป็นหน่วย KB อยู่เลย เพราะงั้นตั้งแต่วันนี้เลย เราต้องสอนให้เด็กไทยรู้ว่า การลงทุนส่งเครื่องบินอวกาศไปนอกโลกเนี่ย ใช้เงินๆ เป็นหมื่นๆ เป็นแสนล้าน ทำไปแล้วมันเกิดประโยชน์อะไรต่อโลกเราบ้าง จะไปศึกษาสภาพอากาศ ไปศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกมีไหม ซึ่งเดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องปกติมากนะ แต่สมัยนั้นเราวิชาการยังไม่ขนาดนี้ เหมือนลุงตู่ยังให้อ่านจินดามณีอยู่

ผมกลับไปนอนไม่หลับเลย นอนคิด เปรียบเทียบกับโรงเรียนทหาร เราเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารมา เขาจะสอนว่าประเทศจะเจริญประกอบด้วย กำลังอำนาจแห่งชาติ สังคม จิตวิทยา การศึกษา เทคโนโลยี การทหาร และเศรษฐกิจรวมกัน เราก็เลยคิดว่าเรายังมีความรู้ความสามารถ ถ้าเราเอาไปทำอย่างอื่นได้ มันน่าจะท้าทายและทำประโยชน์ได้มากกว่า ตอนนั้นก็นาวาอากาศตรีแล้ว เตรียมจะเป็นนาวาอากาศโท ซึ่งนาวาอากาศโทมันจะเป็นนักบินแค่ 1-2 คนเท่านั้นเอง เป็นผู้บังคับฝูงบิน คนอื่นๆ ก็จะย้ายไปทำงานนั่งโต๊ะ เราได้บินอย่างมากก็อีกปีสองปี ถ้าเป็นผู้บังคับฝูงก็บินต่ออีกสองสามปี หมดจากนี้ก็ไม่ได้บินแล้ว งั้นก็ลองไปทำงานการเมืองดูดีกว่าไหม น่าจะท้าทายกว่า พอกลับมาเมืองไทย ผมเดินไปสมัครที่พรรคไทยรักไทย เกาะเคาน์เตอร์สมัครเลย แล้วก็เจอพี่จิ้น สามีคุณหญิงสุดารัตน์ เขาก็บอกมาเลย ไม่ว่าทำอาชีพไหนก็มาทำงานการเมืองได้ ตอนนั้นพรรคไทยรักไทยเป็นพรรคสร้างใหม่ แต่ลงครั้งแรกได้ 240 จาก 500 ที่นั่ง พอสมัยสองก็ 376 เสียง สส.พรรคเดียวได้ 75% เสียง ถล่มทลายมาก นั่นก็คือจุดเปลี่ยนเลย โดยจุดประกายจากนายกทักษิณ

ชีวิตโฆษกรัฐบาล

ผมอยู่แต่ในระบบราชการและระบบทหาร พอเข้ามาเป็นนักการเมืองก็งงเป็นไก่ตาแตก และพอดีตอนนั้นมีวิกฤตหลายเรื่องที่ทำให้เราต้องออกไปตอบโต้ เราเป็น สส.ฝ่ายรัฐบาลจะได้อภิปรายน้อยกว่าฝ่ายค้านในสภา พอเข้าไปผมได้เป็นเลขารัฐมนตรีกลาโหม ปกติเวลาเป็น สส.สมัยแรกจะไม่ได้เป็นเลขา แต่ตอนเข้าไปในพรรคมีทหารอยู่ 3 คน คนหนึ่งเป็นหมอทหาร อีกคนคือพันเอก อภิวันท์ วิริยะชัย ซึ่งท่านเสียชีวิตไปแล้วนะครับ แล้วก็มีตัวผม ตอนนั้นกลาโหมมีรัฐมนตรีว่าการฯ คือ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ และมีรัฐมนตรีช่วยคือ พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา ท่านก็ต้องการเลขาหนึ่งคน และขอเป็นทหารนะ ซึ่งคนหนึ่งเป็นหมอมันก็จะเป็นอีกสายหนึ่ง ส่วนพันเอก อภิวันท์เป็นทหารบกด้วยก็จะตรงสายกว่า แต่ท่านอยากทำงานกับคนหนุ่มๆ ก็เลยเรียกผมไปพบ ก็ได้ไปเป็นเลขาให้ท่าน ในสมัยแรกผมก็เป็นเลขารัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมไป

แล้วตอนนั้นมีเหตุการณ์เครื่องบินการบินไทยระเบิด ที่มีการบอกว่าเป็นการวางระเบิดนายกทักษิณเนี่ย ก็ต้องหาคนไปชี้แจง แล้วทีนี้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเครื่องบิน ซึ่งเราก็เป็นนักบิน เขาก็เลยให้ออกไปพูดเรื่องนี้ ไปออกรายการคุณสรยุทธ์ ตอนนั้นเขาทำรายการ ‘ถึงลูกถึงคน’ พอไปออกแล้ว คนฟังก็รู้สึกว่า เฮ้ย คนนี้พูดจาใช้ได้ แล้วก็มีออกไปพูดเรื่องนู่นเรื่องนี้บ้าง คนในพรรคก็เห็น แล้วออกไป ป๊าเหนาะ (เสนาะ เทียนทอง) แกจัดเวที แล้วแกก็เรียก เฮ้ย คนที่ไปออกรายการเมื่อวานอยู่ไหน มาดูตัวเลยดิ แกก็เรียกขึ้นเวที แล้วบอกว่าเก่งมากคนรุ่นใหม่ เราก็ภูมิใจ

แล้วพอปรับครม. พลเอกยุทธศักดิ์ ก็พ้นจากตำแหน่ง เราก็ไม่ได้เป็นเลขารัฐมนตรีแล้ว แล้วสักพักคนในทำเนียบก็โทรมา บอกให้เข้าไปหาหน่อย เราก็เข้าไป ผู้ใหญ่เขาก็ถามว่าตอนนี้ทำอะไร เราก็บอกว่าก็ไม่มีอะไรครับ ลงพื้นที่ตามปกติ  เขาก็ถามว่าถ้ามาช่วยงานส่วนกลางมีเวลาไหม เราก็รู้แหละว่าจะไปให้ทำอะไร แต่ไม่คิดว่าจะให้ไปเป็นโฆษกรัฐบาล เราเป็น สส.สมัยแรกได้ปีเดียว ไม่ได้มีญาติผู้ใหญ่ ไม่ได้เป็นนายทุนของพรรคอะไรเลย อายุพึ่ง 37 ปกติคนเป็นโฆษกรัฐบาลจะเน้นอาวุโส เป็นรัฐมนตรีมาแล้ว หรือผ่านงานการเมืองมาอย่างโชกโชนมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว หรือเป็นคนที่ Born to be จริงๆ อย่างอภิสิทธิ์งี้ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เราก็นึกว่าให้มาอยู่ในทีมโฆษก หรือเป็นรองโฆษก แต่ที่เขาพูดนี่คือโฆษกรัฐบาลเลย เขาก็ถามถ้าให้ทำมั่นใจไหม เราก็บอกว่าถ้าให้ทำก็ทำสุดชีวิตแหละครับ

งานโฆษกเป็นงานที่โหดมาก ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีพื้นทางการเมืองมาก่อน คือไม่ต้องหลับต้องนอน ซึ่งเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้ววาระที่เข้าไปในสภาครั้งหนึ่งมีเกือบร้อยวาระ จากทั้งหมด 20 กระทรวง เฉลี่ยมีเรื่องเข้ากระทรวงสัก 4-5 เรื่อง ก็รวมๆ กว่าร้อยเรื่องทั้งเพื่อสร้าง เพื่อพิจารณา อะไรต่างๆ พอเข้ามาจะได้ข้อมูลมาวันศุกร์ แล้วประชุมวันจันทร์-อังคาร ก็ต้องไปแกะข้อมูลดูเสาร์อาทิตย์ แล้วทำแบบนี้ทุกวัน ของทุกกระทรวง เราต้องรู้ทุกเรื่อง พอเข้าไปใน ครม. แล้วเราก็ต้องนั่งฟัง มีเรื่องไหนที่จะเป็นประเด็น เรื่องไหนที่นักข่าวน่าจะถาม เพราะนักข่าวจะไปตามทั้งร้อยเรื่องก็ไม่ได้ เขาก็จะไปดูในวาระ แล้วก็จะถามอยู่แค่ 2-3 เรื่อง เราก็แถลงสัก 7-8 เรื่อง เดือนแรกหัวปั่นมาก แต่สักพักก็เริ่มคล่องแล้ว ก็จะรู้ว่าวาระนี้สามารถดูผ่านๆ ได้แค่ให้พอรู้ นักข่าวถามมา เราก็มีรายละเอียดอยู่ เราก็ดูให้ 

สิ่งสำคัญของงานโฆษกคือเราจะตอบไปในทิศทางไหน เรื่องเรื่องเดียวเราสามารถตอบให้เกิดดราม่า ตอบทีหุ้นตกทั้งตลาด ตอบทีจดหมายเข้ามาจากทูตทุกประเทศ เราต้องเลือกว่าเราจะพูดวิธีไหนเพื่อให้มันผ่านวิกฤตให้ได้  และที่ยากอีกอย่างของโฆษกก็คือต้องตามนายกไปตลอด เวลาแกพูดอะไร โฆษกต้องมาถ่ายทอดให้นักข่าว สมมติตอนเช้ามีประชุม 3 งาน พอประชุมงานแรกเสร็จ แกก็เปลี่ยนห้องไปประชุมต่อ นักข่าวก็จะมาขอข่าวเพราะเดี๋ยวจะไม่ทันตอนเที่ยง เราก็ต้องฝากให้คนไปฟังแทนก่อนเพราะตอนเปิดประชุมจะยังไม่มีรายละเอียดอะไรมาก พอเราสรุปให้นักข่าวฟัง แล้วก็ต้องรีบกลับเข้าไปในที่ประชุม มันต้องทำแบบนี้ แล้วคนที่ติดตามนายก เช่น เลขาส่วนตัว เขาไม่ต้องไปตอบนักข่าว เขาก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างได้  แต่โฆษกต้องฟังตลอด และต้อง short note นักข่าวถามอะไรต้องตอบให้ได้ และนักข่าวเขาโคตรรู้เรื่อง นักข่าวเขาจะตามแต่ละกระทรวง บางคนตามข่าวกระทรวงนี้มาสิบปีแล้ว เขารู้ละเอียดยิบ แล้วเราต้องไปสรุปให้พวกเขาฟังให้ได้ แล้วก็ต้องรู้ว่าต้องตอบแบบไหน บางทีถ้าไม่รู้จริงตอบไป เขาก็ดูออกแล้วว่ากลวง

รัฐประหาร 2549 

ตอนนั้นผมอยู่ฝรั่งเศส เป็นเลขารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรให้กับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไปดูงานของกระทรวงเกษตร ตอนนั้นก็แหม่งๆ แล้วแหละ ก็เช็คข่าวเมืองไทยตลอดว่ามีโอกาสจะรัฐประหาร แล้วพอเกิดเราก็อยู่ที่นั้นพอดี เรียกได้ว่าโดนปลดข้ามประเทศเลย แต่ก็ยังไม่กลับมานะ เพราะจองโรงแรมไว้แล้วนี่ ก็อยู่ต่อ แต่งานทางการที่ต้องไปก็ยกเลิกหมดนะ ก็อยู่ได้ 7-8 วันก็กลับ แล้วก็โดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จริงๆ มันไม่มีเรื่องตัดสิทธิ์เลยนะ แต่เขาไปเขียนกฎหมายย้อนหลัง ซึ่งมันขัดต่อหลักกฎหมาย แถมมาพิจารณาตอนปี 2550 เริ่มนับตั้งแต่วันพิจารณา ซึ่งจริงๆ ถ้าจะนับต้องนับตั้งแต่วันที่ถูกปลดออกแล้ว 

ตอนนั้นแบ่งขั้วหนักมาก นักการเมืองเอากองเชียร์นอกสนามลงมาขัดขวางการเลือกตั้ง ประชาชนฝั่งเหลืองก็เกลียดนักการเมืองแดง ประชาชนฝั่งแดงก็เกลียดนักการเมืองเหลือง คือผมไม่มีศัตรูเลยนะ แต่ตอนนั้นไปไหน เจอคนมองเรา ต้องดูแล้วว่าจะด่าหรือจะชม คนที่ไม่สนใจการเมืองก็เฉยๆ คนฝั่งที่ชอบก็จะเดินมาให้กำลังใจ อีกฝั่งก็จะมองทำปากมุบมิบๆ เคยไปนั่งทานข้าวที่สยาม ร้านเป็นกระจก มีสองคนเดินผ่าน คุยกันแล้วก็เดินกลับมา เราก็รู้แล้ว ก็เป็นคนแก่สองคนทำปากมุบมิบๆ จะไม่มองก็ไม่ได้นะ เพราะมันก็อาจมีคนที่เข้ามาทักทายให้กำลังใจด้วย

ประธานบอร์ดการท่า

ตอนไปอยู่การท่าก็เป็นการเมือง เพราะกระทรวงการคลังถือหุ้น แต่ว่าขณะที่ทางพรรคเราก็ยังช่วยอยู่เบื้องหลัง เพราะชอบวิเคราะห์ ชอบคิด ชอบหามุมหานโยบาย หาว่าจะทำยังไงที่จะโดนใจประชาชน ก็ช่วยอยู่ตลอด ก็คือไม่ได้ห่างจากการเมือง แต่ว่าพอหลังจากที่ออกมาแล้วเนี่ย ผมเป็นประธาน 2 บอร์ดคือ ท่าอากาศยานไทย กับ อีสวอเตอร์ ทีนี้พอรัฐประหารเขาก็จะแบบ เฮ้ย ออกไปได้แล้ว นายกจะตั้งคนอื่นมาอะไรอย่างงี้ จริงๆ ถ้าเราจะอยู่ก็อยู่ได้ มันเป็นเรื่องของตลาดหลักทรัพย์ เรื่องของคณะกรรมการ แล้วก็ต้องเอาสมาชิกผู้ถือหุ้นมากโหวตออก แต่เราก็ก็ไม่รู้จะไปยื้อทำไม ก็ไม่ได้อยากจะทำอะไร ถ้าไม่อยากให้ทำก็ไม่ทำ เราก็ออก ผมเป็นรัฐวิสาหกิจคนแรกเลยที่ลาออก

เข้าร่วมพรรคไทยสร้างไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ แกออกมาทำพรรคใหม่ เราก็ช่วยอยู่เบื้องหลัง แล้วพอจะลงผู้ว่าฯ กทม. เขาก็ไม่รู้จะเอาใครมาลง ทีแรกจะเอาคนข้างนอกมา แต่เราก็อยู่ในการเมืองมานาน วิเคราะห์คะแนนยังไงก็ไม่ชนะอยู่แล้ว ทีนี้พอไม่ชนะแล้วเป็นพรรคการเมืองที่สร้างขึ้นมาใหม่ ถ้า 2 เดือนที่ผ่านมา ไม่มีผู้ว่าฯ กทม. ลงเนี่ย คุณหญิงหน่อยขยันมากกว่านี้อีกสองเท่าตัว ยังไงก็ไม่มีข่าว ก็เดินพรรคไม่ได้ เพราะว่าคนไม่ตามข่าวอยู่แล้ว เขาตามข่าวผู้ว่าฯ กทม. กัน  ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างงั้นเราก็เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เราก็ส่งสิ แล้วเราก็สู้ให้เต็มที่ ถ้าเราชนะก็ชนะ เพราะเราทุกคนก็โตมาจากกทม. มีทีมสก. ในกทม. ครบ แต่ถ้าคนข้างนอกมาลงเนี่ย มันก็จะไปสู้เพื่อจะชนะหรือแพ้ แล้วโอกาสชนะน้อย ถ้าไม่ชนะ พอจบมันก็คือจบเลย เพราะว่าเขาไม่ได้เดินการเมืองต่อเหมือนเรา

เพราะงั้นก็เลยมองว่าต้องเอาคนในทำ เพื่อจะให้รู้ว่าพรรคเราจะทำนโยบายอะไรกับประเทศไทยในนามของพรรคการเมือง แล้วจะใช้กทม. ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทยเป็นพื้นที่นำร่องในการจะนำเสนอนโยบาย แต่ผมก็ยืนยันมาโดยตลอดว่าผมไม่เอา ไปหาคนนู้นคนนี้คนนั้นอะไรก็ว่าไป ทั้งคนนอกและคนใน จนกระทั่งเหลือเวลาอีก 7 วันจะสมัครแล้วก็ยังไม่มีตัว คนก็ เฮ้ย มันไม่ได้ ต้องเอาผม แต่ผมบอกแล้วว่าผมขออยู่เบื้องหลัง ก็ปฏิเสธไปสัก 10 วัน 

ทีนี้ระหว่างที่ทำพรรคมา พอเปิดพรรคมาตั้งแต่กรกฎาคมปีที่แล้ว ก็ประมาณเกือบๆ ปีแล้ว ตอนนั้นประมาณสัก 7-8 เดือน ก็มีคนรุ่นใหม่มาร่วมเยอะ คนรุ่นใหม่ที่จะมาลง สส. และ สก. กับเรา ผมก็ต้องไปเป็นวิทยากร ไปเสวนากับเขา ราก็พูดว่าตอนลงพื้นที่คลองเตยเนี่ย กินนอนอยู่ในสลัมเลยนะ อยู่ใต้ทางด่วนเลย ไม่ได้อยู่ในบ้านพักในสลัมด้วย กินแบบเอาเสื่อปูใต้ทางด่วนนอน ชาวบ้านไฟไหม้เราก็ไปอยู่กับเขา ไม่มีบ้านอยู่เราก็ไปอยู่กับเขา เป็นคนไร้บ้านด้วย อยู่เป็นเดือน เราก็สู้ไป คือคู่แข่งก็แข็งมากๆ เพราะว่าลงพื้นที่มาตลอด แล้วก็เป็นลูกของรองนายกตอนนั้น แล้วก็เป็นน้องชายผู้ว่าฯ กทม.ด้วย ทั้งพ่อทั้งพี่ก็ช่วยน้องกันแบบอุตลุด โอกาสชนะน้อยมาก เราก็บอกต้องสู้เต็มที่แล้วก็ชนะกลับมาให้ได้ แพ้ชนะมันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายหรอก เราทำในสิ่งที่อยากทำ ทำในเรื่องที่มันถูกต้อง แล้วเป็นการนำเสนอในเรื่องที่คิดว่าทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้ แล้วแต่เขาว่าจะเลือกไม่เลือก ก็จะสอนอย่างงี้ เด็กก็มองเราแบบเป็นไอดอล แบบ โห พี่ปุ่นแม่งแบบในอุดมคติเลย

พอถึงเวลาไม่มีคนลง เราจะบอกว่า พี่ไม่กล้าลง มันก็ไม่ได้ ก็เลยคุยกัน น้องๆ เขาก็เตรียมงานกัน ก็ไปนั่งประชุมกันทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กนแล้วก็ไม่มีใครกล้ามาคุยกับผม เพราะว่าเขารู้ว่าเราพูดชัดเจนแล้วว่าขออยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งไม่มีจริงๆ เขาก็บอกว่า พี่รู้ไหมว่า ตอนที่เตรียมมีอยู่หน้าเดียวเลยว่าคนนี้ต้องเป็นพี่เลย ต้องมาเดินด้วยกัน ผู้ใหญ่ก็บอกไม่รู้จะบอกยังไง จะมาบังคับกันก็ไม่ได้ ผมก็เลยบอก ถ้ามันไม่มีจริงๆ แล้วผมก็บอกอยู่แล้วว่าแพ้ชนะไม่ได้เป็นบรรทัดสุดท้าย งั้นผมก็ลง แต่ว่าผมก็บอกไปว่าผมจะเป็นตัวตนของผมแบบนี้นะ สมมติถ้าถามผมว่า คุณหวังผลทางการเมืองหรือเปล่า ผมก็จะไม่ปฏิเสธนะ ผมก็จะบอกว่าผมหวังสามส่วนนะ ถ้าชนะก็วางนโยบายผู้ว่าฯ ได้เลย ส่วนที่สองถ้าไม่ชนะ สิ่งที่ผมทำเนี่ย นโยบายที่คิดมา ผมยกให้ผู้ว่าฯ คนใหม่เขาไปทำเลย สก. ที่เราได้เนี่ย อย่าไปขัดขวางเขา ให้เขาทำงาน เพราะว่าเขาทำให้กรุงเทพฯ เจริญ แล้วก็ถ้าเกิดเราชนะ เราก็ได้เลย แต่ถ้าไม่ชนะก็เอานโยบายไป แล้วก็เราก็จะเดินการเมืองของเราต่อ โดยบอกว่านโยบายทั้งหมดเป็นนำร่องของประเทศไทยที่กรุงเทพมหานครที่เราจะทำ แต่ถ้าเกิดเราทำไม่ได้ เราก็จะทำนโยบายแบบนี้กับประเทศไทย 

ในเวทีผู้ว่าฯ มันเป็นเวทีที่เปลี่ยนภาพลักษณ์จากการแข่งขันเลือกตั้งสมัยก่อน คือมันไม่มีแบบมากระแนะกระแหน ทะเลาะเบาะแว้ง คือจริงๆ มันมีไหม มันจะมีหลายทีนะ เราอยู่ในนั้นเนี่ย ก็มีผู้ใหญ่อาวุโส เราเด็กกว่าพี่รสนา (รสนา โตสิตระกูล) เราเด็กกว่าพี่อัศวิน (อัศวิน ขวัญเมือง) แต่กับคนอื่นเราก็รู้จักกันหมดนะ ชัชชาติรุ่นใกล้กันอยู่แล้ว เขาก็เรียกผมพี่ปุ่น ผมก็เรียกเขาพี่ทริป คือให้เกียรติกัน แล้วก็คุยกัน ผมก็แบบ คือถ้ามึงจะตีกันกูต้องออกมาพูด แล้วไอ้คนที่ตีมันจะเสียเอง เราอยู่มานานจนเรารู้อะไรอย่างงี้ อย่างเช่นบางเรื่อง ถ้าสู้กันว่า เฮ้ย ผู้ว่าเอ็งฉลาดนี่ ไปทำอะไรได้ ผู้ว่าเอ็งฉลาด โห่ ไม่งั้นกูก็ต้องทำตามพรรคอะไรอย่างงี้ แต่อย่างพี่ชัชชาติเขาไม่ได้สู้ แต่พี่โฆษิต (โฆสิต สุวินิจจิต) พี่รสนา แกก็จะบอก ต้องอิสระ ต้องไม่ทำตามคำสั่งใคร พวกคนที่สังกัดพรรคก็จะ เฮ้ย แล้วใครจะมาสนับสนุนคุณ ทุกเวทีผมก็จะบอก เฮ้ย เอาอย่างงี้ มันมีข้อดีข้อเสียทั้งคู่แหละ ผมว่าไม่ต้องงัดหรอก ใครที่ได้เป็นผู้ว่าเอาสก. ผมไปใช้เลย ผมมีสก. ครบ 50 เขต ได้กี่คน ก็ไปเป็นมือเป็นไม้ให้ผู้ว่าเลย เพราะว่าเราต้องการให้กรุงเทพฯ เจริญ เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าคุณมัวแต่คิดว่าจะเอาแพ้ชนะมาเป็นตัวตั้ง แล้วมาบอกว่าสิ่งที่คุณเป็นมันดี สิ่งที่คนอื่นเป็นมันไม่ดี อย่างงี้กรุงเทพฯ ไม่มีทางเจริญ ประเทศไทยไม่มีทางเจริญ พอเราปูออกธีมนี้ทุกคนแม่งก็อึ้ง อ้าวเฮ้ย กูพูดกูก็หมาสิวะ มันก็เลยกลับมาไง พอกลับมาปุ๊ปมันก็เลยกลายเป็นว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน 

อย่างพี่อัศวิน เวลาไปออกรายการคนก็จะรู้ แกก็จะงงๆ มันกี่นาทีวะเนี่ย เฮ้ย แล้วพี่พูดคนที่เท่าไหร่ ซึ่งเขาก็เพิ่งบรีฟไป เราก็จะคอยสอนแกตลอด อย่างบางทีก็ แบบนี้พี่ เขาถามอย่างงี้ พี่พูดคนนี้ พี่จำไว้เลยว่าถ้าเห็นสกลธีพูด พี่ต่อสกลธีนะ แล้วพี่พูดได้แค่  นาที เราก็จะบอกเขา คนดูก็จะสังเกตไง เออเว้ย เอ็นดู มีการสอนบนเวทีด้วย แล้วนักข่าวก็ไปถามเอิร์ธ (พงศกร ขวัญเมือง) ที่สนิทๆ กันนะว่า  เนี่ย เห็นว่าปุ่นเขาช่วยไม่ใช่หรอ เอิร์ธก็บอก โอ้ย ถ้าช่วยมากกว่านี้คงตอบแทนพ่อแล้วล่ะ (หัวเราะ) ก็คุยดี ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตลอด ก็กลายเป็นภาพของการเลือกตั้งครั้งนี้ มันก็เป็นอีกแบบนึงเลย

เลือกตั้งเสร็จคนก็เลือกชัชชาติล้านกว่าคะแนน ถึงเวลาจะไปร้องกันหยุมหยิมๆ ผมก็แบบ เฮ้ย มึงพอเหอะ กูเหนื่อยละ คือแบบ 2 เดือน ถ้าไม่รับรองหรือโดนใบแดง เราต้องเหนื่อยอีก 2 เดือน แล้วก็ไม่รู้จะสู้ทำไม คือเราก็อยากทำการเมืองใหญ่ด้วย ใครเขาเหมาะสมที่สุดก็ให้เขาเป็น เราก็เลยบอกว่าเลิกแซะได้แล้ว รับรองได้แล้ว

 “ไม่ต้องมาบอกว่าลงแล้วจะชนะ ผมไม่ได้อ่อนทางการเมืองขนาดนั้น”

คือผมรู้อยู่แล้วว่าไม่ชนะไหม ถ้าคนลงมันมีโอกาสชนะหมดทุกคนแหละ แต่จะ 0.001 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 เปอร์เซ็นต์อะไรอย่างงี้ ซึ่งเราอยู่ในการเมืองมานาน ด้วยความเป็นนักบิน เราจะไม่เคยคิดอะไรเข้าข้างตัวเอง อย่างที่พรรคอย่างเขาจะ เฮ้ย ลงเลยมีโอกาสชนะ ผมบอกว่า ผมขออนุญาตเป็นหมวก 2 ใบนะ ถ้าเกิดผมพูดในนามของตัวผมเองเนี่ย ผมก็จะบอกว่า ไม่ต้องมาบอกว่าลงแล้วจะชนะ ผมไมได้อ่อนทางการเมืองขนาดนั้น ผมวิเคราะห์อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ชนะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

แต่ถ้าเกิดพูดในนามที่ผมเป็นทีมงานส่วนหนึ่งของพรรค ผมเชื่อว่าไม่ชนะ แต่ว่าสิ่งที่เราได้มาเนี่ย มันจะมีประโยชน์กับพรรคในอนาคต เช่น ถ้าเกิดเลือกตั้งครั้งหน้าได้สส. 10 คน จากการเปิดตัวผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ เราอาจจะได้ 20 คนก็ได้ แล้วคนก็จะรู้จักเราเร็วขึ้น เพราะว่าเลือกตั้งใหญ่ซึ่งอาจจะอีก 3-6 เดือนข้างหน้า หรือปลายปีนี้ไม่ก็ต้นปีหน้า เพราะมันใกล้ครบวาระแล้ว เพราะฉะนั้นเนี่ยมันเป็นเรื่องที่เราจะต้องมาพิจารณาว่าจำเป็นที่จะต้องส่งใครลงหรือเปล่า ผมใช้คำว่า ‘One For All, All For One’ ผมเหมือนคนที่ยอมเครื่องบินกามิกาเซ่ ไปชนเพื่อจะยอมตาย เพื่อจะทำลายเรือรบข้าศึก หรือเพื่อจะฝากอะไรไว้อย่างงี้ ถ้าคุยกันอย่างงี้ผมก็จะบอกว่าผมไม่ได้โง่ ผมเข้าใจการเมือง ถ้ามันเป็นประโยชน์ว่าเสียหนึ่งแต่คุณได้มาอีกสิบ ผมยอม เรามาคุยกันก็ได้ เราก็ลง

สู่สนามผู้ว่าฯ กทม. 

ช่วงแรกในพรรคเป็นคนจัดคิวว่า ตีห้าไปที่ตลาดนี้ ไปเจอกันตีห้าครึ่ง หกโมงเช้าเดินอันนี้ไปใส่บาตรที่นี่ ไปส่งเด็กเข้ารร. ที่นี่ ไปแจกใบปลิวที่นี่ คิวแม่งทั้งวัน แล้วก็ดีเบต คำถามก็แบบ โห่ ต้องทำการบ้าน แบบเรื่องระบายน้ำต้องทำยังไง เรื่องตัวเลข ขยะตอนนี้เป็นยังไง คือแบบขึ้นเวทีถ้าโง่ เราโง่คนเดียวถูกไหม พอถึงเวลาก็ต้องไปแจกใบปลิว ไปนู่นไปนี่ ไปทักทายคน ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ถ้าช่วงนี้ว่าง คุณไปดีเบตสักบ่ายสาม คุณก็ไปนี่ก่อน พอบ่ายสองก็ค่อยเลิกแล้วคุณก็ไปดีเบต คือมันไม่ใช่ คือถ้าทำการบ้านมาแบบคนอื่นที่เขาทำกันมาเป็นปีเนี่ย มันพอทำได้ แต่ผมมันต้องเตรียม แล้วพอพูดบนเวทีแล้วผมตอบไม่ได้ ผมโง่คนเดียวนะ เราก็ต้องเอาชีวิตรอดกลับมา เพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็จะเครียดมากช่วงแรก ให้ดูทั้งวันทั้งคืนอย่างตอนเป็นโฆษกใหม่ๆ ยังไม่ทันเลย

พอช่วงหลังเนี่ยเริ่มแม่นแล้ว เราก็เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เริ่มจะทำอะไรได้แล้วผมมองว่า ถ้าเดินไปแล้วแล้วยังไงก็ไม่ชนะเนี่ย ผมจะได้สองแสนคะแนน สี่แสนคะแนน เจ็ดหมื่นคะแนน มันก็แพ้อยู่ดี Winner Take All อยู่แล้วสำหรับผู้ว่าฯ เพราะะงั้นผมก็ต้องมองว่าแล้วผมจะทำอะไรที่มันมีประโยชน์ต่อพรรคต่อเนื่อง พอช่วง 10 วันสุดท้าย ผมสรุปแล้วว่าผมจะเดินไปทางไหน ที่ผมวางไว้ก็คือ ถ้าไหนๆ จะไม่ได้ ผมไม่ต้องสนใจคะแนนเลย ผมก็บอกเลยว่า ใครได้เอาสก. ไปใช้เลย เอาสก. ไปทำงาน แล้วผมจะเซฟคนดีๆ ที่เขามาร่วมงานกับผมเนี่ยให้เขาได้แจ้งเกิดในเวทีการเมือง ให้เขาเป็นสก. ให้ได้

ผมก็จะบอกเลยว่า มันเหมือนคนที่หมั้นกัน พอถึงเวลามาเจอกันแล้วบอกคนนี้ก็น่าสนใจ ถ้าเกิดเขาโสดๆ เขาคงแต่งกับเรา แต่เขาหมั้นไปแล้ว เขาก็ต้องไปถอนหมั้น อันนี้ยาก ผมก็เลยพูดโค้งสุดท้ายว่า ใครที่ลังเลว่าจะเลือกผมหรือเลือกคนอื่นที่มองไว้อยู่แล้ว ไม่ต้องลังเลเลยครับ อยากเลือกใครคุณเลือกเลย แต่ถ้าเกิดอยากให้กำลังใจผมเนี่ย ให้เลือกสก. ของไทยสร้างไทย เชื่อไหม พอผมพูด เพื่อนผมทั้งหมดแม่งไลน์เข้ามา จากที่ไม่คุยไม่อะไรกันเลย ไลน์เข้ามากันเต็มเลย เพราะทุกคนเขาจะเลือกชัชชาติกันอยู่ในใจอยู่แล้ว เขาก็ โห แมนมาก เดี๋ยวเลือกตั้งใหญ่สนับสนุนเต็มที่ ให้ไปเป็นหัวคะแนนก็ยังได้เลย แต่ครั้งนี้สารภาพตามตรงว่ากลัวฝ่ายนู้นมา เขาก็จะเทคะแนนให้ชัชชาติกันหมด 

ถอดบทเรียนสำคัญจากการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. และการเมืองไทย

พรรคการเมืองในอนาคตจะต้องเรียลขึ้น ต้องเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น สิ่งที่นำเสนอโดยที่ไม่ได้เอาวัตถุประสงค์ของประชาชนเป็นตัวตั้งจะไปต่อไม่ได้ เทรนด์ของประชาชนที่จะไปเลือกตั้งมันเปลี่ยนไปเยอะมากๆ ตอนนี้กระแสที่มันสตาร์ทออกไปจากออนไลน์ และมันจะไปในการเมืองทั่วๆ ไป และในกทม. เนี่ย มันซึมลึกไปจนถึงแก่นถึงรากฐานของมันแล้ว คือเป็นการเมืองในรูปแบบที่เอาประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ฉะนั้นใครที่ทำการเมืองแบบเอาประโยชน์ของพรรคการเมืองเป็นตัวตั้ง ใครที่ทำงานการเมืองแบบไม่ได้ตรงไปตรงมากับพี่น้องประชาชน เพื่อที่จะให้ตัวเองชนะมากที่สุด หรือว่าพูดแบบที่นักการเมืองเขาชอบบอกว่า เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น คนจะเริ่มไม่รับแล้วคนจะเริ่มรู้ทัน เพราะทุกวันนี้นักสืบโซเชียล ละเอียดยิบขนาดว่าเรื่องแตงโมตกน้ำอย่างเดียวเนี่ย พากันทั้งผักตบ ทั้งอะไร เอามาซูมกันเอามาปรับภาพ คืออะไรที่คิดว่าจะทำไม่ได้ก็ทำได้ คือหากันจนเจอ ละเอียดยิบ เพราะฉะนั้นเนี่ยอะไรที่คุณจงใจที่จะปกปิดเนี่ย อย่าหวังเลย การเมืองมันต้องเป็นตัวตน มันต้อง realistic มันต้องเป็นคุณให้มากขึ้น อันนี้มันไม่ได้เป็นบทเรียนที่จะไปทำร้ายใครนะ แต่ว่ามันจะเป็นบทเรียนสำหรับคนที่ไม่ปรับตัวให้เข้ากับการเมืองแบบใหม่ 

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า