fbpx

เอิร์ท-วิน คู่จิ้น “รักเดียว” ซิทคอมวายเรื่องแรกของไทยที่อยากใช้การแสดงดูแลทุกคน

เราอยู่ที่ชั้น 20 ของอาคาร GMM Grammy Place 

ระหว่างที่เรากำลังถ่ายภาพ เราเหลียวมองเห็นจอภาพโฆษณาที่กำลังขึ้นสปอตโปรโมทละครซิตคอมเรื่องหนึ่งของช่องวัน 31 อยู่ เมื่อเราร้องเรียกด้วยความตกใจ ชายหนุ่มสองคนที่กำลังถ่ายภาพประกอบบทความอยู่หน้ากล้องก็วิ่งมาดูภาพบนจอจอนั้นทันที 

สปอตตัวที่ว่าคือโฆษณาโปรโมทซิตคอมเรื่องรักเดียว ซิตคอมวายเรื่องแรกของไทยที่มีเอิร์ท-ธนกฤต ตาละโสภณ และวิน-ทรงสิน ใจพันธ์ รับบทนำ 

ระหว่างที่สปอตกำลังวิ่งบนจอ ทั้งสองตาลุกวาวพลางบอกกับเราว่า เขายังไม่ชินกับการที่ต้องเห็นหน้าของตัวเองอยู่ทั่วมหานคร หรือแม้กระทั่งที่เขาเดินเข้าตึกแกรมมี่ ทั้งสองก็ไม่วายจะหยุดดูตัวเองก่อนจะเข้าไปทำงาน

ทั้งเอิร์ทและวินคือนักแสดงใหม่ถอดด้ามที่บางคนอาจเคยเห็นพวกเขาผ่านไป ผ่านมาในวงการบันเทิงมาบ้าง จนมาถึงวันนี้ที่ทั้งคู่ทะยานสู่การรับบทเด่นในผลงานโทรทัศน์อันเป็นซิกเนเจอร์ของช่องวัน 31 ซึ่งเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ของเด็กหนุ่มทั้งสองที่ต่างมีซิทคอมช่องวันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และหมายมั่นว่าจะต้องได้ขึ้นตึกแกรมมี่สักครั้งในฐานะศิลปิน

กว่า 7 เดือนที่เอิร์ทและวินใช้เวลาร่วมกันทั้งในฐานะ “รัก” และ “เดียว” รวมถึงเพื่อนร่วมงานและพี่น้อง บทสนทนาวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะด้วยความผ่อนคลาย เคล้าเรื่องเล่าบนเส้นทางสู่การเป็นนักแสดงเต็มตัว บทเรียนที่เขาได้เรียนรู้จากการรับบทนำ

และความรักหนึ่งเดียวที่ทั้งสองต่างมีเหมือนกัน คือความรักที่เขาได้ทำตามความฝันจนสำเร็จ

จนได้มาเล่นละครเรื่องเดียวกัน

ข้างๆ กัน

ผ่านงานในวงการบันเทิงแค่สายงานเดียว

วิน: จริงๆ วินอยากเป็นนักแสดงมานานแล้วครับ คิดไว้ในหัวตลอด คิดกับตัวเองตลอด แต่ตอนนั้นเรายังไม่มีโอกาส เพราะว่าบ้านเราอยู่ต่างจังหวัด คือผมอยู่ไกลจากในเมืองมาก มันก็เลยคิดว่ามันไม่มีโอกาสมากกว่า ไม่มีโอกาสที่จะเจอ ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำ แต่พอผมย้ายออกจากบ้านมาเรียนในตัวเมือง ก็เจอกับผู้ใหญ่ที่เขาให้โอกาสเราในทางด้านแบบ นายแบบ ประกวด ถ่ายแบบ ก็เริ่มจากจุดนั้นมาก่อน แล้วก็มีแบบไปแคสต์บ้างครับ แคสซีรีส์บ้าง แคสละครบ้าง ก็จะได้เริ่มตั้งแต่ตรงนั้น แต่จริงๆ ความฝันอันนี้ มีอยู่ตลอดเลยครับ ตั้งแต่สมัยเด็ก

เอิร์ท: ของเอิร์ทนี่เริ่มตั้งแต่ จริงๆ เอิร์ทเป็น Extra ตั้งแต่อายุ 16 เหมือนก็ได้รับจะโอกาสจากพี่ๆ ในวงการนั่นแหละ ก็เราก็ไปเล่น Extra แต่ตอนนั้นก็แฮปปี้มากนะ ได้เงิน 500 บาทจาก Extra แล้วเหมือนเราก็ต่อยอดมาเรื่อยๆ เริ่มเดินแบบ แล้วก็มีถ่ายแบบครับ แล้วก็หลังๆ ก่อนเข้าช่อง ถ่ายโฆษณามาก่อน แล้วก็ถ่ายยาวมา 3 ปี จนมาเจอช่องวันครับ 

ปลายทางอยู่ที่ตึกแกรมมี่อย่างเดียว

เอิร์ท: แต่จริงๆ ผมอยากเป็นศิลปิน ผมชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ชอบเล่นกีต้าร์ ชอบตีกลอง แล้วมันจะมี Feel ตอนเด็ก ตอนที่ผมอยู่กับพ่อ ก็ขับรถผ่านตึกแกรมมี่ ผมก็จะบอกพ่อว่า เออแบบ “สักวันอะพ่อ ผมจะอยู่ตึกนี้” ตั้งแต่ตอน 12 แล้ว เราอะชอบศิลปินแบบ Silly Fools, Bodyslam ก็เลยอยากจะเป็นเหมือนเขา แต่ไม่รู้ว่าจะเข้ามาได้ยังไงนะ (หัวเราะ) ตอนนั้น ก็เหมือนเป็นจุดประกายของความฝันเด็กคนนึงนั่นแหละ 

รักในซิทคอมและละครจักษ์ๆ วงศ์ๆ

วิน: วินอยากเห็นตัวเองในทีวีอะพี่ หรือว่าแม้กระทั่งในคลิปวิดีโอเหมือนกัน คือตอนเด็กๆ เราเคยดูละครจักษ์ๆ วงศ์ๆ มันเท่มากเลยอะ พอมันแปลงร่างแล้วแบบ มันมีเกาะใส่ อะไรเงี้ย คือตั้งแต่เกราะกายสิทธิ์ ตอนนั้นมีพลังวิเศษ เราก็ชอบ คือผมมีพี่ซันนี่ (สุวรรณเมธานนท์) เป็นไอดอล แล้วผมดูซิทคอมเนื้อคู่ประตูถัดไป ที่มันมีหลายๆ ซีซั่น ผมดูตั้งแต่สมัยประมาณ ป.6 มีมือถือแล้ว (หัวเราะ) ดูตั้งแต่ตอนนั้นครับ และก็เราชอบคาแรคเตอร์ของพี่ซันนี่ แล้วเราก็อยากเป็นแบบนั้น อยากเป็นนักแสดง

การตัดสินใจใหญ่ครั้งเดียว

เอิร์ท: ตอนแรกผู้ใหญ่ติดต่อมาให้แคสต์เป็นนักแสดงของช่องวันก่อน แล้วเราไม่ได้รู้เลยว่ามีซิตคอมให้เล่น แต่คุยกันรอบแรก ทางโปรดิวเซอร์ก็โอเคกับเรา แล้วก็มารอบสอง มาคุยกับพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ก็โอเค ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเราจะแสดงเรื่องอะไร แต่เรารู้แล้วว่า เออ เราได้อยู่ช่องวันแล้วนะ แล้วเขาก็เหมือนแบบ เอิร์ทๆ มีโปรเจกต์ซิตคอมวายนะ เอิร์ทสนใจมั้ย ก็รู้จากพี่ๆ ก็เลยเข้ามาแคสต์ แต่ตอนนั้นมันเป็นช่วงโควิด ก็เลยได้แคสใน Zoom อะครับ

วิน: ตอนนั้นผมพึ่งเข้าวงการนายแบบ แล้วก็มีพี่แด๊ด (ผู้จัดการของวิน) เขาไปเจอผมที่เชียงใหม่ ก็เลยติดต่อมาว่า ลองมาแคสดูมั้ย ตอนแรกผมก็คิดว่าแบบ มาดีมั้ยวะ เพราะว่ามันเป็นที่ต่างถิ่น แล้วเราไม่เคยมากรุงเทพฯ มันเป็นอะไรที่กว้างมาก แล้วเราดูแลตัวเองไม่เป็นอะ ก็ต้องคิด ต้องถามครอบครัวกันอะครับ ถามน้า ถามย่าก่อน น้าก็บอกว่า “ลองดูสักครั้งนึง ถ้าได้รับโอกาสตรงนี้ ต้องลอง” เพราะใจเราอยากมาอยู่แล้ว แต่เราแค่กลัว กลัวว่าจะเอาตัวเองไม่รอด ในสถานที่ที่มันใหญ่แบบ กรุงเทพ ก็คือเมืองที่มันมองไปทางไหนก็คือตึกอะครับ มันเดินไปทางไหนไม่ได้อะ อยู่แถวบ้านเดินเล่นแถวนั้น ก็ไม่มีใครมองก็แปลกอะ แต่นี่แบบ มันเดินแถวนี้มันไม่รู้จะคุยกับใคร ไม่รู้จะไปถามใคร เพราะว่ามันต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างมีหน้าที่ ต่างคนต่างเดิน เรากลัวมากกว่า แต่สุดท้ายก็แพ้ความตั้งใจของตัวเอง ก็เลยตัดสินใจมาเลย

ทดสอบหน้ากล้องผ่าน Zoom อย่างเดียว

เอิร์ท: แคสต์ผ่าน Zoom ต่างมากครับ เพราะว่าเวลาเราไปแคสแบบเห็นหน้ากล้อง เห็นเป็นตัวตนอย่างเนี้ย คือเราสามารถ Acting อะไรก็ได้ แล้วผู้กำกับเห็น พี่แคสติ้งเห็นใช่มั้ย แต่ออนไลน์เราได้แค่ฟัง แล้วก็มอง ผมรู้สึกว่าแบบ Feel เอาจริงๆ คือมันไม่ได้ 100 เปอร์เซนต์เต็ม มันได้แค่ 50 เปอร์เซนต์ แต่จริงๆ ผมพยายามฟังเยอะมาก ๆ นะ ฟังเยอะมากๆ จนแบบ เออ มันแตกต่าง แต่มันก็รู้สึกว่าเราได้ฟังเยอะกับคู่เล่น อันนี้แหละคือข้อดีของการแคสต์ออนไลน์ มันได้ฟังเยอะ แล้วก็มีสติอยู่กับปัจจุบันเยอะ แต่เวลาสมมติว่าเราไปเจอตัว เวลาแคสอย่างนี้ เราใหม่ด้วย แล้วเรามันเป็นแบบซิตคอมใหญ่เรื่องแรกเนาะ มันก็จะรู้สึกเกร็ง มันก็จะเกิดการฟังลดลง อันนี้คือความแตกต่างของแบบออนไลน์กับของจริง

วิน: แต่ผมว่าเจอกันตัวต่อตัวมันดี ดีมากครับ เพราะว่าเราได้เจอผู้กำกับ เราได้เจอกับพี่ๆ ทุกคน แล้วเราได้คุยกัน ได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ แต่ใน Zoom อะ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องครับ เพราะว่าตอนนั้น ไม่เคยทำอะไรผ่าน Zoom เพราะว่าตอนนั้นเราเพิ่งเรียนจบ แล้วเราไม่เคยเรียนออนไลน์ไงพี่ มันก็งงแบบ มันต้องทำยังไง มันต้องคุยยังไง ผมยัง Join (เข้าห้อง) ไม่เป็นเลยอะ มันก็เลยไม่ชินมากกว่า อยากเจอตัวจริงมากกว่า

ไม่ได้เป็นคนตลก แต่เป็นคนน่ารัก

เอิร์ท: ส่วนตัวผม ผมอะเป็นคนที่เฮฮานะพี่ แต่ผมก็จะเป็นคนที่แบบ มีความโลกส่วนตัวสูงของผม แบบว่านิ่งๆ อะ แต่แค่ตอนแรกนะ ตอนนี้ดีขึ้นเยอะ เพราะว่าด้วยการที่ได้มาเจอคนเยอะขึ้น มันก็ทำให้เราแบบว่า ได้ Connect กับผู้คน ได้พูดคุยกับคนเยอะขึ้น จริงๆ ผมเป็นคนขี้อาย 

วิน: ของผมต้องเรียกว่าตลกมั้ยพี่ แต่เป็นคนโผงผางอะ เสียงดัง ชอบเล่นนั่นนี่ เป็นเด็กสมาธิสั้นอะไรอย่างเนี่ย ชอบเล่นกับเพื่อน เป็นคนชอบเรียกร้องความสนใจ แล้วก็จะชอบทำอะไรให้ตัวเองดูโก๊ะ 

เอิร์ท: ดูเด่นอย่างนี้หรอ

วิน: เอ้อๆๆ (หัวเราะ) ประมาณนั้น ก็สมัยเรียน ม.ปลาย ผมก็จะเป็นคนประมาณนี้ ก็มีบ้างครับ ตลกก็เล่นบ้าง แต่ต้องฟังจากหลายๆ คนว่า เราตลกหรือเปล่า บางทีมันก็มุกแป้ก แต่ก็เป็นคนเสพความตลกมาเยอะเหมือนกัน 

เตรียมตัวเพื่องานที่รัก

วิน: มีเรียน Acting ด้วยกัน ทำ Workshop ด้วยกัน ทำการบ้านกับบท แต่ช่วงแรกๆ ก็ยังทำไม่ค่อยเป็น ก็จะไปหาด้วยการเรียน Acting ถามคุณครู ถามพี่ๆ เตรียมตัวด้วยการทำการบ้านกันก่อนครับ

เอิร์ท: ก็ต้องปูพื้นฐาน Acting ใหม่หมดเลยครับ เรียนรู้ว่าตัวละครคิดยังไง 

วิน: Backstory เป็นยังไง ชีวิตของแต่ละคนเป็นยังไง แล้วก็จะมีฟิตร่างกายกันด้วย (หัวเราะ) 

เอิร์ท: แต่ว่าเป็นช่วงเวลาที่แบบ Short-term มากเลยครับ สั้นๆ มาก ผมรู้สึกว่ารักเดียวเป็นซิตคอมที่เป็น Fast Track ของผมมาก (หัวเราะ) ตกใจมาก คือมันแค่เมื่อปลายปีที่แล้วเองนะครับ แล้วตอนนี้มกรา คือมันเร็วขนาดนั้นเลยอะ แล้วต้องอัดๆๆๆๆ ทุกอย่าง 

วิน: แล้วเราก็แบกความหวังอันนี้ด้วย คือจากคำโปรโมทว่า “ซิตคอมวายเรื่องแรกของประเทศไทย” เป็นเรื่องแรกด้วยเหมือนกัน แล้วมันก็มีเวลาเตรียมตัวไม่ค่อยมากใช่มั้ย เราก็จะดูแบบเกร็งช่วงแรกๆ แต่หลังๆ มา พอเราเริ่มเข้าใจตัวละคร เริ่มเข้าใจกับหลายๆ คนที่เริ่มเล่นด้วยกัน เริ่มสนิทกัน มันก็จะไปด้วยกันไวขึ้น 

ฉากนี้ทำมาเพื่อเราคนเดียว

เอิร์ท: เซอร์ไพรส์ เซอร์ไพรส์ที่แบบว่า เฮ้ย คือแบบ เรามีฉากซิตคอมเป็นของตัวเอง (หัวเราะ) เพราะเราเห็นแต่พี่ๆ ไง แบบเป็นต่อ เราก็ไม่คิดว่าสักวันเราจะมีฉากเป็นของตัวเอง แล้วได้เล่นในฉากของซิตคอมรักเดียว ขนาดนี้ ซึ่งแบบเป็นเกียรติมากๆ แล้วก็ดีใจมากๆ ที่พี่ๆ ทางช่องวันมอบให้ขนาดนี้

วิน: ของผมอะ เซอร์ไพรส์ ก็เหมือนกับพี่เอิร์ทแหละ แต่มีความสงสัย เดินรอบเลยครับ ผมเดินรอบ ดูฉากทุกฉากเลย สงสัยว่า เราเคยดูซิตคอมที่แบบ เป็นต่อ, เสือ ชะนี เก้ง พอเรามาเห็นเข้าไปในสตูดิโออะ ผมเดินเลย (หัวเราะ) พี่แด๊ดเป็นคนพาเดินรอบเลยครับ พอเราเห็นในฉากแล้วแบบ มันเคยผ่านตามาใช่มั้ย เราสงสัย แล้วก็เดิน พอเราเจอฉากตัวเอง มันก็เซอร์ไพรส์มาก เดินดูอีก ว่ามีตรงไหน ต้องเดินไปตรงไหน มีอะไรบ้างๆๆ มีกรอบรูป มีโต๊ะ มีโซฟา มีทีวี คือต้องเดินอยู่ตลอด เพราะเราอยากจะเห็นฉากทั้งหมด สงสัยมากๆ ตอนนั้น แล้วก็สงสัยอีกอย่างนึงคือ อยากไปดูฉากของเป็นต่อ (หัวเราะ) เพราะอยากไปดูฉากบางบาร์ เพราะคิดมาตลอดว่าบางบาร์คือร้านจริงๆ (หัวเราะ) พอเดินเข้าไปเจอผมแบบ ห้ะ แค่นี้หรอ แต่คิดว่าบางบาร์คือ ร้านจริงๆ เพราะว่าเราดูเป็นต่อตั้งแต่ฉากบางบาร์สมัยแรกๆ จนแบบเปลี่ยนมาเป็นร้านทุกวันนี้

รักแรกพบ

วิน: คิวแรกผมกับพี่เอิร์ทเข้าด้วยกันเลยครับ เป็นซีนที่เดียวมาฉุดผมเพราะจะโดนรถชน เป็นซีนใหญ่ครับ เพราะว่ามันเริ่มจากการเดินออกมาจากบ้าน แบบรีบไปสัมภาษณ์งาน แล้วก็กำลังจะข้ามถนน รถจะชน แล้วเขามาดึงไว้ แล้วก็กาแฟหกใส่รองเท้า เพราะว่า เออ กาแฟหกใส่รองเท้าใช่มั้ย แต่เดียวมันจะโวยวาย เพราะเดียวเป็นคนแต่งตัวเนี้ยบมาก เป็นคนที่ทุกอย่างต้องเป๊ะก่อนไปสัมภาษณ์งาน ทุกอย่างต้องดีก่อน แล้ววันนั้นรองเท้าสีขาวดันมีกาแฟมาหกใส่ เขาก็เลยบ่นของเขาแต่รักบอกว่าสัมภาษณ์งานเขาไม่ดูที่รองเท้า เขาดูที่ความสามารถ แล้วก็สติปัญญา ดีกว่าป่ะ เดียวก็ตีความได้ว่า นี่ด่าว่าโง่ ด่าผมว่าโง่ แล้วก็ทะเลาะกันตั้งแต่ตอนนั้นเลย แล้วก็มาเซอร์ไพรส์อีกทีนึง ไปเจอที่ออฟฟิศ เขาคือหัวหน้างาน 

เอิร์ท: First Impression ที่เจอก็รู้สึกตื่นเต้นนะครับ เพราะเราเหมือนแคสต์บทนี้มาตั้งแต่แรก แล้วมันแคสหลายครั้งซ้ำๆๆๆ จนแบบ เอ้ย ได้เล่นกับน้องจริงๆ 

วิน: แล้วมันมาเจอ Set ไง กล้องหลายตัว มีทุกคนเดินผ่านไปผ่านมา มันก็แบบ โอโห สถานการณ์มันตื่นเต้นมากเลยนะ ถึงอากาศมันจะไม่ค่อยร้อน แต่ใจเรามันเต้น มันก็ยังร้อนอยู่ดี

เอิร์ท: จริงๆ ฉากนี้ถ่าย Pilot ไปแล้วครั้งนึงครับ ไว้ใช้สำหรับขายลูกค้า แต่ถ่ายสำหรับออนแอร์จริงๆ จำไม่ได้ว่ากี่เทค แต่ว่าเยอะอยู่ 

วิน: 9 โมงถึงบ่ายอะ เพราะเราดึงกันไม่เป็น ดึงแล้วผมก็ล้มไม่เป็น มันยังแข็งกันอยู่แบบมัน ยังแข็งกันอยู่ มันยังเขินกันอยู่ จังหวะมันยังไม่ได้ และหลายๆ อย่าง

เอิร์ท: พอถ่ายใหม่แล้วรู้จังหวะมากขึ้น แต่ว่า Mood & Tone มันจะแตกต่างจากซีนแรกมากเลยนะ เพราะว่าผู้กำกับเขาจะมองอีกแบบนึง พี่บอยเขาจะมองอีกแบบหนึ่ง แล้วมันเหมือนจำได้ว่าซีนนี้ถ่ายไป 2 รอบ คือวันนี้จบ แล้วก็เหมือนแบบมันยังมีอะไรนิดนึงที่มันยังไม่ได้ ต้องมาถ่าย ซีนนั้นจะเป็นซีนสำคัญมาก กับซีนออฟฟิศ ที่ถ่ายไป 2 รอบ เพราะ Mood อารมณ์ของเรื่องมันยังไม่ได้

เมื่อคนที่รักเห็นเราในทีวี

วิน: อันแรกคือเขิน ไม่กล้ากลับไปดูพร้อมกับที่บ้านอะเรากลัวเขาแซวอะ แต่ชอบชวนคนอื่นมานั่งดู เรากลับมาดูย้อนหลังใช่มั้ย เราก็จะชวนน้ามาดู น้าจะเป็นคนที่เงียบ แล้วเขาจะแอบยิ้ม พอเราไปนั่งดูบ้าง อ่านคอมเมนต์ เราไปเห็นตัวเองใน YouTube มันต้องบอกว่าไงอะ มันเห็นตัวเองเล่นได้ เราไม่เคยเห็นตัวเองผ่านในวิดีโออะไรอย่างนี้ใช่มั้ย เราไม่มั่นใจมากกว่า ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง มันจะดีมั้ย แต่ทุกคนบอกว่า เอ้ย มันสนุกนะ แต่ก็แอบรำคาญนิดนึง เดียวโวยวายเยอะไปนะ (หัวเราะ) ผมก็บอก มันคือคาแรคเตอร์ครับ ตัวจริงไม่ใช่ขนาดนี้ (หัวเราะ)

เอิร์ท: ใช่เปล่า?

วิน: (หัวเราะ) เราดีใจมากกว่า แล้วเราก็ภูมิใจที่เราพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน เราคิดว่ามันไม่มีโอกาส เราพามันมาได้ มันเกินความฝันนั่นแหละ แล้วที่บ้านก็บอกว่า เขาดูตัวอย่างก่อนที่ละครจะออกอะ ย่าผมรอตั้งแต่เที่ยงวันอาทิตย์อะ คือละครออก 22:15 น. (หัวเราะ) แต่ย่ารอตั้งแต่เที่ยงวัน แล้วเขาจะรันโฆษณาที่แบบโปรโมทตลอดไง ย่าดูเป็นร้อยรอบอะ ย่าบอก (หัวเราะ) พอวันอาทิตย์ปุ๊บ ย่าจะไม่ทำอะไรเลยทั้งวัน รอดูแต่หลานอย่างเดียวเลย 

เอิร์ท: ผมรู้สึกภูมิใจมากๆ กับตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่าไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้นะ ว่าแบบ เออ มีซิตคอม แล้วได้เล่นเป็นตัวหลัก แล้วแบบมีป้ายบิลบอร์ดติดเยอะขนาดนี้ มันรู้สึกซาบซึ้งจนบอกไม่ถูก แล้วแบบมันเกินฝันผมนะ มากๆ แล้วแบบว่า เราอยากจะทำให้มันดีขึ้นอีกไปเรื่อยๆ 

ไม่กล้าขึ้นรถไฟฟ้าคนเดียว

วิน: อันนี้ผมขอพูดเลย คือพอตอนที่ละครออนแอร์ คือเรายังถ่ายอยู่ เรายังไม่ได้นั่งดู ก็คือถ่ายละครไปด้วย ในระหว่างที่ละครออกด้วย บางทีเราเดินผ่านใครสักคนนึง แล้วแบบเราเห็นตัวเราก็แบบ หื้ย! (ลากเสียงดีใจ) เจอตัวเองในมือถือ (หัวเราะ) ดีใจอะ เพราะเราไม่เคยเห็นตัวเองในมือถือ หรือว่าในคลิปวิดีโอ อันนี้เป็นสิ่งๆ นึงที่ผมจดจำมากๆ เลยนะ โปรโมทในจอ LED คือเมื่อก่อนถึงจะเดินผ่านกล้อง แต่ก็ไม่เคยเห็นรูปตัวเอง คือสมัยเรียนเราอยากเห็นตัวเอง อยากอยู่บนป้ายโรงเรียน มันก็จะดูเท่เนาะ แต่อันนี้คือเราเห็นเกือบทั่วกรุงเทพฯ มันเป็นอารมณ์ที่เห็นทีไรก็เขินทุกทีอะ

เอิร์ท: ผมอยากลองขึ้นรถไฟฟ้านะครับ อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง เห็นตัวเองอยู่บนรถไฟฟ้า เพราะก็รู้สึกเป็นเกียรติ และรู้สึกแบบโคตรปลื้มเลยนะครับ เห็นตัวเองแบบอยู่ทุกมุมเลย ก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทางช่องที่โปรโมทให้เยอะมาก

มีคนหลงรัก-รัก-เดียว

วิน: ก็เริ่มมีแฟนๆ ครับ เขาก็พยายามทำให้พวกเราจิ้นกันตลอดเลย ทั้งๆ ที่ในเรื่องเราก็กัดกัน พอเจอหน้าก็กัด พอเจอหน้าก็กัด เขาก็บอก “เนี่ย ผู้ชายเขาอุตส่าห์มาคุยด้วย เราไปกัดเขาทำไม โห ไม่เข้าใจเลยอะ” (หัวเราะ) มันเป็นคาแรคเตอร์ๆ (หัวเราะ) ก็มีครับ มีฐานแฟนคลับ เริ่มทักมาคุย ทักสตอรี่ไอจีมา ทวิตเตอร์ก็ยังมีมาบ้าง 

เอิร์ท: ดีใจมาก ดีใจมากถึงมากที่สุด พอเรามีคนฟีดแบคเยอะ เรารู้สึกว่าอยากจะแสดงให้มันออกมาดีโดยที่เขาจะได้ไม่ต้องมาสบประมาทเรา หรือแบบบางคอมเมนต์ที่แบบว่าถาโถมเข้ามา คือผมดูหมดทุกคอมเมนต์นะครับ แล้วเราก็เอาคอมเมนต์ที่เขาติเอาไปพัฒนาต่อ เพราะทุกคนไม่ได้ Perfect ขนาดนั้น เราก็มีสิ่งที่ผิดพลาด 

วิน: อยากใช้การแสดง เพื่อเทคแคร์ทุกคน 

เหนื่อยกายอย่างเดียว เพราะใจรักในงานนี้

วิน: ผมว่าการแสดงมันทำให้ผมเรียนรู้การยอมรับตัวเอง มันทำให้ผมยอมรับตัวเองว่า ตรงนั้นเราเป็นยังไง เราดีมั้ย อะไรที่เรามันไม่ดี เรายอมรับมั้ย เราพร้อมเปลี่ยนมั้ย พอเราเปลี่ยน ทุกอย่างมันก็จะดี ถ้าเรารู้ว่าไม่ดี เราก็เปลี่ยน มันทำให้ผมมีการตัดสินใจ เชื่อในการตัดสินใจของตัวเอง การตัดสินใจของตัวเองที่เราอยากเปลี่ยน เราอยาก ทำให้มันดีขึ้น จนทุกวันนี้มันทำให้มีความเข้มแข็ง พยายามพัฒนาตัวเอง พยายามเชื่อมั่นในตัวเองมากๆ ครับ ก็เลยไม่ค่อยท้อ เพราะท้อมีไว้ให้ลิงถือ (หัวเราะ)

เอิร์ท: ของผม ตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้ มันรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้น

วิน: ไม่ เราโตอยู่แล้วไม่ใช่หรอ

เอิร์ท: อายุๆๆ 

วิน: (หัวเราะ)

เอิร์ท: โตขึ้นในการทำงาน ในการทำงานของเราอะ มันรู้สึกว่า เออ เราได้ขยับขยาย แล้วมันโตขึ้นอยู่แล้วแหละ เพราะว่าในสิ่งที่แบบว่า เราในฐานะนักแสดงคนนึง ที่แบบว่าอยู่ในวงการน่ะ ระยะเวลาที่ยาวนานมากอะ มันอยากจะมีคนเห็น หรืออยากจะมีคนรู้จักเราอะ มันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้มันเคยแบบ เกินฝันแล้ว มันรู้สึกแบบ เออ เรามาถึงจุดนี้ได้ มันก็เหมือนพอมองไป เรารู้สึกว่าแบบ มันผ่านอะไรมาเยอะมาก แล้วรู้สึกเหมือนแบบ ตรงนี้มันได้เติมเต็มในสิ่งที่เราคิด เราฝันมาตลอด

วิน: มองกลับไป แทบจะไม่เห็นตัวเองในอดีตเลยนะ ไม่เห็นตัวเองในอดีตที่เราเคยเปลี่ยนมา มันเห็นปัจจุบันที่มันดีอะ มันก็เลยไม่อยากกลับไปมองอดีต

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า