fbpx

พร จันทพร – นักร้องร้อยล้านวิวที่เชื่อว่ากำลังใจจากแฟนเพลงสำคัญที่สุด

แต่ถ้าเธอรู้แล้ว เธอสิเลิกอยู่เบาะ….

ถ้าอ่านเนื้อร้องข้างบนแล้วคุณสามารถร้องตอบกลับมาได้ทันทีว่า บ่ เฮาเลิกบ่ได้ ขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นแปลว่ารักควรมีสองคน ซิงเกิลลูกทุ่งภาษาอีสานที่กำลังทะยานขึ้นสู่ 50 ล้านวิวนั้นทำงานของมันสำเร็จแล้ว

การที่คนทำดนตรีกลุ่มเล็กๆ นอกกระแสจากท้องถิ่นสามารถทำผลงานออกมาให้โดนใจคนได้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การที่กลุ่มคนจะส่งศิลปินให้มีตัวตนในวงการลูกทุ่งได้ในระยะเวลาอันสั้น และยืนระยะได้อย่างต่อเนื่องด้วยผลงานที่ได้รับกระแสเชิงบวกอย่างต่อเนื่องนั้น บ่งบอกถึงทั้งศักยภาพของต้นสังกัด และศิลปินที่มีความโดดเด่นทั้งเสียงร้องและตัวเพลงที่ทำงานกับความรู้สึกของผู้คน

พร-จันทพร คือศิลปินคนที่ว่า นักร้องสาวเจ้าของฉายา “อิปิ” ที่มีปูหนีบอิปิ ซึ่งกลายเป็นแทร็กเด่นที่คนเต้นตามกันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง รวมถึงเป็นไวรัลเพราะศิลปินไอดอลที่เรารักอย่างลิซ่า Blackpink นำไปเต้นในรายการโทรทัศน์ที่ประเทศเกาหลี หรือฉากเต้นปั่นๆ ของชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ในภาพยนตร์ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟคที่เรียกเสียงหัวเราะได้มหาศาล จนทำให้เพลงของกลายเป็นไวรัลในแพลตฟอร์มออนไลน์ในที่สุด

ตารางคอนเสิร์ตแน่นเอี๊ยดเกือบทุกวัน เพลงหลักล้านวิว กระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องที่เธอได้รับคงเป็นเครื่องพิสูจน์ในความสามารถของพรได้เป็นอย่างดี

วันนี้ Modernist Music Room เปิดห้องดนตรีต้อนรับพรเพื่อพูดคุยถึงชีวิตของนักร้องหลักร้อยล้านวิวที่ถึงตอนนี้จะไม่ค่อยได้ออกงาน แต่เธอยังซุ่มทำเพลงใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ และเบื้องหลังกว่าจะเป็นนักร้องที่ทุกคนต้องรู้จัก สิ่งหนึ่งที่เธอต้องการเสมอมาตลอดการยืนระยะในวงการลูกทุ่งไทย

นั่นคือกำลังใจจากแฟนเพลงที่ทำให้เธอเดินต่อไปได้

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

เพลงลูกทุ่งมีอิทธิพลกับชีวิตขอบคุณอย่างไร

เพลงลูกทุ่งเป็นเพลงที่น้องพรชอบตั้งแต่เด็กค่ะ ก็ร้องมาตั้งแต่เด็กๆ เลย เพลงสตริงน้องพรก็ฟังค่ะ ทุกแนวที่เป็นสากลก็ฟังค่ะ แต่เพลงลูกทุ่งจะเป็นแนวพิเศษที่น้องพรชอบและเป็นคนที่ร้องเพลงลูกทุ่งได้ โดยที่ทุกคนค่อนข้างที่จะยอมรับว่าเราร้องดี แต่ว่าตัวเองก็พัฒนามาเรื่อยๆ จากการร้องเพลงลูกทุ่งน่ะค่ะ ก็คือว่าเพลงลูกทุ่งเป็นเพลงของแนวหนูอยู่แล้วค่ะ เพราะว่าหนูชอบตั้งแต่เด็กๆ สมัยประถมเลยค่ะ

ใครเป็นคนสอนให้คุณร้องเพลงลูกทุ่ง

น้องพรมีคุณแม่ที่ร้องเพลงเป็น ก็ได้ซึมซับจากคุณแม่และพี่ๆ ศิลปินข้างนอก เพราะว่าตั้งแต่สมัยเด็กๆ ก็ได้ติดตามศิลปินหลายๆ คน และเปิดเพลงฟังของหลายๆ ศิลปินค่ะ น้องพรก็เลยซึมซับมาจากพี่ๆ ศิลปินบ้าง จากคุณแม่บ้าง แล้วคุณแม่ก็จะคอยสอนให้เราร้องเพลงประมาณนี้ค่ะ

ตอนเด็กเป็นนักร้องเวทีประกวดหรือแข่งขันร้องเพลงอะไรไหม

ตั้งแต่สมัยเด็กๆ เคยครั้งเดียวค่ะ ไปแข่งที่ไหนหนูก็จำไม่ได้ เพราะหนูก็ยังเด็กมาก แล้วมันเป็นอะไรที่หนูก็ไม่อยากไปนะคะตอนนั้น ด้วยความที่ยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไร ไม่มั่นใจว่าตัวเองร้องเพลงได้หรือร้องเพราะหรือเปล่า ก็มีครั้งเดียวที่ไปประกวด แต่ก็ไม่ได้ที่อะไรกับเขาเลย (หัวเราะ) เพราะด้วยความที่ว่าเราอาจจะยังร้องเพลงไม่เป็น ทักษะเรายังไม่ถึง แล้วก็มีล่าสุดไปประกวดร้องเพลงก่อนที่จะมีเพลงปูหนีบอีปิ ไปประกวดที่โรบินสัน สกลนคร ตอนนั้นไปประกวดหลายวันมาก ต้องคัดเลือกนู่นนั่นนี่อีกเยอะมาก แต่ก็ได้รางวัลที่หนึ่งมา ก็เป็นความรู้สึกแรกและเป็นประกวดแรกเลยที่เราได้เงินมา นอกจากนั้นก็เป็นประกวดของศิลปหัตถกรรมของโรงเรียนอะไรอย่างนี้ค่ะ ธรรมดา

ชีวิตนี้เคยฝันอยากเป็นนักร้องไหม

ฝันมาตลอดค่ะ จะเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนหนูเป็นคนที่ถ้าถูกใครพูดด้วยแล้ว อย่างที่พี่นิก (สะเบอปี้-เจ้าของค่ายพอดีม่วน มิวสิก) พูดกับหนูว่า พี่จะไม่ทิ้งหนู พี่จะเอาหนูมาเป็นนักร้องในค่ายพี่ให้ได้ ก็เลยเป็นความรู้สึกที่รอคอย รอคอยพี่นิก แล้วเราก็มีความฝันอยู่แล้วว่าเราอยากเป็นนักร้องดัง เพราะหนูเคยพูดกับพี่นิว่าเห็นพี่ๆ ศิลปินเขาลงรถตู้มา มีคนกรี๊ดกร๊าด ถ่ายรูป เราก็อยากมีโมเมนต์ประมาณนั้น พี่นิกแกก็เลยเหมือนว่าถ้าเราพูดแล้ว แกก็ต้องทำให้ได้ค่ะ เป็นความรู้สึกว่าเราต้องมาอยู่ด้วยกัน

แล้วคุณรู้จักนิก สะเลอปี้ ได้ยังไง

หนูเป็นรุ่นน้องในโรงเรียนของพี่นิกค่ะ หนูเรียน ม.1 พี่นิกเรียน ม.5 พี่นิกเป็นผู้ชายคนเดียวที่น้องพรปลื้มสุดๆ เพราะว่าเป็นผู้ชายที่ร้องเพลงเพราะมาก (ลากเสียงยาว) ก็เลยเป็นแฟนคลับของพี่เขาตั้งแต่ตอนนั้นมา แล้วมีโอกาสได้พูดคุยกับพี่นิกว่า หนูมีความฝันอยากร้องเพลงนะ ก็อย่างที่พูดน่ะค่ะว่าหนูพูดแล้ว พี่นิกก็อยากจะทำให้ได้ ถ้าพี่นิกพูดแล้ว หนูก็อยากจะคอยพี่นิกนะ มันก็เลยเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้มาอยู่ด้วยกันจนถึงวันนี้

เพลงที่ร้องเป็นเพลงแรกและถูกปล่อยเป็นซิงเกิลแรกในนาม พร จันทพร คือเพลงอะไร

ตอนนั้นพี่นิกพูดคุยกับน้องพรครั้งแรกว่า พี่แต่งเพลงเพลงหนึ่งขึ้นมา แล้วก็อยากทำอัลบั้มให้เป็นธีมนักร้องสี่คน คือมีพี่เมย์ จิราภรณ์, พี่เก่ง ภูไท, พี่หนึ่ง เอกวีร์ และน้องพร จันทพร ทำอัลบั้มนั้นออกมา น้องพรมีเพลงแรกคือน้องฮักหมดใจ อ้ายบ่เคยแคร์ แล้วก็ต่อด้วยผลงานเพลงดำจริงใจ เป็นสองเพลงแรกในชีวิตของน้องพรที่พี่นิกแต่งให้ แล้วร้องเข้าห้องอัดครั้งแรก็คือตื่นเต้นมากเลยค่ะ

ตอนเข้าห้องอัดเพลงครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง

เข้าไปอัดไม่ถึงสองชั่วโมงนะคะ หนูจะนับเวลาค่ะ อย่างดำจริงใจ แต่งประมาณ 30 นาที ซ้อมประมาณ 10 นาที แล้วก็เข้าห้องอัดเลย แป๊บเดียวด้วยความที่ว่าเพลงแต่งออกมาแล้วเพลงมันร้องง่ายค่ะ เราคิดว่าเราร้องโอเคแล้วล่ะ พี่เขาก็คิดว่าโอเคแล้วเหมือนกัน ก็เลยเอาเลย

ในการเป็นศิลปินในค่ายท้องถิ่นภาคอีสาน แล้วดังในระดับประเทศได้เริ่มไม่ใช่เรื่องใหม่แล้ว คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยใช่ไหมว่าปล่อยมาแล้วมียอดวิวพุ่งขนาดนี้มาก่อน

หนูไม่เคยมีโมเมนต์ที่เพลงแตะร้อยล้านวิวในหนึ่งอาทิตย์ พวกหนูพูดกันตลอดค่ะว่าเราคือค่ายเล็กๆ พี่นิกก็พูดตลอด เราไม่ได้แบบว่ามีนักร้องเต็มค่าย เราก็เลยเป็นค่ายเพลงที่พูดเสมอว่า ถึงแม้เราจะมีเพลงดังแค่นี้ แต่เราก็คิดว่าเราก้าวมาไกลนะ หนูถือว่าไกลแล้วล่ะ แต่อาจจะยังไกลไม่พอ ถ้าสมมติเราทำผลงานเพลงให้คนชอบมากกว่านี้ เราอาจจะไปไกลกว่านี้

ช่วยอธิบายบรรยากาศตอนขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีให้ฟังหน่อย

มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากตอนก่อนที่น้องพรจะไปเป็นนักร้อง ตอนนั้นเป็นแดนเซอร์ก่อน เรายังไม่มีคนรู้จักเยอะ เราสามารถที่จะทำนู่นนั่นนี่ จะตีลังกา ฉีกขาอะไรก็ว่ากันไป แต่พอเปลี่ยนบุคลิกไปเป็นนักร้อง ความเป็นแดนเซอร์เราก็ต้องเอาออกไป ก็ต้องไปเป็นนักร้องละ การเต้นก็คือต้องซอฟต์ลง ถ้าเยอะก็จะโดนดราม่าว่าแรงไปหรือเปล่า กระเด้าอย่างนั้นอย่างนี้  งั้นหนูขออนุญาตเต้นซอฟต์ลงและร้องมากขึ้น เพื่อให้มันดูสมูธด้วยกัน การร้องกับการเต้น มันต้องไม่มีอะไรเกินๆ ถ้าสมมติเต้นเกิน แต่ร้องดร็อบลง คนเข้ามาดูเขาอาจจะคิดว่ากูมาดูนักร้องหรือแดนเซอร์กันแน่

ย้อนกลับไปตอนที่คุณคิดถึงภาพในวันที่คุณได้เป็นนักร้อง เมื่อเป็นนักร้องจริงๆ แล้วภาพในจินตนาการเหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง

คล้ายกันเลยค่ะ ก็คือตอนนั้นที่น้องพรมีเพลงปูหนีบอีปิแรกๆ ก็คืองานเยอะมากค่ะ ตัดสินใจลาออกจากงานโรงงานมาร้องเพลงเลย เพราะมีงานเข้ามาเยอะจริงๆ ค่ะ แต่ช่วงที่เพลงนั้นดัง มันจะเป็นช่วงหน้าฝนพอดี ทำให้เราแสดงไม่ค่อยสะดวกเท่าไร คนดูก็ค่อนข้างน้อยด้วย มีคนมาขอจับมือ มาขอถ่ายรูป มันก็เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งตรงที่เราได้ทำตามความคิดของเราได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้มีคนเข้ามาดูจนเต็มห้าง เต็มฮอลล์ หรือไม่มีคนกรี๊ดกร๊าดเราขนาดนั้น แต่ว่าเรามาถึงขนาดนี้ เราก็โอเคแล้วนะที่มีคนมาขอจับมือ แล้วมีคนมาเต้นเพลงเราแบบนี้ได้

จำได้ไหมว่าช่วงนั้นภายใน 1 เดือน เล่นคอนเสิร์ตกี่วัน

เกือบทุกวันค่ะ ก็คือ 5 วันแล้วกันค่ะ แต่ตอนนั้นมีน้องในค่ายแกเป็นคนดูแลคิวค่ะ แกก็เลยเหมือนให้รับวันละคิวพอ เพราะว่าด้วยความที่ว่าเรายังไม่เก่งพอ อาจจะบริหารเวลาอะไรไม่ถูก อาจจะเสียงานเขาและเสียกับตัวเรา เราก็เลยไม่กล้าที่จะไป 2-3 งาน เพราะว่ามันเคยมีเหตุการณ์หนึ่งที่ศิลปินรุ่นพี่เขารับงานหลายงานแล้วพลาด เหมือนไปไม่ทัน แล้วทำให้ทางคนจ้างเขาก็เสียเครดิต เราก็เสียเครดิตกับเขา เขาก็เหมือนต่อว่าเรา หนูก็เลยไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา เพราะว่าถ้ามันเกิดกับตัวหนู หนูคงรับไม่ได้แน่ๆ ร้องไห้ขี้มูกแงแน่

รู้สึกยังไงที่มีศิลปินเอา ปูหนีบอีปิ ไปโชว์ในเวทีระดับโลก

ถ้าสมมติมีคนเอาเพลงปูหนีบอีปิมาเล่นใน TikTok มาเล่นข้างนอก หรือเอาไปร้องในงานคอนเสิร์ต หนูก็ดีใจมากแล้วนะคะที่ยังมีคนที่สนใจงานเพลงของเราอยู่ แต่นี่คือลิซ่า แบล็กพิงค์ ระดับโลกน่ะค่ะ ตอนที่ดูคลิปตอนแรก คือมีแฟนคลับส่งมาให้ดู ตอนนั้นคือไม่เชื่อ คิดว่าไม่ใช่หรอก พี่ลิซ่าจะมารู้จักเพลงเราได้ไง เขาระดับโลกไปถึงไหนแล้ว เรายังอยู่ตรงนี้อยู่เลย แต่พอเราได้มีโอกาสไปดูรายการสดเขา ก็คืออ้าว ใช่เพลงเราจริงๆ เหรอเนี่ย ทำให้หนูกรี๊ดแตกเลยนะ เพราะหนูก็เป็นแฟนคลับพี่ลิซ่าเหมือนกัน ยังมาพูดกับพี่นิกบอกให้เขาดูสิ พี่นิกเขาก็บอกนะคะว่าเพลงเรามีพี่ลิซ่าเอาไปเต้นด้วย แต่ไม่คิดว่ามันจะดังอีกครั้ง ด้วยความที่ว่าคนอาจจะยังไม่ยอมรับ ตอนที่เพลงหนูปล่อย ก็โดนดราม่าเยอะเหมือนกันเรื่องคำสองแง่สองง่าม ก็กลัวคนไม่ยอมรับ 

รับมือเวลาเจอเหตุการณ์ดราม่าหรือเหตุการณ์บูลลี่ในโซเชียลมีเดียในแบบฉบับน้องพร จันทพร อย่างไรบ้าง

สำหรับหนู หนูเริ่มจากการขอกำลังใจก่อนเลยค่ะ ถึงแม้หนูจะบอกว่าหนูไม่อ่าน แต่ก็เห็นอยู่ดีค่ะ ด้วยตาของเราที่เราเลื่อนอ่านคอมเมนต์น่ะค่ะ เราก็เห็นอยู่ดีว่าเขามาด่าเรา เราก็เลยเลือกที่จะขอกำลังใจจากพี่นิกและครอบครัวขจองเราว่า พี่นิก ถ้ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา เราต้องรับมือกับมันอย่างไร พี่เขาก็บอกว่าต้องสนใจมันให้น้อยลงนะ พอเราอ่านหัวข่าว ถ้าเรารู้สึกว่ามันเป็นทางลบ เราเลื่อนผ่านไปอ่านคอมเมนต์ดีๆ ที่จะทำให้จิตใจเราดีขึ้น แล้วมันจะทำให้เราภูมิใจในเพลงของเรา แต่ถ้าเราไปอ่านคอมเมนต์ที่คนอื่นด่าเราหรือดราม่า เราอาจจะเสียความมั่นใจหรือไม่ภูมิใจในผลงานเพลงของเราที่ขนาดพี่ลิซ่าเอาไปเต้น งั้นโอเค หนูจะเลื่อนอ่านคอมเมนต์ที่มันดีๆ แล้วกัน เพราะหนูก็เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นเยอะเหมือนกัน

กำลังใจมีความหมายกับคุณอย่างไรบ้าง

กำลังใจทำให้เรามีแรงทำงานค่ะ ทำให้เราหายเครียดได้เลยนะคะ เหมือน สู้ๆ นะ คำนี้ทำให้เราเห็นว่าพี่เขาบอกให้เราสู้ เราก็ต้องสู้ ทำให้เราทำงานออกมาได้ราบรื่น ออกมาค่อนข้างดี ก็เป็นอีกอย่างที่เราชอบให้คนอื่นให้กำลังใจ เวลาโพสต์เฟซขอกำลังใจ จะมีคนมาให้กำลังใจ หนูก็จะปลื้มใจจังที่เขายังเห็นโพสต์เรา ยังเจียดเวลาเล็กน้อยของเขามาพิมพ์คอมเมนต์ให้กำลังใจเรา

เรียนรู้อะไรบ้างจากการเป็นนักร้องตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ก็เรียนรู้ถึงความยาก ความเหนื่อย ความลำบาก ความสนุก หรือความอะไรก็แล้วแต่ที่มันสามารถจะอยู่ในชีวิตประจำวันของเราได้ มันทำให้เราเจออะไรหลายอย่างค่ะ อย่างถ้าเพลงดัง มันก็ทำให้หนูมีงานดีๆ เข้ามา มีคนจ้างงานเข้ามา ทำให้เราได้ตังค์ แค่เราเห็นตังค์ก็หายเหนื่อยแล้วค่ะ (หัวเราะ)

ในช่วงโควิดแบบนี้ ได้เจอพูดคุยกับแฟนคลับบ้างไหม หรือเราได้เจออะไรในช่วงนี้บ้าง

ตอนนี้สถานการณ์โควิดมาแรงมาก ผู้ติดเชื้อระลอกใหม่ก็คือสุดยอด คุมไม่ได้เลย ก็ทำให้เราได้ผลกระทบจากสถานการณ์นี้เยอะพอสมควรค่ะ เพราะว่าจากที่เราเคยได้ทำงานร้องเพลงหรือทำงานข้างนอก ออกไปขี่รถเล่น เดินห้าง ทุกวันนี้ทำไม่ได้เลย ก็กลัวจะเอาเชื้อไปติดเขาหรือเขาจะเอาเชื้อมาติดเรา เลยทำให้เราได้พูดคุยกับแฟนคลับแค่ในโซเชียล เราไม่สามารถยืนคุยกันและจับมือกอดกันได้เลย ผลกระทบเรื่องการงาน การเงิน มีค่ะ มีทุกคนแน่นอน แต่หนูก็พยายามมากๆที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้ เพราะถ้าไม่ปรับตัวก็คือตายอย่างเดียว

คิดถึงเวทีคอนเสิร์ตไหม

คิดถึงค่ะ คิดถึงมาก อันนี้พูดจริงๆ ค่ะ เพราะว่าแต่ก่อนเราเคยที่จะสนุกสนานเรื่องการออกคอนเสิร์ตหรือการไปดูคอนเสิร์ต เพราะน้องพรเป็นนักร้อง ก็ไปดูคอนเสิร์ตเยอะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตหมอลำใหญ่ หมอลำซิ่ง คอนเสิร์ตของพี่ๆ ศิลปินในค่ายหรือศิลปินทั่วไป น้องพรก็ได้มีโอกาสเข้าไปดู แต่ตอนนี้มันเป็นสถานการณ์โควิด-19 ที่ทุกคนต้องยอมรับน่ะค่ะ ถึงแม้จะทำร้ายจิตใจเราหน่อย ไม่ได้เต้น ไม่ได้ออกคอนเสิร์ต ทำงานอะไรเลย แต่เราก็ต้องยอมรับ เพราะว่าแต่ก่อนมันสนุกสนาน แต่เดี๋ยวนี้คือรู้สึกเงียบ ก็เลยทำให้เราคิดถึง เมื่อไหร่สถานการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนแต่ก่อน

คิดว่า 5 ปีข้างหน้าจากนี้ คุณจะทำอะไรอยู่

ก็น่าจะยังไม่เลิกร้องเพลงค่ะ จะร้องเพลงไปเรื่อยๆ แล้วก็อาจหาธุรกิจอย่างอื่นที่จะมาเป็นอาชีพเสริมให้ตัวเอง และหาอะไรทำที่สามารถจะทำให้เรามีความสุขได้ในภายภาคหน้า

คิดไหมว่าในชีวิตเราจะเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้ จากแดนเซอร์มาเป็นสาวโรงงาน และกลายมาเป็นนักร้องร้อยล้านวิว 

ก็เป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแตกต่างกันและค่อนข้างที่จะมาไกล จากแดนเซอร์ตัวเล็กๆ มาเป็นสาวโรงงานตัวดำ แล้วก็เป็นนักร้องตัวดำเหมือนเดิม (หัวเราะ) แต่ก็มีการแสดงทุกๆ ปี เพราะการทำงานของเรามันสามารถทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าตอนนี้หนูยังเป็นแดนเซอร์ หนูอาจจะมีประสบการณ์ไม่เยอะเท่านี้ ถ้าหนูยังทำงานโรงงาน หนูก็อาจจะได้ออกจากงานแล้วล่ะเพราะสถานการณ์โควิด ก็เลยทำให้เราคิดว่ามันก็แตกต่างกันอยู่นะจากสมัยก่อนที่เราเป็นแดนเซอร์ สาวโรงงาน มันก็ทำให้เรามีประสบการณ์ขึ้นเรื่องการร้องเพลง การออกคอนเสิร์ต หรือการทำงานเพลง

ภาพ: พอดีม่วน Music

ฟังการพูดคุยแบบออกรสที่แม่บ้านชิงน้องพร จันทพร
มาพูดคุยกันได้แบบเต็มๆ ในรายการแม่บ้านชิงเธอ Season 3

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า