fbpx

“อากาศ” ใน “ใต้หล้า” และเส้นทางชีวิตที่ต้องเอาชนะตัวเองของเพลงขวัญ นัตยา

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

บทความเผยแพร่วันที่ 9 สิงหาคม 2564

หากพูดถึงวงการบันเทิงในปัจจุบัน หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นวงการที่เข้าง่าย ออกก็ง่าย เพราะด้วยการมีสถานีโทรทัศน์มากมาย การจะเป็นดาวหนึ่งดวงประดับอยู่บนฟ้าก็คงไม่ง่ายนัก และแน่นอนว่าในปี 2021 นั้น หน้าตาไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าคุณจะได้เข้าสู่วงการบันเทิงได้ง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว

หากคุณยังจำกันได้ รายการประกวดเฟ้นหานักแสดงหรือนางแบบในเมืองไทยที่ฮิตติดลมบนสุดๆ ก็คงหนีไม่พ้น The Face Thailand ที่สามารถครองใจคนไทยมามากกว่าหลายปีด้วยกัน นอกเหนือจากนี้ยังสร้างดารามาประดับในวงการบันเทิงนับไม่ถ้วน แต่กว่าพวกเขาจะผ่านพ้นมาเป็นดารานักแสดงได้นั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนหน้าจอทีวีเลย

“หนูมีความรู้สึกอยากเข้าห้องดำในทุกๆ ตอนเลย”

นี่คือความรู้สึกที่เพลงขวัญ-นัตยา ทองเสน หนึ่งในผู้แข่งขันฯ เปิดใจกับเรา จากวันนั้นที่เธออายุ 18 ปี จนถึงวันที่เธออายุ 23 ปี กับการเป็นนางเอกแถวหน้าของช่องวัน 31 และผลงานละครเรื่องใหม่อย่างห้องสุดท้ายหมายเลข 6 เธอได้เรียนรู้อะไรจากวงการบันเทิงบ้าง?

วันนี้เราจะมาเปิดใจคุยกับเธอกัน

เพลงขวัญในวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้าง?

ก็คือเป็นเด็กบ้านๆ ธรรมดาคนนึงเลยค่ะ ชอบทำกิจกรรมตั้งแต่เด็ก คือตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่อนุบาลหรือตั้งแต่ประถมก็จะชอบทำกิจกรรมที่โรงเรียนนะคะ เพราะว่าที่บ้านก็ไม่ได้แบบส่งไปเรียนเอง แต่ว่าถ้ามีชมรมที่โรงเรียนอะไรแบบนี้ เราก็จะไม่เลือกชมรมที่เป็นวิชาการเด็ดขาด เราก็จะเลือกทำกิจกรรมมากกว่า เช่น รำไทย, เต้น, เล่นกีฬา, เล่นดนตรี มากกว่าค่ะ แล้วก็เป็นเด็กที่ค่อนข้างที่จะอยู่ในกรอบนะคะ ถ้าสมมติว่าเทียบกับเพื่อนๆ เราเขาก็จะซนกว่าเรา แต่ก็มีความดื้อบ้างตามประสาเด็กที่อยากเล่นกับเพื่อน อยากกลับบ้านค่ะ 

จนพอมาตอน ม.ปลาย เราก็เริ่มที่จะมีเพื่อนเยอะขึ้น ด้วยความที่เราตัวใหญ่ เราก็จะได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าแก๊ง แล้วเพลงเป็นเด็กโรงเรียนประจำตอน ม.ปลาย เพราะว่าตอนเด็กๆ ทำอะไรไม่เป็นเลย หมายถึงว่าเราอยากทำนะ แต่เพลงอยู่กับคุณตาคุณยาย ตอนเด็กๆ คุณตากับคุณยายเขาไม่ให้ทำ เพราะเขาไม่ไว้ใจเรา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้เราทำนะ แต่เขาไม่ไว้ใจแล้วว่าเราจะล้างจานไม่สะอาดแน่นอน จนพอ ม.ปลาย แม่เราก็เริ่มคิดแล้วว่าถ้าจบ ม.ปลาย มันจะไปดูแลตัวเองยังไงที่กรุงเทพฯ เพราะว่าต้องมาเรียนที่กรุงเทพฯ แหละ เพลงก็ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำที่ภูเก็ต แล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบในการซักผ้าเอง, รีดผ้า, การเข้านอนให้ตรงเวลา, การทำงานบ้าน เป็นต้นค่ะ

ตอนเด็กๆ อยากเป็นนักแสดงไหม?

ไม่เลยค่ะ คือตอนเด็กๆ จริงๆ เราชอบแบบพวกศิลปะ อยากเรียนพวกศิลปกรรม พวกปั้นเซรามิกอย่างนี้ แต่เราก็เลือกเรียนบริหาร ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมาเข้าวงการบันเทิงเลย แต่พอเราเรียนบริหาร เราก็โดนรับคัดเลือกให้เป็นดาว ทีนี้พอเป็นดาว ก็ต้องไปประกวดของมหาวิทยาลัย แล้วคนก็เลยชวนไปประกวด The Face เราก็ไม่อยากไปค่ะ เพราะด้วยความที่เพลงเป็นคนขี้อายมาก พอเราเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเทพฯ เราก็จะไม่ค่อยมีความมั่นใจที่จะคุยกับใครใหม่ ๆ คือเราไม่รู้ว่าเราจะคุยกับเขายังไง จะวางตัวยังไง ก็เลยทำให้เรากลายเป็นคนขี้อายไปโดยปริยายเลย 

พอไป The Face เพลงจำได้เลยว่าเราไปกับเพื่อนประมาณ 5-6 คน แต่เพื่อนตกรอบหมดเลย ทิ้งเพลงไว้คนเดียว แล้วเพลงก็เข้ารอบ แล้วรอบตัวนั้นมีคนเก่งกว่าเรามากมาย คนที่มาประกวดดูลุคเป็นนางแบบมากๆ คือทุกคนสวยหมด แต่เพลงไม่เคยเรียนเดินแบบ ไม่เคยเรียนการแสดง แต่ก็จับพลัดจับผลูจนถึงเข้าทีมพี่ลูกเกด (เมทินี กิ่งโพยม) ก็ดีใจมากนะพี่ เพราะว่าเราไม่คิดเลยว่าเราจะได้มาอยู่ใกล้ชิดดารา คือเราเห็นเขาแค่ในทีวี มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าแฮปปี้ที่จะอยู่ตรงนี้ แล้วชอบที่จะคุยกับเขา

ความรู้สึกเมื่อเป็นผู้เข้าแข่งขัน The Face Thailand เป็นอย่างไรบ้าง?

คือเพลงมาเรียนที่กรุงเทพฯ คนเดียว และสองคือเราได้มาเข้า The Face คือวงการที่ใหญ่ แล้วเราก็เลยรู้สึกว่าถ้ากลับบ้านตอนนี้เราก็ไม่เป็นไร ก็ได้ไปเรียนหนังสือ ก็ไม่ได้คิดอะไรจนเข้ารอบไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเราไม่กลับแล้ว! มันมาไกลเกินไปแล้ว เราก็คิดว่าเราจะท้อไม่ได้ละ ตอนนั้นเพลงก็เลยคิดว่าเราเหนื่อยจันทร์ถึงศุกร์เรียน เสาร์อาทิตย์อัดรายการ ก็เหนื่อยนะ แต่เราก็ทำ ทำ ทำ จนดีขึ้นเรื่อยๆ พอมีพี่ลูกเกดมาสอนให้เรา ด้วยความที่เราเริ่มเข้าสังคมใหม่ๆ ได้แล้ว กับเพื่อนใหม่ๆ ได้แล้ว ก็เลยมีความสุขมากขึ้นที่จะอยู่ตรงนั้น ซึ่งมันต่างจากตอนแรกที่เราอยากจะเข้าห้องดำให้ได้ในทุกๆ สัปดาห์เลย

เพลงว่าการที่เพลงมีความสุขที่อยู่ตรงนั้นได้คือ เพลงมั่นใจขึ้น เพลงรู้สึกว่าทำไมพอเราทำได้ เราก็จะได้รับคำชม พี่เกดเขาก็จะคอยสนับสนุนและคอยสอน คือเรารู้สึกว่าเรามั่นใจ แล้วเราก็อบอุ่นเวลาที่จะอยู่กับทีม พี่เกดเขามั่นใจมากๆ ที่จะไม่ทิ้งเราแน่นอน เขากล้าที่จะสอน กล้าที่จะพูดกับเรา เขาให้เราไปนอนที่บ้าน คือเขาละลายพฤติกรรมเราหมดทุกอย่าง แล้วรู้สึกว่าเพลงก็ชอบด้วย มันเลยทำให้เราตั้งใจทำ เราทำได้ ก็เลยทำให้เรามั่นใจ แล้วก็ยิ่งทำให้เรายิ่งอยากไปอยู่ตรงนั้นต่อ อยากที่จะชนะต่อ มันก็เลยทำให้เรามี Passion กับตรงนั้นมากๆ 

แต่แค่ตอนแรกคุณก็เข้าห้องดำ (ห้องคัดออก) เลยนะ

คือเข้าห้องดำตอน EP.1 เลย คนแรกเลย แล้วก็เจอกระแสดราม่าเป็นคนแรกในรายการทันที เพราะว่าเราเป็นคนที่เข้าห้องดำแล้วไม่ได้ออก คนที่เก่งกว่าออก แล้วเราเก่งน้อยกว่าพี่เขา แต่เขาโดนให้กลับบ้าน เราเปิด Instagram มา คือคนด่าเป็นพันน่ะ ตอนนั้นก็เครียดนะ ทำไงดีวะ ร้องไห้ แล้วก็เลยโทรหาแม่ ก็บอกว่าไม่อยากทำแล้ว แต่ก็เข้ารอบเรื่อยๆ ก็เลยคิดว่าเราตั้งใจทำ ลบคำสบประมาทดีกว่า เลยทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำมากขึ้น

รับมือกับคอมเมนต์ด้านลบยังไงบ้าง?

คือเพลงจะจัดการความรู้สึกนี้โดยการที่เพลงจะดูก่อนว่าเขาจะพูดว่าอะไร ถ้าพูดถึงงานเรา เรายินดีรับฟัง เพราะว่าบางทีมันอาจจะไม่ถูกใจทุกๆ คน เพราะว่าบางคนไม่ได้เป็นแฟนคลับ คือแฟนคลับเราโอเค เขาพร้อมที่จะสนับสนุนเราเสมออยู่แล้ว แต่คนที่ไม่ได้มาเป็นแฟนคลับเราจริงๆ เขาก็พร้อมที่จะคอมเมนต์ทั้งที่เขาไม่ได้แคร์ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็น หรือเขาจะรู้สึกอะไรไหม เราก็เลยรู้สึกว่าบางทีเราก็ไม่ต้องแคร์ทุกคำก็ได้ คือถ้าไม่ใช่เรื่องงานนะ เพลงคือโดนด่าตั้งแต่การเรียนจนถึงแม่ ถึงตา ถึงยาย 

ตอนแรกเราพูดเลยว่าเราโกรธ ด้วยความที่เราเป็นเด็ก แต่ตอนนั้นเราก็อดทน เพราะว่าเราเลือกที่จะอยู่ตรงนี้แล้ว เราก็ต้องจัดการตัวเอง คือเราจัดการเขาไม่ได้อยู่แล้ว เราก็เลยต้องจัดการตัวเองว่า เรามองข้าม เราไม่ต้องแคร์คำพูดทุกคำก็ได้ที่เขาด่าเรา ตัวเราเคยนั่งหดหู่ ร้องไห้ ไม่อยากไปมหาวิทยาลัย กลัวคนอื่นจะมองว่ามีคนมาด่าเราเต็มเลย ไม่อยากไปเจอเพื่อน แต่พี่เกดก็เป็นคนสอน คือพี่เกดก็โดนด่าไม่น้อยไปกว่าเพลงตอนนั้น เขาก็เลยแบบ “เพลงแคร์ทุกคำไม่ได้นะ ไม่งั้นจะเป็นบ้า” พี่เกดบอกว่าโอเคค่ะ ก็เลยมองข้ามไปบ้างค่ะ

วันแข่งรอบ Final Walk เป็นอย่างไรบ้าง

ตื่นเต้นมาก เพราะเอาตรงๆ เลยนะ เพลงไม่คิดว่าตัวเองจะไปถึงจุดนั้น เพราะ Final Walk มันต้องมี 3 คน แล้วเพลงก็คิดว่าคนรอบตัวเรา เขาก็มีความสามารถในการที่จะเป็น The Face ได้ทุกคน และคือด้วยแคมเปญสุดท้ายเราทำได้ไม่ค่อยดี เพราะว่ามันเป็นคลาสการแสดง แล้วเราก็รู้สึกว่าเราน่าจะสู้พี่ ๆ อย่างเช่นพี่ฟ้า (ภีมสินี สว่างกล้า) เรียนการแสดงมา หรือพี่สกาย (สกาย-มาเรีย เฮิร์ชเลอร์), พี่เกรซ (ณัฐธยาน์ บุญชมไพศาล) ไม่ได้ คือเขามีประสบการณ์มาหมดแล้ว จนพอไปถึงจุดนั้นเราก็รู้สึกภูมิใจมากกว่า คือตื่นเต้นมันตื่นเต้นอยู่แล้ว เพราะว่ามีคนทั้งฮอลล์รอดูพวกเราอยู่ ก็ขอบคุณที่ตัวเองตั้งใจแล้วก็ขยัน มันก็เลยทำให้เรามาถึงจุดนี้ แล้ววันนั้นคือเป็นวันที่แม่เราไปดูด้วย พอลงมาแม่ก็ภูมิใจในตัวเรานะ เราทำให้เขามีความสุข เราก็เลยรู้สึกแฮปปี้ค่ะ

เพราะเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 18 ปี คุณเสียดายช่วงชีวิตวัยรุ่นไหม

ไม่ค่ะ เพลงชอบอยู่แล้ว คือเพลงชอบทำกิจกรรม ถ้าการเรียนก็มาเป็นอันดับแรกแหละ แต่ว่าเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่นเราหายไปนะ เพราะว่าทำงานเราก็ยังเจอเพื่อน ก็ยังไปหาเพื่อน ไปกินข้าว ก็ยังคงใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่นหายไป แต่มันก็จะมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น เพื่อนเพลงก็มองว่ามันเป็นข้อดีที่เรายังเด็ก เรายังได้ทำงาน แล้วเราก็มีโอกาส มีประสบการณ์มากกว่าเพื่อนๆ ในรุ่น เราก็เลยรู้สึกว่ามันก็เป็นข้อดีนะ เราได้หาเงินเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงพ่อแม่ไปด้วย

สำหรับคุณเอง การข้าวงการบันเทิงยากหรือง่ายแค่ไหน

เพลงรู้สึกว่าวงการบันเทิงในปัจจุบันมันมีคนสวยเยอะ คนเก่งก็เยอะ คนแสดงได้ก็เยอะ ที่มันยากคือเราต้องเอาชนะตัวเอง คือเอาชนะคนอื่น เพลงก็เคยลองแล้วนะ เพราะว่าเพลงก็เคยผ่านการประกวดมา เอาชนะคนอื่นไม่ยากเท่ากับการเอาชนะตนเอง เพลงว่าเป็นนักแสดง เราต้องมีวินัยในการทำงาน เช่น เราต้องห้ามหยุดที่จะเรียนรู้ เพราะว่าโลกมันเปลี่ยนไป คืออย่างเห็นได้ชัดเพลงเข้าวงการมา 3-4 ปีเอง แต่เพลงก็รู้สึกว่าการแสดงมันไปได้อีก มันเปลี่ยนไปทุกๆ วัน มันแมสกับคนประเภทไหน แล้วคนมีหลายประเภทมาก เราก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ 

ก้าวแรกที่ช่องวัน 31 เป็นอย่างไรบ้าง

ตอนที่เพลงเข้ามาช่องวัน จำได้เลยว่าวันแรก เพลงเข้ามาแคสต์เป็นนักแสดง เราก็คิดว่ามันถึงอีกก้าวนึงที่เราจะตัดสินใจว่าเราจะทำยังไง เราจะไปหรือจะไม่ไป เพราะว่าตอนแรกเราก็เป็นนางแบบ ซึ่งเราก็มีความรู้ในการแสดงน้อยมาก เราก็เลยเล่นตามสัญชาตญาณอย่างนี้ แล้วเราก็ตื่นเต้นมาก ไม่คุยกับใครอีกเหมือนเดิม แล้วเราก็เจอพี่เฟิร์น (นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล) ด้วยวันแรก เราก็ตื่นเต้น 

แล้วจำได้เลยว่ามีนักแสดงหน้าตาดีเยอะมาก มีเด็กวัยรุ่นที่แบบ เฮ้ย ทำไมเขารู้จักกันแล้ว ทำไมฉันเป็นคนเดียวที่ไม่รู้จักใครอีกแล้ว มันก็เหมือนกับได้ย้ายโรงเรียนใหม่ แล้วก็รู้สึกว่าเราก็ได้เรียนรู้จากที่ The Face ว่าถ้าเราอยากจะคุยกับเขา เราต้องทำตัวยังไง เราต้องวางตัวยังไง ก็เลยแบบเก้ ๆ กัง ๆ แต่เราก็รู้สึกว่าเราตัดสินใจถูกที่เรามา เพราะว่าเราก็เริ่มจากการลองหมดเลย คือลองทำ ลองทำ ลองหาประสบการณ์ มันไม่มีอะไรจะเสียตอนนั้น เรายังเด็ก ยังมีเวลาเรียนรู้อีกเยอะ แล้วเพลงก็เลยลองทำ ลองไป Casting เป็นนักแสดงของช่องวัน

หลังจากได้เป็นนักแสดง คุณได้พัฒนาศักยภาพการแสดงมากแค่ไหน

ช่วยมากเลยนะคะ เพราะว่าก่อนหน้านี้เพลงไม่เคยเล่นร้ายเลย เรื่องห้องสุดท้ายหมายเลข 6 ได้เล่นบทนางร้ายเป็นเรื่องแรก ตอนนั้นที่เล่นเป็นผู้หญิงหวาน เรียบร้อย ใส่กระโปรงยาว ไม่วีน ไม่เหวี่ยง ยิ้มอย่างเดียว ใช้สมองในการแก้ปัญหาอย่างเดียว เราก็เลยรู้สึกว่าเราไม่เคย มันก็เป็นบทบาทที่แปลกใหม่อีกสำหรับเราที่ไม่เคยรับบทบาทแบบนี้เลย เล่นร้ายเป็นเรื่องแรกด้วย แล้วเรื่องแรกก็เล่นเป็นผี เป็นผีร้ายเลย มันทำให้เพลงได้เห็นมุมมองอีกมุมมองนึงในการแสดง เพราะว่าพอเพลงได้รับบทนี้ เพลงก็ต้องไปเรียนเพิ่ม เพราะอยากทำมันให้ดีที่สุดแหละ 

แล้วก็ได้เห็นมุมความคิดอีกมุมนึงของคนประเภทนี้ว่าเขาคิดแบบไหน เราก็ได้เห็นโลกกว้างขึ้น พอเรายิ่งทำการบ้านกับตัวละคร ตัวละครมันค่อนข้าง Dark นะคะ มันก็เลยเกิดความเข้าอกเข้าใจในตัวละครมากขึ้นด้วย แล้วเพลงก็มีโอกาสไปเรียน Voice เพิ่มด้วย เพราะว่าพอเป็นผีมันต้องกรี๊ด แล้วต้อง control เสียงไม่ให้เราบาดเจ็บ เพราะว่าพอเพลงกรี๊ดแล้วถ้าเราใช้เสียงไม่เป็น เราเจ็บคอแน่นอน เพลงก็เลยต้องไปเรียน คือได้รู้อะไรใหม่ ๆ อีกหลาย ๆ อย่างที่บทของ “เบล” เนี่ยมอบให้กับเพลง

จากนางแบบสู่นักแสดง ไกลจากตัวตนของตนเองไหม

มันไกลกว่าที่เพลงคิดไว้เยอะมาก เหมือนที่เพลงบอกว่าตอนแรกยังไม่คิดเลยว่าจะได้มาเป็นนักแสดง แล้วได้มาเป็นนางแบบ มันก็เกินกว่าที่เราคิดว่าเราทำได้ เราทำได้ไปเรื่อยๆ แล้วด้วยความที่เพลงได้ลองทำ เพลงก็ได้พบกับ Passion ที่บอกได้ว่าอาชีพนี้แหละที่เราชอบ เรารู้สึกว่าทำไมเราไม่หมด Passion กับอาชีพนี้เลย เราอยากที่จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ คือเราสนุกในการที่จะเรียน เพลงรู้สึกว่ามันก็ไกลนะคะ แต่ว่ามันไม่ได้ไกลเกินฝันเพลง เพลงรู้สึกว่ามันไปได้อีก เพลงคิดว่าตัวเองทำได้มากกว่านี้

แล้วการตรงต่อเวลาก็สำคัญ เพราะว่ามันก็คือความรับผิดชอบ คือด้วยความที่เพลงทำงานเป็นนักแสดง เราไม่ได้ทำงานคนเดียว เราทำงานเป็นทีมค่ะ เพลงรู้สึกว่าการตรงต่อเวลาสำคัญมาก เพราะเราก็ไม่อยากไปเป็นภาระให้กับคนอื่น แล้วก็ต้องดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ คนเห็นแล้วว่าเราหน้าตาเป็นยังไง ผิวพรรณ หุ่น เป็นยังไง คือมันเป็น First Impression ของนักแสดงอยู่แล้ว แต่เพลงไม่ได้เอามาตัดสินว่าตรงนี้มันคือที่สุดของการเป็นนักแสดง มันต้องมีฝีมือด้วย เพลงว่ามันก็ต้องหลายองค์ประกอบ ฉะนั้นเราก็ต้องหมั่นทบทวนตัวเอง คุยกับตัวเองเยอะ ๆ ว่าเราขาดอะไรไป มองตัวเองเยอะ ๆ ว่าเราขาดอะไร เราบกพร่องตรงไหน เพลงว่ามันจะทำให้เติมเต็มความเป็นนักแสดงได้มากขึ้น แล้วมันก็จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

เรียนรู้อะไรจากการลงไปแสดงจริงๆ บ้าง

ถ้าสมมติว่าเรียนในห้องเรียนมันก็จะมีแบบ Exercise ของนักแสดงที่มันมีอยู่ในห้องเรียนอยู่แล้ว แต่ประสบการณ์นอกห้องเรียนมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีใครมาบอกเรา เหมือนอย่างเช่น เพลงได้ร่วมงานกับพี่แหม่ม คัทลียา แมคอินทอช เขาไม่ได้มาบอกเราหรอกว่าเขาเก่งยังไง เขาถนัดด้านไหน แต่เราต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าเขามีวิธีการยังไง แล้วคือพอเป็นผู้ใหญ่เขาก็จะมีแบบ แป๊บเดียวเขาเข้าอารมณ์ได้เร็วจัง แล้วเราก็มานั่งคิดว่า ทำไมเราต้องมานั่งบิลด์ กว่าเราจะร้องไห้ได้เนี่ย เราต้องนึก Back Story นานมาก 

แต่ที่เพลงเห็นเลยก็คือเราต้องขยันฝึกฝน คือการแสดงเนี่ยมันจะพูดว่าไม่ฝึกซ้อมก็ไม่ได้นะคะ เหมือนเพลงอ่านบท มันอ่านรอบเดียวก็ไม่ได้ เราอย่าไปทำการบ้านหน้าเซ็ต อันนั้นคือสิ่งที่เพลงต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะว่าเราทำงานกับหลายคน แล้วพอเรายิ่งกดดันมันก็ยิ่งทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ที่เพลง Work From Home เพลงก็ต้องอ่านบทอยู่เสมอ เพราะว่าเพลงก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์มันจะดีขึ้นตอนไหน แล้วถ้าสมมติว่าเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิดล่ะ? ถ้าทุกอย่างพร้อม มันหายดีกว่าที่เราคิด มันจะต้องทำยังไง เราก็จะไม่พร้อมเหรอ? มันก็ไม่ใช่ Professional เราก็เลยคิดว่าต้องมีความรับผิดชอบ มีวินัย 

อุปสรรคสำคัญกว่าจะมาเป็น “เพลงขวัญ”

ถ้าสมมติเอาตั้งแต่เริ่มเลย เพลงเป็นคนที่พูดเหน่อมาก แต่เราเป็นนักแสดง หนึ่งหน้า สองเสียง มันก็ไม่ได้แล้ว มันดูไม่น่าฟัง แล้วเพลงกลัวคนดูจำภาพว่าเพลงพูดเหน่อ เพลงก็เลยต้องหยุดพักการแสดงก่อน หยุดสมัครแคสติ้งละครแล้วไปเรียนพูดก่อน อันนั้นคืออุปสรรคที่ต้องมานั่งบ่นว่าทำไมมันยากจังเลย คือมันก็จะมีความเหน่อเป็นสำเนียงทองแดง เพราะเราเป็นคนใต้ แต่เราก็รู้นะว่าวิธีการที่จะแก้มันคืออะไร เราก็เลยไปเรียน อ่านหนังสือให้บ่อยขึ้น แล้วคือเมื่อก่อนเพลงพูดภาษาใต้กับแม่ คือตอนนี้เราก็บอกว่าเราไม่พูดภาษาใต้กันแล้วนะ แล้วเพลงเป็นคนพูดเร็ว มันก็ต้องแก้ ไปเรียนพูด ไม่ได้เรียนร้องเพลงด้วยนะ เรียนแบบพูดภาษาไทย เรียนพูดให้ชัด เป็นแบบนี้อยู่ประมาณ 3-4 เดือน กว่าจะได้กลับไปแคสต์ละครต่อ ซึ่งมันยากค่ะ เพราะว่าเพลงฟังไม่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองพูดเหน่อ ต้องให้คนอื่นมาฟังหรือไม่ก็ต้องอัดเสียง คือทุกครั้งที่เพลงกลับมาบ้าน หลังจากเรียน เพลงก็จะอัดเสียงตัวเองอ่านหนังสือ แล้วก็ฟัง เหมือนต้องบังคับตัวเองให้พูดช้า ชัด แล้วพอไปถึงหน้าเซ็ตหรือเวลาเราเอาไปใช้งานเนี่ยเราพอดี มันก็จะมีเทคนิคที่ครูเขาเคยสอนเพลง เหมือนเมื่อก่อนพูด ต. เต่าไม่ได้ พูด ต. เต่าไม่ชัด เพราะว่ามันก็จะมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แบบ ถ้าเรารู้ เราก็ควรที่จะแก้อย่างนี้ 

อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณยังเป็นนักแสดงจนถึงวันนี้?

อาชีพนักแสดงมันทำให้เพลงได้เห็นอีกหลายๆ อาชีพ เพราะว่าความเป็นนักแสดงมันมีเสน่ห์ของมัน ส่วนตัวเพลงเห็นเสน่ห์ของมันโดยการที่เราเป็นอาชีพนักแสดง แต่ได้แสดงเป็นหมอ ได้แสดงเป็นอาชีพบริหาร มันทำให้เพลงนั้นได้เรียนรู้ แล้วเพลงตกหลุมรักในการที่จะเรียนแบบนี้ แล้วสำคัญที่สุดเลยคือรายได้มันพอสามารถที่จะดูแลตนเองได้ ทำให้แม่ไม่เป็นห่วง มันทำให้เพลงได้เจอคนใหม่ ๆ ด้วย มันทำให้เพลงกล้าที่จะเจอคนใหม่ ๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ คือเจอคนหลายประเภทมาก ไม่ว่าจะเป็นพี่นักแสดงหรือว่าแฟนคลับทั้งหลาย  แล้วเพลงรู้สึกว่าเรามีความสุข แฮปปี้ที่จะทำมันต่อ 

และเพลงก็อยากที่จะเอาชนะ อยากประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ เพราะเพลงถือว่าอาชีพนี้ให้อะไรหลายอย่าง ให้ความรับผิดชอบ ให้วินัย ให้ข้อคิดเราหลายอย่าง เพลงรู้สึกว่าตอนนี้้เราทำสิ่งนี้ได้ เราก็อยากทำให้มันดีที่สุด เพราะว่าเราก็เห็นค่าในโอกาสที่ผู้ใหญ่เขาให้เรา เราก็รับรู้ได้นะว่าเขาเอ็นดูเรา เขารักเรา เราก็อยากทำให้สิ่งที่เราได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจ อยากทำให้ผู้บริหาร แล้วก็แฟนคลับภูมิใจ สุดท้ายก็อยากทำให้ตัวเองภูมิใจแบบ สะใจ ฉันทำได้แล้ว ก็เลยยังอยากที่จะทำมันต่อไปอีก

นักแสดงอย่างคุณเรียนรู้อะไรในวัย 23 ปีบ้าง

เพลงรู้สึกว่า 23 ปีที่ผ่านมา เพลงต้องอดทนกับทุกอย่าง คือด้วยความที่เราไม่เคยทำงาน พอเราทำงาน เรามาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว อดทนเรียนอยู่คนเดียวได้ รู้สึกว่ารู้จักวิธีการจัดการปัญหาในแต่ละอย่างในชีวิตเนี่ย มันก็จะมีดิ่งบ้าง มีดาวน์บ้าง แต่เราก็ไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยถอย สู้มาตลอด เพลงรู้สึกว่าตรงนี้ที่เห็นชัดเพราะว่าเมื่อก่อนเพลงเป็นเด็กเอาแต่ใจ เป็นเด็กดื้อ อาจจะลูกคนเดียว คือคิดอะไรไม่เป็น จนพอเรามาทำงานตรงนี้ เรารู้สึกว่าเราสามารถรับผิดชอบชีวิตตัวเอง แล้วก็เป็นคนที่สู้มาก แข็งแกร่งและมีความพยายาม

อนาคตอยากพัฒนาตัวเองไปทางใด

อยากเล่นคอมเมดี้มาก อยากเล่นละครคอมเมดี้แบบดรามาคอมเมดี้อย่างนี้ โรแมนติกคอมเมดี้ก็ได้ อยากเล่นมาก แล้วเราก็รู้สึกว่าตอนนี้เราก็ยังคงมั่นใจว่าเรายังคงทำอาชีพนักแสดงต่อไป ไม่ว่า 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า ก็จนกว่าเราจะประสบความสำเร็จ ดังและเป็นที่รักของทุกคนในประเทศและนอกประเทศ มันคือความฝันสูงสุดของนักแสดงแล้ว เพลงก็อยากจะเป็นแบบนั้น แล้วก็คงต้องเรียนรู้ไปอีกเรื่อยๆ เพราะว่าเพลงก็อายุแค่ 23 มันมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ ก็พยายามที่จะหาความรู้เข้าตัวเองอยู่ตลอด พยายามพัฒนาตัวเอง ลบคำสบประมาทต่างๆ ที่ทุกคนได้เคยพูดไว้


Modernist The Five
5 นักแสดงที่เพลงขวัญ-นัตยา ทองเสน
ยกให้เป็นขวัญใจในการแสดง

1
อึซึงกิ

อีซึงกิ เตรียมคัมแบคผลงานการแสดง ในซีรีส์ใหม่ ช่อง tvN

เขาเป็นนักแสดงที่หล่อแล้วก็เก่งมากด้วย แต่แบบมีเสน่ห์ของเขาอยู่ เพลงก็เลยรู้สึกว่าเพลงชอบเขา เพลงติดตามซีรีส์เขา 2 เรื่องเองนะ แต่เพลงก็รู้สึกว่าชอบการแสดงมาก 

2
แหม่ม-คัทลียา แมคอินทอช

Ο χρήστης ท่านแพนด้า στο Twitter: "พี่แหม่ม คัทลียา  ควรได้แดซัง!(เสียดายบ้านเราไม่เหมือนที่เกาเลยไม่มีแดซัง)  ปีนี้เป็นปีที่แหม่มคัมแบ็ควงการบันเทิงในด้านละครลงรัวๆ แล้วปังมาก  การแสดงคือชอบมาก - #เมืองมายาLIVE - #วิมานจอเงิน - #เลือดข้นคนจาง #โทรทัศน์  ...

คนนี้นี่คือเป็นแม่แม่ที่น่ารักของเพลงเสมอ การแสดงก็คืออย่างที่ทุกคนเห็น ว่าการแสดงดีมาก เป็นนักแสดงมากฝีมือมากๆ 

3
ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ 

ใบไม้ที่ปลิดปลิว ตอนที่ 6-7 เรื่องย่อละคร (ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก, พุฒ พุฒิชัย)  - YouTube

4
แอนเจลีนา โจลี

Image result for angelina jolie 2005 | Angelina jolie hair, Angelina jolie  makeup, Angelina jolie style

ชอบตอนที่เขาเรื่อง Mr. and Mrs. Smith 

5
อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม

4 ดาราชาย สไตล์เซอร์ๆ เวอร์ชั่นไทยๆ ไลฟ์สไตล์ดาร์กๆ แต่เป็นแบบอย่างที่ดี -  The Macho

ชอบเพราะเขาหล่อ! (หัวเราะ)

พิสูจน์อักษร: กนก อำนวยพร

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า