fbpx

การเติบโตและความเจ็บปวดในวงการเพลงของ “แพทริค อนันดา”

หากจะพูดถึงศิลปินรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันนี้ที่มีผลงานเพลงอันโดดเด่น ชื่อของ patrickananda หรือว่าแพทริค – อนันดา ชื่นสมทรง ศิลปินจากค่าย D.U.M.B. Recordings (ดัมบ์ เรคคอร์ดดิงส์) ภายใต้สังกัด Warner Music Thailand คงเป็นอีกชือหนึ่งที่ใครหลายคนนึกถึง ด้วยลีลาการแต่งและร้องเพลงที่โดเด่นของเขา และผลงานที่ผ่านการพิสูจน์มานับไม่ถ้วน

วันนี้ Modernist Music Room เปิดบ้านต้อนรับเขา หลังจากที่เราเคยสัมภาษณ์เขาไปเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ไม่น่าเชื่อว่าด้วยระยะเวลาทำให้ผมและเขาต่างโตขึ้น เขาขึ้นแท่นเป็นศิลปินเบอร์ต้นๆ ที่ใครๆ จดจำเขาได้ด้วยลูกเล่นที่หลายคนชอบ ในขณะที่ผมก็ทำบริษัทสื่อเต็มตัวสักที แต่สิ่งที่เขาไม่เปลี่ยนไปสำหรับผมเลยก็คือ การมีแรงผลักดันและแรงขับเคลื่อนในการอยากทำเพลงด้วยตัวของเขาเอง

ผมนัดเจอเขาที่ Warner Music Thailand และเริ่มพูดคุยกับเขา แน่นอนสิ่งแรกที่เราทักหากันก็คือใครนอนดึกกว่ากัน ซึ่งเขาชนะด้วยการนอนตอนตี 5 เพราะเขามักจะตื่นเต้นกับการได้สัมภาษณ์เช่นเคย และในครั้งนี้เราจะมาดูการเติบโตของเขากันครับ


มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

1
แรงบันดาลใจคือเพลง ไม่ใช่การเรียน

ในช่วงการเรียนมหาวิทยาลัย ผลการเรียนถือว่าพอใจไหมในตัวของเรา

ทำเพลงดีกว่าเรียนครับ ถ้าพูดตรงๆ นะ คือตอนเรียนก็เหมือนแบบว่าเราก็ไม่ได้อยากเรียนตรงนั้นอยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่พ่อแม่อยากให้เรียนมากกว่า ซึ่งเราก็ทำให้ได้ ณ ตอนนั้น คือจริงๆ เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าอยากทำเพลงตั้งแต่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตอนนั้นคืออยากจะแบบจบแล้วก็ออกมาทำเพลงเลย เต็มเวลา แต่เขาไม่โอเคกับการที่เราจะไม่เรียนมหาลัย ก็เลยไปเรียนครับ ฉะนั้นก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่เราก็ทำเต็มที่นะ เหมือนเราก็พยายามไม่ให้ตก แล้วเกรดเราก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น ก็ถือว่าจบ

อยากรู้เส้นทางกันการเข้าสู่วงการดนตรี จุดเริ่มต้นมันคืออะไร

ผมส่ง Demo ไปเรื่อย ๆ คือในประเทศไทยนะ ผมส่งไปเกือบหมดแล้วทุกค่ายแล้วจริงๆ แต่มีที่เดียวที่ตอบคือที่นี่ ก็กลายเป็นค่ายที่อยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเราเริ่มจากทำเพลงไม่เป็นเลยนะ เขียนเพลงไม่เป็นด้วย ทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากร้องเพลงได้นิดหน่อย แต่คือเล่นกีต้าร์เล่นเปียโนไม่เป็นเลยนะ ใช้โปรแกรมบนคอมไม่เป็นเลย คือฝึกเองตั้งแต่ 0 เลย คือไปซื้อของมาแล้วก็นั่งทำกับ YouTube  สมัยเรียน แล้วก็ฝึกจากการฟังเป็นหลักเลยนะ คือบางทีการทำเพลงมันคือการเรียกว่า Generate เสียงออกมาจากหัวของเรา อย่างคนที่ทำเพลงหรือนักแต่งเพลงเขาจะมีเสียงในหัวอยู่แล้ว เราแค่ต้องพยายามเอามันออกมาบนคอมให้ได้ เช่น เราได้ยินเสียงแบบประมาณนี้ เป็นเสียง synth หรือเป็นเสียงอะไรที่แบบแหลมๆ เราก็ต้องหาเสียงแบบที่มันใกล้เคียงที่อยู่บนคอม ก็คือจินตนาการแต่ว่าแค่ทำให้มันเป็นรูปธรรมมากขึ้น

แล้วมาเริ่มร้องเพลงจริงจังเมื่อไหร่

เหมือนเราเริ่มประกวดร้องเพลงแล้วกัน ตอนประมาณอายุ 17-18 ปีก็ไปตามแบบรายการ The Voice, The Star, La Banda, X’ Factor ก็เกือบหมดแล้วนะ ขาดแค่ชุมทางเสียงทอง (หัวเราะ) แล้วก็ AF ไปก็ครบหมดแล้ว ซึ่งเราไม่เคยติดรอบสุดท้ายเลย มีเข้าไปลึกสุดน่าจะ La Banda แต่ก็ยังไม่ได้ร้องเพลงเลยนะตอนนั้น ก็ขึ้นเวทีไปเขาต้องกดไง ต้องเกิน 80% ถึงจะได้ร้องเพลง แต่ตอนนั้นเราได้ประมาณ 79% ซึ่งก็ไม่ได้ร้อง คือไปก็ไม่ได้ร้องเพลง ซึ่งที่ตัดสินใจไปประกวดเพราะเราอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง ตอนนั้นทำเพลงไม่เป็นแล้วเรารู้สึกว่าถ้าเราประกวดร้องเพลงแล้วถ้าเราชนะเราคงได้ออกเพลง แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นผลสำเร็จเท่าไหร่ในการประกวดร้องเพลง ก็คือไม่เคยเข้ารอบลึกเลย จนเราตัดสินใจแบบว่าไม่อยากประกวดร้องเพลงแล้ว ก็เลยแบบว่ามาทำเพลงเอง ไปซื้อของมาเอง ไปยืมเงินป้ามา 30,000 บาทแล้วไปซื้อของมาทำเพลง ซึ่งเราก็ซื้อแบบทุกอย่างที่เป็นพื้นฐาน ราคาไม่ได้แพงมาก

แล้วตอนนี้ที่เริ่มทำเพลงเองมันเป็นอย่างไรบ้าง

เหนื่อยมาก เพราะว่าเอาจริงๆ เราไม่ได้เก่งคอมอยู่แล้ว แล้วเราก็ไม่ได้เล่นเครื่องดนตรีชิ้นอื่นเป็นด้วย เราตีกลองเป็นอย่างเดียว แล้วมันไม่ใช่เครื่องที่สำคัญในการทำ melody และตอนนั้นเราก็เขียนเพลงไม่ได้ด้วยแหละ เราเริ่มจากแบบไม่รู้อะไรเลยจริงๆ คือเราซื้อมาก่อนแล้วค่อยมาหาวิธีว่าจะทำยังไงกับมัน ก็นั่งงงเหมือนกันประมาณแบบครึ่งปีกว่าจะได้บีทออกมาสักอันนึง

ตอนทำเพลง Polaroid รู้สึกหนักที่สุดตั้งแต่ทำเพลงมาหรือเปล่า เพราะว่ามันเป็นเพลงแรก

เป็นบีทที่ทำอยู่ปีนึง เป็นเพลงที่ทำอยู่ปีนึง คือก่อนที่จะเป็น Polaroid คือเราไม่รู้เลยว่าเราชอบ Sound แบบไหน  คือเหมือนเรารู้แต่เราทำออกมาแล้วยังไม่ใช่แบบที่เราต้องการ มันเหมือนอยู่ในหัว แต่ว่ายังเอาออกมาไม่ได้ แล้วเสียงที่ออกมามันยังไม่ตรงกับที่เราอยากได้ ก็ทำอยู่ปีนึง แล้วตอนนั้นก็ฝึกจาก YouTube ล้วน ๆ เลย ซึ่งเราใช้เวลาไปเยอะมากในการดู YouTube ดูเขาสอนทำเพลง มีศิลปินมาสอนทำเพลงของตัวเองว่าเพลงนี้มีเสียงอะไรบ้างที่เขาใช้ เราก็ไปดูตาม เราก็ไปหาตาม เอาเสียงอันนี้มาจากตรงนี้นะ หรือว่าไปโหลดตามอะไรแบบนี้

เรารู้สึกมีความมั่นใจไหมว่าเราจะต้องได้เข้าค่ายเพลงสักค่าย

ไม่เลย ไม่มีความมั่นใจเลย ตอนแรกคิดว่าไม่อยากอยู่ค่ายเพลงด้วย เพราะเหมือนเราไปศึกษามา เรื่องประวัติของคนอื่นๆ ที่เขาเคยอยู่ในค่ายเพลงแบบนี้ ของหลายคนเลยแล้วมันเป็นลบหมดเลย มีเรื่องการติดหนี้กับค่าย คือถ้าลองไปค้นหาดูมันมีหลายเรื่องเลย เช่น เคยโดนโกง แล้วตอนแรกก็กลัวเพราะว่าเราตัวคนเดียว เราไม่รู้เรื่องอะไร แล้วก็ไม่ได้มีประสบการณ์และความรู้ เลยไม่ได้คิดถึงค่ายเพลงเลย แต่สุดท้ายเรารู้สึกว่าเราคงไปไม่รอด ตอนนั้นเราไม่ได้ทำเพลง ตอนนั้นไม่ได้เก่งขนาดนั้น ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เก่งนะ ตอนนั้นคือสิ่งที่ผมถนัดคือการเขียนเพลงเป็นหลัก ส่วนการทำบีทก็จะเป็นรองลงมา ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกขาดคนที่แบบจะมาทำบีทให้ เลยอยากมาดูค่ายเพลง

ตอนที่ส่ง Demo ไป เราใช้เพลงอะไรร้องหรือว่าเราแต่งเองเลย

ส่งไป 3 เพลง เพลงแรกคือเพลงคนไกล แล้วคนไกลก็ไม่ได้มีดนตรีอะไรเลย มีแค่กีต้าร์อย่างเดียว เหมือนกับ Master อย่างที่ได้ฟังกันทุกวันนี้ใน YouTube กับ Spotify เพราะว่าตอนนั้นก็รู้สึกว่าเพลงนี้น่าจะมีแค่นี้ แล้วก็มีเพลง Polaroid และเพลง 12th ส่วนมากหลาย ๆ คนจะชอบคนไกล

ตอนเข้ามา Warner Music Thailand ครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง

เกร็งนะ ยังรู้สึกเหมือนแบบว่าเราไม่ได้มั่นใจในสไตล์เราขนาดนั้น แต่ว่าพอมาเรื่อย ๆ เราก็มีพี่ๆ ในค่ายที่ชี้แนวทางให้ในระดับหนึ่งเลยนะ แบบว่าเขาก็บอกว่าเรามีข้อดีตรงที่เราเขียนเพลงได้ การที่เรามีเสียงเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทุกวันนี้เราก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น คือ เวลาเราร้องเพลง เราแค่ร้องออกมา โดยไม่ได้คิดว่าจะต่างจากคนอื่นหรือเปล่า แต่คนอื่นเขาบอกว่ามันแตกต่าง พยายามใช้มันให้เต็มที่แล้วกัน ก็เลยทำอย่างนั้นมาเรื่อย ๆ ก็พยายามชูเสียงร้องเป็นจุดขายหลัก

การที่โดนค่ายนี้เรียกขึ้นมา มันเกิดความรู้สึกอย่างไร

น่าจะเป็นเพราะว่าค่ายเพลงด้วย พี่คือเราคุยกันสักพักเลยนะ คุยกันอยู่นานเหมือนเรามีคนคุย เขาก็เรียกเราไปคุยอยู่หลายรอบเหมือนกันนะ จนเราตัดสินใจว่าเราจะคบด้วย แล้วก็คุยกันอยู่นาน คุยกันประมาณปีนึงได้ ก็ไปทำเพลงด้วยกัน คุยเรื่องแบบแนวเพลง ซึ่งก็พบว่าเรามีแนวเพลงที่คล้ายกันมาก แล้วก็จริง ๆ รู้สึกว่าโชคดีเพราะว่าเคย เคยคุยกับโปรดิวเซอร์คนอื่นแล้วรู้สึกว่าเขาไม่ได้เข้าใจเราขนาดนั้น แต่เขาเข้าใจเราแบบเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ทุกวันนี้ก็คือแบบสบายใจแล้วทำเพลงกับค่ายนี้ก็สบายใจมาก คือเรามั่นใจว่าทุกอย่างจะมาอย่างที่เราต้องการแน่นอน เพราะว่าเขาเข้าใจเราเต็มๆ แล้ว

เขามีการเสนอเรื่องปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์บ้างไหม

คือตอนนั้นเราปรึกษาเขาเรื่องสไตล์การแต่งตัว เราแต่งตัวไม่เป็น ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าแต่งไม่เป็นนะ แต่ตอนนี้เรารู้มากขึ้นว่าเราชอบอะไร เราชอบโมโนโทน ตอนนั้นทางค่ายคือรู้สึกว่าเราเป็น D.U.M.B. เราเป็นค่ายแบบซิ่ง ๆ หน่อย อยากให้แพทริคลองใส่เสื้อผ้าแบบสีจี๊ด ๆ หน่อย แต่งแบบเครื่องประดับเต็มๆ ใส่ฮู้ดดี้ ใส่หมวกไหมพรม มีความอินเตอร์ มีความฝรั่งนิดนึง ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้สไตล์เราชอบอะไรเหมือนกัน ก็เลยโอเคลองแต่ง สุดท้ายเราก็ค้นพบว่าเราไม่ได้ชอบแบบนั้น หลังจากนั้นก็บอกเขาว่าจริง ๆ แล้วเราอยากแต่งอะไรแบบนี้ แต่งเรียบ ๆ ซึ่งเขาก็ไม่เชียร์ เขาบอกว่าแบบ แต่งเรียบ ๆ แล้วมันจะ Stand out ได้ยังไง เราเป็นคนที่อาจจะเพราะเป็น introvert  ด้วย เราไม่ชอบเป็นจุดสนใจ เราเลยเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าสีดำขาว สีพื้น ๆ เราไม่ชอบเป็นจุดสนใจ

นอกจากนั้นแพทริคต้องฝึกการพูดของตัวเองนานไหมกว่าจะสัมภาษณ์สื่อได้

คือเราจะเป็นคนที่ความคิดในหัวมันไปเร็วกว่าที่เราพูดออกมาตลอด ก็เลยใช้เวลาฝีกนานหน่อย แล้วด้วยความที่เราไม่ค่อยได้ออกไปเจอคนด้วย เพราะว่าเราเลิกเรียนเราก็กลับห้องทุกวันเลยนะ  ไม่ได้ไปไหนเลยนะ คือทำเพลงทุกวันจริงๆ แทบจะไม่ได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่น ณ ตอนนั้นเลย ไม่ค่อยได้คุยไม่ค่อยได้สังสรร ขาดการสื่อสารกับคนอื่นไปจริงๆ แล้วมันกระทบจริง ๆ ด้วยนะ ซึ่งก่อนที่จะทำเพลงเราก็เป็นคนปกติ พูดปกติ สื่อสารได้ปกติ แต่พอมาทำเพลง พอไม่ได้เจอคน มันก็ไม่ค่อยได้คุยกับใคร พอจะพูดก็ตะกุกตะกักนิดนึง ซึ่งตอนไปสัมภาษณ์ครั้งแรกๆ ก็อึ้งไปหลายรอบเหมือนกันนะ คือต้องบอกอย่างนี้ก่อน ทุกครั้งเลยนะ ก่อนที่จะไปเดินสื่อ จะนอนไม่เคยหลับเลย อย่างก่อนหน้านี้ เมื่อเช้านี้ก็นอนไม่หลับเพิ่งนอนไปตอนตี 5 เอง  คือเหมือนจะคิดว่าเราต้องไปทำงานแล้ว แล้วเราก็จะนอนไม่หลับ แล้วเราก็จะอ๊อง พอมาคุยก็จะอ๊องนิดนึง แต่วันนี้คือไม่เท่าไหร่หรอก แต่วันที่ไปเดินสื่อ มันต้องเดินทั้งวันถูกไหม คือพอหลังเที่ยงเราก็ไปแล้ว ไม่รู้เรื่องแล้ว เขาถามอะไรเราก็ช้าไปหมด

อะไรคือความแตกต่างในการทำเพลงของเรา

น่าจะตรงที่ผมไม่ได้ทำเพลงตายตัว ไม่ได้มีแนวจำกัดใช่ไหม อย่างเพลง Lavender หรือว่าจันทร์อังคารฯ ก็ไม่ใช่แนวเดียวกันเลย สำหรับผมการทำเพลงๆ หนึ่งคือการเล่าเรื่อง ๆ หนึ่ง แล้วทุกเพลงมันไม่จำเป็นต้องต่อกันหรือว่ามีความคล้ายกัน หรือว่า Sound ต้องคล้ายๆ กัน เพื่อที่เราจะมีจุดขายชัดเจนว่าเรา Sound แบบนี้  ไม่ใช่ เหมือนเราเป็นศิลปินวาดภาพ มันก็ไม่จำเป็นต้องวาดเหมือนกันทุกรูป มันก็แล้วแต่ฟิล ณ ตอนนั้น ซึ่งค่ายก็เข้าใจตรงนี้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ค่ายก็น่าจะเป็นแบบเราเหมือนกัน ถึงไม่ห้ามเลย (หัวเราะ) แบบโอเค เดี๋ยวก็มาเพลงแฮปปี้มาก เดี๋ยวก็ดาวน์ไปเลย ก็ดีที่เขาให้อิสระตรงนี้ เพราะถ้าเป็นค่ายอื่นก็ไม่น่าจะให้อิสระขนาดนี้ เพราะมันโดดไปโดดมา แล้วเพลงต่อ ๆ ไปก็จะโดดอีกอะไรอย่างนี้

แล้วแนวสไตล์ที่เราชอบจริงๆ คือแบบไหนกัน

ถ้าเอาที่ผมชอบจริงๆ ผมชอบแบบเพลง Lavender คือเป็นเพลงช้าแล้วก็เพลงเศร้าจะถนัด เรียกว่าถนัดอย่างนั้นแล้วกัน เพลงเร็วแบบจันทร์อังคารอย่างนี้ไม่ได้ถนัด แต่ก็สนุกดีตอนเวลาเล่นสด


2
ในวันที่หลุดกรอบตัวเอง

อยากให้เล่าให้ฟังตอนทำจันทร์อังคารฯหน่อย พอต้องทำเพลงเร็วมันเป็นยังไงบ้าง

จริงๆ จันทร์อังคารฯ ก็ถือว่ายังเป็นเพลงที่ยังไม่ได้เร็วขนาดนั้นนะ เป็นเพลง medium มากกว่า เพลงกลางๆ ก็พยายามหาฟังเพลงที่แบบความเร็วคล้ายๆ กัน แล้วก็ลองฟังเขา คือการทำเพลงก็คือการใช้การฟังเป็นส่วนใหญ่เลยแล้วเราอยากทำเพลงแนวไหน เราก็ฟังเพลงแนวนั้นไปประมาณสักอาทิตย์นึง ฟังอยู่เพลงเดียวแล้วเหมือนจะซึมซับไปเอง แล้วก็มาเขียนเพลงได้

พูดถึงเพลงแรกก่อน ทำไมถึงตั้งชื่อว่าจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เสาร์อาทิตย์

ไอเดียมันเริ่มจากชื่อเพลงก่อนจะมีเพลงขึ้นมาอีก เราอยากมีเพลงที่แบบพูดถึงทุกวัน คือที่มาเริ่มแรกมันมาจาก เราคุยโทรศัพท์กับคนคนนึง แล้วเขาก็บอกว่าอยากเจอเราทุกวัน เราก็หยุดชะงักไปแป๊บนึงแล้วก็แบบ เฮ้ย ประโยคนี้มันได้นะ อยากเจอเธอทุกวันอะไรอย่างนี้ ก็เลยเป็นที่มาของท่อนนั้น อยากเจอเธอทุกวัน (ร้องเพลง) ก็ได้ท่อนนี้มาก่อน แล้วก็มาแต่งฮุก เราก็แบบมั่นใจแล้วว่าฮุกนี้มันต้องเป็น มันต้องเรียงว่าจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เสาร์อาทิตย์ เราเขียนขึ้นมาเลยตอนนั้น เป็นเพลงที่เขียนได้เร็วที่สุดตั้งแต่เขียนมา ก็คือประมาณ 2 ชั่วโมงก็เสร็จเลย

แล้วตอนเพลงออกมา คาดหวังไว้ว่าเพลงมันจะฮิต

ถ้าพูดตามตรงเป็นเพลงแรกที่รู้สึกมั่นใจว่าต้องฮิต เพราะด้วยเนื้อหา ด้วยความที่มันเป็นเพลง Content ด้วย มันเป็นเพลงแบบอยากเจอเธอทุกวัน มีวันจันทร์ถึงอาทิตย์ แล้วก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่มีเนื้อหาเข้ากับชีวิตกับคนอื่นได้แล้วกัน เพราะว่าเพลงก่อนหน้านี้จะเป็นเพลงแบบเพ้ออะไรก็ว่าไป ซึ่งบางคนก็อาจจะไม่ได้มีจุดตรงนั้นที่เหมือนกัน

ช่วยจับแนวหลัก ๆ ที่ฟังพร้อมกับศิลปินที่ชอบฟังบ่อย ๆ

ผมชอบ Five Ocean, Daniel Ceasar เยอะ แบบเยอะ Joji ก็โอเค แต่จริง ๆ ชอบฟัง ฟังเยอะมาก แต่เราไม่ได้จะจำกัดว่าจะต้องเป็นแนวประมาณนี้ แล้วผมแบบไม่ได้มีไอดอลด้วย คือรู้สึกว่าไม่ได้อยากจะเป็นคนนี้ เป็นคนนี้ เราแบบไปเรื่อย ๆ

แล้วเรารู้สึกไหมว่าตัวเองเป็นไอดอล

ไม่เลย เพราะไอดอลในทีนี้หมายความว่าเป็นต้นแบบให้คนอื่นไป ซึ่งแบบนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากเป็นนะ แต่รู้สึกว่ายังไม่ถึง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน เราไม่รู้ว่าคนพูดถึงเราหรือยัง เราไม่รู้ แล้วเรารู้สึกว่า ดนตรีของเรามันยังไปได้มากกว่านี้อีก เรายังมีอะไรที่อยากทำมากกว่านี้ ที่มันล้ำกว่านี้ รู้สึกว่าตอนนี้งานทุกงานมันเป็นตัวเราแล้ว แต่เรายังมีอะไรที่อยากนำเสนอมากกว่านี้อีก เพราะว่าดนตรีบางเพลงที่เราทำออกมา มันก็ไม่ใช่ดนตรีที่มันแมส Lavender เอาจริงๆ ก็ยากนะ แต่เราก็ทำออกมาแล้วมีคนชอบ เราก็ Happy แต่เราก็ยังมีดนตรีแบบอื่นที่เราอยากทำอีก

อยากรู้แนวที่อยากทำต่อ จะล็อคเลยไหมหรือจะยัง

ยังไม่ล็อคอยู่ดี แต่ว่าจริงๆ Sound ของอัลบั้มที่กำลังจะออก หลังจากนี้จะไม่ทิ้งห่างกันมากแล้ว ก็มีการคุมแบบนิดนึง นิดเดียวจริงๆ เรื่องของ mood and Tone แต่ก็ไม่ได้คุมขนาดนั้น อธิบายไม่ถูก ต้องรอก่อน ซึ่งถ้าย้อนกลับไปยังเพลงที่ทำ เพลง Lavender คือเพลงที่ชอบที่สุดละ ด้วยเนื้อหาเพลงด้วย ด้วยดนตรีด้วย แล้วก็ชื่อเพลงด้วย คือเพลงนี้ผมตั้งใจให้เป็นเพลงหลักเลยแล้วกันสำหรับอัลบั้มนี้ ก็ตั้งใจไว้อยู่แล้ว ด้วยเนื้อหาเป็นเพราะว่าตัวเราเองชอบเนื้อหา แล้วก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องของเราเอง แต่ว่าเขียนในมุมมองของอีกคนนึง คือเพลง Lavender มันพูดถึงคนที่เขาจากลาไป ทิ้งเราไปถูกไหม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมแต่งจากมุมมองของแฟนเก่า ซึ่งผมเป็นคนตัดสินใจที่จะเดินออกมาเอง แล้วเขาเป็นคนขอร้องไม่ให้ไป แต่ว่าเรามาเขียนเพลงนี้ ในมุมมองของเขา เพราะเราจินตนาการว่าเราเป็นเขา ก็เลยมีความสำคัญกับเรานิดนึง เพลงนี้ พูดถึงประสบการณ์ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยก็คือเราเลิกกับแฟนที่เราคบมานาน เป็นจุดเปลี่ยน ก็เลยเป็นเพลงที่แบบสำคัญ

แสดงว่าการทำเพลงแต่ละเพลงมันคือการเติบโตของเราได้ไหม

เป็นอย่างนั้นเลยนะ อย่าง Lavender ก็ทั้งอัลบั้มนี้ก็คือมันเกี่ยวกับดอกไม้ ดอกไม้ก็เหมือนความรักนะสำหรับผม แบบมีวันที่มันเกิดมาใช่ไหม มีวันที่มันเบ่งบานแล้วก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉาลงไป ก็เหมือนความรักที่แบบตอนแรกๆ เรารักกัน รักกันมาก ทำนู่นทำนี่ด้วยกัน สักพักก็อาจจะแบบ จบลงอาจจะเลิกกันก็เอามาเปรียบเทียบ ก็คือรู้สึกว่ามันคล้ายกัน เป็นวัฏจักรเหมือนกัน คือมีจุดเริ่มต้นและมีจุดจบ แล้วทีนี้เราก็จะเล่าความรักตั้งแต่แรกเลย จันทร์อังคารก็อาจจะเป็นตอนที่แบบจีบกันแรก ๆ ถูกไหม อยากเจอเธอทุกวัน คือจริง ๆ ที่ปล่อยไปตอนนี้ มันไม่ได้เรียงกันนะ แบบเรื่องราว แต่เดี๋ยวมันจะเรียงอีกทีในตัวอัลบั้ม แต่ทุกเพลงก็จะมีการเล่าเรื่องของผมเอง

ไม่รู้สึกว่าตอนทำ Lavender ออกมามันเสี่ยงเหรอ เพราะแนวเพลงมันไม่ได้ฮิตขนาดนั้น

ไม่นะ คือเหมือนทุกงานที่เราทำออกมา ถ้ามันทำออกมาแล้วมันไม่แตกต่าง เราไม่ทำดีกว่า คือเรา เคยพูดกับผู้บริหารค่ายด้วยว่า ถ้าผมเป็นศิลปินแล้วผมไม่ได้ทำอะไรแบบว่าที่มันสร้างแรงบันดาลใจคนหรือว่าอะไรที่มันแปลกใหม่ ผมไม่ใช่ศิลปินนะ ผมไม่ทำดีกว่า ก็เลยไม่เคยกลัวแล้วกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรามีจุดปลอดภัยบางอย่าง ก็เพราะว่าเราเคยมีเพลงที่มันฮิตมาแล้ว ซึ่งเราก็ใช้ประโยชน์ตรงนั้นด้วย คือศิลปินบางคนซึ่งอาจจะเป็นศิลปินต่างประเทศหรืออาจจะเป็นไทยด้วยก็ได้ เวลาเรามีเพลงฮิตเราก็อยากทำซ้ำ ๆ ซึ่งมันไม่ผิด แต่คือเราแค่รู้สึกว่าเรามีคนติดตามเรามากขึ้นอย่างนี้ เราก็อยากจะขายอะไรที่มันแปลกใหม่ให้เขาได้ฟังกันมากขึ้น

ตอนนั้นเราคาดหวังว่าอยากให้เพลงมันทำงานยังไง

เอาจริงๆ เพลงนี้เป็นเพลงที่เราพูดกับทุกคนเลยว่า เป็นเพลงเดียวที่เราคาดหวังว่าให้มันดัง เพราะเรามีความมั่นใจอะไรบางอย่าง แล้วมันเป็นเพลง Content ด้วย เนื้อเพลงมันก็น่ารักมั้ง ไม่รู้เหมือนกัน น่ารักกว่าเพลงอื่น ๆ ที่เราเคยแต่งมา ฟังง่ายกว่าเพลงอื่นที่เราเคยแต่งมา เราก็เลยมีความคาดหวังนิดนึงว่าเราจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากเพลงนี้

การทำเพลงมีสูตรสำเร็จไหม

ถ้าในตลาดไทยผมคิดว่านผมไม่รู้นะ เราไม่ได้รู้ธรรมชาติของเพลงไทยขนาดนั้นด้วย เพราะเราฟังเพลงสากล เราไม่รู้ว่าต้องทำเพลงแบบไหนถึงดัง เพราะว่าเราก็ไม่ได้ทำเพลงทุกเพลงเพื่อให้มันปังให้มันดัง ไม่ใช่ความคิดตั้งต้นว่าเราทำเพลงแล้วดัง เราทำเพลงในแบบที่เราอยากทำ เราไม่ได้คิดว่าเราทำเพลงนี้แล้วต้องดัง จันทร์อังคารเป็นเพลงเดียวที่เรารู้สึกว่าเป็นเพลงที่เราคาดหวัง เพราะเหมือนมันมีความฟังง่าย มีความเข้าถึงง่ายกว่าเพลงอื่นที่เราเคยทำมา แต่ถามว่ารู้สูตรสำเร็จไหม เราไม่รู้เลย


3
การเติบโตในวันที่เติบใหญ่

การออกมาทำเพลงอย่างเต็มตัวมันเติบโตยังไงกับชีวิตของเรา

มันเหมือนเราแบบมีชีวิตที่เหมือนอยู่ในความฝันเลยนะ คือการที่เราแค่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบตั้งแต่เด็ก ก็คือการเล่นดนตรี ได้ทำทุกวันเป็นงานประจำแล้วได้เงินใช้ด้วย คือที่สุดเลยนะ ซึ่งเรื่องเงินก็ไม่ใช่ประเด็นอยู่ดี คือแค่เราได้ทำทุกวันแล้วแบบ โอเค เรามีเงินใช้แบบ มีเงินใช้แบบอยู่ได้ มันก็โอเคแล้ว

สำหรับเรายังมองว่าความฝันยังสำคัญในชีวิตอยู่ไหม

สำคัญที่สุดแล้วนะ คือผมเป็นคนที่ต้องมีเป้าหมายอะไรสักอย่างในชีวิต ไม่งั้นมันไม่รู้จะทำอะไร คือเป็นคนที่หาอะไรทำตลอดเวลา ตั้งแต่เด็กแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะมาทำเพลงแล้วอะไรอย่างนี้ คือตอนเด็ก ๆ อยากเป็นนักโยโย่ระดับโลก คือเราเป็นเด็กที่หาทำตลอดเลยเว้ย ไม่รู้ทำไม ตอนเด็กชอบเล่นกีฬา คือพอเป็นคนที่แบบเวลาเราทำอะไร เราแม่งต้องไปให้สุด ทุกอย่างจริง ๆ แต่ว่าไม่ใช่ทุกอย่างจะประสบความสำเร็จ เราอยากเล่นโยโย่ให้แบบเก่งไปเลย เราก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น เราอยากเล่นบาสเกตบอล เราก็ตั้งใจมากที่จะเป็นแบบนักกีฬาบาสเกตบอลประจำโรงเรียน แต่เราก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น เหมือนเราแค่แรงเยอะ แต่เราไม่ได้เก่ง เราเลยไม่ได้ไปต่อ ทีนี้เราก็มาทำเพลงก็พอไปได้อยู่ ก็เลยทำเพลงมาตลอด ก็คือจะเป็นคนที่เวลาเราทำอะไรทีมันต้องเล่นใหญ่ตลอด มันต้องแบบไปสุด

คือถึงแม้ว่าเราจะมีความฝัน แต่เราเชื่อว่ามันคงมีวันที่พลังงานหมด ทำอย่างไร

มีหลาย ๆ โมเมนท์นะที่รู้สึกว่าเราความคิดตันแล้ว เพราะเราเขียนเพลงมาเกือบ 20 เพลงแล้วนะ ที่ไม่ได้ปล่อยออกไปด้วย ก็มีบางครั้งที่รู้สึกว่าพลังงานเราหมด แต่เราก็หยุดทำสักพัก เราก็ไปเที่ยว กลับมาก็เริ่มใหม่ได้ สุดท้ายแล้วการทำเพลงก็คือการเล่าเรื่องชีวิตแหละ ถ้าเราแบบเอาแต่ทำงาน ไม่ได้ไปใช้ชีวิต มันก็ไม่มีเรื่องอะไรมาเล่า ก็ต้องพักบ้าง เพื่อให้แรงบันดาลใจมันยังอยู่ต่อได้ แต่ถ้าเป็นพลังหมดจนไม่อยากจะทำอะไรเลย ในตอนนี้ก็คิดว่าน่าจะอีกไกลนะ เพราะตอนนี้เราเพิ่งเริ่มมีคนรู้จักขึ้นเอง แล้วตอนนี้คือรู้สึกมีไฟมากเลย ตั้งแต่แบบมีคนมาฟังเพลงเยอะขึ้นก็รู้สึกว่าเราต้องเอาต่ออีกนิดนึง ตอนนี้ก็ไม่ได้พัก ไม่ได้พักเลย ไม่ได้นอนด้วย เขียนเพลงอยู่ทุกวันจริงๆ

เติบโตอะไรจากเส้นทางการใช้ชีวิตของตัวเองมา 24 ปีบ้าง

รู้สึกว่ามันเร็ว เหมือน 2 ปีที่แล้วที่เราคุยกันก็ยังไม่ได้ขึ้นชาร์ต ทุกวันนี้ก็แบบ 2 ปีที่แล้วยังฟังเพลงคนอื่นอยู่เลย แล้วเราก็มีความฝันอะไรหลายๆ อย่าง เราอยากมีเพลงล้านวิว ซึ่งตอนนั้นก็พูดขำๆ กับเพื่อนอยู่ตลอด พอในวันที่มันมาถึงแล้วก็ เออ เราได้แล้วเหรอ เราแฮปปี้แต่ก็รู้สึกว่ามันเร็วเหมือนกัน รู้สึกว่ามันเกิดขึ้นเร็วแล้วเราก็ดีใจ ก็ยินดีกับตรงนี้มากๆ อยากมีเพลงขึ้นชาร์ตอะไรแบบนี้ ก็ขึ้นชาร์ต รวมๆก็คือแฮปปี้ แฮปปี้กับชีวิตมากตอนนี้

เรารู้สึกกดดันไหมกับการทำเพลงต่อไป มันจะไม่เป็นไปตามที่เราคิด

คือตอนนี้รู้สึกว่าแฮปปี้กับงานตัวเองแล้ว รู้สึกโอเคเราแบบมีตรงนี้ ๆ เรามีเพลงวิวเท่านี้ เราได้ขึ้นชาร์ตอยู่ตรงนี้ ตอนนี้เรารู้สึกว่าโอเคแล้ว ตอนนี้รู้สึกว่าเราทำอะไรได้มากขึ้นแล้ว คือเราเป็นตัวเองได้มากขึ้นแล้วในตอนนี้ เพราะว่ามีคนชอบในแบบที่เป็นเรา ไม่ว่าจะการแต่งตัวหรือว่าเพลงหรือว่าอะไรก็ตาม รู้สึกว่าเราเป็นตัวเองได้มากขึ้นแล้ว ก็ไม่รู้สึกกดดันเท่าไหร่

การเป็นตัวของตัวเองในการทำงานสายนี้ดีอย่างไร

เอาจริงๆ ต้องบอกว่าคิดว่าตัวเองโชคดีนะ เพราะว่าค่ายไม่ยุ่งอะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวหรือว่าการพูด การลงรูปหรือว่าการทำอะไรก็ตาม เขาก็ไม่คุม ไม่คุมอะไรเลย คืออยากลงอะไรก็ลง ตอนเข้าค่ายแรกๆ ยังมีชื่อแฟนอยู่ในประวัติส่วนตัวอยู่เลย เขาก็ไม่ได้อะไร เราคิดว่าการเป็นตัวเองมันสำคัญที่สุดแล้ว คือสุดท้ายเราออกไปแล้วเราเป็นคนอื่น เรากลับมาบ้านเราก็คงไม่ได้แฮปปี้เท่าไหร่กับการที่เราออกไปวันนี้แล้วไม่ได้เป็นตัวเอง

การที่มีคนรักในตัวตนของเราจริงๆ รู้สึกยังไง

ดีใจมาก คือก่อนหน้านี้เราตั้งคำถามกับตัวเองเยอะว่าเราทำเพลงแบบนี้มันดีหรือเปล่า เราลงรูปแบบนี้มันดีหรือเปล่า เราเป็นคนพูดน้อยแบบนี้มันโอเคหรือเปล่า แต่ทุกวันนี้เรามีคนที่แบบติดตามเราด้วยความที่เราเป็นเราจริงๆ ที่เขาชอบที่เราเป็นเรา มันก็ดีใจ มันก็แฮปปี้แล้ว

แล้วเรียนรู้อะไรจากชีวิตที่ผ่านมาบ้าง

เยอะมากเลย เรื่องการเชื่อตัวเองสำคัญที่สุดแล้ว คือค่ายก็ดี ค่ายก็สนับสนุนมาตลอดแหละ แต่บางทีเขาจะมีการแย้งบ้าง แนะนำบ้าง แนะนำให้เปลี่ยนตรงนี้ตรงนั้นบ้าง ซึ่งหลายๆครั้งเราไม่ได้เปลี่ยนตามที่เขาบอก แล้วมันก็จะเกิดการ Question ในหัวตัวเองว่า เชี่ย กูคิดถูกป่าววะ หรือกูต้องเปลี่ยนวะ หรือเพลงกูมันต้องง่ายกว่านี้วะ แต่พอมาถึงในวันนี้ที่ โอเค คนชอบเพลงของเรา คนฟังเพลงของเรา คนดูเพลงของเราเนี่ย เฮ้ย เราคิดถูกว่ะที่เราเชื่อตัวเองมาตลอด ที่เราไม่ได้เชื่อคนอื่นมากกว่า คือบางทีเราต้องฟังคนอื่นบ้างก็ถูก แต่เราต้องเชื่อตัวเองเป็นหลักนะ ผมรู้สึกว่าอย่างนั้นนะ ด้วยการที่เราเป็นศิลปินด้วย เราก็ต้องแบบ  1 คือทำสิ่งที่เราชอบกับถ่ายทอดสิ่งที่เราชอบออกมาในแบบที่เราต้องการ แล้วก็ต้องเชื่อในตัวเอง แล้วก็ทำอยู่ในทางของเราไปเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้ก็คือเป็นสิ่งที่พี่แต๊ปก็บอกมาตลอดว่า คือมึงต้องเข้าใจนะว่าเรื่องเงินหรือเรื่องชื่อเสียงเนี่ย เป็นแค่ผลพลอยได้จริงๆ งานหลักของมึงคือการเป็นศิลปินเนี่ยต้องสร้างผลงาน ต้องทำเพลง ต้องเล่าเรื่องที่มึงอยากจะเล่า อันนี้คือmindsetแรกเลยที่เขาบอก บอกผมมาตลอดเลยว่าเป็นศิลปินมันต้องอย่างนี้นะ มึงไม่ได้เข้ามาทำเพื่อชื่อเสียงนะ ไม่ได้มาทำเพื่อเงินนะ แล้วเราก็จำตรงนี้มาตลอด


4
เรียนในมหาวิทยาลัย (ไม่) เท่ากับชีวิตจริง

แล้วการเรียนจบของเรา ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของเราไหม

เฉยๆ สำหรับเราไม่ค่อย แต่ที่บ้านคือที่สุดแล้วนะ สำหรับที่บ้านคือที่สุดแล้วนะ หลานจบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นี่คือที่สุดของเขาแล้ว ซึ่งเรานี่แบบเฉยๆมากเลย คือเราไม่ได้คิดว่ามันแบบมีอะไรสำคัญเลย ณ ตอนนั้น คือในหัวเราแค่อยากทำเพลงเท่านั้นเลย พอเรียนจบเรารู้สึกว่าไม่มีบาร์เรียนตรงนี้ละ มีเวลาทำเพลงแบบเต็มเวลาแล้ว แล้วตอนแรกคืออยากเรียนดนตรี คือตอนแรกอยากเรียนดนตรีแต่ที่บ้านไม่ให้เรียน แต่พอเรียนไปเรื่อย ๆ เราก็คิดว่าศิลปินส่วนมากหลายๆ คนก็ไม่ได้จบดนตรีนะ คือการเป็นศิลปินกับการเป็นนักดนตรีมันคนละเรื่องกันเลย มันคนละเรื่องกันเลยจริงๆ ศิลปินไม่จำเป็นต้องเล่นดนตรีเป็นก็ได้

แล้วคิดว่าข้อสำคัญของการเป็นศิลปินคืออะไร

คือการเล่าเรื่อง จริงๆ คือการเป็นศิลปินคือการเล่าเรื่อง อย่างสื่อก็เป็นการเล่าเรื่องอย่างนึง การเป็นศิลปินก็คือการเล่าเรื่องผ่านเสียงเพลง ผ่านเนื้อเพลง แต่มันคือทุกอย่างแหละ ทุกอย่างมันต้องมาด้วยกัน สไตล์การแต่งตัว น้ำเสียง การพูด เรื่องที่อยากจะเล่า แนวเพลง ภาพ เป็นต้น มันคือการเป็นต้นฉบับจริง ๆ นะ เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งด้วยคือ หนังสือชื่อ originals เขาพูดถึงการที่คน ๆ นึงจะเป็นคน ๆ นึง คือในการเป็น Original คือการเป็นหนึ่งเดียว ไม่เหมือนใคร ซึ่งอันนั้นก็คือเป็นสิ่งที่เราตามหา ซึ่ง Frank Ocean รู้สึกเลยว่าเขาเป็นตรงนั้นอยู่

คิดว่าอีก 15 ปี เราจะเป็นคนนั้นไหม

เราคิดว่าทำได้ แต่คือการเป็น Original อย่าง Frank Ocean แบบนี้ คือคนไทยไม่ค่อยรู้จัก แต่ว่าศิลปินต่างชาติหรือว่านักดนตรีเขาจะรู้กันเลยว่าเวลาฟังเพลง Frank Ocean มันคือเพลง Frank Ocean คือตัวเขาเอง บอกว่าเพลงของเขาเป็นเพลงป็อป แต่เพลงเขาคืออะไรก็ไม่รู้ ซึ่งการที่คนในวงการพูดถึงคนๆ นึงว่าเพลงของเขาคือเพลงแนวเขา สมมุติว่ามีเพลงป็อป อาร์แอนด์บี เพลงร็อค แล้วก็มีเพลง Frank Ocean ซึ่งเราอยากเป็นอย่างนั้น เราอยากมีจุดนั้นนะ จุดที่แบบขึ้นเพลงปุ๊บรู้เลยว่าเป็นเพลงของ patrickananda

มองทิศทางเพลงไทยในอนาคตเป็นยังไงบ้าง

รู้สึกมันยากมากเลยในวงการเพลงไทยที่จะเติบโต ที่จะมีความหลากหลายมากกว่านี้ เพราะว่าทุกวันนี้เขายังทำเพลงที่จะเหมือนเพลงที่ทันสมัยแบบ 90 อยู่เลย แล้วก็ดันมาด้วยอะไรแบบนี้ รู้สึกว่าทำไมมันยังไม่ไปมากกว่านี้ เพราะว่าในเมืองนอกมีเพลงเยอะมาก มีเพลงหลายแนวมาก เราก็หวังให้มันเปลี่ยนมานานแล้ว แต่มันก็ไม่เปลี่ยน แต่ถ้าพูดตามตรงเราอยากเป็นคนนั้นที่แบบ ได้ทำอะไรบางอย่างที่จะแบบเปลี่ยนสักนิดนึงก็ยังดี แต่เราก็รู้สึกว่าเรายังไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ เราไม่ได้เบอร์แบบ Rockstar ที่ปล่อยเพลงออกมาเพลงนึง แล้วคนแบบอยากทำตาม ไม่ได้เป็นเหมือน The Toys พูดอย่างนี้แล้วกัน The Toys คือมีคนอยากจะเป็นเหมือนเขาเยอะมาก มีเด็กทำเพลงเหมือนเขาเยอะมาก แล้วคนก็ทำดนตรีแบบเขาออกมาเยอะ ก็อาจจะต้องมีคนแบบนั้นอีกสักคนนึง

แล้วเคยรู้สึกบ้างไหมว่าเราไม่ควรหยุดอยู่แค่ในไทย

เคยคิดไว้อยู่แล้วว่าอยากทำเพลงสากลในอนาคต เรารู้สึกว่ามันง่ายกว่าในไทยที่จะแตกต่าง สมมติไปทำเพลงแบบ Polaroid ในต่างประเทศ มันก็ไม่ได้ใหม่แล้ว แล้วก็ไม่มีอะไร แต่พอทำเป็นเพลงไทยแล้วปล่อยในประเทศไทยมันก็น่าจะแปลกจากคนอื่นนิดนึง

สิ่งที่เคยคาดหวังกับตัวเองเอาไว้ เป็นอย่างที่หวังไว้ไหม

ขาดแค่เรื่องเดียวคือยังไม่ได้ไปเล่นสด เพราะว่าติดสถานการณ์โควิด-19 มา 2 ปีแล้ว คนไกลก็ตอนที่ดังขึ้นมาครั้งแรกใช่ไหม ก็กลางปี 2020 แล้วมาเพลงจันทร์อังคารฯ ก็ covid-19 อีก แล้วพอมาเพลง Lavender ก็ยังมี covid-19 ก็ทำให้ยังไม่ได้ไปเล่นสดสักที แล้วมีสายพันธุ์ใหม่มาอีก ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง คือส่วนตัวเราก็ได้รับผลกระทบด้านอารมณ์ เหมือนเราต้องอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมตลอด คิดว่าถ้าไม่มี covid-19 ก็อาจจะได้ไปใช้ชีวิตมากขึ้น ได้ไปข้างนอกมากขึ้น

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า