fbpx

พาเที่ยว ‘น้ำตกผาแตก’ น้ำตกลับหน้าร้อน แห่งเมืองกาญฯ กับทริปแห่งความทรมาน-บันเทิง

เคยได้ยินชื่อ ‘น้ำตกผาแตก’ ไหมครับ?

นี่คือน้ำตกลับในตำนาน กลางป่าเมืองกาญจนบุรี ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมความงามและเล่นน้ำตกได้ปีละ  3 เดือนเท่านั้น คือกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม หลังจากนั้นจะปิดไม่ให้เข้าไป ความเข้าถึงยาก ต้องเป็นโอกาสพิเศษเท่านั้นนี่แหละครับ ที่ทำให้ผมสนใจ อยากไปน้ำตกแห่งนี้สักครั้ง เพราะเขาว่ากันว่ามันสวยมาก 

ทั้งที่ปกติแล้วผมไม่ชอบเที่ยวน้ำตกเท่าไหร่ ไม่ใช่อะไรว่าไม่ชอบเล่นน้ำนะครับแต่ผมชอบจินตนาการไปเองว่า สมมติถ้าเราเล่นน้ำตกอยู่ จังหวะที่น้ำไหลมาแรงๆ อาจจะมีงู ไหลมาเจอเราก็ได้ บรื้อ~~ แต่ความท้าทาย และความมหัศจรรย์ของน้ำตกผาแตกที่แม้หน้าร้อนแต่ก็ยังมีน้ำมหาศาลนี่แหละที่ทำให้ผมอยากเข้าไปใช้เวลาเดินทางเข้าไปดูด้วยตัวเอง 

บอกก่อนว่าทริปนี้อ่านจบแล้วมีสองความคิดที่อาจจะเกิดขึ้นคือ 

‘พอแล้ว…ไม่ไปดีกว่า’ และ ‘เฮ้ย! เจ๋งว่ะอยากไปสักครั้ง’ 

น้ำตกผาแตกอยู่ที่ไหน ทำไมอุปสรรคเยอะจริง

น้ำตกผาแตก ถ้าเสิร์ชกูเกิ้ลดู สิ่งที่ทุกคนจะได้พบก็คือน้ำตกที่อยู่กลางป่า ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะมีเส้นทางให้เดินทางเข้าไปง่ายๆ 

ถูกต้องครับ น้ำตกผาแตก ตั้งอยู่กลางป่าของเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม วิธีเดินทางไปน้ำตก มีทางเดียวครับคือเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น ระยะทางเข้าประมาณ 7.5 กิโลฯ ซึ่งใช้เวลาราวๆ 2 – 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หากจะเข้าไปชมความงามที่เปิดให้ชมจำกัดมากๆ 

ความยากในการไปถึงเลยเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับการเดินทางไปน้ำตก แต่นั่นระยะทางไม่ใช่อุปสรรคเดียวครับ น้ำตกผาแตก มีอุปสรรคอีกเยอะมากที่พระเจ้าส่งมาทดสอบเรา เพื่อสกัดไว้ไม่ให้เราเข้าถึงน้ำตกผาแตกได้ง่ายๆ 

ว่ากันที่พิกัดก่อน การเดินทางไปน้ำตกนั้น ต้องไปเส้นทางของชาวบ้าน ไม่ได้มีถนนหลวงตัดผ่านไปถึงทางเข้าน้ำตก แต่เป็นถนนดินลูกรัง ซึ่งต้องให้เจ้าหน้าที่อุทยานจัดรถ 4WD มารับ – ส่งนักท่องเที่ยว จากที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาแหลม เกริงกาเวีย ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร เพื่อพาเราไปปล่อยไว้ตรงชายป่าแห่งหนึ่ง ที่รอบตัวเราไม่มีอะไรเลย นอกจากไร่ของชาวบ้าน…

แค่นั้นจริงๆ จุดพักหลบแดด หลบฝน ก็ไม่มี ร้านค้าก็ไม่มี ชาวบ้านก็ยังไม่มีเลย

บรรยากาศรอบข้างทำให้ผมความรู้สึกเหมือนโดนหลอกมาปล่อยทิ้งไว้

ให้อารมณ์หนังทริลเลอร์ที่อาจจะมีฆาตกรโรคจิตโผล่มาโจมตีเราทีเผลอ

แต่จริงๆ ไม่ใช่ครับ คนขับรถเขาให้เราเดินเข้าป่าไปจากตรงจุดนี้เพื่อลุยป่าไปหาน้ำตกต่างหาก ซึ่งระหว่างการเดินทางจะมีเจ้าหน้าที่ประกบ 1 คนเพื่อไม่ให้เราหลง สาเหตุก็เพราะว่าป่านี้ ถ้าเดินไม่ตามทาง เดินมั่วๆ หลงได้ง่ายๆ  อีกทั้งป้ายบอกทางก็น้อยมาก ยากที่จะรู้ว่าเรามาถูกทางไหม ถ้าเดินเร็วจนหลุดออกจากกลุ่ม แนะนำให้มองพื้นให้ดี อย่าเดินออกนอกเส้นทางเด็ดขาด 

อาจจะมองว่าระยะทางการเดินไปกลับ 15 กิโลเมตร คืออุปสรรคใหญ่ของคนที่จะมาเที่ยวน้ำตกผาแตก จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ

 อุปสรรคข้อแรกสุดเลยน่าจะเป็นการ ‘มาเที่ยวน้ำตก’ นี่แหละครับ เพราะว่าน้ำตกผาแตก จำกัดจำนวนคนมาเที่ยวต่อวัน น้อยมาก รวมแล้วทั้งนักท่องเที่ยวแบบพักค้างคืนกลางป่า และนักท่องเที่ยวแบบไปเช้า – เย็นกลับ ไม่เกิน 30 – 40 คนต่อวันเท่านั้น และเปิดให้มาเที่ยวแค่ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์  รวมถึงต้องจองก่อนถึงจะได้มาได้ ที่นี่ไม่รับนักท่องเที่ยวแบบ Walk-In 

เห็นไหมครับว่าน้ำตกแห่งนี้อุปสรรคเยอะจริง 

แต่ก็ดูแล้วน่าจะเอ็กซ์คลูซีฟมากๆ เพราะเข้าถึงยากนี่แหละ มันจะต้องสวยคุ้มค่า กับประสบการณ์ที่ลืมไปลงแน่ๆ 

เดินสำรวจป่าที่ห้ามหยุดเดินถ้าไม่อยาก…โดนต่อย

ก่อนจะมาน้ำตกผาแตก ผมอ่านรีวิวมาคร่าวๆ เพื่อทำการบ้านมาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องการเดินทางมาน้ำตก การจองคิว ที่พัก ระยะทางการเดิน และอื่นๆ ที่ต้องทราบ ผมมั่นใจว่าเรารับได้หมด แต่ที่ไม่เข้าใจ และไม่ได้เตรียมมารับมือก็คือแมลงครับ…

จริงอยู่ที่ในรีวิว น้ำตกผาแตก เขียนว่า ‘ที่นี่มีแมลง’ แต่เรา (และผมเชื่อว่าหลายคน) ไม่ได้คิดอะไรมาก มีแมลงแล้วยังไงล่ะ ป่าตั้งกว้าง เดินๆ ไปเดี๋ยวแมลงก็หาย

ตอนแรกผมก็คิดแบบนี้เลย กระทั่งวินาทีแรกที่เดินเข้าไปในป่า ก็มีแมลงอยู่ 2 ชนิดบินมาตอมเราทันที ตัวแรกผมไม่รู้ว่าคือตัวอะไร แต่ถ้าทางไม่มีพิษภัย นอกจากสร้างความรำคาญ แต่อีกตัวคือ ‘ผึ้ง’ มันบินมาตอมเรา เนื่องจากตัวเรามีเหงื่อ ผึ้งก็เลยสนใจ อยากจะกินเกลือในเหงื่อเรา 

พอแมลงสองชนิดนี้บินมาตอม เราก็เลยต้องเดินหนี พอเดินหนีไปก็ไม่มีตัวไหนบินตาม…โล่งใจ แมลงที่ว่าเยอะก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า

แต่คุณผู้ชมครับ เชื่อไหมว่าทันทีที่เราหยุดพักปุ๊บ ไม่ถึง 1 นาที (อันนี้เรื่องจริงผมไม่ได้โม้) แมลงปริศนา กับผึ้งจะบินมาตอมคุณทันทีเหมือนกับว่าแมลงสองชนิดนี้มีอยู่ทั่วทั้งป่าแล้วมันล็อคเป้าคุณไว้แล้ว บางจุดก็เป็นผึ้ง ที่ปริมาณเยอะมากมาตอมเยอะมาก ยังดีที่ผึ้งไม่ได้ต่อยหรือทำอันตรายเรานอกจากตอมให้รำคาญ และหวั่นใจว่า มึงจะต่อยกูไหมเนี่ย เยอะจริงโว้ยยย

ตอนแรกผมก็คิดว่าเดี๋ยวเดินไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ก็คงไม่มีแล้ว ซึ่ง…ผมคิดผิดครับ 

ไม่ว่าเราจะหยุดตรงไหนของป่า ทั้งจุดที่เป็นป่าทึบ ป่าโปร่ง หรือในลำธาร มีหมด! เหมือนกับว่าป่าทั้งป่าเป็นรังของมันก็ประมาณนั้น ยิ่งลึกก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพอใกล้ถึงจุดตั้งแคมป์ เราก็เริ่มได้กลิ่นควันไฟจางๆ ตอนนั้นเราก็มาสังเกตว่า ผึ้ง และแมลงปริศนาหายไปแล้ว

โล่งใจ อย่างน้อยควันไฟก็ทำให้แมลงกลัวไม่กล้ามาวุ่นวายกับเรา รู้สึกโล่งใจมากขึ้นที่มีเซฟโซน พอผมเดินเข้าไปสำรวจจุดกางเต้นท์ สิ่งที่พบก็คือกองไฟมากมาย ที่ยังมีควันอบอวล เป็นเหมือนบาเรียกันแมลง และที่กองไฟก็มี ผึ้งเกาะอยู่เต็มไปหมดเลย เอ๊ะ…

อ่า…เดี๋ยวนะ คือผึ้ง ผึ้งมันต้องกลัวควันสิ เราเคยเข้าใจมาแบบนี้ 

แต่ผึ้งที่นี่ ทำไมไม่กลัวควันเลยวะ แถมยังทำลายทุกทฤษฏี ด้วยการเกาะตรงฟืน หรือเกาะตรงของในกองไฟที่ดับแล้วแต่ยังมีควันโชว์ไปเลยว่า กูไม่กลัวเว้ย ฮ่าๆๆๆๆ แล้วที่น่าตกใจคือ กองควันทุกกองมีผึ้งเกาะอยู่ และบินอยู่เพียบ!! 

บ้าไปแล้ว นี่มันป่าอะไรกันนนนนน แล้วปริมาณมันเยอะมากจนผมไม่กล้าแม้แต่จะถ่ายรูป 

เพื่อให้เห็นภาพผมอยากให้ทุกคนลองนึกภาพฝูงแมลงวันตอมขยะ แล้วเปลี่ยนจากแมลงวันเป็นฝูงผึ้งแทน  นั่นแหละครับ ขนลุกไหม

นั่นทำให้เราหยุดเดินไม่ได้แล้วต้องเดินต่อไป เพื่อไปให้ถึงปลายทางคือน้ำตก 

อย่างน้อยความหวังของเราก็คือน้ำตก จะช่วยไล่แมลงไปได้บ้าง

3 ชั่วโมงที่ยาวนานกับน้ำตกที่อลังการที่สุดของฤดูร้อน 

จากจุดตั้งแคมป์ เราต้องเดินเลาะลำธาร (ทริปนี้รองเท้าเปียกแน่นอนทำใจเลยครับ) และขึ้นเขามาอีกราวๆ 15 นาที เราก็จะถึงน้ำตกผาแตก  ผมขออธิบายลักษณะภูมิประเทศของน้ำตกสักเล็กน้อยนะครับ

น้ำตกผาแตกจะแบ่งเป็น 4 ชั้นครับ ถ้าเราเดินมาจากจุดกางเต้นท์ เราจะเจอน้ำตกชั้นที่ 4 ที่อยู่สูงที่สุดก่อน จากนั้นก็จะลดหลั่นกันไปเป็นชั้นที่ 3 2 1 เรื่อยๆ ซึ่งจุดที่เล่นน้ำได้ คือชั้นที่ 2 และ 1 เท่านั้น 

จุดแรกที่เราไปเจอก็คือน้ำตกชั้นที่ 2 ซึ่งทางลงก็ไม่ง่ายครับ ต้องไต่เชือก ลงไปจนถึงจุดที่เล่นน้ำตกได้อีกนิดหน่อย ก็จะเจอกับน้ำตกที่สวยมาก และน้ำเยอะมากจนแปลกใจว่า นี่มันฤดูร้อน หน้าแล้ง ฝนก็ไม่มี แต่ทำไมน้ำมันไหลแรงขนาดนี้ 

เสียงน้ำตกก็ดังมาก จนเราคุยกันแทบไม่ได้ยิน ตรงจุดนี้เราสามารถนอนเล่นแช่น้ำได้ หลายจุดมีลักษณะเหมือนอ่างจากุดชี ที่ให้เราลงไปนอนแช่เฉยๆ ให้สายน้ำแรงๆ ไหลผ่านตัว โอ้โห้! โคตรสบาย แต่อุปสรรคหนึ่งที่ยังคงกวนเรามาถึงตรงนี้คือผึ้ง และแมลงปริศนา มันยังคงตามหลอกหลอนเราไปทุกทีครับ และไม่มีทีท่าว่าจะกลัวน้ำเลย 

แต่ยังดีที่มันไม่ตอมเราแล้ว เพราะน้ำทำให้กลิ่นเหงื่อหายไป แมลงทั้งหลายก็เลยหันไปหาเป้าใหม่ ก็คือกระเป๋าที่เราวางไว้บนโขดหินที่มีกลิ่นเหงือของเราแทน ภาพที่ผมเห็นก็น่าสยองเพราะแมลงรุมกระเป๋าเยอะมาก ขนาดฉีดยาไล่ยุง และแอลกอลฮอลล์ เพื่อหวังว่ามันจะบินหนีไป ก็ไม่หนี ยังเกาะกระเป๋าได้อย่างชิลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ขนาดควันไฟยังทำอะไรไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรจะไล่พวกแกได้แล้วละ…

ผมตัดสินใจเลิกสู้กับแมลงและผึ้ง แล้วไปเล่นน้ำตกแทน ช่างมัน น้ำตกที่ชั้นที่ 2 นั้นเป็นหนึ่งในจุดไฮไลท์ให้เราถ่ายรูปครับ เพราะเราจะได้เห็นลักษณะของน้ำตกผาแตกที่ชัดเจนขึ้น จากภาพที่เห็นน้ำตกผาแตกจะไหล่ลงมา ระหว่างช่องเขาสองแห่งที่อยู่ติดกัน หากมองจากมุมบนจะเห็นแบ่งร่องผาที่แตกแยกออกมา แล้วมีน้ำไหลตัดกลางเลย นั่นเลยอาจจะเป็นเหตุผลที่ตั้งชื่อน้ำตกนี่ว่า ‘น้ำตกผาแตก’

ด้วยความที่น้ำตกนี่เปิดให้เข้าเพียงแค่ 2 – 3 เดือนใน 1 ปี โดยระบุวันไม่ได้ว่าจะเป็นช่วงไหน การจำกัดจำนวนคนเข้า จำกัดวันในการเข้า และระยะทางที่ต้องเดินมาไกลถึง 7.5 กิโลเมตร ก็เป็นการคัดและจำกัดนักท่องเที่ยวไปในตัว น้ำตกที่ผมมา ก็เลยเป็นน้ำตกที่ ค่อนข้างจะบริสุทธิ์มากๆ ผมไม่เห็นขยะ หรือซากวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวที่ทำให้ทัศนียภาพของน้ำตกเสียหายเลย 

จะบอกนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ที่ได้มาเจอน้ำตกที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ 

ผมลองเดินสำรวจลงไปถึงชั้น 1 ซึ่งเป็นจุดที่มีคนเล่นน้ำเยอะที่สุด และเจ้าหน้าที่จะบังคับให้ใส่ชูชีพทุกคนเนื่องจากน้ำลึกมาก แน่นอนว่าจุดนี้ก็ต้องไต่เชือกลงไปเบาๆ ก่อนแล้วจะเจอกับจุดเล่นน้ำตกขนาดใหญ่ที่น้ำใสไหลเย็น และเห็นตัวปลาเยอะมากๆ จังหวะที่หย่อนขาลงไปในน้ำเฉยๆ ก็จะมีฝูงปลามารุมตอดขาของคุณ อารมณ์เหมือนสปาปลา อะไรประมาณนั้นเลย แต่เป็นปลาในธรรมชาติจริงๆ จั๊กจี้ดี ไม่เล่นน้ำ แต่นั่งมองน้ำตกเฉยๆ ผมว่าก็เพลินดีนะ 

แต่สำหรับนักคนที่ไม่ได้เตรียมใจว่าก่อน และเข้าใจว่ามันเดินไม่อยาก

ความรู้สึกอาจจะต่างไปอีกแบบก็ได้เมื่อมาถึงคือ…นี่กูเดินมาทำไมตั้งนาน 

ส่วนแมลงนั้นก็ยังมี แถมเยอะไม่ต่างอะไรกับจุดอื่นๆ เลย… 

บทสรุปของทริปที่เราได้เรียนรู้ 

ถ้าให้ผมสรุปว่าน้ำตกผาแตก คุ้มค่าไหมกับการเดินทางดั้นด้นมาจากรุงเทพฯ เพื่อขึ้นรถ 4WD ให้ทันตอน 8 โมงเช้า (มีรอบเดียว) แบกสัมภาระ ข้าวของที่จำเป็น หรือเสบียงไปอีก 3 ชั่วโมง มีเวลาลงเล่นน้ำ 1 ชั่วโมง และต้องเดินออกจากป่าไปอีก 3 ชั่วโมงก่อนจะเย็น เพื่อขึ้นรถที่มารอรับให้ทันตอน 4 โมงเย็น 

มุมของผมในฐานะคนที่ชอบบุกป่าขาลุยอยู่แล้ว ก็ถือว่ากลางๆ ครับ ไม่ได้ให้คะแนนแบบ 10 เต็ม 10 อันที่จริงตอนแรกผมตั้งใจจะค้างในป่า 1 คืน แต่เห็นปริมาณของผึ้ง และแมลงที่รบกวนเราตลอดเวลา กับสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนอบอ้าวของมีนาคม ก็เลยทำให้เราเปลี่ยนใจเที่ยวแบบ One Day Trip แทน 

ทริปนี้เป็นทริปที่ใช้เวลาค่อนข้างมาก  เราหมดเวลาไปกับการเดินทางเพื่อให้ถึงเป้าหมาย และยังต้องคำนวนเวลาในการเดินออกมาให้ทันก่อนจะเย็น เพราะในป่า ก็ค่อนข้างเดินยาก ไม่มีป้ายบอกที่ชัดเจด เสี่ยงจะเดินหลุดเส้นทางก็หลายครั้ง ดังนั้นถ้าไม่ชัวร์ อย่าเดินออกจากกลุ่ม ที่มีเจ้าหน้าที่นำจะดีที่สุด และมีอุปสรรคตลอดการเดินทาง อย่างที่ผมบอกไป 

ตั้งแต่การจองทริป การเดินทางมาที่จุดนัดพบเพื่อขึ้นรถ 4WD ตั้งแต่เช้ามากๆ การนั่งรถเข้าไปยังจุดเดินป่า การเดินป่าที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งอากาศร้อน หรือฝนที่พร้อมจะตกลงมา (ผมเจอฝนตอนขากลับ) ห้องน้ำที่ไม่สะดวกสบาย ต้องตักน้ำที่ลำธารมาเอง

อาหารที่ต้องเตรียมมาเอง ระยะทางที่ต้องเดินมากถึง 15 กิโลเมตร หรือแมลงที่ตอมคุณอยู่ตลอดเวลาที่หยุดพัก เป็นการเที่ยวที่ลำบากมากๆ เลยสำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัวมาดีพอ 

โดยสรุปทริปนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า อยากสบายนอนอยู่บ้านดีที่สุด

แต่อยากมาค้นพบอะไรใหม่ๆ ก็ออกมาเลย เพราะอยู่บ้านคุณจะไม่เห็นอะไรแบบนี้แน่ๆ 

อ่านจบแล้วตอนนี้คุณผู้อ่านรู้สึกแบบไหนครับ

‘พอแล้ว…ไม่ไปดีกว่า’ หรือ ‘เฮ้ย! เจ๋งว่ะอยากไปสักครั้ง’ 

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า