fbpx

โลกสองใบที่ไม่เหมือนกันของหมอเน๋ง-ศรัณย์ ทั้งการเป็นสัตวแพทย์และพระเอกช่องวัน 31

ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่คนในวงการบันเทิงจะสวมหมวกหลายใบ และทำได้หลายบทบาท

แม้กระทั่งเน๋ง-ศรัณย์ นราประเสริฐกุล ที่เป็นทั้งหนึ่งใน The Five Elements หรือพระเอกน้องใหม่ที่น่าจับตาของช่องวัน 31 และการเป็นสัตวแพทย์หลังตีสเลท

ซึ่งเขาทำได้ดีทั้งสองอย่าง และวันนี้เราจะคุยกับเขาทั้งสองเรื่องที่เปรียบเสมือนโลกทั้งสองใบของเขา

โลกใบหนึ่งคือการดูแลน้องๆ เพื่อนร่วมโลกทั้งสองขา สี่ขา รวมถึงการเล่าเรื่องดูแลสัตว์ในพื้นที่ส่วนตัวบนโลกออนไลน์ในรายการชื่อ Pet ทิพย์ ที่ถึงแม้ชื่อรายการอาจเล่นกับคำว่าไม่มีจริง แต่ความรู้ในรายการนั้นแน่นปั๊กและนำไปใช้ได้จริงแน่นอน

ส่วนโลกอีกใบคือ การผจญภัยในโลกของการแสดง ที่คน Introvert แบบเขาต้องปรับตัวแทบจะร้อยเปอร์เซนต์ จนเข้าสู่กระบวนการปรับตัวทั้งข้างนอกและข้างใน จนถึงละครหลายต่อหลายเรื่องที่เขาสวมบทบาทจนเขาเริ่มถูกจดจำ มาจนถึงรักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง ละครเรื่องล่าสุดที่เขาต้องรับบทตัวเอกคู่กับนักแสดงรุ่นพี่อย่างบี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์

การโคจรมาเจอกันของโลกสองใบดูเป็นไปได้ยาก แต่สำหรับเรื่องราวหลังบ้าน

เอ้ย หลังโลกสองใบ มันเป็นไปได้แล้ว

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

จริงๆ แล้วแพทย์มีองค์ความรู้ที่แตกต่างกันออกไป แล้วทำไมคุณถึงเลือกเรียนสัตวแพทย์  

มันมีหลายปัจจัยครับ ตอนเด็กๆ ผมชอบดูสารคดีเกี่ยวกับสัตว์ พวก Animal Planet หรือ National Geographic บวกกับคุณพ่อเป็นสัตวแพทย์ด้วย ตอนเด็กๆ เราก็ชอบไปดูคุณพ่อทำงาน เห็นคุณพ่อผ่าตัดแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก ณ ตอนนั้นถามว่าอยากทำไหม ก็ยังตอบไม่ได้ แต่เรารู้สึกว่ามัน “หูย” ตลอดเวลา เราไปปีนเก้าอี้ดูในห้องผ่าตัด พอมาอยู่ม.ปลาย ตอนแรกก็ตามเพื่อน เด็กผู้ชายเข้าวิศวะกัน แต่ช่วงนั้นมันน้ำท่วมปี 54 พอดีเราก็ได้อยู่บ้าน ได้นั่งทบทวนกับตัวเองไม่ได้อยู่กับใคร ก็คิดไปคิดมาว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไร สุดท้ายก็มาลงที่อันนี้

แล้วพอเข้าไปเรียนมันเป็นอย่างไรบ้าง

ยากอย่างที่คิดครับ (หัวเราะ) คิดไว้แล้วว่าคงจะยาก แต่ตอนแรกก็ เฮ้ย ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง แต่ผมบอกเลยว่า การเรียนหมอจบมาได้มันไม่เกี่ยวว่าใครฉลาดหรือไม่ฉลาด มันอยู่ที่ความอดทนล้วนๆ ต่อให้จะเก่งจากไหนถ้าไม่อ่านหนังสือก็ลาก่อน คือผมรู้สึกกับตัวเองว่าตอนมัธยมเราอาจจะเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แต่ก็สอบผ่านมาได้ แต่พอมาอยู่มหาวิทยาลัยเราต้องตั้งใจจริงๆ ถ้าเล่นๆ ก็หลุดไปเลย มันอยู่ที่วินัย ส่วนตัวผมคิดว่าใครก็เรียนหมอได้ แค่มีวินัยพอหรือเปล่า

ชีวิตการเป็นสัตวแพทย์จริงๆ เป็นอย่างไรบ้าง

ก็ยังรักในอาชีพนี้เหมือนเดิมครับ ด้วยเนื้องานหรือสิ่งที่เราได้รับเวลาได้เห็นน้องหมาน้องแมวหายจากโรค มันก็ดีนะ เขามีชีวิตที่ดีขึ้น เจ้าของแฮปปี้ น้องๆ แฮปปี้

มีอะไรที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับน้องหมาน้องแมวไหม

ผมว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกินมากกว่า คนไทยค่อนข้างจะมีจิตใจเอื้อเฟื้อ เห็นน้องหมาตามถนนหรือใครมาขอของกินก็จะให้ไป แต่บางทีไม่รู้ว่าสิ่งนั้นทำร้ายน้องหมาหรือเปล่า คือมันไม่ผิดนะที่จะไม่รู้ ก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องบอกทุกคนว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำคืออะไร กลายเป็นว่ามันก็เกิดรายการขึ้นมาในช่องยูทูบผมชื่อว่า PET ทิพย์ ล้อกับคำว่า Tips นี่แหละ เหมือนเรามาบอกเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้คนรู้ว่าสิ่งไหนดีกับน้องหมา

เพราะจริงๆ ผมเจอประสบการณ์กับตัวเองมาในคลินิกคือ น้องหมาน้องแมวเขาห้ามกินพารา แต่คนเข้าใจผิดเอาให้กิน เขาจับน้องหมาตัวเองแล้วรู้สึกว่าตัวร้อนก็ให้กินยาลดไข้สักหน่อย แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เพราะมันเป็นพิษต่อน้อง เราก็ต้องแก้ให้เขา เราไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะมันเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ ไม่ใช่น้องหมาป่วยเอง มันเป็นความหวังดีแต่ผลลัพธ์มันแย่ลง เราเลยรู้สึกว่าถ้าเราป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งนี้ได้มันก็จะดี

ตั้งแต่เป็นสัตวแพทย์มา ความเข้าใจผิดอะไรที่ทำให้รู้สึกช็อคที่สุด

ยังไม่ได้เจอแบบแปลกขนาดนั้นนะ ด้วยความที่ผมจบมา 4-5 ปี มันก็เข้าสู่ยุคโซเชียลแล้ว ผมว่าคนเลี้ยงสัตว์สมัยนี้มีความรู้มากขึ้น อาจจะไม่ได้เจออะไรแปลกๆ แต่สมัยก่อนคุณพ่อเคยเล่าให้ฟังก็มีหมาโดนกาวดักหนูที่บ้าน หรือเจ้าของเทน้ำผิดไปเทอย่างอื่นให้เขากิน หรือน้องไปกินของเองในครัวแล้วดันไปโดนยาฆ่าแมลง แต่ถ้าความเข้าใจผิดแบบแปลกๆ ไม่มี ส่วนใหญ่ก็เรื่องกินนี่แหละครับ เอาช็อคโกแลต องุ่น หรือถั่วบางอย่างที่น้องกินไม่ได้ให้น้องกิน มันก็จะเป็นพิษตามมา

สังคมไทยที่ผ่านมาความเข้าใจเรื่องของน้องหมาน้องแมวมากขึ้นไหม

ดีขึ้นเยอะครับ มันมีสื่อให้อ่าน แล้วคนที่เลี้ยงน้องหมาน้องแมวมีแนวโน้มที่จะเลี้ยงเป็นลูกมากขึ้น มากกว่าที่จะเป็นน้องหมาเฉยๆ ซึ่งผมว่าทิศทางของสัตว์เลี้ยงในเมืองไทยตอนนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากๆ ครับ

ทำไมประเทศไทยถึงยังไม่มีการฝังไมโครชิพในสัตว์เลี้ยง

มันมีค่าใช้จ่ายครับ มันไม่ได้มีหน่วยงานไหนเข้ามาสนับสนุนในด้านนี้ที่เวลาใครเลี้ยงสัตว์ต้องขึ้นทะเบียนแบบนี้ มีใบอนุญาตแบบนี้ มันยังไม่มีในไทย และการฝังไมโครชิพก็มีค่าใช้จ่าย ไม่ถึงกับแพงมากแต่ก็ไม่ได้ถูก แล้วคนก็อาจจะคิดว่าไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นเพราะไมโครชิพที่มีอยู่ตอนนี้ก็บอกได้แค่ ID ว่าเป็นของใคร แต่ไม่สามารถติดตามตัวได้ว่าอยู่ที่ไหน

แล้วจริงๆ เราเอา AirTags (อุปกรณ์ติดตามของหาย) ติดน้องหมาได้มั้ย

ได้ครับ ผมแนะนำเลยนะ ดีเลย

ประสบการณ์การเป็นสัตวแพทย์ทำให้คุณเรียนรู้อะไรบ้าง

จะพูดยังไงดี (หัวเราะ) มันก็หลายๆ เรื่องนะครับ คือตอนเรียนเราก็เรียนอย่างเดียว คิดว่าทักษะที่เรามีคงใช้รักษาน้องหมาน้องแมวได้แล้วล่ะมั้ง แต่พอทำงานจริงมันต้องให้ทักษะอื่นๆ อีกเยอะมาก เช่น ทักษะการสื่อสาร ใช้เยอะเพราะเราต้องติดต่อกับเจ้าของน้องหมา ต้องคุยเยอะด้วยความที่น้องหมาพูดไม่ได้ ประวัติเราจะได้จากเจ้าของน้องหมา ซึ่งเราต้องซักประวัติให้ดีเพราะบางทีเจ้าของก็ไม่ได้รู้ แต่เราต้องหาคำถามไปถามเขา เหมือนเวลาพี่ๆ (สื่อ) มาสัมภาษณ์ผม ต้องถามเขาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คำตอบที่เราต้องการ เขาอาจจะไม่ได้รู้ทุกอย่างว่าวันหนึ่งน้องฉี่กี่ครั้ง แต่เราต้องหาคำถามไปถามเพื่อเอาข้อมูลนั้นไปต่อยอดการรักษาให้ถูกจุด ซึ่งทักษะนี้สำคัญมากเพราะเป็นทักษะที่ใช้เวลาน้องหมาเป็นโรคร้ายแรง วิธีการคุยก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้เจ้าของไม่ได้รับผลกระทบทางจิตใจมากเกินไป มันมีวิธีบอกหลายวิธีขึ้นอยู่ว่าเราจะเลือกวิธีไหน ถ้าเราพูดแบบตรง ซัดตู้ม แบบนิ่งๆ ไปเลยมันอาจจะถูกต้อง แต่มันไม่ดี

จับพลัดจับผลูมาเป็นนักแสดงได้ยังไง

ด้วยความที่ผมทำกิจกรรมมหาลัยด้วย ก็มีคนเห็นบ้าง เลยมีโอกาสทำงานวงการบ้าง เดินแบบ ช่วงนั้นพี่ๆ โมเดลลิ่งเดินดูตามสยาม มาเห็นเราก็ชวนไปเดินแบบ เราก็ลองไป แต่ไม่จริงจังอะไร คิดแค่ว่าหาเงินระหว่างเรียน เป็นงานอดิเรกสนุกๆ แต่พอใกล้เรียนจบทางช่องวันติดต่อให้ไปแคสติ้งเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ของช่อง ตอนนั้นเรารู้สึกว่าการแสดงมันไม่เหมาะกับเรา เราไม่ชอบด้านนี้ด้วยเรื่องเรียนด้วย และก็เป็นคนค่อนข้าง Introvert ด้วยครับ ก็เลยไม่เอาดีกว่า แต่ไปคุยกับคุณแม่ คุณก็บอกให้ลองดู ไปเปิดประสบการณ์ว่าโลกภายนอกเป็นยังไงบ้านเพราะลูกอยู่แต่ในโรงพยาบาล ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมก็ไปแคสติ้ง พอมาแล้วก็รู้สึก “ที่นี่มันที่ไหนวะเนี่ย” มันดูไม่ใช่ที่ของเรา ไม่รู้จะยืนตรงไหน

ประหม่ามั้ย

มาก เจอคน 30-40 คน ในดวงตาของทุกคนดูมีไฟยกเว้นเรา เขาส่งบทมาให้ผมอ่าน ผมก็รู้สึก “อะไรวะเนี่ย” แต่ก็ต้องลุยต่อ กลับบ้านมารู้สึกว่าคงไม่ได้หรอก ไม่ใช่ทางเลย มันมีคนเก่งเยอะที่ตั้งใจและจริงจัง ผ่านไปสักเดือนหนึ่งช่องโทรมาเรียกไปเซ็นสัญญา (หัวเราะ) เราคิดว่าเขาคงเห็นอะไรสักอย่าง แล้วก็คุยกับคุณแม่ว่า “เน๋งไม่ค่อยอยากทำ กลัวทำได้ไม่ดี” ก็ทะเลาะกับแม่อยู่เดือนหนึ่ง คือแต่ก่อนคุณแม่เขาชอบ ให้เรียน แต่เขาเห็นว่าเราเรียนโอเคแล้วเลยอยากให้ลองทำดู แม่คงอยากให้เป็นดาราแหละ ตามสไตล์ (หัวเราะ) แต่ลูกอยากไปเรียนต่อ เราก็ต่อต้านด้วย สงสัยว่าทำไมแม่ไม่ให้เราเรียน พอไปคุยกับแกจริงๆ แล้วก็เข้าใจเหตุผลเลยพยายามเปิดใจฟัง จุดเริ่มต้นที่มาเป็นนักแสดงก็คงมาจากคุณแม่ครับ

การทำงานในวงการบันเทิง เปลี่ยนให้คุณเป็น Extrovert ไหม

ตอนนี้ก็ยังเป็น Introvert อยู่ครับ

เมื่อก่อนคุณเก็บตัวขนาดไหน

มากกว่านี้เยอะมากครับ ผมไปนั่งประมวลผลตัวเองย้อนหลังพบว่าเมื่อก่อนเราไม่สบายกับการอยู่ข้างนอก เราแคร์สายตาตลอดว่าคนจะมองยังไง เขาจะชอบเราไหม มันเกร็งไปหมด กลายเป็นว่ามือไม้ก็ไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหนเลย ทำตัวลีบๆ ดีกว่า ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน แต่ช่วงหลังๆ เราก็ปรับตัว ดูจากพี่ๆ ในวงการว่าเขาทำอย่างไรเพราะก็มีบางคนที่เขาเป็น Introvert เหมือนเราแต่เขาก็อยู่ได้ เขาก็เป็นตัวของตัวเองไปเลย ไม่แคร์ว่าคนจะมองตัวเองยังไง หยอกล้อคุยเล่นได้ ทำให้บรรยากาศมันแจ่มใส พอเราอยู่ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้ว่าเราทำกับใครได้ ประมาณไหนได้ มันจะชิลขึ้น เราคุยกับคนได้มากขึ้น

ความรู้สึกวันแรกที่คุณเข้ากองถ่ายเรื่องนางสาวไม่จำกัดนามสกุล (2561) เป็นยังไงบ้าง

หูย! ยังจำได้เป็นภาพติดตา ซีนแรกผมเข้ากับพี่ปิงปอง (ธงชัย ทองกันทม) พี่ติช่า (กันติชา ชุมมะ) พี่ใหม่ (ดาวิกา โฮร์เน่) ซีนแรกนั่งที่โต๊ะกาแฟ เกร็งมาก เราไม่เคยทำงานกองถ่ายมาก่อน มีกล้อง 3 ผู้ช่วยคนละ 2 มีผู้ช่วยผู้กำกับมาตีสเลท มีทีมเสียง พร็อพ ยืนกันแบบไม่ให้ความเป็นส่วนตัวเลยเหรอ (หัวเราะ) แล้วก็นักแสดงที่เราเห็นเขาในจอทีวี ชื่นชมผมงานเขามาก่อนแล้ววันหนึ่งเราต้องเล่นกับเขา ทุกอย่างรวมกันแล้วมันเกร็งมาก พี่ผู้กำกับเขาก็รู้ โชคดีที่พี่แก้ว (ฉัตรแก้ว สุศิวะ – ผู้กำกับ) เขาให้คำปรึกษา แล้วเราก็ค่อยๆ ดีขึ้น คิวแรกจำได้ว่าพูดไม่เป็นภาษาเลย พูดผิดพูดถูก

หลังจากนั้นมีเรียนการแสดงเพิ่มมั้ย

เรียนครับ จริงๆ ก่อนหน้านั้นก็เรียนแล้ว แต่พอไปอยู่หน้ากล้องมันไม่เหมือนกัน เวลาเรียนเรียนแบบปิด แล้วเราเป็นคนแคร์สายตาคน แต่พอใช้ชีวิตในกองถ่ายไปสักพักหนึ่งก็เริ่มชิน ตอนแรกรู้สึกว่าเขาจะคิดกับเรายังไง อยู่ไปก็เริ่มคิดได้ว่าเขาก็มาทำงาน เขามีหน้าที่ของเขา เช่น จัดไฟก็ต้องจัดให้ดี พี่กล้องก็ต้องทำของเขาให้ดี เขาไม่ได้มาสนใจว่าเราจะทำอะไร ก็เลยเบาไปหนึ่งเรื่อง

ผลงานล่าสุดอย่างรักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง (2565) ผู้กำกับดุมั้ย

ก็ดุ ตั้งแต่ละครเรื่องภาตุฆาต (2562) เราก็รู้อยู่แล้วว่าพี่ปุ๊ย (ผอูน จันทรศิริ) เป็นยังไง ตอนนั้นเรากลัวนะ แต่พอมาเรื่องนี้เราเข้าใจว่าสิ่งที่แกดุ แกดุเพื่ออะไร เราเลยพยามเรียนรู้จากมันดีกว่า แกดุเพื่อให้เราได้ ไม่อย่างนั้นไม่ดุหรอก ไม่ต้องพูดก็ได้ก็ปล่อยผ่านไปเดี๋ยวก็ตายของมึงเอง (หัวเราะ) เราฟังแล้วนำไปปรับใช้หรือถกเถียงกันได้ แกก็เปิดรับ ถ้าเราอยากเล่นแบบนี้ หรือคิดว่าตัวละครเป็นแบบนี้มากกว่าก็คุยกันได้

รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้เข้าฉากกับบี น้ำทิพย์

ก็เหมือนทุกครั้ง เราเป็นเด็กคนหนึ่งที่ดูละครมา วันหนึ่งมาเล่นกับพี่บีก็คิดว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง ก็กังวลนะ ด้วยความที่พี่บีเป็นนักแสดงรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์เยอะ เขาเก่งมาก เราก็กังวลว่าเราจะเป็นตัวถ่วงเขาหรือเปล่า และก็ไม่รู้ว่าแกเป็นคนยังไงเพราะไม่เคยร่วมกัน พี่บีน่ารักมาก เขาก็ Support เรา บอกตลอดว่าเรามาเป็นคู่กันแล้วก็ต้องไปด้วยกันนะ ไม่ทิ้งกัน ก็ขอบคุณพี่บีมากครับ

เก็บเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ อะไรได้บ้างจากการเล่นละครเรื่องนี้

คิดว่าเป็น Layer ของการเล่นละครมากกว่า พอเราเริ่มทำได้พี่ปุ๊ยจะให้ลองซ้อน Layer ลงไป บางทีความรู้สึกตัวละครมันมีอีกชั้นหนึ่งหรือสองชั้น ให้มันมีความซับซ้อนมากขึ้น ก็ลองทำแล้วมันมีความเป็นมนุษย์ขึ้นจริงๆ เรื่องอื่นๆ ก็มีเรื่องเลิฟซีน ด้วยความเป็นรอมคอม (โรแมนติก-คอมเมดี้) เราจะจูนให้อยู่ Level ไหน บางทีอาจจะมากไปหรือน้อยไปเพราะมันไม่ใช่ละครดรามาหรือเลิฟจัดๆ เราต้องดูภาพกว้างมากขึ้น ดู Mood & Tone ของโปรดัคชันมากขึ้น หาวิธีเล่นใหม่ๆ เพื่อให้เข้ากับ Mood ของละคร

เรียนรู้อะไรมากที่สุดจากการเป็นนักแสดงของช่องวัน 31

ผมว่ามันเป็นการเข้าใจมนุษย์ ช่องค่อนข้างให้ความสำคัญกับการแสดงมากๆ ผมได้มีโอกาสเรียนการแสดงบ่อยๆ พอเขาให้ทำคาแรกเตอร์ตัวละคร ก็รู้สึกว่าเราต้องเข้าใจตัวละครตัวนี้ แม้เหตุผลเขาจะขัดกับเหตุผลของเรา แต่เราต้องเข้าใจเขาให้ได้ว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น เขามีเหตุผลหรือความจำเป็นอะไร เพื่อให้เราไม่รู้สึกขัดกันเอง ตอนเล่นละคร เราต้องเป็นตัวเขา 100 เปอร์เซนต์ แล้วมันทำให้เราดึงสิ่งนี้มาใช้ในชีวิตจริงด้วย พยายามเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ตอนเด็กเราเห็นเพื่อนทำสิ่งนี้ พอเป็นคนนอกมันเห็นผลลัพธ์ มันแย่ ไม่เข้าใจ ทำไมมึงทำอย่างนั้น คิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้เรารู้สึกเข้าใจ ถ้าเป็นสถานการณ์เดิมเราคงหาคำตอบก่อนว่าเขามีความจำเป็นอะไรหรือเปล่า เขาอาจจะไม่มีทางเลือก แล้วไปหาวิธี Support เขาแทนถ้าหากว่าเขาล้ม การเปลี่ยนวิธีคิดเป็นสิ่งที่ได้จากการแสดงจริงๆ ครับ

มีช่วงไหนที่ปลดล็อควิธีคิดให้มันสามารถเชื่อมโยงกับการแสดงได้

ผมไม่แน่ใจคลิกล็อคตรงไหน แต่ช่วงเริ่มๆ น่าจะเป็นเรื่องภาตุฆาต ผมพยายามหาความสนุกจากการแสดงก่อนว่าความสนุกของผมมันอยู่ตรงไหน ภาตุฆาดันเป็นคาแรกเตอร์ใหม่ เราก็มีความตื่นตัวอยู่แล้ว “เฮ้ย เราได้นั่งบนห้องคนขับเครื่องบินรบว่ะ” ผมคิดว่าในชีวิตมันไม่ได้มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว วิธีที่ทำให้ผมได้ทำอะไรบ้าๆ แบบนี้คือเป็นนักแสดง เลยหาความสนุกตรงนั้นก่อน พอมันสนุกแล้วอย่างอื่นจะตามมาเอง พอได้แสดงอารมณ์ที่ไม่เคยทำในชีวิตอย่างแหกปากโวยวาย โกรธจัดหรือเศร้าจัด เราไม่ได้เป็นคนที่มีอารมณ์หลากหลาย พอได้มาสำรวจตัวเองก็พบว่าเรามีมุมนั้นเหมือนกัน ชอบที่ได้เจออะไรใหม่ๆ ในละครเลยรู้สึกชอบละครมากขึ้น

วงการบันเทิงช่วยในการบริหารงานในฐานะหมออย่างไร

ผมว่ามันเป็นเรื่องการสื่อสารนั่นแหละครับ หมอจะมีความตรง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเห็นชัดมากว่าเปลี่ยนจริง และพยายามส่งต่อให้คุณหมอในทีมว่าจริงๆ แล้วมันมีวิธีพูดตั้งมากมาย แต่บางคนก็เน้นง่ายพูดให้จบๆ ไป บางทีแค่เปลี่ยนวิธีการพูดนิดเดียว ผมว่ามันช่วยวิถีชีวิตของหมอเยอะ เดี๋ยวคนรู้สึกว่าคุณหมอทำไมพูดแรงจังเลย เขาเสียใจ ไปบอกหมาเขาว่าเป็นมะเร็งอยู่ได้อีกหนึ่งเดือน ซึ่งอาจจะจริงก็ได้แต่ไม่ต้องพูดแบบนั้นก็ได้นี่ เราต้องหาวิธีแก้ให้เขา ไม่ใช่ปิดประตูเขาเลย ทั้งที่ในใจเรารู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีแต่อย่างน้อยสิ่งที่พังอาจจะมีแค่หมา ไม่ใช่จิตใจเขา

มองอนาคตของตัวเองอีก 5 ปีอย่างไร

ตอนนี้เน๋งยังไม่มองถึงขั้นนั้น แต่มีเป้าหมายในอนาคตอันไกลคือเน๋งอยากทำ Referral Hospital (ศูนย์บริการสาธารณสุขในการส่งต่อผู้ป่วย) เหมือนเมืองนอก สามารถทำในสิ่งที่โรงพยาบาลในไทยตอนนี้ยังทำไม่ได้ ตอนนี้อยู่ในช่วงเตรียมการ กำลังหาตังค์ครับ (หัวเราะ) แล้วก็มีเพื่อนสมัยเรียนช่วยกัน เคยดู Hospital Playlist (เพลย์ลิสต์ชุดกาวน์-2563) ไหม ผมอยากเป็นแบบนั้น ตอนนี้ผมมีกลุ่มเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตอนมหาลัย แต่ตอนนี้ทุกคนกระจายตัวไปเรียนสาขาที่สนใจ ก็คุยกันอยู่เรื่อยๆ สักวันคงได้รวมตัวกัน

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า