fbpx

การหวนคืนสู่ครอบครัวเพื่อไทย และบทบาทใหม่ของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

พบกับ ‘เขา’ ที่ตัดสินใจกลับบ้านเรา ครอบครัวเพื่อไทย

ข้อความจากในโซเชียลมีเดียของพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศว่าจะมีใครบางคนกลับมาสู่พรรคอีกครั้ง สร้างความตื่นเต้นให้กับทั้งคนที่เป็นฐานเสียงพรรคและคนทั่วไปที่ติดตามการเมืองไม่ใช่น้อย และในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เราก็ได้รับรู้ว่า ‘เขา’ คนนั้นก็คือเต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งอยู่ร่วมเส้นทางกับพรรคเพื่อไทยมาอย่างยาวนาน แม้ในช่วงการเลือกตั้งปี 2562 เขาจะย้ายไปอยู่พรรคไทยรักษาชาติ แต่ว่าพรรคไทยรักษาชาติก็ยังคงสปิริตของพรรคเพื่อไทยไว้ครบถ้วน เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์การแตกแบงค์พันที่ออกแบบมา เพื่อรับมือกับรัฐธรรมนูญปี 2560 

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ถูกจดจำในหลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นนักพูด ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ และการเป็นแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงหรือ นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) และในอีกมุมหนึ่งเขายังเป็นผู้ร่วมเดินทางกับพรรคเพื่อไทยมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักไทย พรรคไทยรักษาชาติ

ภาพของเขากับพรรคเพื่อไทยเป็นภาพที่ไม่อาจแยกขาดออกจากกันได้ ความสัมพันธ์ของเขาและพรรคหากเปรียบเทียบก็เป็นเสมือนครอบครัวก็ว่าได้

แม้ในบางช่วงชีวิต เขาอาจห่างจากครอบครัวนี้ไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วครอบครัวก็คือครอบครัว ครอบครัวย่อมตัดไม่ขาด และในวันนี้ที่เขาตัดสินใจหวนคืนกลับสู่ครอบครัวอีกครั้ง เราจึงเดินทางมาคุยกับเขาถึงความรู้สึก และมุมมองที่เขามีต่อครอบครัวนี้

และถามไถ่ถึงภารกิจในฐานะ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ว่าบทบาทของเขาเป็นอย่างไร

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

รู้สึกอย่างไรกับการกลับมาอยู่พรรคเพื่อไทยในครั้งนี้

สำหรับพรรคเพื่อไทย จริงๆ ไม่ได้ห่างกันไปมาก หลังจากพรรคไทยรักษาชาติ แม้ไม่ได้ร่วมกิจกรรมกับพรรคอย่างเป็นทางการ แต่กับพี่ๆ น้องๆ แกนนำ และ สส.ในพรรค ก็พบปะสังสรรค์กันเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ดังนั้นการกลับมาในพรรคจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ตำแหน่งค่อนข้างแปลกใหม่ เพราะสมัคร สส. ไม่ได้ มีตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ และคำว่าครอบครัวเพื่อไทย ก็เป็นองค์กรใหม่สำหรับการเมืองปัจจุบัน ก็ทำความเข้าใจบทบาท ทำความเข้าใจภารกิจ ก่อนจะเดินเข้ามา แต่พอเข้ามาแล้วก็เหมือนเดิม เต็มที่เหมือนเดิม

หน้าที่ของ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยคืออะไร

ทำงานจัดตั้ง สร้างเครือข่าย ขยายแนวร่วม ซึ่งอันนี้เป็นงานภาคสนามที่อาจปรากฎผ่านสื่อ หรือไม่ปรากฎบ้างก็ตาม แต่เป้าหมายก็เพื่อที่จะเปิดประตูทุกบานของครอบครัวเพื่อไทยกับมวลชนทุกกลุ่ม ไม่ได้เฉพาะแต่คนเสื้อแดงเท่านั้น แต่หมายถึงคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคม ประชาชนทั่วไป แม้กระทั่งกลุ่มนักธุรกิจ ผู้บริหาร ใดๆ ก็ตาม เราต้องการที่จะสร้างพื้นที่ในการสื่อสาร สร้างพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็น และพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายและประกาศต่อประชาชนในนามพรรค ว่าเรามีวิธีการหรือมีข้อเสนอในการแก้ปัญหานั้นๆ อย่างไร เพราะฉะนั้นภารกิจในส่วนนี้จึงเป็นส่วนหลักที่ผมเข้ามาทำหน้าที่ การขับเคลื่อน จัดเวที พบปะประชาชนเป็นเวทีใหญ่ๆ ไปกับหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็เป็นอีกมิติหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่ผู้คนจะเห็นในมุมนั้น แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นงานภาคสนาม

คนเสื้อแดงที่กระจัดกระจายไปอยู่ตามพรรคต่างๆ เราจะพาพวกเขากลับสู่ครอบครัวเพื่อไทยได้อย่างไร

ผมคิดว่าที่จริงแล้ว คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่ และก็เป็นข้อเท็จจริงที่บางส่วนอาจไปร่วมหรือสนับสนุนพรรคการเมืองอื่นๆ ในฝ่ายประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นการที่เราจะชวนพี่น้องให้กลับมารวมพลังกันที่พรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ก็เป็นการสื่อสารโดยเคารพเสรีภาพในการตัดสินใจของกันและกัน ถ้าพี่น้องเขาเห็นด้วยมารวมพลังกันก็ดี หรือพี่น้องเขาบอกว่าเขาตัดสินใจเป็นอย่างอื่นแล้ว และยังไม่คิดเปลี่ยนการตัดสินใจก็เคารพกัน บางส่วนอาจมีความรู้สึกว่าพรรคเพื่อไทยห่างกันไปบ้างในช่วงหลังๆ ประเด็นก็คือต้องทำการกระชับความรู้สึก กระชับระยะห่าง เพื่อให้เรายังคงใกล้ชิดและเข้าใจกันเหมือนเดิม

เราจะทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมกับครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งพวกเขาอาจคิดว่ามีครอบครัวอื่นที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่อย่างพวกเขามากกว่า

ผมคิดว่าสาระหลักคือการนำเสนอนโยบายและแนวคิดในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะคนรุ่นใดก็ตาม แปดปีที่ผ่านมา ทุกคนเห็นปัญหาและสัมผัสปัญหาในมุมต่างๆ ด้วยกันหมด ทุกคนไม่มีหวังกับรัฐบาล ทุกคนไม่เชื่อว่าพลเอกประยุทธ์และพวก จะสามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ดังนั้นมันไม่ได้หมายถึงแค่การจัดตั้งทางการเมือง แต่มันหมายถึงการแสดงออกซึ่งวิสัยทัศน์ วิธีคิด นโยบาย ผมว่าตรงนี้มันน่าจะสื่อสารกับคนทุกรุ่นและคนรุ่นใหม่ด้วย ว่าพรรคเพื่อไทยมีศักยภาพและมองปัญหาขาด มีผลงานจับต้องได้ในการแก้ปัญหาประเทศมาแล้ว ส่วนในมิติอื่นๆ เช่น มิติทางการเมือง ก็ต้องเดินเข้าไปหาเขา อย่างที่ผมบอกว่าเปิดช่องทางในการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับฟังข้อเสนอะแนะ ผมว่าถ้าพรรคเพื่อไทยมีความจริงจังและตั้งใจแบบนี้ คนรุ่นใหม่คนหนุ่มสาวก็น่าจะเปิดใจรับฟัง ส่วนจะเป็นคะแนนโหวตหรือสนับสนุนหรือไม่ ผมว่าเราอย่าไปคาดคั้นกันแบบนั้น เราเพียงแค่ว่าได้นั่งคุยกัน เดินไปหากัน เอาแบบนี้ก่อน

พอเราสื่อสารว่าเป็น “ครอบครัวเพื่อไทย” ประกอบกับการเข้ามาของคุณอุ๊งอิ๊ง (แพทองธาร ชินวัตร) ก็จะมีฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าเราก็เล่นการเมืองแบบเครือญาติ คิดเห็นอย่างไรกับข้อวิจารณ์นี้

รับฟัง เคารพความเห็น แต่เราก็ต้องเคารพประชาชนที่ตัดสินใจเลือก จะเป็นคุณอุ๊งอิ๊งหรือเป็นใครก็ตามที่เป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทย จะไม่สามารถประสบความสำเร็จทางการเมืองได้เลย ถ้าประชาชนไม่สนับสนุน สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ เป็นเรื่องความคิดเห็นของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม แต่สิ่งที่เราต้องฟังจริงๆ คือการตัดสินใจของประชาชนทั้งประเทศผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งหมด ถ้าเราบอกว่าเสนอคนนี่ถูก เสนอคนนั้นผิด ทำไมเราไม่ฟังคำตอบจากประชาชน ดังนั้นถ้าวันหนึ่งคุณอุ๊งอิ๊งจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หรืออาจเป็นคนอื่น หลักการเดียวกันคือให้ประชาชนตัดสินใจ ปัญหาที่ผ่านมาคือเวลาประชาชนตัดสินใจ มีคนบางส่วน อำนาจนอกระบบ ไม่รับฟัง ไม่ยอมรับ แล้วก็ใช้วิธีการนอกระบบเข้ามาจัดการ

ถ้าประชาชนชี้ขาดว่าแนวทางของพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับการยอมรับอีกแล้ว พรรคเพื่อไทยก็ต้องทบทวนการขับเคลื่อนที่ผ่านมา แต่ประเด็นคือว่าทุกคนที่พรรคเพื่อไทยเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะมาส่วนใดของพรรคก็ตาม มันได้รับการตอบรับจากประชาชนมาตลอด ดังนั้นถ้าคิดในมิติของการทำงาน เขาเดินตามแนวทางที่เขาเดินสำเร็จมาทุกครั้ง มันก็น่าจะเดินต่อยอดต่อไปได้ ถ้าเราผลิตสินค้าออกมา แล้วผู้บริโภคหรือตลาดไม่ยอมรับ แน่นอนว่าผู้ผลิตก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ แต่ตราบเท่าที่ผู้บริโภคยังยอมรับและเราพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไปได้เรื่อยๆ ก็ไม่แปลกที่จะเสนอตัวให้ประชาชนพิจารณาอีกครั้ง

ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน คิดว่ามีความเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด

ผมคิดว่ามันคือการเดินทางของยุคสมัย มันคือการเรียนรู้กันและกันของพรรคกับประชาชน พรรคเพื่อไทยดำรงสถานะพรรคการเมืองอันดับหนึ่งของประเทศยาวนาน 20 กว่าปี และถูกกระทำทางการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรรคการเมืองไทย ดังนั้นการเปิดรับฟังเสียงจากทุกมุม การแสดงตัวให้ชัดว่ายังคงมีศักยภาพในเรื่องนโยบาย ในเรื่องการแก้ปัญหา และมองประเด็นของสังคมไทย มองประเด็นทางการเมืองอย่างสอดคล้องกับข้อเท็จจริง ผมว่าพรรคเพื่อไทยต้องแสดงจุดแข็งเหล่านี้

การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือการแก้ปัญหาทางการเมืองของประเทศไทยก็ตาม ความเหมือนกันก็คือมันคือการเดินทางไกล การเดินทางไกลจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ก็ต่อเมื่อตลอดเส้นทางที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าทำได้ แข็งแรงพอที่จะเป็นที่พึ่งพาให้กับประชาชนได้ แม้จะมีที่ถูกใจและไม่ถูกใจบ้าง ผมว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่มีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองใดสามารถจะตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ทุกมิติ 100% สำคัญก็คืออะไรที่เป็นเรื่องลำดับหนึ่ง ลำดับสอง ลำดับสาม และแสดงให้เห็นได้ว่าเรามองเห็นทุกเรื่อง และยังเดินไปตามแนวทางที่ถูกต้องอยู่ ผมว่านี่คือเรื่องสำคัญ

ในการกลับมาเสริมทัพให้กับครอบครัวเพื่อไทยครั้งนี้ คุณมองเห็นจุดอ่อนอะไรที่อยากจะแก้ไขหรือปรับปรุงไหม

จุดอ่อนก็คือสิ่งที่กำลังทำมันสวนทางกับเจตนารมณ์ของผู้มีอำนาจ นี่เป็นจุดอ่อนที่พยายามสู้มาโดยตลอด แต่ก็ยังเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ดี ผมคิดว่าจุดอ่อนแบบนี้มันจะแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อสังคมไทยเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ และประชาชนแข็งแรงพอที่จะปกป้องพรรคการเมือง ไม่ใช่แค่เฉพาะพรรคเพื่อไทยนะ แต่ปกป้องไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตามที่ยืนหยัดหลักการประชาธิปไตย

แต่จุดอ่อนภายใน แน่นอนว่ามีทุกพรรค ก็ต้องปรับเปลี่ยน เรียนรู้กันไป ประเด็นก็คือเมื่อผมเป็นคนในครอบครัว จะมาเล่าว่าภายในมีจุดอ่อนอย่างไร ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เราต้องคุยกันข้างใน ถ้าอะไรที่เป็นจุดอ่อนก็ต้องแก้ไขกันไปบ้าง และแสดงออกให้ประชาชนเห็น แต่จุดเปราะบางก็อย่างที่บอกคือการเผชิญหน้ากับฝ่ายผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ฝ่ายผู้มีอำนาจยังคงมองพรรคเพื่อไทยเป็นคู่ต่อกรลำดับหนึ่งเสมอ เราดูได้ง่ายๆ รัฐธรรมนูญ 50 หรือรัฐธรรมนูญ 60 จะต้องเอาชนะพรรคเพื่อไทยให้ได้ จะหารร้อย จะหารห้าร้อย ด้วยเหตุผลเดียวคือทำยังไงที่จะสกัดกั้นความสำเร็จของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง เมื่อบริบทเป็นแบบนี้อยู่ ก็ยังเป็นจุดเปราะบาง แต่เป็นจุดเปราะบางที่พรรคเพื่อไทยจะต้องรับแทนในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาชน

การที่คุณหญิงสุดารัตน์ (เกยุราพันธุ์) ซึ่งอยู่กับพรรคเพื่อไทยมาอย่างยาวนาน ออกไปตั้งพรรคของตัวเอง คุณมองว่ามันเป็นการเสียคนในครอบครัวไปรึเปล่า

ผมเคารพการตัดสินใจของแต่ละคน และวิธีการเมืองมันเป็นแบบนี้ บางคนก็อยู่ด้วยกัน บางคนก็มีการเดินทางของตัวเอง ตราบเท่าที่ยังไม่เปลี่ยนหลักการ ผมก็ถือว่าเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องกันอยู่ ดังนั้นในความสูญเสีย มันก็จะมีการเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ และมันก็จะมีการเดินย้อนกลับของคนอีกจำนวนหนึ่ง ผมว่าเป็นเรื่องปกติทางการเมือง

ได้มีการพูดคุยกับคนที่ออกไปบ้างไหม

ไม่เลย แต่ว่าถ้าไปเจอตามงานกิจกรรมก็พูดคุยกันตามปกติ แต่ถ้าไปนั่งประชุม นั่งระดมสมองด้วยกัน ไม่มี แต่สำหรับผมทุกคนเป็นเพื่อนและยืนยันแบบนี้มาโดยตลอด

แล้วรู้สึกยังไงคนที่ออกไปแต่ไม่ได้ยึดหลักการเดียวกันกับคุณแล้ว

ก็เป็นคนรู้จัก แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องร่วมแนวทางการเมืองร่วมกัน เพราะว่าทุกอย่างมันต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ความเป็นเพื่อน มิตรภาพเดิมๆ เรารับผิดชอบต่อกันและกัน แต่เมื่อเดินบนวิถีทางการเมือง ความรับผิดชอบต่อประชาชนมันยิ่งใหญ่กว่า

คุณมองคุณทักษิณ (ชินวัตร) อยู่ตรงตำแหน่งไหนในครอบครัวนี้

ท่านนายกทักษิณ เป็นสัญลักษณ์ เป็นผู้นำทางความคิดของพรรคเพื่อไทย ถ้าไม่พูดแบบนี้ แปลว่าไม่ได้พูดความจริง ความเป็นท่านนายกทักษิณ ประชาชนจำนวนมากยังเชื่อถือศรัทธา โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองมีวิกฤตทางเศรษฐกิจและเรื่องความเป็นอยู่ ดังนั้นถ้าเราจะเดินไปข้างหน้าโดยบอกว่าพรรคเพื่อไทยต้องตัดขาดและเดินให้พ้นนายกทักษิณไป ผมว่าเป็นคำพูดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพียงแต่จะจัดวางสถานะของนายกทักษิณอย่างไร ในเมื่อท่านไม่ได้อยู่ในประเทศ และไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งที่จะถึงได้ พรรคเพื่อไทยก็ต้องจัดองศา จัดความสำคัญนี้ให้ประชาชนเข้าใจให้ได้ ว่าผลงานและวิสัยทัศน์แบบนายกทักษิณเป็นส่วนหนุนเสริมของพรรคเพื่อไทยอย่างไร ผมไม่คิดว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องเอานายกทักษิณเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนทางการเมือง แต่เป็นส่วนหนุนเสริมและส่วนสนับสนุนที่สำคัญ

สังคมไทยในวงกว้างก้าวข้ามเรื่องผีทักษิณไปได้แล้วหรือยัง

ผมว่าถ้าเราตั้งประเด็นว่าใครไม่ก้าวพ้นนายกทักษิณ ก็คือชนชั้นนำนั่นแหละ คือประชาชนเขายอมรับ เขาประทับใจ เขาเชื่อมั่น แต่เขาไม่ถึงกับขาดใจตายถ้าไม่มีนายกทักษิณอยู่ในหน้าการเมือง ชีวิตต้องเดินหน้า สังคมต้องเดินหน้า ปัญหาก็คือว่ากลุ่มอำนาจนิยมหรือชนชั้นนำ เขายอมรับไม่ได้ แม้กระทั่งการเห็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งโดยนายกทักษิณ หรือนายกทักษิณสนับสนุนอยู่ก็ตาม เพราะฉะนั้นคนที่ก้าวไม่พ้น ก็คือคนกลุ่มนี้

รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ร่างขึ้นมาโดยเจตนารมณ์หลักก็คือเพื่อที่จะเอาชนะนายกทักษิณให้ได้ แค่คิดก็ผิดแล้ว ผิดอย่างมหันต์ และการตั้งโจทย์แบบนี้ทำให้สังคมไทยถอยหลัง และทำให้ประชาชนต้องแบกรับความเสียหายจนถึงปัจจุบัน

การบูชาตัวบุคคลในสังคมไทย นอกจากคุณทักษิณแล้ว ก็ยังมีคุณธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) หรือ คุณชัชชาติ (สิทธิพันธุ์) ด้วย คุณมองว่าการบูชาตัวบุคคลในลักษณะนี้มีปัญหาไหม

ถ้าใช้คำว่าบูชา ผมว่ามีปัญหา แต่ถ้าใช้คำว่าศรัทธา เชื่อมั่น ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติ คือในวิถีทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ประชาชนเลือกตัวแทน และตัวแทนที่ประชาชนศรัทธาจึงจะมีความแข็งแรงทางการเมือง มีเสถียรภาพเพียงพอจะทำงานหรือแก้ปัญหาได้ ตัวแทนที่ประชาชนศรัทธาจะมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากพอที่จะรับฟังเสียงสะท้อนและใช้บทบาทอำนาจหน้าที่ของตัวเองในการกำหนดนโยบาย

ดังนั้นผมคิดว่าเราอย่าปฏิเสธกันเลยว่าในทุกสังคมการเมือง มีนักการเมืองที่ในความรู้สึกของประชาชนถูกจัดวางให้เป็นฮีโร่ เป็นคนพิเศษ แต่วิถีประชาธิปไตยมันงดงามตรงที่เมื่อเวลาผ่านไป ฮีโร่คนเดิมอาจกลายเป็นคนที่ไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ หรืออาจกลายเป็นซาตานขึ้นมาก็ได้ แล้วเมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ซาตานคนนั้นก็อาจกลับกลายมาเป็นฮีโร่ขึ้นมาอีกครั้ง นี่คือความงดงงามของวิถีนี้ ซึ่งถ้าสังคมไทยเชื่อมั่นในประชาธิปไตย เชื่อมั่นในการตัดสินใจของประชาชน เวลามันจะคัดกรอง สถานการณ์มันจะอธิบาย และมันจะให้ข้อสรุปในบรรทัดประวัติศาสตร์ในที่สุดว่าตัวแทนของประชาชนในแต่ละยุค ใครเป็นอย่างไร

เราเคยสัมผัสบรรยากาศที่ UNESCO ยกย่องท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในวันที่ท่านไม่ได้อยู่ในประเทศไทยและไม่ได้มีชีวิตอยู่ เรามีนักคิด นักปราชญ์ หลายต่อหลายท่านถูกพูดถึงโดยคนรุ่นหลัง ทั้งๆ พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสตัวตนของผู้อาวุโสเหล่านั้นเลย นี่คือการเดินทางของประวัติศาสตร์ คือการศึกษาเรียนรู้ของประชาชน คือการจดบันทึกในความรู้สึกของประชาชนด้วยตัวประชาชนเอง เพราะฉะนั้นจะเป็นนายกทักษิณ จะเป็นอาจารย์ชัชชาติ จะเป็นใครก็ตาม ผมว่าถ้าอยู่บนบรรทัดนี้ เราต้องเคารพสิ่งที่ประชาชนแสดงออก ตรวจสอบได้ วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่อย่าปฏิเสธ ตราบใดที่ประชาชนสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาผ่านการเลือกตั้ง เราก็ต้องเคารพ

นอกจากการแบ่งฝั่งพรรคการเมืองเป็นฝั่งประชาธิปไตย และฝั่งที่ไม่เอาประชาธิปไตย การแบ่งเป็นพรรคการเมืองฝั่งซ้าย-ขวา ก็ยังคงมีอยู่ แล้วตกลงพรรคเพื่อไทยเป็นซ้ายหรือเป็นขวา

ผมว่าพรรคเพื่อไทยยืนอยู่ฝ่ายซ้าย ตั้งแต่ปี 2544 อาจไม่ได้ยืนแบบในตอนนี้ แต่ฝ่ายขวาเขาผลักมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวแทนของฝ่ายซ้ายในที่สุด การเป็นตัวแทนของฝ่ายซ้ายของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นรูปธรรม มันไม่ใช่แค่นโยบายแบบรัฐสวัสดิการ นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญคือการถูกกระทำจากฝ่ายอำนาจนิยม ถูกจัดวางให้อยู่ฝ่ายตรงข้ามของฝั่งอนุรักษ์นิยมในประเทศนี้ อันนี้ชัดเลย 

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าฝ่ายอำนาจนิยมผลักพรรคเพื่อไทยมาลงบนตักของประชาชน แล้วการเหยียบย่ำต่อพรรคเพื่อไทยในทางการเมือง มันคือการกระทำต่อประชาชนไปพร้อมๆ กัน พรรคเพื่อไทยจึงเป็นพรรคการเมืองที่ต่อสู้กับเผด็จการและถูกกระทำจากฝ่ายเผด็จการมาตลอด และยังคนยืนอยู่ ณ วันนี้ ถ้าพรรคเพื่อไทยจะเปลี่ยนขั้วย้ายข้าง ถ้าให้ผมคิดนะ ผมว่าป่านนี้สมบูรณ์พูนสุขไปแล้ว หลังการรัฐประหารปี 2549 จนมาถึงนายกยิ่งลักษณ์ ถ้าจุดนั้นพรรคเพื่อไทยสมยอมกับอำนาจนิยม ก็อาจไม่ถูกรัฐประหาร ไม่มีนายกประยุทธ์ ไม่มีพลังประชารัฐ และอาจจะมีพรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนของฝั่งอนุรักษ์นิยมยิ่งกว่าประชาธิปัตย์ไปแล้วก็ได้

จริงๆ แล้วเราเลือกที่จะสมยอมกับอีกฝั่งได้เหรอ เพราะอีกฝั่งเขาก็ดูจะผลักไสให้เราไปอยู่ฝั่งตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา

ดูที่ตัวคนก่อน ใครก็ตามที่เคยอยู่ฝ่ายนี้ แล้วเคยถูกปรามาสหรือโจมตีอะไรก็ตาม พอย้ายข้าง หล่อทุกคนนะ มีอำนาจ มีบทบาท มีตำแหน่งทุกคน ผมรู้สึกขนลุกทุกครั้งที่เห็นฝ่ายอำนาจนิยมหรืออนุรักษ์นิยมแสดงออกว่าเชียร์หรือสนับสนุนพรรคพวกผมที่ย้ายข้างไปแล้ว เพราะตอนที่ยืนอยู่ด้วยกันกับผม ก็รับเท้าพร้อมกันนี่แหละ เพียงแค่ย้ายข้างเท่านั้น ก็กลายเป็นคนดีงามขึ้นมา กลายเป็นคนรักชาติขึ้นมา ดังนั้นถ้าพรรคเพื่อไทยจะย้ายข้าง เราศึกษาจากคนหลายๆ คน ผมว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับการอุ้มชูยิ่งกว่าพรรคอื่นๆ ผมเชื่อแบบนี้ 

การที่ผมเดินเข้ามาเป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ต้องสุดทางเพียงที่ไม่มีใครเปลี่ยนขั้วย้ายข้าง ไม่ว่าจะเป็นตัวผมหรือว่าใครก็ตาม ถ้าย้ายข้าง ก็จบกันตรงนั้น ไม่ไปด้วย หรือถ้าผมย้ายข้าง พรรคเพื่อไทยก็ต้องเขี่ยผมด้วยเท้าข้างไม่ถนัด อย่างที่ผมพูดในวันเปิดตัว

คิดยังไงกับข้อวิจารณ์ที่ว่าพรรคเพื่อไทยไม่ต่อสู้แบบถอนรากถอนโคน หรือ “สู้ไปกราบไป” 

การต่อสู้มันคือการเดินทางไกล มันคือการวิ่งมาราธอน มันคงไม่สามารถสับฝีเท้าแบบวิ่งร้อยเมตรได้ในทุกหลักกิโล ผมคิดสิบกว่าปี หรือถ้าย้อนไปจริงๆ ก็ยี่สิบกว่าปีของพรรคเพื่อไทยมันพิสูจน์แล้วว่า โดนขนาดนี้ เจ็บขนาดนี้ แต่ก็ยังสู้อยู่ ยังลุกขึ้นมายืนได้ และยังคงได้รับการตอบรับจากประชาชน อย่างที่บอกไปว่าถ้าประชาชนไม่ยอมรับมันก็ต้องเปลี่ยนวิถีทาง ต้องทบทวนตัวเอง แต่ตราบใดที่ยังเดินอยู่ และประชาชนยังยอมรับ ผมคิดว่าก็ต้องพัฒนาแนวทางแบบนี้ต่อไป เราเคารพในทุกกลุ่ม ทุกความคิด ที่อยู่ในขบวนการต่อสู้ แต่ถ้าเราเชื่อว่านี่คือการเดินทางไกล เราก็จะเดินของเราแบบนี้ การวิพากษ์วิจารณ์กันไปมาของคนในขบวนการประชาธิปไตยมันเป็นการวิจารณ์กันในวันที่ยังไม่ถึงเส้นชัย

การที่คุณชัชชาติ (สิทธิพันธุ์) ได้รับชัยชนะในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่ผ่านมาอย่างล้นหลาม และยังได้รับการยอมรับจากประชาชนในวงกว้าง ในฐานะคนเคยอยู่ร่วมครอบครัวเดียวกัน คุณรู้สึกอย่างไร

ผมชื่นชม และเป็นกำลังใจให้อาจารย์ชัชชาติสร้างความแตกต่างในบริบททางการเมืองที่ท่านทำอยู่ เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่า ในที่สุดแล้วการเลือกตั้งมันสามารถคัดกรองผู้นำหรือตัวแทนที่มีคุณภาพ หรือที่สังคมต้องการขึ้นมาได้ แต่อย่างไรก็ตามสนามกทม. กับสนามการเมืองระดับประเทศก็มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ ประชาชนในแต่ละภูมิภาค ในภาพกว้างในระดับประเทศ มีเหตุปัจจัยในการตัดสินใจ หรือมีวิธีคิดในการเลือกตัวแทนที่ซับซ้อนกว่า ดังนั้นพรรคเพื่อไทยก็ต้องสรุปบทเรียนจากความสำเร็จของอาจารย์ชัชชาติ และนำมาปรับใช้กับสนามการเมืองใหญ่ 

น่าสนใจมาก เพราะผมคิดว่าทุกพรรคก็กำลังสรุปบทเรียนจากอาจารย์ชัชชาติอยู่ ก็ต้องดูว่าในสนามเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง พรรคการเมืองใดจะสามารถประยุกต์ความสำเร็จของอาจารย์ชัชชาติมานำเสนอต่อประชาชน และได้รับการตอบรับมากกว่ากัน

ชัยชนะของ สก. เพื่อไทยในสนาม สก. ครั้งที่ผ่านมา เป็นเครื่องยืนยันว่าความเชื่อที่คนกรุงเทพฯ ไม่เอาพรรคเพื่อไทยไม่เป็นความจริงอีกต่อไปแล้วรึเปล่า

สรุปอย่างนั้นทีเดียวก็ไม่ได้ ทุกสมัยในการเลือกตั้ง เรามี สส.เพื่อไทยในกรุงเทพ เรามีทีมทำงานของพรรคที่ทำงานในเมืองหลวง แต่จากข้อมูลก็พบว่าในพื้นที่ใจกลางเรายังไม่ประสบความสำเร็จนับตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2548 ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายรับผิดชอบในพรรค ต้องแกะให้เจอ และทำงานกันต่อ ก็เป็นการบ้าน มันเป็นธรรมดาของวิถีการเมืองนะ 

แต่จากจำนวน สก. ของพรรค ก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าจุดอ่อนในใจกลางเมืองของเราไม่เป็นจุดอ่อนอีกต่อไปแล้วรึเปล่า

ผมว่าอย่ารีบสรุปแบบนั้นเลย พรรคเพื่อไทยต้องทำงานต่อ เราจะไปชิงธงความสำเร็จในสนามการเลือกตั้ง สก. และประกาศว่าเราชนะแล้วในเมืองหลวงไม่ได้ เราต้องทำงานกันอย่างหนัก เพื่อให้คนกรุงเทพฯ เห็นว่า ศักยภาพ นโยบาย การทำงานของพรรคเพื่อไทยสร้างความเชื่อมั่นให้กับเขาได้อย่างไร และต่อเมื่อพรรคเพื่อไทยได้ครองเสียงข้างมากในสนาม สส. ในกรุงเทพอีกครั้ง และสามารถสร้างผลงานให้เขาเชื่อมั่นได้ ตรงนั้นแหละครับ เราถึงค่อยมาคุยกันเรื่องความสำเร็จ

ถ้าพูดถึงสนามกทม. มันเป็นการตัดสินของคนกรุงเทพฯ แต่ที่ผมพูดถึงมันคือการตัดสินของคนทั้งประเทศ

ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง คุณจะทำให้คนหรือพื้นที่ที่ไม่ใช่ฐานเสียงของเรามาเชื่อมั่นในพรรคได้อย่างไร เช่น ประชาชนในภาคใต้

เราก็พยายามสื่อสารกับพี่น้องชาวภาคใต้อยู่ ที่จริงในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พี่น้องชาวภาคใต้เขาเปลี่ยนนะ คือเปลี่ยนจากประชาธิปัตย์ มาเป็นพลังประชารัฐ เปลี่ยนไปเป็นภูมิใจไทย ทางตอนล่างก็เปลี่ยนมาเป็นประชาชาติ ยังไม่ข้ามมาถึงพรรคเพื่อไทย ก็เป็นข้อคิดที่พรรคเพื่อไทยต้องขบให้แตก เพราะถึงที่สุดประชาธิปัตย์ก็ไม่ใช่สัจนิรันดร์ของคนภาคใต้ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันแพ้ชนะได้ วันนี้เขายังข้ามมาไม่ถึงเรา ก็เป็นเรื่องที่เราต้องเข้าไปใกล้ เข้าไปนำเสนอตัวเอง นำเสนอแนวคิด แนวทางนโยบาย ซึ่งไม่ใช่งานง่าย แต่ถ้าเราประกาศต่อผู้คนว่าเราเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งของประเทศ จะสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยเป้าหมายแลนด์สไลด์ พี่น้องชาวภาคใต้ก็ยังเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็นพื้นที่สำคัญทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยที่จะต้องสร้างการยอมรับให้ได้

ในการเลือกตั้งปี 2562 มีการคาดการณ์กันว่าการเปลี่ยนมาเลือกพลังประชารัฐของคนบางกลุ่ม มาจากชุดความคิดว่าพรรคสามารถต่อกรกับเพื่อไทยได้ดีกว่าประชาธิปัตย์ แล้วในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้จะมีพรรคในลักษณะนี้ ซึ่งอาจขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเพื่อไทยโดยเฉพาะถือกำเนิดขึ้นมาอีกไหม

สำหรับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่น่าจะมีพรรคการเมืองใหม่ๆ ที่ประสบความสำเร็จมากเท่าพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ หรือภูมิใจไทยในภาคใต้ มันก็มีแหละ แต่สามพรรคนี้น่าจะเป็นพรรคหลัก และพรรคเพื่อไทยก็จะเป็นผู้ท้าชิงในทุกสนามเลือกตั้งของภาคใต้ แน่นอนว่าเดินเข้าไปด้วยประวัติศาสตร์ที่เป็นรอง แต่ต้องนำเสนออนาคตที่เป็นต่อให้คนภาคใต้เข้าใจให้ได้ 

คนมักพูดกันว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำงานได้ดีมากตอนเป็นฝ่ายค้าน ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ทำงานได้เยี่ยมตอนเป็นรัฐบาล แล้วช่วงเวลาที่เราเป็นฝ่ายค้าน คิดว่าการทำงานของเราเป็นอย่างไร

จริงๆ คำตอบอยู่ในคำถามอยู่แล้วนะ ว่าประชาธิปัตย์เหมาะจะเป็นฝ่ายค้าน และเพื่อไทยก็เหมาะจะเป็นรัฐบาล มันก็ควรเป็นแบบนี้ เราต้องการรัฐบาลที่มีศักยภาพ และต้องการฝ่ายค้านที่มีความกร้าวในการทำงาน หรือมีเหลี่ยมมุมในการปะทะกับรัฐบาล  เพื่อไทยก็บริหารไป ประชาธิปัตย์และคณะก็ตรวจสอบ ผมว่าก็ลงตัวแล้วนะ คำถามนี้มีคำตอบในตัว ปัญหาคือว่าฝ่ายที่เขาถืออำนาจหรือกลุ่มคนชนชั้นนำนอกระบบเขาไม่ยอมรับคำตอบนี้เท่านั้นเอง

นอกจากชัยชนะทางการเมือง จำนวน สส. หรือการที่แคนดิเดตของพรรคได้เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายอื่นอีกไหมในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมา

สำหรับผม เป้าหมายหลักของพรรคเพื่อไทยไม่ได้อยู่ที่การชนะการเลือกตั้ง มันอยู่ที่การได้เอานโยบาย ได้เอาศักยภาพในการแก้ปัญหาไปทำได้จริงๆ ในฐานะฝ่ายบริหาร ตรงนี้แหละ คือชนะการเลือกตั้งโดยไม่มีนโยบาย ไม่มีความสามารถแบบ 8 ปีที่ผ่านมา ผมว่าเพื่อไทยอย่าเป็นดีกว่า

เพราะงั้นสุดทางจริงๆ ของเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าแลนด์สไลด์แล้วจบ สุดทางจริงๆ คือแลนด์สไลด์เพื่ออะไร  คุณมีนโยบายยังไง คุณมีแนวทางในการแก้ปัญหายังไง ผมมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่รอฟังนโยบายจากพรรคเพื่อไทย แม้ว่าปัจจุบันจะมีหลายพรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่พยายามจะพูดถึงนโยบายไปมากแล้ว แต่มันจะไม่มีน้ำหนักเท่ากับนโยบายของเพื่อไทย ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าทำได้จริง แก้ปัญหาได้จริง ตรงนั่นแหละคือเส้นชัยที่ไกลกว่าแลนด์สไลด์

นอกจากภารกิจในการเสริมพลังให้กับครอบครัวเพื่อไทยในปัจจุบัน แล้วการทวงคืนความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดงตอนปี 2553 ยังเป็นภารกิจที่เราต้องทำอยู่ไหม

ยังต้องทำอยู่ ผมพร้อมที่จะเปิดประตูครอบครัวเพื่อไทยทุกบาน พร้อมที่จะรับฟัง และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทุกมุมในสังคมไทย แต่ผมไม่เคยปฏิเสธและไม่เคยลืมตัวตนว่าผมเป็นคนเสื้อแดงคนหนึ่ง ที่ร่วมต่อสู้กับพี่น้องมา เพราะงั้นภารกิจในชำระประวัติศาสตร์และทวงถามความจริงและความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดง จึงยังคงเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของผม การปกป้องเกียรติยศศักดิ์ของคนเสื้อแดง ยังคงเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตผม

ปัจจุบันคุณจัดการกับความรู้สึกจากเหตุการณ์นั้นอย่างไร

มันต้องเอามาเป็นพลัง แน่นอน ความเจ็บปวด ความคับแค้นยังคงมีอยู่ แต่ผมจะเป็นแสดงออกโดยออกความเจ็บปวดและความคับแค้นเป็นตัวนำในการต่อสู้ หรือในการทำงานทางการเมืองไม่ได้ เหตุผลก็คือว่าเราพยายามขับเคลื่อนสังคมทุกหมู่ทุกฝ่ายให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ผมไม่ได้สู้ให้ประเทศนี้เป็นของคนเสื้อแดง แต่เรากำลังสู้ให้อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะคิดเหมือน หรือคิดต่างกันทางการเมือง พลังของคนเสื้อแดงอาจเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และพลังของคนเสื้อแดงก็ต้องเปิดรับพลังจากส่วนอื่น ทั้งเห็นด้วยและเห็นต่าง 

ผมคิดว่าตลอดสิบกว่าปีของการต่อสู้ คนเสื้อแดงเข้าใจเรื่องนี้ และไม่ได้ปิดกั้น ว่าจะต้องคิด ต้องเชื่อ ต้องเดินตามแนวทางของคนเสื้อแดงเท่านั้น เราเป็นส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ถ้าอะไรที่มันผิดหลักการ เราจะเป็นส่วนแรก ๆ ที่จะออกต่อสู้ และค้ำยันไม่ให้มันเดินหน้าเข้ามาได้

จากวันแรกที่เข้าสู่สนามการเมืองจนมาถึงปัจจุบัน ตัวตนของคุณในวันนี้เป็นอย่างไร

ด้วยวิถีแห่งวัย ประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ทำให้ผมสรุปบทเรียนของตัวเอง เมื่อเห็นคนหนุ่มสาวออกมาต่อสู้ ก็ยิ่งต้องพยายามกลั่นเอาประสบการณ์ของเรา เพื่อให้ประโยชน์แก่ขบวนการในยุคนี้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่ได้เรียกร้องหรือคาดหวังให้ขบวนการในปัจจุบันต้องรับฟังเรา แต่ผมเรียกร้องต่อตัวเองว่า เราจะทำอะไรได้ไหม ให้เป็นประโยชน์แก่ขบวนการคนหนุ่มสาวในวันนี้ และเราจะจัดวางสถานะและบทบาทของตัวเองอย่างไร เพื่อให้วันหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบเป็นนักฟุตบอล เราอาจเคยเป็นกองหน้าตัวเป้า แต่วันนี้เราอาจถอยมาเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางหรือตัวรับ คอยระแวดระวังบางสิ่งบางอย่างที่อาจไปกระทบน้องๆ เขา และยืนอยู่ในสนามด้วยความเคารพต่อความกล้าหาญ ต่อการเสียสละ ต่อการกล้าหยัดยืนของคนหนุ่มสาว 

ผมคิดว่าวันนี้ผมไม่ได้ยืนอยู่แถวหน้าสุด และไม่แน่ใจด้วยว่าผมยืนอยู่ตรงจุดไหนในขบวนนี้ แต่ผมเชื่อว่าผมยังต้องอยู่ในขบวน และอะไรก็ตามที่คิดว่าทำแล้วเป็นประโยชน์ได้และสอดคล้องกับสถานการณ์  โดยเอาประสบการณ์ของตัวเองมาปรับใช้ อันนี้ก็ต้องพยายามทำ ผมพูดมาตลอดว่าผมเป็นหนี้บุญคุณของคนหนุ่มสาวยุคนี้ และผมยืนเคียงข้างพวกเขา ไม่คิดจะเปลี่ยนคำพูด และจะรับผิดชอบต่อคำพูดนี้ตลอดไป

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า