fbpx

ไดโนสองพาเที่ยวนาระ เมืองเก่าแก่ประวัติศาสตร์ยาวนาน และน้องกวางที่งับทุกสิ่งบนโลก!

สวัสดีครับทุก ๆ คนเรากลับมาพบกันอีกแล้วกับ “ไดโนสอง” ในตอนนี้เราจะไปเที่ยวกันต่อที่เมืองนาระ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับโอซากะ ในภูมิภาคคันไซเช่นเดิม

มาเล่าคร่าว ๆ ก่อนว่าเมืองนาระนั้นเป็นเมืองเก่าแก่ทางด้านพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อ 1,300 ปีก่อนและยังเคยเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 7-8 และมีสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่นพระพุทธรูปไดบุทสึซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ที่สุดในโลกสร้างตั้งแต่ 1,200 ปีก่อนเป็นต้น

ต่อจากตอนที่แล้วที่เราได้ไปปราสาทฮิเมจิมา ซึ่งเราใช้ตั๋ว Seishun 18 ที่สามารถใช้ได้กับรถไฟ JR ได้อย่างไม่จำกัดเที่ยวสูงสุด 5 วัน ยกเว้นตั๋ว Limited Express, Green Car และที่สำคัญจะขายเป็นช่วงเวลาโดยจะ ขายช่วงที่เด็ก ๆ ปิดเทอมซึ่งเป็นการสนับสนุนให้คนใช้รถไฟในการท่องเที่ยวภายในประเทศ วันนี้ก็จะเป็นวันที่ 2 ที่เราใช้ตั๋ว Seishun 18 เอาล่ะไปเดินทางกันต่อเลย !!

ตอนเช้าเริ่มเดินทางจากสถานี JR Namba มาเปลี่ยนสายรถที่สถานี Shin Imamiya รอรถไฟไม่นานรถไฟก็มาถึง

ภายในรถไฟโปร่งโล่ง มีเบาะนั่งอย่างสบาย ๆ หากมีแดดส่องก็มีม่านสามารถรูดลงเอามาบังแดดได้เลย อีกทั้งตามสไตล์รถไฟญี่ปุ่นจะมีชั้นวางของอยู่ด้านบนสามารถวางของได้ แต่อย่าลืมหยิบลงไปด้วยนะ 55555

นั่งรถไฟประมาณ 40 นาทีเราก็ถึงที่สถานีนาระ แล้ว วิธีการมาเมืองนาระด้วยรถไฟนั้นจะมี 2 สายหลัก ๆ ที่สามารถมาได้จากโอซากะก็คือ JR Line ลงที่สถานี Nara และ Kintetsu Line ลงที่สถานี Kintetsu Nara

หน้าสถานีนาระ

หน้าสถานีนาระ จะมีอาคารประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวหรือที่เรียกว่า Nara City Tourist Information Center ไว้สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถสอบถามได้จนถึงเวลา 17:00 น.เลย

ระหว่างทางที่เราไปยังสวนนาระ (Nara Park) เราก็พบร้านขนมและร้านสะดวกซื้อตกแต่งหน้าร้านโดยใช้วัสดุที่คล้ายไม้ใรการตกแต่ง เพื่อร่วมเป็นการอนุรักษ์บรรยากาศภายในสถานที่

แน่นอนครับ อย่างเรา ๆ เดินระหว่างทางจะไม่ให้มีของกินติดไม้ติดมือไปไม่ได้ ทั้งไอศครีมที่นุ่มลิ้น ไม่หวานมากและไดฟุกุแป้งเหนียวละมุน กินกับสตอเบอรี่ลูกใหญ่ ๆ ที่ฉ่ำไปด้วยน้ำและความหวานอมเปรี้ยวเข้ากันได้อย่างดีเลยครับ

และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับญี่ปุ่นในแหล่งท่องเที่ยวแบบนี้ก็คือ ฝาท่อระบายน้ำ ที่แต่ละสถานที่จะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อย่างที่นาระนั้นก็จะเป็นรูปกวาง ต้นไม้และดอกไม้

เมื่อเราเดินตามทางมาเรื่อย ๆ จนผ่านหน้าสถานี Kintetsu Nara และเดินต่อไปอีกสักพักก็จะเริ่มเจอน้องกวางที่สวนหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาตินาระ (Nara National Museum) เราก็เริ่มเข้าไปทักทายน้องกวางกันสักหน่อย ในระหว่างทางก็จะมีขนมเซมเบ้ขายสำหรับป้อนน้องกวาง โดยจะขายเป็นมัด ๆ มัดละ 100 เยน เราคาดว่าในเซมเบ้น่าจะมีส่วนผสมของหญ้าอยู่ด้วย เพราะตอนเราซื้อก็จะได้กลิ่นหญ้าพอสมควร แต่เราไม่ได้ลองชิมนะ = =!

มาทักทายน้องกันหน่อย ถ้าเราไม่มีขนมน้องก็จะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ ชิ !!

แต่ถ้ามีขนมปุ๊บ น้องจะเป็นมิตรและมิจ (ฉาชีพ) ทันที สำหรับมิตรแรก น้องก็จะมีมารยาท เมื่อเห็นขนมน้องก็จะโค้งคำนับเรา เพื่อเป็นการส่งสัญญาณขอขนม และจะขนมอย่างเรียบร้อย

แต่ถ้าหากเป็นมิจ (ฉาชีพ) สำหรับกวางบางตัว ซึ่งทุกคนก็ควรระวังไว้ด้วยนะ เพราะเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้หรือรุนแรงมากกว่านี้มาแล้วกับนักท่องเที่ยว เช่นการถูกกวางพุ่งเข้าชนอะไรทำนองนั้น หากมีเด็ก ๆ ไปด้วยควรดูแลลูกหลานอย่างใกล้ชิดนะครับ เพราะกวางทุกตัวไม่ได้เป็นมิตรกับเรา

แต่สิ่งที่เราประสบพบเจอคือ น้องกินเสื้อเลยจ้าาาา ไม่ให้นักใช่ไหม ด้ายยยยย กินเสื้อเลย !!

แต่เอาเข้าจริง ๆ น้องกวางที่เป็นมิตรก็มีจำนวนเยอะกว่ากวางที่เป็นมิจ (ฉาชีพ) นะ ส่วนใหญ่น้อง ๆ ก็นั่งจะนิ่ง ๆ ยอมให้เราถ่ายรูปด้วย

เราก็ไปเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนเจอสวนสาระ เราก็จะพบกับน้องกวางเยอะขึ้นเป็นเท่าตัว แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือรอบ ๆ จะมีคนขายขนมเซมเบ้อยู่ แต่น้องกวางจะไม่ไปยุ่งกับคนขายเลยแม้เขาจะมีขนมรอยู่ในมือก็ตาม แต่น้อง ๆ จะมาก็ต่อเมื่อเรานั้นซื้อขนมจากคนขายเซมเบ้ไปแล้วเท่านั้น และราคาของเซมเบ้นั้นเป็นราคามาตรฐานราคาเดียวกันคือ 100 เยน

เดินต่อมาอีกนิดเราจะพบกับประตูไม้อันยิ่งใหญ่ เรียกว่าประตูของวัดโทได (Todaiji) ของด้านทิศใต้ (Minami Mon) ซึ่งประตูนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,200 ปีสร้างโดยใช้ไม้สมัยคามาคูระ ประตูมีขนาดใหญ่มาก ๆ เทียบกับขนาดตัวคนไม่ได้เลย เมื่อเดินเลยเข้ามาในประตูเราก็จะเจอวัดโทไดเลยครับ

สำหรับด้านในจะพบกับองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่ ที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,300 ปี เสียดายที่ในตอนนั้นเราไม่ได้เข้าไปชมด้านใน เนื่องจากเสียค่าเข้าชม สำหรับผู้ใหญ่และเด็กมัธยมขึ้นไปค่าเข้าชม 600 เยน เด็กประถมลงมาค่าเข้าชม 300 เยน

เวลาเข้าชมจะแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงเมษายน ถึง ตุลาคม จะเปิดตั้งแต่ 7:30 – 17:30 น. (พิพิธภัณฑ์เปิด 9:30 – 17:30 น. เข้าได้ 17:00 น.) และช่วง พฤศจิกายน ถึง มีนาคมจะเปิดช้าและปิดเร็วขึ้น จะเปิดตั้งแต่ 8:00 – 17:00 น. (พิพิธภัณฑ์เปิด 9:30 – 17:00 น. เข้าได้ 16:30 น.) และในส่วนที่เป็นหอทางด้านขวาของวัดโทได (Hokke-do) จะเปิด ตั้งแต่ 8:30 – 16:00 น.เวลาเดียว

อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้เข้าวัดโทไดเราจึงเลี้ยวขวาเพื่อไปหาของฟรี 55555 กันที่อาคาร Nigatsudo ของวัดโทได ซึ่งเป็นอาคารชมวิวโดยรอบของวัดโทได ระหว่างทางเราก็จะเจอกวาง (อีกแล้ว !!) ก็เลยสร้างโมเมนต์กับน้องกวางสักหน่อย คิมิโนะโต๊ะแล้วหนึ่ง 5555 โชคดีที่น้องไม่กัดลิ้นไปด้วย

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เราเดินมาไม่ไกลเราก็จะถึงอาคาร Nigatsudo ก่อนที่เราจะขึ้นไปบนอาคารเราแวะกินขนมกันที่ร้านน้ำชาบริเวณนั้น ชื่อร้านว่า Ryubido เดินตามทางก่อนที่จะขึ้นอาคารร้านอยู่ทางด้านขวาโดยเราสั่งหลากหลายเมนูทั้ง Warabi Mochi ที่มีความเหนียวหนึบของแป้งกินตัดกับชาเขียวเข้ากันมาก ๆ หรือจะเป็นถั่วแดงกินคู่กับชาเขียวก็เข้ากันไม่น้อย หรือหากจะร่วมสมัยหน่อยก็จะเป็นไอศครีมชาเขียว ที่มีถั่วแดงและเซมเบ้ กินคู่กันก็รสชาติแปลก ๆ ดี โดยรวมรสชาติใช้ได้เลย สำหรับราคาขนมจะอยู่ที่ 650 – 750 เยน ต่อเมนู

เมื่อกินเสร็จเราเดินขึ้นไปชมวิวที่อาคาร Nigatsudo ซึ่งเป็นอาคารที่สามารถสักการะหรือทำบุญได้ และยังเป็นอาคารที่สามารถชมวิวแบบพาโนราม่าโดยรอบของวัดโทได และเมืองนาราได้อีกด้วย

ขนาดห้องน้ำในวัด ยังออกแบบได้เข้ากับสถาปัตยกรรมของวัด และรองรับกับ Universal Design อีกด้วย ที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถเข้าใช้บริการได้

เมื่อเราชมวิวเป็นที่เรียบร้อย ตอนลงมาเราได้พบกับห้องนั่งพักคอย ซึ่งจะเปิดบริการไว้สำหรับนักท่องเที่ยวหรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการเข้ามาหลบลมหนาว ก็สามารถเข้ามาในห้องนี้ได้ ในห้องก็จะมีฮีตเตอร์ให้บริการอยู่

ในห้องพักคอยเราจะพบกับกล่อง กล่องนึงที่มีเหมือนเป็นใบต้นสนเผาแล้ววางไว้ เมื่อเราลองสอบถามและทำความเข้าใจอย่างคร่าว ๆ ตามที่เราเข้าใจคือใบสนพวกนี้ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว สามารถหยิบพกติดตัวไปได้ เสมือนเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่ง

กว่าจะเดินถึงตรงนี้เวลาก็เกือบจะ 4 โมงเย็นแล้วซึ่งอาคารต่าง ๆ ก็ทยอยปิดกัน เพราะพระอาทิตย์เริ่มจะตกดินแล้ว เราจึงได้เริ่มเดินทางกลับกัน ระหว่างทางกลับเราจะผ่านทางสวนนาระเราก็จะได้พบน้องกวางยืนคอยส่งนักท่องเที่ยวกันอย่างคับคั่ง

เราเดินกันมาเรื่อย ๆ ก็จะมาถึงที่วัดโคฟุคุ (Kofukuji) เป็นวัดที่มีลานกว้างทางด้านหน้าและเจดีย์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Kintetsu Nara นัก

เมื่อแสงอาทิตย์กำลังจะตกดิน บรรยากาศ แสง สี ท้องฟ้าก็จะเปลี่ยนไปกลายเป็นสีส้ม ทองอร่าม เรามาเจอกับน้องกวางฝูงสุดท้ายมาอำลาเราก่อนที่เราจะกลับโอซากะ แต่เสียดายที่น้อง ๆ เหล่านี้ไม่ได้มีอาหารให้น้องกินแล้ว

เรากลับมาที่สถานี Nara ยังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่รถไฟจะมา เราเลยเข้าไปที่ Nara City Tourist Information อีกสักรอบไปถ่ายรูปกับมาสคอตของเมืองนาระสักหน่อย เป็นรูปน้องกวางยิ้มยกมือเรียกเราอยู่ อย่างเป็นมิตร (ภาพ)

รถไฟขากลับ เราได้นั่งแบบที่นั่งสามารถหมุนเขาหากันได้ เบาะนุ่มนั่งสบาย ใช้เวลาไม่ถึง 40 นาทีเราก็กลับมาถึงสถานี JR Namba เป็นที่เรียบร้อย มื้อเย็นเราก็ไปกินกันในย่าน Dotombori เช่นเคยกับร้าน Osaka Ohsho ซึ่งร้านนี้มีสาขาอยู่ที่ไทยด้วยนะ แต่ แต่ แต่ !! เขาว่ากันว่า ร้าน Osaka Ohsho ที่โอซากะ กับร้าน Ohsho ที่โตเกียวเป็นคนละร้านกันนะ คนละเจ้าของกัน สำหรับร้าน Osaka Ohsho เป็นร้านญี่ปุ่น ที่ขายอาหารจีน ราคาไม่แพง อย่างข้าวผัดก็เริ่มต้นเพียง 530 เยน ซึ่งถือว่าถูกนะเพราะข้าวหน้าเนื้อจานนึงก็ 400 – 600 เยนแล้วครับ

ในร้าน Osaka Ohsho สามารถใช้ Tablet สั่งอาหารได้เลย และยังมีเมนูหลายภาษาคอยให้บริการอีกด้วย

สำหรับเราสั่งเป็นเซ็ตยากิโซบะคู่กับเกี๊ยวซ่าและไก่ทอดคาราอาเกะ อยากบอกว่าอิ่มมาก ๆ และคุ้มราคาเป็นที่สุด หากใครมาโอซากะอย่าลืมไปลิ้มลองกันได้นะครับ หรือหากเป็นที่ไทยก็จะอยู่ที่ Central World ชั้น 6 และซอยธนิยะ

และนี่ก็เป็นการเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับในเมืองนาระของเรานะครับ ทุกคนสามารถนั่งรถไฟตามไปเที่ยวกับเราได้เลย จดๆ ไว้ญี่ปุ่นเปิดประเทศเมื่อไหร่ เราจะได้พร้อมไปเลย !!!

สุดท้ายนี้ก็ขอฝากช่องไดโนสอง ทาง YouTube เช่นเคย
เข้าไปดู กดแชร์ กดไลค์ กด Subscribe ได้ยิ่งดีเลย
แล้วพบกันตอนหน้านะครับ
ไดโนสอง

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า