fbpx

#คุณอาจไม่รู้ว่าแม็กทำ และทุกบทบาทในวงการเพลงของแม็ก The Darkest Romance

#แม็กอิสคนเหล็ก #คุณอาจไม่รู้ว่าแม็กทำ

และอีกสารพัดแฮชแท็กที่เกิดขึ้นเพื่อกล่าวถึงการมีอยู่ของชายคนหนึ่ง และการทำงานของเขา ซึ่งอยู่เบื้องหลังศิลปินมากมายในอุตสาหกรรมเพลงไทย 

หลายครั้งหลายหนที่เราได้ยินชื่อของพี่แม็ก-ธิติวัฒน์ รองทอง จากทั้งเพื่อนๆพี่ๆรอบตัว แม้กระทั่งจากศิลปินหลายๆคนที่เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ 

‘เป็นทั้งศิลปินที่เก่ง และเป็นคนทำเพลงที่โคตรเท่’ 

‘เราได้อะไรจากการทำงานกับพี่แม็กเยอะมาก ถึงจะเจอกันไม่บ่อยก็เถอะ’ 

ทุกคำชมที่เราได้ยิน ผนวกกับจำนวนผลงานมหาศาลของพี่เขาที่เราได้ฟัง (ทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว) เกิดเป็นความสนใจปนความสงสัย ว่าคนคนนี้แท้จริงเป็นใคร และนอกจากภาพจำของนักร้องนำ ควบตำแหน่งมือเบสวงแห่งวง The Darkest Romance ภายใต้ค่าย Gene Lab กับภาพของการเป็นโปรดิวเซอร์ในฐานะธิติวัฒน์ รองทอง แท้จริงแล้วมีด้านอื่นๆอีกหรือไม่

Modernist พาทุกท่านเดินทางมานั่งคุยกับพี่แม็กและพี่พอย – PPOIID ภรรยา เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามที่ค้างคาในหัวของเรา พร้อมกับชวนให้ทุกคนรู้จักชายผู้แข็งแกร่ง ซึ่งเสกงานมหาศาลให้กับศิลปินมากมายคนนี้ให้มากขึ้น

ความเยาว์ 

‘ธิติวัฒน์ รองทองคือใครเหรอ ธิติวัฒน์ รองทองคือนักดนตรี คือฟรีแลนซ์ คือมือเบส นักร้องนำวง The Darkest Romance ครับ’ 

พี่แม็กทวนคำถาม หยุดคิดสักครู่หนึ่ง ก่อนจะให้คำนิยามสถานะตัวตนที่ชัดเจนขึ้นกับเรา แม้จะทำงานในวงการมาหลายปี ในฐานะนักร้องของวง The Darkest Romance และโปรดิวเซอร์คนเก่งอย่างที่ใครๆกล่าว แต่แท้จริงเขาทำงานดนตรีมานานกว่านั้นมาก และจุดเริ่มต้นก็ไม่ได้เป็นแบบที่เราคาดคิดกันเอาไว้เสียสักเท่าไร 

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังเด็ก (ระดับเลขตัวเดียว) เด็กชายธิติวัฒน์ ไม่เคยคาดหวังว่าตนจะได้ก้าวไปบนเส้นทางสายดนตรีดังเช่นปัจจุบัน ในตอนนั้นเขามีความฝันมากมายที่อยากทำให้สำเร็จ แรกเริ่มคืออยากเป็นนักบินอวกาศ เพราะความชอบในเรื่องของดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ทำให้เขามุ่งมั่นในเส้นทางนี้อยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งตระหนักได้ว่า ‘นักบินอวกาศเป็นความฝันที่เท่ แต่ทำจริงยากไปหน่อย’ เส้นทางความฝันจึงเบนไปหาสิ่งอื่นที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักภาษาศาสตร์ เพราะความชอบในภาษาไทย และการอ่านร้อยแก้วร้อยกรองได้ดี ไปจนถึงการเป็นครูเพลงดนตรีไทย ด้วยประสบการณ์การเรียนระนาดเอกสั้นๆช่วงหนึ่ง จากประสบการณ์และการเรียนรู้ทั้งหมด ส่งผลให้ความฝันของเด็กชายแม็กค่อยๆขยับและเติบโตขึ้น ไม่ต่างจากเด็กอีกมากมายหลายคน ซึ่งเลือกที่จะนำส่วนประกอบ หรือเรื่องราวที่ได้เจอตลอดระยะเวลาในวัยเด็ก มาพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตนเองจนถึงปัจจุบัน 

“มันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อยๆตามอายุ ตามสิ่งที่ได้ไปทำ เคยอยากเป็นครูภาษาไทยที่เก่งมากๆ แต่ก็ขี้เกียจเอง เคยไปแข่งอะไรสักอย่างเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ จนรู้สึกว่าเออเราก็พอจะคำนวณได้ดีนี่หว่า สุดท้ายพอประถมเก่งคณิต แต่พอมัธยมปุ๊ปโง่เลย เคยเรียนเขียนโปรแกรมก็อยากเป็นนักเขียนโปรแกรม สักพักก็เหนื่อยจัง ถ้าสังเกตดีๆคือไม่มีดนตรีในนั้นเลยนะ มันมาอย่างท้ายๆเลยล่ะ เพราะเล่นก๊อกๆแก๊กๆไปเรื่อยๆ เหมือนกิจกรรมมากกว่า” 

ดังนั้นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางดนตรีของเด็กชายแม็ก ด้วยการเล่นก๊อกๆแก๊กๆ จึงเกิดขึ้นในช่วงมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 โดยได้รับอิทธิพลจากลูกพี่ลูกน้องที่เล่นกีต้าร์ เขาเริ่มฝึกฝนจนกระทั่งตั้งวงดนตรีน่ารักกุ๊กกิ๊ก (ตามที่เจ้าตัวบอก) ขึ้นมา และเริ่มแข่งขันอย่างจริงจังในช่วงมัธยมปลาย ในการแข่งขันครั้งนั้นนั้น เขาได้พบกับพี่โอ๋-เจษฎา สุขทรามร (DooBaDoo, ซีเปีย) ซึ่งเป็นกรรมการและขยับมาเป็นบุคคลที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาต่อมา 

หลังจากการแข่งขัน เด็กชายธิติวัฒน์ในวัยมัธยมปลาย ตัดสินใจเบนเข้าหาสายดนตรีอย่างจริงจัง ด้วยการเลือกสอบเข้าวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล จนกระทั่งสอบติดและเข้าเรียนในชั้นปีที่ 1 เส้นทางในวงการดนตรีของเขาอย่างแท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น 

“พอรู้ตัวว่าสอบติด สิ่งที่ผมถามตัวเองตอนนั้นเลยคือ เราไม่เก่งเรื่องตัวโน้ตเลยนะ เราจะอยู่กับมันยังไง 4 ปี แล้วถ้าผ่าน 4 ปีไปแล้ว จบแล้ว หมายความว่าเราต้องการทำงานดนตรีแล้วนะ ในระหว่างทางต้องรอฝึกงานอีกเหรอ งั้นเราไม่รอแล้วกัน เราทำเลยดีกว่า ตอนนั้นแหละผมเลยตัดสินใจบอกพี่โอ๋ตรงๆ ซึ่งเขาก็คือคนที่ติวผมตอนสอบเข้า ว่าผมอยากของานมาทำครับพี่ มีอะไรให้ผมทำบ้าง ตอนนั้นก็เลยได้ลองทำงานจริงจังเลย” 

ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนเพลงให้วงอินดี้ ร้องคอรัส ไปจนถึงงาน backstage เขาล้วนแล้วแต่ได้รับการถ่ายทอดจากพี่โอ๋ทั้งสิ้น แม้ไม่ใช่การทำงานซึ่งเผยแพร่ตัวตนแบบเป็นทางการ แต่ตัวเขาเองยอมรับว่า ณ ตอนนั้นมีพี่โอ๋เป็นครูที่สอนทุกอย่าง ถึงไม่ได้เป็นการเรียนเพื่อรับใบปริญญา แต่ในแง่ประสบการณ์ชีวิตและการทำงานเรียกว่าได้รับมาอย่างเต็มเปี่ยม 

หลังจากดำผุดดำว่ายผ่านงานและประสบการณ์หลายอย่าง แม็กมีโอกาสได้ทำงานที่เป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งคือ การเรียบเรียงดนตรีเพลง ชู้ – หลง ลงลาย เพื่อทำการแสดงในรายการ The Voice Thailand รอบ Live round ให้กับเก่ง-ธชย ประทุมวรรณ จากการทำงานครั้งนั้น ทำให้แม็กมีโอกาสได้เจอโค้ชทั้ง 4 ท่าน ผ่านการแนะนำของเก่ง ในตอนนั้นเขารู้สึกขอบคุณโค้ชทุกท่าน โดยเฉพาะพี่โจ้ (โจอี้ บอย-อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต) ซึ่งแนะนำตนให้รู้จักพี่ๆ ก้านคอคลับ และเจนนิเฟอร์ คิ้ม ซึ่งแนะนำเขาให้กับพี่หนึ่ง-ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ และเพราะการรู้จักพี่หนึ่งนั่นเอง ที่ทำให้เขามีโอกาสได้ขยับไปทำสกอร์ประกอบละครเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมระยะเวลาตั้งแต่ปี 1 จนถึงวันที่เขาเรียนจบ เขาไม่เคยหยุดทำงานดนตรีเลย และก็เป็นช่วงเวลาที่เขาทำงานเบื้องหลังเพื่อคนอื่นๆนั่นแหละ ที่ The Darkest Romance ได้ถือกำเนิดขึ้น 

เพราะความฝันที่อยากทำเพลงเอง ผนวกกับโปรเจกต์ภาคบังคับของทางสาขาที่นักศึกษาทุกคนต้องทำ The Darkest Romance จึงถือกำเนิดขึ้นตอนปี 3 ในฐานะอัลบั้มโซโล่โปรเจกต์ ซึ่งประกอบไปด้วยเพลง 5 แทร็กที่แม็กทำการแต่งเองทั้งสิ้น ภายใต้แนวคิดตั้งต้นเกี่ยวกับของสองสิ่งที่ไม่เข้ากันแต่อยู่ร่วมกันได้ ดังนั้นแม้แนวดนตรีจะหนักหน่วง หรือเนื้อหาที่ถูกส่งออกมาจะรุนแรงแค่ไหน The Darkest Romance จะพาเอาความหวาน และสัจธรรมบางอย่าง สอดแทรกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบทเพลงเสมอ 

เพราะความรักไม่จำเป็นต้องมาพร้อมความหวาน เพราะความสวยงามอาจมาพร้อมความมืดหม่นในใจ ความแตกต่างเหล่านี้จึงเป็นวัตถุดิบสำคัญ ที่แม็กจับมาผสมรวมกันอย่างกลมกล่อมจนเป็นจุดเด่นของ The Darkest Romance แต่ถึงแม้จะบอกว่าส่วนนี้เป็นโซโล่โปรเจกต์ แต่แท้จริงตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มทำ ในทุกๆขั้นตอนเหล่านั้น มีพอยที่เป็นทั้งภรรยาและศิลปินอีกคน ช่วยรังสรรค์ทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจนถึงวันที่วงครบถ้วนสมบูรณ์

“จริงๆ ชื่อวงมาจากอีเมลผมนั่นแหละครับ ตอนนั้นเมลหลักตั้งว่า Darkest Romantic ทีนี้พอเรามาทำโปรเจกต์ เราดันอินกับแนวคิดที่ของสองอย่างไม่เข้ากันแต่อยู่ด้วยกันมากๆ ตามชื่อเมลนั่นแหละ บวกกับตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกละ เอาอันนี้ไปก่อนแล้วกัน แล้วพอคิดไปคิดมา เอ้ยมันก็เท่ดีเหมือนกันนี่หว่า มันก็มืดๆดี แต่ดูเป็นความมืดมนที่โรแมนติก คือคนจะชอบคิดว่าความโรแมนซ์มันต้องมาคู่กับความสวยงาม ดูหวานๆ แต่มันไม่ใช่ทุกคู่ที่ความรักจะหวานขนาดนั้น บางครั้งมันก็มีมุมที่มืดมนที่สุด หรือบางครั้งแม้แต่คนที่อยู่ในจุดที่มืดมิดที่สุด ก็อาจจะเจออะไรบางอย่างที่เป็นแสงสว่างในใจเขาก็ได้ มันไม่จำเป็นที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องไปทางเดียวกันซะหมด มันผสมกันแล้วมันอยู่ด้วยกันได้ ไม่จำเป็นต้องขาดจากกัน หรือมันไม่จำเป็นต้องมีขาวสุดหรือดำสุด ในความเชื่อของผม อันนี้ในส่วนแนวคิดนะ 

ส่วนอื่นๆในตัวอัลบั้ม ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำคนเดียวครับ พอยทำด้วยมีพอยช่วยดู คือก็เป็นศิลปินสองคน อยู่กันสองคนช่วยกันทำ ลงทุนเอง ทำแผ่นเอง นั่งเย็บปกเอง ประกอบกล่องเอง พรินต์ซีดีขายเอง แล้วก็ไปขายตามร้านเองด้วย มันเหมือนงาน Handmade ที่ลุยทำด้วยกันมาโดยตลอด ส่วนพอมันมาถึงจุดที่ต้องมีการแสดงสด เราก็ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นและเพื่อนในคณะ ต่อยอดไปถึงการหางานเล่นเอง นั่นแหละครับ มันเริ่มต้นครบถ้วนที่ตัวผมนี่แหละ ก่อนจะขยายเป็นวงในปัจจุบัน”     

มาตรฐานสูง

แม้ว่าแม็กจะก่อตั้งโปรเจกต์ The Darkest Romace อย่างเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น จนกลายเป็นวงดนตรี และสร้างภาพจำในฐานะนักร้องนำ ควบตำแหน่งมือเบสของวงจนถึงปัจจุบัน แต่อีกด้านหนึ่งภายใต้สภาวะของการใช้ชื่อจริง ธิติวัฒน์ รองทอง ยังคงได้รับการขนานนามในฐานะโปรดิวเซอร์มือดี ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิชาและประสบการณ์จากการทำงานกับพี่โอ๋ ดังที่เราพูดไปข้างต้น 

แต่ทั้งๆที่มีศิลปินและคนทำงานมากมายทั้งในและนอกวงการดนตรี ให้การยอมรับกับความสามารถของเขาขนาดนั้น เจ้าตัวกลับหัวเราะแล้วตอบเราแบบขำๆว่า ตนไม่เคยคิดและไม่เคยกล้าเรียกตัวเองเป็นโปรดิวเซอร์ด้วยซ้ำ ถ้าจะให้ขนานนามคงเป็น ‘โปรดิวเซอร์ระดับห่วย แต่เป็นนักเรียนตลอดชีพ’ มากกว่า

“คือเราไม่คิดว่าตัวเองเจ๋ง อันนี้ก่อนเลยข้อแรก อีกอย่างเวลาผมโดนเรียกว่าโปรดิวเซอร์ ผมไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวเองครอบคลุมพอจะใช้คำนั้นรึยัง (หัวเราะ) โปรดิวเซอร์แปลตรงๆคือผู้ผลิต หมายถึงมันต้องดูแลงบ ดูแลการสร้างงาน ดูแลทุกอย่างทั้งพาร์ทของตัวเองและคนอื่น ผมรู้สึกว่าผมยังทำบางอย่างไม่ได้ ยิ่งเรื่องการแต่งเพลง ผมยังตามโลกไม่ทัน เพราะทุกอย่างมันหมุนไปข้างหน้าตลอดเวลา แต่ผมยังพยายามจะตามให้ทันอยู่นะ ผมเลยเลือกที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นนักดนตรีคนหนึ่งเนี่ยแหละ แล้วพอมีงานอะไรให้ทำก็อยากจะทำให้เต็มที่มากกว่า ส่วนอะไรก็ตามที่พี่ๆเขาได้มอบหมายมาให้ ผมก็รู้สึกดีใจที่เขาไว้ใจ และเราก็รู้สึกว่าเราควรทำให้เต็มที่ที่สุด” 

แม้จะเรียกตัวเองว่าโปรดิวเซอร์ระดับห่วย นักเรียนตลอดชีพ หรือนักดนตรีที่ทำงานเต็มที่ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าชื่อของธิติวัฒน์ รองทองในฐานะโปรดิวเซอร์นั้น ขจรไกลจนแทบจะไปอยู่ในเครดิต ในเกือบๆทุกเพลงที่คุณได้ฟัง ทั้งแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ด้วยปริมาณการผลิตที่มหาศาลและถี่มากๆจนน่าตกใจนี้เอง ชาวทวิตเตอร์และทีมงาน จึงสร้างเแฮชแท็กน่ารักๆอย่าง #แม็กอิสคนเหล็ก และ #คุณอาจไม่รู้ว่าแม็กทำ ขึ้นมา 

ถ้ามองผ่านๆ คุณอาจคิดว่าแท็กนี้เกิดขึ้น เพียงเพื่อบ่งบอกถึงการมีตัวตนของธิติวัฒน์ รองทอง แต่แท้จริงแล้ว แท็กทั้งสองยังบ่งบอกไปถึงลักษณะการทำงาน และแนวเพลงที่แตกต่างกันขณะดำรงสถานะธิติวัฒน์ รองทอง และ แม็ก TDR อีกด้วย

เขาอธิบายแนวคิดในการทำงานของตนเองอย่างเรียบง่ายและชัดเจนว่า ให้เปรียบเทียบการคงอยู่ของเขาเหมือนหมวกสองใบ ไม่ว่าคนจะเลือกจำแม็กในฐานะ ธิติวัฒน์ รองทอง ชายผู้แต่งเพลงให้กับศิลปิน หรือแม็กที่เป็นนักร้องนำของ TDR ไม่ว่าสภาวะไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เขายินดีทั้งสิ้น แต่ในแง่การทำงานของหมวกทั้งสองใบนั้น แม้มีจุดเริ่มต้นคล้ายคลึงกัน แต่ปลายทางของหมวกทั้งสองสถานะ กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

“จริงๆมันต้องดูแหละนะว่าเริ่มรู้จักแม็กจากทางไหนก่อน เพราะถ้ารู้จักจาก The Darkest Romance ก็จะมีภาพจำเป็นวงร็อกเมทัล แต่ถ้าเห็นห้อยเครดิตแล้วเป็นชื่อ ธิติวัฒน์ รองทอง แล้วมารู้ว่าคือแม็กเดียวกัน เป็นใครก็จะเอ้าเชี่ย ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอวะ” พี่พอยกล่าวขึ้นสั้นๆขณะที่พี่แม็กกำลังอธิบาย  

หากกำหนดโจทย์ในการทำงานคือการแต่งเพลงสักเพลงหนึ่ง แม็ก The Darkest Romance จะยึดถือผลเลิศและความชอบของตัวเองและเพื่อนร่วมวงเป็นสำคัญ เขาจะเฝ้าถามตัวเองเสมอว่า เขาอินกับมันมั้ย สนุกมากพอหรือยัง ที่สำคัญคือชอบพอจะส่งต่อให้คนอื่นๆฟังรึเปล่า การทำงานเพื่อตัวเองนั้นมีความยากอยู่ที่การตั้งคำถามว่าตัวเราต้องการอะไร บางครั้งเราอาจไม่ได้คำตอบ เราอาจจะจบงานเองไม่ได้ หรือแม้กระทั่งไปถึงจุดที่ตอบไม่ได้ว่าปลายทางสุดท้ายของเพลงนั้นจะเป็นอย่างไร นี่คือความยากของการทำงานเพื่อตัวเอง แต่กระนั้นเขาก็ยังทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ และเลือกที่จะให้คนจำการคงอยู่ในฐานะวง มากกว่าตัวบุคคล  

“ผมชอบที่จะทำแบบนี้นะ เพราะผมมองว่าการที่เราแยกอัตลักษณ์แบบชัดเจนเลย มันโอเคกว่า ผมไม่ได้อยากให้คนจำว่า วงนี้มีนักร้องที่ทำงานเบื้องหลังมากมาย อยากให้จำวงเป็นวงอะครับ คือเป็น 4 คนดำๆ เออเป็นมนุษย์ 4 คนก้อนๆงงๆ ทำตัวแปลกๆ เล่นดนตรี คือคุณจะงงก็ได้แหละว่าทำเพลงอะไรออกมาวะตั้ง 10 นาที ทำไมเมทัลอันนี้ไม่เหมือนคนอื่น ทำไมต้องทุ่มเท แต่นั่นละครับ นี่คือในส่วนของ The Darkest Romance”    

ในขณะที่แม็ก ธิติวัฒน์ รองทอง จะมองการสร้างผลงานเพื่อคนอื่นเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะการทำงานให้คนอื่น คือการได้รับกรอบซึ่งเป็นโจทย์มาหนึ่งชุด ภายในกรอบนั้นอัดแน่นด้วยข้อมูล คาแรคเตอร์และความคาดหวังจากผู้ว่าจ้าง สิ่งที่ต้องมีคือความเข้าใจว่าต้องทำงานกับใคร เขาเป็นคนอย่างไร ความชอบของเขาและความต้องการเป็นแบบไหน เรื่อยไปจนถึงช่องทางในการปล่อยเพลง และที่สำคัญคือความพึงพอใจในท้ายที่สุด ตอนที่ผลงานนี้ถูกส่งต่อจากมือเราไปถึงมือผู้ว่าจ้าง 

ดังนั้นการทำงานในฐานะธิติวัฒน์ รองทอง จึงเป็นเหมือนการแบกชื่อจริงที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความไว้วางใจ ดังนั้นการทำงานในสถานะนี้ จึงต้องทำให้ดีที่สุด และพัฒนาให้มากที่สุดภายใต้กรอบชุดหนึ่งที่ได้รับมา พร้อมระยะเวลาที่กำหนดชัดเจน 

“ผมรู้สึกว่าถ้าคนจำผมในชื่อธิติวัฒน์ รองทอง ที่ทำงานข้างหลัง คุณก็จะรู้สึกว่า เออมันทำงานเยอะจังเลย มันไปทำอะไรมาบ้าง แล้วเราตามหมดรึยังก็ไม่รู้ คุณก็คงไม่รู้หรอกว่าผมทำอะไรมาบ้าง แต่ก็เออมันทำเยอะจังวะ มีเหมือนกันที่บางคนมาบอกว่าเออพอเจอชื่อนี้แล้ว อ่านเจอชื่อพี่แล้วผมงงมาก เอ้อ เออโอเค (หัวเราะ) มันคือการทำงานหลากหลายแหละ แต่ไม่ว่ายังไงทุกอย่างก็ต้องออกมาดีที่สุด เพราะมันคือความรับผิดชอบ”

ความรับผิดชอบ

เพราะการทำงานที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง

นอกจากการทำงานให้ดีที่สุดในระยะเวลาแสนจำกัดที่เรียกว่าเดดไลน์ ซึ่งถือเป็นหลักใหญ่ที่แม็กยึดถืออย่างมากในช่วงหลังๆแล้วนั้น ยังมีอุปสรรคอีกมากมายที่ตามมาเป็นพรวน ไม่ว่าจะเป็นความไม่ถนัดในงานที่ทำ การบริหารเวลาที่ไม่ดีพอ  เรื่อยไปจนถึงอาการ Writer’s Block ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นมาสดๆร้อนๆในปีนี้เป็นครั้งแรก แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต

“เพิ่งเจอมาเป็นครั้งแรกเลยครับ ปีนี้นี่แหละ คือเป็นปีที่เราต่างรู้ว่าเรามีโควิด เรามีโรคอะไรต่างๆที่ทำให้ต้อง Social Distancing แล้วบางครั้งการสร้างงานหรือการทำเพลง หรือแม้แต่งานศิลปะหลายๆชิ้นน่ะ มันจำเป็นที่จะต้องออกไปหา ออกไปเจอ ออกไปค้นพบ ผมเชื่อในเรื่องของการแลกเปลี่ยน การแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่าง หรือแม้แต่แลกเปลี่ยนความรู้สึก คือคนหนึ่งคนเจอคนอีกหนึ่งคนรู้สึกอย่างไร งานศิลปะหลายๆแบบตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกถ้าถามผมนะ ไม่ว่ามันจะมีเรื่องของหลักการหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่พอมันถูกจำกัดตรงนี้น่ะ เราไม่ได้ไปหาข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมในแง่ของกายภาพ ผมก็เลยคิดงานไม่ออก เขียนงานไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าผ่านไปยังไง ก็คือคงต้องพัก หรือไม่ก็ไปทำอะไรอย่างอื่นเพื่อรีเฟรชตัวเองให้ได้ครับ” 

“ส่วนเรื่องงานเพลงที่ไม่ถนัดมีมาเรื่อยๆเลย เพราะอย่างสมมติเรา..ไม่สิไม่ต้องสมมติหรอก มันเป็นเรื่องจริง (หัวเราะ) ถ้าฟังแล้วไม่ถนัด มันก็มีทางออกเดียวเลยครับ คือไปศึกษาเพิ่ม” 

หนึ่งเหตุการณ์ที่สำคัญในเรื่องความไม่ถนัดนี้ ถูกอ้างอิงถึงครั้งหนึ่งในอดีต (ที่เจ้าตัวบอกว่านานแล้วจำไม่ได้ว่างานไหน) ซึ่งกำลังร่วมทำเพลงกับพี่กอล์ฟ (F.Hero-ณัฐวุฒิ​ ศรีหมอก) ในขณะที่ความถนัดของเขาคือเครื่องดนตรีแบบ Acoustic Instruments แต่การทำงานกับพี่กอล์ฟในครั้งนั้น กลับต้องการความถนัดในสาย Electronic Music หรือสาย Hip-Hop มากกว่า ซึ่งเขาไม่สันทัดมันเอาซะเลย เมื่อถึงจุดที่ต้องส่งงาน พี่กอล์ฟเพียงคอมเมนต์กลับมาว่า ‘ไอเดียดี แต่เสียงที่เลือกยังไม่ใช่’ การแก้ปัญหาในตอนนั้นจึงเป็นการใช้เวลา 3-4 วันเพื่อฟังเพลงแนวนี้กรอกหูจนเข้าใจการวาง Samples ในโครงสร้างของเพลง และศึกษาเพิ่มเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น 

“พอแก้กลับไปก็ได้ฟีดแบคงานที่ดีกลับมา แต่จริงๆผมรู้สึกว่า สิ่งที่ผมได้กลับมามากกว่าฟีดแบคคือความเข้าใจและการเรียนรู้ มันต้องทำแบบนี้นะ นี่คือวิธีการนะ มันใช้แบบนี้ แล้วพอได้เรียนรู้แล้ว เราจะเอามาใช้กับงานตัวเองอย่างไร เราจะเอามาปรับต่อได้ยังไง เป็นแนวคิดเพิ่มเติม ก็คือได้แมททีเรียลในการเอามาพัฒนางานเราต่อมากขึ้น”    

‘แล้วเรื่องเดดไลน์ล่ะคะ เหมือนจะเป็นข้อใหญ่ข้อนึงเลย’ เราถามออกไป

“ใช่ครับ ช่วงหลังๆ ผมยึดตามข้อนี้ที่สุดเลย แต่อันนี้ผมต้องรู้ตัวเองด้วยนะ” 

เพราะเดดไลน์คืออุปสรรคชิ้นใหญ่และสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง ฟรีแลนซ์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตภายใต้ข้อกำหนดของเวลา และเพราะความสำคัญข้อนี้ ในช่วงหลังของการทำงาน แม็กจึงต้องตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า เขาสามารถทำงานชิ้นนี้ได้จริงมั้ย จะไหวจริงรึเปล่า สามารถจัดการตัวเองได้มั้ย ที่สำคัญคือมันอยู่ภายใต้ขอบเขตเวลาที่รับได้หรือไม่ เจ้าตัวบอกว่าถึงคนจะรู้ว่าเขาเป็นคนเหล็ก ที่ทำงานเยอะแค่ไหน แต่ในบางครั้งด้วยขอบเขตเวลาที่เขาไม่สามารถจัดการได้ ทำไม่ได้ ทำไม่ทัน หรือความรู้ความสามารถไม่ถึง ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธ หรือส่งต่อให้คนอื่นที่ถนัดกว่า

“เราต้องกล้าปฏิเสธ กล้าตัดสินใจ ทำทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้ารับทุกอย่างแล้วจัดการไม่ได้ เรานี่แหละที่จะพัง คิดในแง่ถ้าผมเป็นคนเห็นแก่ตัวสุดๆเลยแล้วกัน ผมจะไม่ยอมให้เครดิตของผมเสียเด็ดขาด เพราะการทำงานในลักษณะนี้เครดิตและความเชื่อใจยังสำคัญ เราไม่ได้มองข้อนี้เพราะอยากทำงานให้ได้เยอะที่สุด แต่เพราะอยากให้มองผลเลิศเป็นสำคัญ ว่าเราไม่ได้อยากทำเขาเสียเหมือนกัน ก็ต้องรักษาผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่” 

จัดสรร 

พออ่านมาถึงจุดนี้ คุณคงพอจะเห็นภาพและเข้าใจแฮชแท็ก #แม็กอิสคนเหล็ก และ #คุณอาจไม่รู้ว่าแม็กทำ มากขึ้น 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด นอกจากความเข้าใจในตัวตนของแม็กที่คุณได้รับไป คือการได้สัมผัสการทำงานทุกด้าน และเข้าถึงการคงอยู่ในทุกๆสถานะของธิติวัฒน์ รองทอง เพื่อให้เกิดผลเลิศสูงสุดในทุกๆสิ่งที่เขาลงมือทำ

แล้วเวลาพักผ่อนของเขาคือตรงไหนนะ?  

ขึ้นชื่อว่าทำอาชีพฟรีแลนซ์ที่มีตารางงานและเดดไลน์วิ่งตามหลังเหมือนเงาตามตัว ผนวกกับสิ่งที่เจ้าตัวบอกเรามาโดยตลอด ว่าการทำงานที่ไม่ถนัดมีทางแก้เดียวคือการศึกษาเพิ่ม ยิ่งพูดมาถึงตรงนี้ สิ่งที่พวกเราพอจะสรุปได้โดยพร้อมเพรียงกันคือ นอกจากแม็กเป็นคนเหล็กที่ทำงานเยอะและเก่งแล้ว แม็กยังเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้ Overbalanced ในทุกมิติคนหนึ่งอีกด้วย ซึ่งจุดนี้พี่เขาได้แต่หัวเราะอย่างจริงจัง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าว่า ‘เรื่องนี้ผมคงเตือนใครไม่ได้’

เพราะการทำอาชีพนักดนตรี หรือเป็นคนทำดนตรี ไม่ว่าจะอยู่ในจุดไหน ทุกคนต่างรู้กันดีว่าคืออาชีพที่ไม่ได้พักผ่อนเท่าใดนัก คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับใครก็ตามที่กำลังประสบกับสภาวะการทำงานที่มากเกินไปคือ การหาบาลานซ์ของทุกสิ่งที่ตัวเองทำด้วยตัวคุณเอง 

หากคุณรักงานชอบงานทำได้ไม่ว่ากัน อยากทำก็ทำไปเถอะ เพียงแต่พึงระลึกเสมอว่าทุกคนมีความจำเป็นที่แตกต่างกัน ดังนั้นถ้าใครบางคนเลือกที่จะขาดสมดุลกับบางสิ่งบางอย่าง มันอาจหมายถึงการที่เขามองเห็นความเป็นไปได้หรือโอกาสที่จะต้องทำ หรือหากใครสักคนจะพูดว่าไม่รักในงาน ก็ไม่ผิดไม่เป็นไร แต่คุณต้องรักอะไรสักอย่างในงานที่ทำ เพราะถ้าไม่รักอะไรเลย นั่นอาจหมายถึงการที่คุณอยู่ผิดที่ หรือกำลังฝืนทำอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน 

“การฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ ยังไงก็มีผลระยะยาว มันจะเริ่มจากกายสุดท้ายก็ส่งผลถึงสุขภาพจิตนั่นแหละ แต่ถ้ากลับมาที่ผม ก็คงได้แค่พูดว่า อย่าไปบอกคนอื่นเลยเรื่องขาดสมดุลเนี่ย อื้ม (หัวเราะ)  แม็กมึงอย่าไปบอกคนอื่นเลยว่า เฮ้ย บาลานซ์ตัวเองให้ดีๆนะ เพราะมึงก็ off-balance จัดๆอะ แต่ปลายทางสุดท้ายที่ทำให้ผมรู้สึกโอเคคือ ผมได้ฟังอะไรที่ผมอยากฟัง แล้วอย่างน้อยเราทำเต็มที่ของเรา แล้วทางนั้นเขาโอเค สมมติเราทำงานให้คนอื่น แล้วคนอื่นโอเคกับงานที่เราทำด้วย มันคือการโอเคร่วมกัน แล้วเรายังพอมีเวลาพักผ่อนอยู่ใช่มั้ยนะ?? (น้ำเสียงไม่มั่นใจ) ใช่มั้ยนะ”

ในขณะที่พี่แม็กเริ่มทวนคำว่าใช่มั้ยนะแล้วหันหน้าไปหาพี่พอยนั้น เราก็พอจะรับรู้ได้ว่า มันคงไม่เป็นไปอย่างที่พี่เขาพูดสักเท่าไหร่ 

ทุกๆการพักผ่อนของแม็กคือการหาวัตถุดิบเพื่อการทำงาน บวกกับความต้องการทำเพลงที่อยากทำ อยากได้ยินในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และไม่อยากรอให้ใครมาทำ เขาจึงเลือกที่จะใช้เวลาว่างไปกับการพัฒนาตัวเองและการทำงานทั้งสิ้น

โดยที่เขาเองยืนยันว่า การเลือกแบบนี้เป็นเพราะเขารักในงานที่ทำ อีกทั้งมันยังเป็นเหมือน choice of life ที่เขาตัดสินใจเลือกเอง ในจุดนี้แม็กมีความเชื่ออย่างยิ่งว่า ทุกคนมีความสามารถและสิทธิ์ที่จะเลือกทำอะไรบางอย่างกับตัวเองเสมอ แต่บนการตัดสินใจที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ก็ควรรู้วิธีในการลดความตึงของตัวเองลงด้วย วิธีการที่ง่ายที่สุดของเขาคือการหนีไปดูซีรีส์ เล่นกับแมว อยู่กับภรรยา ขับรถออกไปดูสถานที่ต่างๆเรื่อยๆ คุยกับคนที่ควรจะคุย อยู่กับเพื่อนที่ตัวเองสนิท อยู่กับใครก็ตามที่เรารู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วยและรักษาความสัมพันธ์อันมีค่าเหล่านั้นให้ดีที่สุด

“นอนตอนไหนนะ นั่นสิ นอนตอนไหนนะ ไม่ได้พูดถึงเรื่องนอนเลย (หัวเราะ) แต่เวลาที่เราเลือก choice of life อะไรแบบนี้เราก็ต้องมีจุดที่ผ่อนคลายแหละ ไม่งั้นมันจะตึงมากจนเป็นปัญหาต่อมาในอนาคต ดังนั้นการทำอะไรหนักๆ การทุ่มเทกับบางสิ่งบางอย่างมากๆอะไรแบบนี้ ถือได้ต้องวางได้ด้วย ผมคิดแบบนั้นนะ”

Excellent 

เมื่อเลือกที่จะตึงในการทำงาน ความเข้าใจและการปล่อยวางเป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน แต่นอกจากการบาลานซ์สองสิ่งนี้ให้อยู่บนเส้นขนานไปตลอดรอดฝั่ง การหล่อเลี้ยงแพชชั่นให้คงอยู่กับเราไปตลอด ก็เป็นสิ่งจำเป็นและยากไม่ต่างกันในทัศนะของแม็ก

ถ้าเราให้คำจำกัดความของแพชชั่นเป็นเหมือนน้ำมันรถยนต์ น้ำมันย่อมมีวันหมด คุณจึงต้องหมั่นเติมน้ำมันนั้นเพื่อให้รถยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่หากคุณเปรียบแพชชั่นเท่ากับความรัก

“ความรักก็มีวันหมดเหมือนกันนี่หว่า”

พี่แม็กขำเสียงดังก่อนจะพูดต่อว่า สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อจริงๆคือแพชชั่นเป็นสิ่งจำเป็น แต่เราต้องมองต่อว่าถ้าหากมันหมด วิธีการที่จะเติมมันคืออะไรต่างหาก เพราะสุดท้ายแพชชั่นเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการทำงาน ถ้าพังจะซ่อมมันอย่างไร แต่ไม่ได้หมายความว่าคนเราจะต้องอยู่เพื่อเติมมันตลอดเวลา เพราะหากท้ายที่สุด ถ้ามันไร้ซึ่งวิธีการที่จะเติมเต็มแพชชั่นในสิ่งที่คุณรัก ทางที่ดีที่สุดอาจหมายถึงการก้าวออกมา 

“คือคนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความสุขกับตัวเองมากที่สุด แล้วก็เลือกทางที่จะมีความสุขที่สุดเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง แพชชั่นเลือกเติมได้ แต่ถ้าเป็นแพชชั่นเพื่อไปแข่งกับคนอื่นมันก็ไม่ใช่ มันต้องเป็นของเราเพื่อช่วยเราเองเท่านั้น ผมคิดแบบนั้นนะ” 

อะไรที่มันมากไปหรือน้อยไปก็คงไม่ดี แต่บนการทำงานที่หนัก เยอะ และตึงเปรี๊ยะ (ในทัศนคติของคนอื่น) ขนาดนี้ ด้วยข้อจำกัดทางอายุที่มากขึ้นทำให้เราอดถามออกไปไม่ได้ว่า เขาคาดหวังให้ตัวเองทำงานในวงการดนตรีไปถึงเมื่อไหร่ พี่เขาจะเคยมองภาพตนเอง ในจุดอิ่มตัวที่จะไม่ทำงานดนตรีอีกเลยไว้บ้างไหม ซึ่งคำตอบที่ได้คือแอบมีคิดไว้บ้าง แม้ไม่เคยนึกภาพชัดเจนเลย ว่าท้ายที่สุดปลายทางของงานที่ทำอยู่ตอนนี้จะเป็นอย่างไร แต่ที่เขาแน่ใจคือจุดอิ่มตัวที่เราถามนั้น จะยังไม่มาถึงในเร็ววัน

“เพราะผมยังสนุกกับการทำเพลงตอนนี้อยู่ครับ ถ้าจะหยุดทำจริงๆ ก็คงเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีมากกว่า คือเหมือนไอ้ความสนุกตรงนี้มันคงมีอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้ามันไม่โอเคสักทีหรือมันเริ่มไม่ใช่เวลาของเราแล้วจริงๆ มันเริ่มไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด เราก็อาจจะพักหรือไม่ก็อาจจะถอย เพราะว่าถ้าเราทำได้ไม่ดีเราก็ไม่อยากฝืนตัวเองเหมือนกัน มันคือความไม่เป็นสุขของตัวเองน่ะครับ”

Are You Proud of Me? 

ในช่วงสุดท้ายของการสัมภาษณ์ หลังจากที่เราได้รับรู้และเข้าถึงทุกสถานะของธิติวัฒน์ รองทองเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คงมีเพียงความคาดหวังของเขาต่อผู้คนรอบข้าง และความคาดหวังต่อผู้คนรอบข้างที่มีต่อเขาทั้งในฐานะธิติวัฒน์ รองทองโปรดิวเซอร์มือดี ที่มีชื่อห้อยท้ายทุกเครดิต และแม็ก The Darkest Romance ที่ร้องเพลงและปลดปล่อยด้านที่เป็นศิลปินออกมา 

หลายครั้งหลายหนที่เราสนทนากับแฟนเพลงของวง The Darkest Romance เพื่อพบว่า แฟนๆมากมายต่างพยายามในทุกทาง เพื่อจะให้ศิลปินที่พวกเขารักเป็นที่รู้จักมากขึ้น อยากให้วงการเพลงในไทยเปิดรับความเป็นพวกเขา หรือที่เราเรียกกันจนติดปากว่า ‘อยากให้แมส’ อยากให้ดังกว่านี้

เมื่อความคาดหวังของแฟนคลับและผู้คนรอบข้าง สะท้อนกลับมาถึงชายผู้เป็นทั้งจุดเริ่มต้น และหนึ่งในสมาชิกของวง The Darkest Romance  สิ่งที่เขาเลือกจะถ่ายทอดออกมาหลังได้ยินความคิดและความรู้สึกเหล่านี้จากแฟนๆคือคำว่า ‘ขอบคุณ’ 

“ถ้าวันนั้นมันเกิดขึ้น ก็คงจะเป็นวันที่ ดวงดี ดวงสมพงษ์ และบุญถึงมั้ง” พี่แม็กหัวเราะ ก่อนจะคิดคำตอบที่เจ้าตัวเรียกว่าตอบแบบมาร์เก็ตติ้ง เพื่อขยายความความรู้สึกของเขาให้มากขึ้น

 ถ้าการที่พวกเขาดังขึ้น หมายถึงการที่คนรับรู้ถึงการมีอยู่ของวงนี้ หมายถึงความน่าสนใจและสิทธิ์ที่จะถูกซื้อมากขึ้นก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าถามความรู้สึกจริงๆของเขา มันคือความรู้สึกดีใจและขอบคุณ เพราะนับตั้งแต่วินาทีแรก The Darkest Romance ไม่ใช่วงดนตรีที่ก่อตั้งบนความคาดหวังว่าจะต้องเป็นที่รู้จัก เขาพึงตระหนักกับตัวเองเสมอว่า การตัดสินใจทำเพลงแบบนี้ในประเทศนี้หรือที่ไหนๆก็ตาม ไม่มีทางที่คนจะชอบมันทั้งหมด แต่ก็ไม่มีทางที่คนจะไม่ชอบมันเลย ดังนั้นถ้าแฟนคลับหรือใครสักคนจะอยากให้วงเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพื่อตัวเขาเอง หรือเพื่อประโยชน์และการทำงานของวงก็แล้วแต่ เขามีเพียงคำว่าขอบคุณจากใจมอบให้เท่านั้น 

“ผมคิดคำอื่นไม่ออกจริงๆนะ เพราะตอนที่คุยกันในวง หรือแม้กระทั่งตอนที่คุยกับพี่พอยก็รู้สึกว่า ถ้าคนรู้จักมากขึ้นก็คือโบนัส คือเพลงมันตั้ง 10 นาทีเลยนะเว้ย ใครมันจะฟัง (น้ำเสียงจริงจัง) เพลงมันก็ 10 นาทีเลยนะ เพลงมันก็ว้ากไปซะเยอะเลยนะ ว้ากก็ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง คืออยากฟังเพลงอกหักแล้วเอาเพลงอะไรมา นี่พุทธศาสนาอะรายย อะไรเนี่ย (หัวเราะ) 

 เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ 100% ขนาดนั้น เราไม่ได้เขียนเพลงที่แบบว่า (ทำเสียงหล่อ) เอ้อ ขอเจ็บแทนได้ไหม น้ำตาไหลอะ เช็ดน้ำตาขอเจ็บปวดแทน หรือรักเธอมากที่สุดในโลก ไม่มีผู้ใดมาเทียบเคียงได้  คือไม่ได้เขียนด้วยความรู้สึกแบบนั้นอะ (กลับเป็นเสียงปกติ) แล้วลักษณะเนื้อหาของเพลงเรามันดันแบบ ผิดจังเลย เราผิดจังเลยที่อยู่ตรงนี้ เราผิดแบบ เราเหงา เราโดดเดี่ยว คือคนไม่ได้ต้องการเพลงแบบนั้น ดังนั้นพอเราเลือกทำในสิ่งที่คนอาจจะไม่ได้ต้องการมันในวงกว้าง แต่เราเลือกที่จะพูดในสิ่งที่เราคิดในใจ มันก็เลยกลับไปเป็นคำว่าโบนัสอีกครั้งนึง เพราะมันพูดได้เต็มปากกว่าถ้าคนฟังเรา มันคือนิมิตหมายที่ดีแล้วล่ะ มันหมายถึงการที่คนเลือกฟังเรื่องเล่าหลายๆแบบมากขึ้น มากกว่าความรักมิติเดียว มากกว่าความรักมิติต่างๆ ดังนั้นช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ดีก็ได้ ที่เพลงซึ่งใช้การเล่าเรื่องแบบอื่นๆมันถูกมองเห็น ถูกรับฟังมากขึ้น สไตล์ใหม่ๆเกิดขึ้น เรื่องราวใหม่ๆเริ่มขึ้น”

เป็นเรื่องปกติที่มีขาวก็ต้องมีดำ มีคนรักก็ต้องมีคนไม่ชอบ เป็นสัจธรรมของชีวิต ถ้าโบนัสของ The Darkest Romance คือการที่คนเลือกเปิดใจรับฟังการเล่าเรื่องใหม่ๆมากขึ้นด้วยความเข้าใจ ก็เป็นเรื่องไม่เกินความคาดหมายที่คนไม่เปิดใจและไม่ชอบ จะได้รับฟังในสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

หลายครั้งที่การทำเพลงของวงถูกท้าทายด้วยอคติและการปักป้ายจากผู้คนมากมาย ซึ่งสิ่งนี้แม็กให้คำตอบกับเราอย่างชัดเจนว่าเขาไม่โกรธ และออกจะเข้าใจเสียด้วยซ้ำ เพราะเขาระลึกแต่ต้นว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกทำ ไม่มีทางถูกใจใครทั้งหมด ไม่มีทางที่คนมากมายจะพึงพอใจกับสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจในช่วงระยะเวลาหนึ่งได้ตลอดเวลา 

“ครั้งหนึ่งช่วงที่ผมทำงานเพลงละครกับพี่มัสท์ – The Must พี่เขาสอนผมว่า เวลาเราไปที่ไหนสักที่หนึ่ง มองออกไปข้างทางมันจะมีดอกไม้ ในขณะเดียวกันก็มีก้อนหิน บางครั้งคนเลือกที่จะหยิบดอกไม้มาให้เรา บางครั้งคนเลือกที่จะโยนก้อนหินมาใส่เรา เราไม่สามารถรับทุกอย่างโดยที่สุขไปตลอด หรือเจ็บปวดไปตลอดได้ บางครั้งถ้าเราเลือกที่จะให้กำลังใจตัวเอง คำชมก็เป็นเรื่องที่จำเป็น ถ้าเราเลือกที่จะหาข้อปรับปรุง คำติบางครั้งก็สำคัญ แต่ในท้ายที่สุดแล้วเราต้องอยู่กับมันให้ได้ และประยุกต์ใช้มันให้เป็น เราใส่ใจทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นบ้า เราคิดแบบนั้นนะ (หัวเราะ)”

เขาเล่าต่ออีกว่า กว่าที่จะคิดได้และเข้าใจอย่างปัจจุบัน ตัวเขาเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ตั้งคำถามกับความสามารถของตัวเองเมื่อได้รับคำติ เขาเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆว่าเขาทำอะไรผิด เขาเป็นคนไม่ดี หรืองานของเขาไม่โอเคขนาดนั้นเลยเหรอ แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาได้เรียนรู้คือเขาไม่สามารถบังคับใจใครให้ชอบหรือไม่ชอบได้ คนเราไม่สามารถชอบอะไรด้วยการบังคับ ไม่ชอบคือไม่ชอบ คำติเองก็เช่นกัน เขาเลือกที่จะไม่ใส่ใจ แต่ก็ไม่มองข้าม เพราะท้ายที่สุดสิ่งที่คนเหล่านั้นไม่ชอบ อาจถูกนำมาประยุกต์หรือเป็นวัตถุดิบที่ดีในการพัฒนาผลงานต่อๆ ไป 

เพราะคนเราต้องผ่านความเจ็บปวดและประสบการณ์เพื่อเกิดการเติบโต เด็กชายธิติวัฒน์กับการเป็นนักบินอวกาศในวันวาน ได้เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาว และผ่านการทำงานมากมายจนกลายเป็น แม็ก ธิติวัฒน์ รองทอง ในแบบปัจจุบัน 

ตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมา ประสบการณ์ทั้งหมดสั่งสอน และกล่อมเกลาให้เขามองโลกอย่างที่ควรจะเป็นมากขึ้น เขาเรียนรู้ว่าความหลากหลายสำคัญมากในโลกที่วุ่นวายนี้ เพราะถ้าคุณเข้าใจคำว่าความหลากหลาย มันหมายถึงคุณเข้าใจความแตกต่างของคนทั้งในแบบที่ชอบและไม่ชอบด้วย และการเข้าใจคนเหล่านี้ยังหมายถึงการปรับตัวเพื่อทำงาน และยังเป็นการสอนตัวเขาให้เข้าใจ ว่าคนแบบไหนคือสิ่งที่เขาอยากเป็น และคนแบบไหนที่เขาไม่ประสงค์จะเป็น ท้ายที่สุดความเข้าใจคนและโลก ได้สะท้อนกลับมาเป็นธิติวัฒน์ รองทอง ในแบบที่อาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่มีความเข้าใจในตัวเองและมีความสุขกับการได้ชอบทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตต่อไป 

‘งั้นหมายความว่าตอนนี้คือ Best Version ของแม็ก ธิติวัฒน์ รองทองแล้วใช่มั้ยคะ’ เราถามออกไปหลังจากที่ได้ยินพี่แม็กอธิบาย

ถ้าการเรียนรู้หล่อหลอมให้พี่เขาออกมาเป็นคนที่เข้าใจโลกได้ขนาดนี้ ตัวเราเองก็เชื่ออย่างยิ่งว่าตอนนี้อาจจะเป็นหนึ่งในช่วงที่เรียกว่าดีที่สุดของเขาก็เป็นได้ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่เราถาม พี่แม็กเงียบไปสักครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาด้วยเสียงไม่แน่ใจนักว่า

“ไม่รู้เลยครับ อันนี้ผมตอบไม่ได้” 

และเป็นจังหวะนั้นเอง ที่พี่พอยเลือกจะอธิบายมุมมองผ่านสายตาของเธอ ซึ่งเฝ้ามองการเติบโตและการทำงานของพี่แม็กเสมอตั้งแต่วินาทีที่เริ่มต้นทำงานทุกอย่างจนถึงปัจจุบัน 

พี่พอยสรุปให้เราฟังว่า ช่วงเวลาก่อนหน้านี้พี่แม็กได้ตั้งสเตตัสหนึ่งบนเฟสบุ๊ก ด้วยการถามทุกคนว่า ‘คิดว่าเขาเป็นคนยังไง’ เธอจึงตอบไปว่าในสายตาของเธอแม็กเป็นคนเก่ง เขาทำงานได้ดี เขาเป็นนักดนตรีที่เก่ง แต่ในบางครั้งเขาก็มีความ ‘เบื๊อก’ (เลือกใช้คำนี้โดยเฉพาะ) บางอย่างแฝงอยู่ อาจจะเพราะความดิบ ความเป็นผู้ชาย ทำให้ความละเอียดอ่อนในบางเรื่องของเขาลดลง แต่ในขณะเดียวกันเรื่องที่เขาทำได้เร็ว ตัวเธอเองก็จะช้าและไม่เข้าใจเหมือนกัน การมีอยู่ของพวกเขาทั้งสองคนจึงเปรียบเหมือนหยินหยาง ในวันไหนที่เธอขาวเขาจะเป็นดำ และในวันไหนที่เธอเป็นสีดำ เขาจะเป็นสีขาวที่สุดเพื่อบาลานซ์ทุกอย่างเสมอ 

ดังนั้นเมื่อเราย้อนกลับมาที่คำถามเดิมว่า ทั้งหมดที่เธอเล่ามานี้คือ the best of Mag หรือยัง เธอตอบปนขำๆว่า ถ้าเราใช้จำนวน Track ที่เขาทำในปีนี้เป็น KPI ตอนนี้ก็คงจะเป็นที่ดีที่สุดของแม็กแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เคยเชื่อว่าทุกอย่างมันจะมาถึงจุดนี้ 

“แต่ถ้าพูดถึงการใช้ชีวิต ปีนี้มันจะพิลึกหน่อย เพราะสถานการณ์ต่างๆมันทำให้เราวัดอะไรจากตรงนี้ไม่ได้ แต่เราคิดว่าในทุกๆช่วงมันก็เป็น Best of Mag ได้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัววัด” 

“ผมค้นพบว่าผมมีสิ่งที่ชอบตัวเองและไม่ชอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันเลยเป็นสิ่งที่ผมตอบตอนแรกนั่นแหละ คือผมตอบไม่ได้ว่านี่เป็น Best Version of ตัวเองแล้วหรือยัง เราไม่ชอบคิดว่าตัวเราดีที่สุดแล้วในปีนี้ เพราะมันหมายความว่าในปีที่แล้วไม่มีความหมาย 

แต่ถึงเราไม่เคลมว่ามันดีที่สุด เราก็ไม่เคลมว่ามันแย่ที่สุดเหมือนกัน เราอาจจะตอบได้ว่าปีนี้เราทำงานหนักที่สุด เราอาจจะตอบได้ว่าปีนี้เราทำงานเบาที่สุด แต่ว่าเราเป็นคนที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง เราตอบไม่ได้ เราตอบได้แค่ว่า เราก็คงต้องเป็นเราต่อไป ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลง เหมือนอย่างที่พอยบอกว่ามีด้านลบก็ต้องมีด้านบวก ทุกคนมีทั้งสองด้านในตัวเอง ไม่มีใครขาวตลอดหรือดำตลอดเวลา หรือถ้าจะมีจริงๆ สุดท้ายแล้วเขาจะต้องหาโมเมนต์อะไรบางอย่างมาบาลานซ์ทั้งสองสีนั้นให้เข้ากันเอง

ดังนั้นผมจะไม่ตัดสินหรอกว่าใครจะมองผมแบบไหน บางคนอาจจะมองว่าผมเป็น Best Version สำหรับคนอื่นที่มองเข้ามาในวันนี้ หรืออาจจะเป็น Version ที่แย่ที่สุดที่คนอื่นมองเข้ามาก็ได้เหมือนกัน แต่ตัวผมเองรู้สึกว่าเราก็เป็นเราแบบนี้แหละ ต่อให้ภรรยาบอกว่าเราเบื๊อก คนอื่นบอกว่าเราพักผ่อนน้อย หรือเจ้านายจะมองว่าเราทำงานดี ใครจะมองผมแบบไหนก็ได้ เพราะทั้งหมดมันก็เหมือนกระจกให้ผมได้สะท้อนมองตัวเองเหมือนกัน 

บางครั้งสิ่งที่คนอื่นมองเรามา ก็ทำให้เรามองมุมกลับได้ว่า เราเก่งตรงนี้ เพราะว่าเราจำเป็นต้องเก่งนะ เราจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติมนะ เรายังมีอะไรที่ไม่รู้อีกเยอะเลยนะ สรุปคำตอบก็คือ เราก็จะมองว่า เราไม่กล้าตอบว่า เราเป็น Best Version ที่สุดของเราแล้วหรือยัง แต่เราจะตอบตัวเองเสมอว่า วันนี้เราทำอะไรดี แล้ววันนี้เราทำอะไรไม่ได้ แล้วก็เอาสิ่งนั้นนั่นแหละมาบาลานซ์ทุกอย่างวันต่อวัน” 

Ink and Paper 

ธิติวัฒน์ รองทอง เดินทางผ่านความเยาว์และแบกความรับผิดชอบเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งคือการได้ทำสิ่งที่ตนรัก ท่ามกลางเพื่อนๆและผู้คนที่พร้อมจะโอบรับทุกการตัดสินใจในทุกๆช่วงขณะ ทั้งในช่วงที่ดีที่สุด ไปจนถึงช่วงที่เขาตั้งคำถามกับความสามารถของตนเอง 

ทุกอัตลักษณ์และการตัดสินใจ ทุกการทำงานและความเจ็บปวดที่เขาได้ผ่าน ล้วนแล้วแต่หล่อหลอมและทำให้ศิลปินและโปรดิวเซอร์คนนี้ มีวัตถุดิบเพื่อพัฒนาตนเองไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

แม้ในวันนี้การเดินทางของเขาบนหน้ากระดาษของเราจะสิ้นสุดลง แต่เราเชื่ออย่างยิ่งว่า การเดินทางบนเส้นทางดนตรีของแม็กในอุตสาหกรรมเพลงไทยที่เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ณ ขณะนี้ เป็นเพียงหมุดเล็กๆหมุดหนึ่ง บนแผนที่ซึ่งทอดยาวออกไปสู่ปลายทางที่ไม่มีใครคาดคิดเท่านั้น 

แม็กไม่เคยวาดภาพหรือคาดหวังว่าการเดินทางร่วมกับ The Darkest Romance จะพาเขาไปถึงจุดใด แต่เมื่อเราถามถึงความคาดหวังของเขาต่อวงการเพลงไทย เราพบว่าเขาเชื่อในการพัฒนาของอุตสาหกรรมเพลงไทยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อศิลปินมากมายเลือกที่จะก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน เพื่อทดลองมากขึ้น เพื่อการมีอิสระมากขึ้น อีกทั้งผู้ฟังมากมายที่พร้อมจะเปิดใจเติบโตไปกับแนวเพลงใหม่ๆอย่างเช่นในตอนนี้ เขาจึงเชื่อว่าวงการเพลงจะเติบโตและสนุกมากขึ้น พร้อมๆกับโลกที่หมุนไปข้างหน้าเช่นกัน 

สุดท้ายนี้พี่แม็กได้ฝากคำทักทายถึงแฟนเพลงทุกคนทั้งในฐานะนักร้องนำ The Darkest Romance และ ธิติวัฒน์รองทอง

“ฝากวง The Darkest Romance ด้วยนะครับ เพราะพวกเรากำลังลุยงานต่อไปกันอยู่ ในส่วนเพลงต่างๆที่เคยออกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอัลบั้มที่ออกกับสังกัด Gene Lab หรืองานก่อนหน้าที่ทำขายกันเอง ขอบคุณทุกคนที่จำได้ ขอบคุณทุกคนที่นึกถึง และขอบคุณที่คอยสนับสนุนกันมาโดยตลอด แล้วก็ขอฝากเนื้อฝากตัวต่อไปด้วยครับ

“ในนามของตัวเองก็จะฝากน้อยลงหน่อย เพราะว่าสิ่งไหนที่ผมได้ไปมีส่วนร่วม ก็คืองานนั้นเป็นส่วนของเบื้องหลัง ดังนั้นแค่มีคนจำชื่อได้ผมก็ดีใจมากแล้วครับ ถ้ามีคนเห็นสิ่งที่ผมทำแล้วเขาจำมันได้ สิ่งนี้คือโบนัสของผมเลย ดังนั้นขอบคุณครับ ผมจะพัฒนาตัวเองต่อ เพื่อให้มีการจ้างงาน เพื่อให้ต่อยอดเลี้ยงชีพได้ แต่ในท้ายที่สุดไม่ว่ายังไง ผมก็จะพยายามทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ต่อไป

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า